ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 7 : จอมทัพหญิง (3)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 7 : จอมทัพหญิง (3)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

กองทัพชาวไตมาวเข้าประชิดเมืองมาทุกที และแม้สดับมาว่าเป็นกองกำลังเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หากภาพที่ประจักษ์ต่อพระเนตรคือคลื่นมนุษย์มหาศาลยาวเหยียดราวกับกองทัพมด เจ้าอุปราชรามนครมิทรงคาดคิดมาก่อนว่าในพระชนม์ชีพจักได้ทอดพระเนตรภาพเช่นนี้ แลต้องลุกขึ้นบัญชาการรบด้วยองค์เอง

ก่อนทรงเสื้อเกราะ ทรงเอื้อมหัตถ์ไปใต้ภูษา สัมผัสเหรียญดินเผาที่ร้อยไว้กับสายสร้อยแล้วกำไว้แน่นเรียกขวัญกำลังใจ นึกถึงคำพระฤๅษี

‘มนตร์คาถาที่อาจารย์กางคุ้มครองฝ่าบาทอาจไม่เพียงพอในกาลหน้า จึงทรงต้องมีสิ่งนี้คุ้มกันอีกทาง จักช่วยป้องกันคุณไสย มนตร์ดำ มายาศาสตร์ขั้นสูงได้ ฝ่าบาทต้องทรงพกติดวรกายไว้เสมอนะเจ้าข้า’ ฤๅษีชรากำชับ ‘แต่เหรียญนี้มิอาจป้องกันการทำร้ายหมายเลือดเนื้อในยุทธการได้ ฝ่าบาทจึงต้องฝึกฝนสัประยุทธ์และการเป็นจอมทัพเอาไว้เช่นกัน ทดแทนกันมิได้’

เคราะห์ดีที่ทรงฟังคำแนะนำของสุกกทันตฤๅษี ให้รู้จักสนพระทัยศึกษายุทธการศึกกองทัพเสียบ้าง เมื่อถึงเวลาข้าศึกประชิดเมืองโดยมิคาดหมายเช่นนี้จึงทรงตั้งสติรับมือได้มิเลวนัก อย่างน้อยยังป้องกันมิให้คืบคลานมาถึงประตูเมืองได้ แต่มิรู้จักต้านทานได้นานเท่าไร

แล้วก็ให้นึกเป็นห่วงพระชายาจับพระทัย นับว่าโชคยังเข้าข้างที่พระนางเสด็จกลับละโว้ไปเสียก่อน เพราะหากยังอยู่ที่รามนครด้วยกองกำลังเพียงน้อยนิดเช่นนี้ ก็อาจทรงปกป้องชวาลาไว้มิได้

ขณะที่เตรียมเสด็จขึ้นอาชาทรงลงตรวจการหน้าป้อมปราการนั้นเอง ม้าเร็วเชิญพระอักษรจากพระนางชวาลาก็สวนมาเสียก่อน

ขณะนี้หม่อมฉันนำทัพมาถึงนครเขื่อนขัณฑ์แล้ว กำลังไปช่วยเจ้าพี่ แลจะขอให้เจ้าพี่ทรงกระทำตามคำแนะนำของหม่อมฉันแม้อาจมิทรงเห็นชอบด้วยก็ตาม ประการแรก ขอให้ทรงทิ้งเมืองรามเสียแล้วอพยพชาวเมืองออกไปก่อน จากนั้นให้แสร้งทำล่าถอยทัพไปเรื่อยๆ ไปทางเทือกเขาขุนกาฬ ส่วนหม่อมฉันจักไปตั้งค่ายรอที่สุวรรณบรรพต

เจ้าอุปราชสะอึก เย็นวาบทั้งวรกาย ด้วยหมายถึงข่าวลือว่าพระชายาของพระองค์จักเป็นผู้นำทัพต่อสู้กับข้าศึกด้วยองค์เองนั้นเป็นเรื่องจริง

