ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 11 : นิรนาม (3)
โดย : พิมพ์อักษรา
ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co
กองทัพของเจ้าหญิงชวาลาออกเดินทางตั้งแต่ย่ำรุ่ง หากกว่าจักเคลื่อนขบวนออกนอกเมืองรามได้ก็ล่วงเข้าบ่ายคล้อย ด้วยชาวเมืองต่างแห่แหนมาเฝ้าชมพระบารมีแน่นขนัด ทั้งสองพระองค์เองก็ได้พระราชทานเสบียงบำรุงขวัญราษฎรกันถ้วนหน้า เมื่อมาถึงเขตรอยต่อชายแดนเมืองเขื่อนขัณฑ์จึงแวะพักตั้งค่ายหลบร้อนและสักการะวัดป่าให้เป็นสิริมงคลก่อนนิวัติราชธานีละโว้
อาศัยช่วงที่พระชายาทรงพักผ่อนอิริยาบถ เจ้าชายกัษษกรและสุกกทันตฤๅษีตั้งใจจะประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลให้อนุชาแฝดอย่างรวบรัดและเผาร่างต่อเสียเลย จึงอาราธนาพระสงฆ์รูปหนึ่งมาสวดให้รัตตกรเป็นครั้งสุดท้าย
กระนั้น เมื่อเปลวเพลิงคุโชนกำลังเริ่มสัมผัสปลายเท้าอดีตเจ้าชาย กัษษกรก็กลับเปลี่ยนพระทัย
“ฝังร่างเขาเถิด”
พระรูปนั้นจึงเกณฑ์เด็กวัดอีกสองคนมาช่วยกันขุดหลุมบริเวณชายป่าหลังอารามแล้วผลุบหายไปอย่างรู้หน้าที่
“เมื่อคืนข้าฝันว่าดวงจิตเขนน้อยกำลังหลงทาง มิรู้ขึ้นสู่สวรรค์หรือลงแดนนรก เขากำลังพบกับความเวิ้งว้างดุจอยู่ในห้วงอนันตกาล” พระหัตถ์ที่เอื้อมวางพวงบุปผาเหลืองนวลลงบนร่างในหลุมสั่นระริก จากนั้นจึงปลดเครื่องรางเหรียญดินเผาจากพระศอวางตามลงไป “ข้าหวังใจว่าเหรียญนี้จักพอปกป้องคุ้มครองหรือนำทางดวงจิตเจ้าได้ก็ยังดี”
รับสั่งแล้วหันมาแย้มสรวลอ่อนให้พระอาจารย์ “ตัวข้าคงมิต้องใช้เครื่องรางคุ้มภัยอีกแล้วละ”
พระองค์กับฤๅษีค่อยๆ ตักดินกลบฝังร่างที่เมื่อครั้งหนึ่งเคยสมบูรณ์ด้วยเลือดเนื้อแห่งวัยฉกรรจ์ แลเคยเป็นถึงขัตติยราชแห่งไชยาพระองค์หนึ่ง แม้จักเป็นเพียงช่วงสั้นๆ ก่อนจักถูกเก็บซ่อนอยู่ในเงามืด
“ลาก่อนเขนน้อย…หากมีภพหน้าดังว่าแล้วนั้น ขอให้เจ้าได้เกิดมาสมบูรณ์พร้อม ได้ใช้ชีวิตอันเป็นของเจ้าอย่างแท้จริง”
แม้ยามมรณา ร่างเขนน้อยก็ยังถูกซ่อนไว้ลึกลับเงียบเชียบในความมืดมิดอย่างเดียวดาย
พระเจ้าจักวัติวิราชบรรทมมิสู้ดีนัก ทรงพลิกกระสับกระส่ายจนถึงรุ่งสาง ทั้งที่ควรโล่งพระทัยปราโมทย์ยินดีต่อชัยชนะที่พระราชธิดาชวาลานำมาสู่ลวปุระ หากกระนั้นพระองค์ก็ยังมีพระสุบินไม่ดีถึงบรรดาพระโอรสที่ตายจากไปตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หรือมิเช่นนั้นก็ลืมตาดูโลกได้ไม่กี่ทิวาก็มีอันเป็นไปเสียก่อน
ทรงทราบแน่แก่พระทัยว่าเป็นความผิดปกติของพระองค์ เพียงแต่ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวโทษออกมา มิเช่นนั้นชายานับสิบนับร้อยจักมิสามารถมีประสูติกาลโอรสถวายได้เลยเชียวหรือ…
อันนำมาสู่การสืบสันตติวงศ์อันพิลึกพิลั่นนี้แล
อันที่จริงพระองค์ควรถอดพระทัยแล้วเลือกเจ้าชายเชื้อสายทวารวดีในราชสำนักละโว้สักพระองค์ขึ้นดำรงตำแหน่งรัชทายาทสืบแทน แต่กลับทรงมองการณ์ไกลถึงปัญหาในภายหน้า ว่าหากยอมให้กระทำเช่นนั้น อำนาจในราชบัลลังก์ละโว้ก็จักมิได้ธำรงอยู่ในสายสกุลละโว้ดั้งเดิมอีกต่อไป แต่จักถ่ายเปลี่ยนไปสู่ชาววงศ์เวหะ
บัลลังก์พระจันทร์เสี้ยวเป็นของชาวละโว้ ก็ควรพิทักษ์ให้เป็นของคนละโว้เท่านั้น
ดังนั้น จึงต้องทรงเลือกวิธีทูลขอพระโอรสจากแคว้นทะเลใต้มาเป็นพระราชบุตรสืบบัลลังก์แทน…
ทั้งยังได้สานสัมพันธไมตรีที่นำมาสู่ผลประโยชน์มหาศาลทางการค้าระหว่างสองอาณาจักรใหญ่บนภาคพื้นแผ่นดินและภาคพื้นทะเลอีกด้วย
กระนั้น เบื้องลึกในพระทัยกลับสมเพชเวทนาองค์เองอย่างยิ่งที่ไร้รัชทายาทผู้สืบสายโลหิตแท้จริง
เมื่อวาสุเทพฤๅษีทำนายว่าพระราชธิดาชวาลาทรงเป็นจอมนารีผู้ทรงบุญญาธิการ นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ละโว้ได้ ความหวังจึงเรืองรองขึ้นในหฤทัยจักวัติวิราชเจ้า ยิ่งเมื่อเห็นพระปรีชาสามารถ แลพระสติปัญญาปราดเปรื่องเกินกว่าผู้ใด พระองค์ก็ยิ่งทุ่มเทความรักและความหวังในตัวพระนางยิ่งขึ้น ผลักดันให้สูงประหนึ่งเจ้าชายรัชทายาท ชวาลาเองก็ทรงแสดงให้เห็นว่าพระนางควรคู่แก่ความไว้ใจและการยกย่องนั้น
แม้จักต้องอภิเษกกับเจ้าชายผู้ไร้เชื้อวงศ์พงศ์พันธุ์จันทร์เสี้ยวอย่างกัษษกรก็พอทำเนาว่ายังมีเลือดเนื้อเชื้อไขจันทร์เสี้ยวของพระองค์อีกครึ่งหนึ่งร่วมสืบราชบัลลังก์ต่อไป…นับเป็นหนทางอันงดงามลงตัวที่สุดเท่าที่พระเบื้องบนจักประทานให้พระองค์รักษาสายวงศ์ไว้ได้
พระโอรสบุญธรรมเองก็คงมิได้ทรงขลาดเขลาจนดูไม่ออกว่าต้องเลือกเจ้าหญิงองค์ใดเป็นพระชายา ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นตามครรลอง…กระทั่งเกิดสงครามไตมาวนั้นแล
กระนั้นชัยชนะในศึกที่ผ่านมาก็ยิ่งแสดงให้ประจักษ์ชัด ว่าเจ้าหญิงชวาลาเหมาะสมจักขึ้นปกครองละโว้ต่อไปภายหน้า ติดเพียงที่เป็นสตรีเท่านั้นจึงต้องอภิเษกราชบุตรเพื่อบริหารอำนาจนั้น
ใช่ว่ามิทรงทราบการแก่งแย่งชิงดีของฝ่ายอำนาจต่างๆ ในราชสำนัก แลทรงทราบดีว่ามีหลายฝ่ายลิงโลดปราโมทย์ด้วยเชื่อว่าเจ้าหญิงชวาลาจักต้องสิ้นชีพในสนามรบเป็นแน่ แลถึงแม้จักมิทรงทราบไปถึงแผนการชั่วร้ายล้ำลึกโดยถ่องแท้ แต่ก็ทรงแน่พระทัยว่ารอยร้าวนั้นลึกเกินประสาน และอาจลุกลามบานปลายใหญ่โตได้ในภายหน้า จึงสมควรจักรีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม
ดำริได้ดังนี้ พระเจ้าจักวัติวิราชจึงรีบเสด็จลุกจากพระที่ เรียกหาอาลักษณ์เพื่อร่างประกาศโองการ
“จักทรงสละราชย์ฤๅพระเจ้าข้า”
“ยังมิใช่เร็ววันนี้ รอให้ผ่านงานเฉลิมฉลองชัยชนะขององค์หญิงชวาลาเสียก่อน หากก็มิให้นานเกินหนึ่งเดือนจากนั้น…รามราชจักได้สืบบัลลังก์ขึ้นเป็นกษัตริย์ลวปุระเสียที”
ขบวนเสด็จอันควรจักถึงราชธานีละโว้ได้หลายทิวา กลับล่าช้าออกไปเล็กน้อย ข้าราชบริพารแลกองทัพทราบจากถ้อยดำรัสในอุปราชเพียงว่าพระนางชวาลายังประชวรจากการตรากตรำพระวรกายในสงครามมายาวนาน หากแท้จริงทั้งสองพระองค์ทรงทราบแก่หทัยดีว่าอาการประชวรนั้นเกิดขึ้นกับจิตใจเสียมากกว่า