ทรงเป็นสวามีประสาใดกันหนอ ถึงปกป้องชายาของตนมิได้ มิหนำซ้ำยังต้องให้พระนางออกโรงเดินทัพกระทำทุกอย่างประหนึ่งบุรุษหาญกล้าเพื่อรักษาเมืองและพระชนม์ของสวามี

ดำริแล้วเจ้าเมืองรามก็ทรงนึกอดสูยิ่งนัก มิเคยต้องทรงรู้สึกอับอายไร้ค่าเท่านี้มาก่อน ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ที่สู้พระบรมวงศานุวงศ์อื่นมิได้ ก็ทรงน้อยเนื้อต่ำใจมากพอแล้ว เมื่อเสด็จมาประทับในลวปุระในฐานะราชบุตรบุญธรรมแห่งพระเจ้าจักวัติ ก็เสมือนคนแปลกหน้าที่เข้ามาชุบมือเปิบในบัลลังก์ผู้อื่น ต้องพยายามทำองค์ให้มีประโยชน์ พิสูจน์ตนเองว่าปรีชาสามารถพอจักนำความเจริญมั่งคั่งสู่ละโว้ได้ กระนั้นก็กลับเป็นได้แค่องค์ชายผู้อ่อนแอ เก่งแต่ค้าขาย รบทัพจับศึกไม่ได้ หากมิได้บารมีของเจ้าหญิงชวาลาก็คร้านจะฉายแสงขึ้นมาได้

แม้ในยามศึก ก็ต้องให้พระชายาออกหน้า…แล้วพระองค์เล่า หาค่าประโยชน์อันใดได้ แม้แต่จักปกป้องศักดิ์ศรีแห่งองค์เอง แห่งพระชายา และในฐานะผู้สืบทอดราชบัลลังก์ลวปุระสืบไป

“รี้พลขององค์หญิงวามีจำนวนเท่าไร”

“รวมทัพจากละโว้และพันธมิตรบางส่วนได้ราวหมื่นเศษพระเจ้าข้า” ทหารลาดตระเวนกราบทูล “คาดว่าจะมีกองทัพจากนครอื่นตามมาเสริมอีก ยังมิทราบจำนวนแน่ชัดเจ้าข้า”

“ข้าจะตามไปสมทบกับพระนาง” พระองค์ตัดสินพระทัยได้ขณะนั้น จักทรงรักษาเกียรติยศศักดิ์ศรีแลปกป้องสตรีที่รักได้นั้นต้องใช้สติปัญญามากกว่าอัตตาส่วนตน เพราะอย่างไรถึงอยู่ต่อ เมืองรามก็ต้องถูกยึดโจมตีได้ในที่สุด สู้รักษาชีวิตไพร่พลไว้จักปลอดภัยกว่า ทรงหันไปบัญชาการขุนศึกแลเสนามาตย์ที่รอฟังคำสั่งด้วยใจลุ้นระทึก

“เราจักต้องทิ้งนคร อพยพชาวเมืองออกไปให้หมดก่อนที่ข้าศึกจะประชิดถึงเมืองได้”

ทรงปฏิบัติตามคำแนะนำของพระชายาทุกประการ แสร้งล่าถอยทัพไปทางเทือกเขาขุนกาฬ หวังพระทัยว่าจักได้พบพระชายาในเร็ววันและได้ปกป้องพระนางในฐานะสวามีได้สักครา

 