“หลับตาลงคราใดน้องก็เห็นแต่ภาพทหารล้มตายกองทับกันเป็นภูเขา เจ้าฟ้าสิทธิราชนั้นก็เชือดพระศอต่อหน้า ทั้งยังสิ้นพระชนม์ลงในอ้อมแขนน้อง” พระนางกันแสงในคืนหนึ่ง “น้องเป็นต้นเหตุให้มีคนตายมากถึงเพียงนี้”
“สงครามต่างหากเป็นต้นเหตุ” กัษษกรรีบแก้ทันควัน “หาใช่ความผิดน้องไม่ มาถึงบัดนี้น้องย่อมแจ้งแก่ใจแล้วว่ามีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังศึกไตมาวครั้งนี้”
เจ้าหญิงชวาลาห่อพระอังสา “มีแต่คนคิดจะฆ่าน้อง…แล้วอย่างไรเล่า กลับไปน้องก็จำต้อง ‘เก็บกวาด’ มิให้เหลือกระนั้นหรือ มือน้องต้องเปื้อนเลือดอีกเท่าไรเพื่อรักษาบัลลังก์”
เป็นคำถามที่กัษษกรก็ถามองค์เองเช่นกัน
“นางนกต่อผู้นั้นก็ยังมิยอมปริปากว่าฝ่ายใดส่งมา หากเป็นเจ้าแม่ก็คงสั่งให้นำไปทรมานจนกว่าจะเปิดปาก แต่น้องหมดแรงใจจักทำเรื่องเหล่านี้เสียแล้ว อยากหลับตาแล้วตื่นขึ้นพบว่าเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็พักผ่อนให้สำราญใจขึ้นแล้วค่อยกลับละโว้ก็ยังมิสาย เพราะสองบาทเราย่างเหยียบแผ่นดินลวปุระเมื่อไร เราจักมิมีเวลาหายใจหายคออีกแล้ว”
เจ้าหญิงชวาลาทรงโอนอ่อนผ่อนตามโดยง่าย เป็นครั้งแรกที่ผู้เป็นสวามีได้ทรงเห็นเสมือนพระชายาได้กลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ อีกครั้ง เป็นเด็กสาวธรรมดาผู้บอบบาง อ่อนไหว ต้องการไออุ่นแลหลักคุ้มภัยให้กายใจอันเหน็ดเหนื่อยและเต็มไปด้วยบาดแผลที่มองไม่เห็น
และทรงยอมรับกับองค์เองว่าบังเกิดความปราโมทย์ยินดี ที่ได้ทำหน้าที่เป็นเสาหลักทางใจของชวาลา…ชวาลาผู้เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวไปทุกเรื่อง
กัษษกรชวนพระชายาให้สวดมนต์รำลึกถึงดวงวิญญาณผู้เสียชีวิตในสงครามหนนี้ทุกราตรี เพื่อเยียวยาบาดแผลและความทุกข์ในพระทัยพระนาง รวมถึงหฤทัยของพระองค์เองเช่นกัน
แลทุกคราก็จักสวดรำลึกและแผ่เมตตาถึงรัตตกรมิได้ขาด
เช่นเดียวกับค่ำคืนนี้
“วันรุ่งขึ้นพี่จักถึงแผ่นดินละโว้แล้ว มิรู้จักมีโอกาสกลับมาเยี่ยมเจ้าที่อารามในเขื่อนขัณฑ์อีกหรือไม่ เขนน้อย” ทรงรำพึงขึ้นขณะตรวจความเรียบร้อยของค่ายประทับในราตรีสุดท้ายก่อนกลับราชธานี
“ป่านนี้ดวงวิญญาณของเจ้าจักอยู่แห่งหนใดหนอ…”
ราตรีนั้นอากาศร้อนอบอ้าว เกิดสายลมอุ่นพัดแรงหวีดหวิวหอบเม็ดทรายแลใบไม้ลอยคว้างกลางความเวิ้งว้างแห่งรัตติกาล ปลิวเข้าดวงเนตรจนต้องป้องด้วยพาหา
ครั้นลืมเนตรขึ้นก็เห็นโครงร่างหนึ่งปรากฏอยู่ในคลองจักษุ…บุรุษร่างสูง มีเพียงผ้าสีขาวเก่าขาดซอมซ่อพันกาย และดูคล้ายจักเดินตรงมาที่พระองค์
ตาฝาดกระมัง…เจ้าชายกะพริบเนตรอีกหน ภาพอันพร่าพรายเริ่มแจ่มชัดทีละน้อย พร้อมกับที่ฝ่ายนั้นย่างเยื้องตรงใกล้เข้ามาทุกที…
ฝันอยู่กระมัง…ต้องฝันอยู่เป็นแน่ มิเช่นนั้นคงไม่ทอดพระเนตรเห็นคนตายที่นอนอยู่ก้นหลุมท้ายวัดเมืองเขื่อนขัณฑ์ปรากฏอยู่เบื้องพระพักตร์เช่นนี้…กัษษกรทรงเผลอคราง