พระเจ้าจักวัติวิราชมีพระดำเนินกระสับกระส่ายวนเวียนอยู่ค่อนราตรี การตัดสินพระทัยในวิกฤติครั้งนี้หนักหนาสาหัสกว่าทุกเรื่องในพระชนม์ จักป้องกันนคราจากอริราชศัตรูได้หรือไม่นั้นก็ประการหนึ่ง หากการส่งพระธิดาองค์โปรดผู้เป็นดุจเพชรเม็ดงามของลวปุระแลทั้งทวารวดีไปเป็นจอมทัพ ชวนให้พระทัยหายยิ่งกว่า มิหนำซ้ำ รามราชก็ย่อมมิอาจทนอยู่เฉยให้พระชายาออกหน้าลำพังได้ จักต้องทรงร่วมเป็นจอมทัพคู่กับพระนางอย่างมิต้องสงสัย ดังนั้นแล้วจึงเท่ากับพระชนม์ของรัชทายาทสืบบัลลังก์ลวปุระแขวนอยู่บนเส้นด้าย พระชงฆ์ข้างหนึ่งได้ก้าวล่วงสู่ทวารนรก หากละโว้ต้องสูญเสียทั้งสองพระองค์ไปเล่า จักทำเช่นไร

ครั้นแล้วก็ทรงหวนระลึกถึงคำทำนายจากวาสุเทพฤๅษีที่พระองค์เคารพรักอย่างยิ่ง ว่าพระธิดาเชื้อสายรักตมปุระผู้นี้จักมาช่วยบำราบอริราชศัตรู เป็นผู้มีบุญญาธิการแก่กล้ายิ่งนัก เห็นทีศัตรูจะทำอันตรายมิได้ง่ายดายเป็นแน่ จึงค่อยสงบพระทัยลง ค่อยๆ จัดลำดับความรู้สึกนึกคิดทีละประการ แล้วจึงออกมาเป็นพระราชานุญาตให้พระธิดาชวาลาทรงเป็นจอมทัพ และให้เร่งจัดกองกำลังไปช่วยเจ้าชายกัษษกรโดยเร่งด่วน จากนั้นจึงโปรดฯ ให้นิมนต์สมเด็จพระสังฆราชเจ้าและนักบวชผู้ทรงสมณศักดิ์เข้ามายังอารามหลวงโดยพร้อมกันเพื่อประกอบพิธีถวายพระพรชัยเจ้าหญิงชวาลาเสียก่อน

 

ยามทิวา ผืนนภาแจ่มใส เห็นเป็นศุภนิมิตอันดีแล้ว พระเจ้าจักวัติจึงพระราชทานพระแสงอาญาสิทธิ์แก่พระธิดา จากนั้นพระนางทรงมีรับสั่งให้ขุนศึกทั้งหลายเตรียมจัดทัพทันที เมื่อจัดกระบวนทัพสำเร็จเสร็จสิ้น พระนางเสด็จประทับเบื้องหน้าทวยทหารทั้งปวง มีพระดำรัสว่า

“พี่น้องทหารหาญแห่งลวปุระทั้งหลาย บัดนี้บ้านเมืองของเราถูกศัตรูรุกราน เพื่อแผ่นดินนี้ เราจักขอนำหน้าแลยอมสละชีวิตก่อนพวกท่าน แต่หากผู้ใดไม่เต็มใจไปราชการศึกด้วยครั้งนี้ เราจะไม่เอาโทษ”

บรรดาทหารได้ยินรับสั่งเช่นนั้นก็พากันโห่ร้องถวายพระพรกระหึ่มก้อง หามีผู้ใดคิดหนีการสู้รบครั้งนี้ทั้งสิ้น ต่างถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจักจงรักภักดีและจะขอตายเพื่อพระนางชวาลาและแผ่นดินลวปุระ

กองทัพละโว้ที่มีพระนางชวาลาเป็นจอมทัพจึงเคลื่อนพลสู่เมืองเขื่อนขัณฑ์ ส่งม้าเร็วแจ้งข่าวแก่เจ้าชายเมืองราม แล้วจึงเคลื่อนไปตั้งค่ายรอที่สุวรรณบรรพตตามแผนการแรก

ดังนั้นเมื่อทหารรามนครชุดสุดท้ายทิ้งเมืองไปและฝ่ายไตมาวเข้ายึดเมืองได้จึงพบกับเมืองร้าง เมื่อเห็นกองทัพและประชาชนเมืองรามกำลังมุ่งหน้าไปทางเทือกเขาขุนกาฬจึงรีบเร่งติดตามไปทันที

เจ้าหญิงชวาลาที่ตั้งค่ายรออยู่ ณ สุวรรณบรรพตก็ทรงแบ่งกองทัพออกเป็นสามกองโอบล้อมเทือกเขาขุนกาฬไว้ เมื่อกองทัพรามนครล่าถอยมาถึง กองทัพไตมาวก็ไล่ตามมาอย่างฮึกเหิม จนกระทั่งตกเข้าสู่วงล้อมของกองทัพฝ่ายละโว้ในที่สุด

“พลธนูเตรียมพร้อม” เจ้าหญิงชวาลาบัญชาการลงมา พระเนตรแน่วนิ่งที่กองทัพไตมาวเบื้องล่าง

“ยิง!”

ธนูเพลิงถูกระดมยิงลงมาจากทุกทิศทุกทางดุจห่าฝน ตามด้วยก้อนหินจำนวนมหาศาลถูกทิ้งตามลงมา ทัพหน้าของไตมาวทั้งหมดจึงถูกโจมตีแตกกระจ่ายย่อยยับในเวลาอันสั้น กระนั้นก็ยังมิอาจวางใจได้ ด้วยยังมีกองกำลังอีกส่วนหนึ่งเร่งติดตามมา ทว่าทัพละโว้กลับไม่มีเกาทัณฑ์และก้อนหินเพียงพอ จึงต้องเปลี่ยนแผนให้ทัพดาบลงไปประจัญบานแทน

เจ้าอุปราชรามราชทอดพระเนตรดังนั้นก็ขยับพระแสงดาบทันใด

“ไม่เพคะเจ้าพี่” ชวาลาตรัสร้องขึ้นทันใด “พื้นที่แคบเกินไป ให้ขุนทหารเจนสนามลงไปดีกว่าเพคะ ประเดี๋ยวหม่อมฉันจะเร่งระดมเกาทัณฑ์มาเพิ่ม ชั่วเวลามิถึงหนึ่งก้านธูปเพคะ”

ทว่า วรองค์สูงชะลูดในเครื่องทรงขุนศึกเต็มยศกลับก้าวพระบาทออกมาเบื้องหน้า พักตร์ที่อ่อนละมุนดั่งใบหน้าแห่งปราชญ์กวีบัดนี้กลายเป็นสีเข้ม เนตรดุดันแข็งกร้าว เสโทไหลซึมเปียกโซมเป็นมันเลื่อม

“ให้ข้าต่อสู้ร่วมกับขุนทหารของข้า ต่อสู้เพื่อไพร่พล และเพื่อรักษาเกียรติยศละโว้เถิด” รับสั่งต่อหน้าเหล่าทหารอย่างแน่วแน่ “และเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของพระนางชวาลา อัครชายาผู้กล้าหาญของข้า”

“หม่อมฉันเป็นผู้บัญชาการรบ เจ้าพี่ต้องฟังหม่อมฉัน” พระนางตรัสกร้าว หากก็ชะงักด้วยมิเคยเห็นพระสวามีดุดันเด็ดเดี่ยวเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน รับสั่งมิทันขาดคำ อุปราชรามราชก็ควบอาชาทรงสีขาวพ่วงพีตรงฝ่าไปในวงล้อมข้าศึก เงื้อพระแสงดาบมหึมาอันเป็นของขวัญพระราชทานจากพระเจ้าหริมิตรแห่งไชยา เข้าบั่นคอข้าศึกอย่างฮึกเหิม

โดยมีพระชายาชวาลาเฝ้ามองอยู่อย่างพรั่นพรึงสุดหทัย



Don`t copy text!