“เขนน้อย…”
ทว่าอีกฝ่ายกลับมีสีหน้างุนงง
“เราไม่ใช่เขนน้อย”
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 16 : สาส์นจากวาสุเทพฤาษี (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 16 : สาส์นจากวาสุเทพฤาฤๅษี (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 15 : เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 15 : เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 14 : ดับแสงตะวัน (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 14 : ดับแสงตะวัน (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 14 : ดับแสงตะวัน (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 13 : ผู้ชนะศึกกลับบ้าน (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 13 : ผู้ชนะศึกกลับบ้าน (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 13 : ผู้ชนะศึกกลับบ้าน (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 12 : เขนน้อย (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 12 : เขนน้อย (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 11 : นิรนาม (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 11 : นิรนาม (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 11 : นิรนาม (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 10 : จันทราสีเลือด (6)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 10 : จันทราสีเลือด (5)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 10 : จันทราสีเลือด (4)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 9 : จันทราสีเลือด (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 9 : จันทราสีเลือด (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 9 : จันทราสีเลือด (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 8 : ศึกแรก (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 8 : ศึกแรก (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 8 : ศึกแรก (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 7 : จอมทัพหญิง (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 7 : จอมทัพหญิง (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 7 : จอมทัพหญิง (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 6 : ศึกนอกมิสู้ศึกใน (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 6 : ศึกนอกมิสู้ศึกใน (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 6 : ศึกนอกมิสู้ศึกใน (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 5 : คลื่นใต้น้ำ (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 5 : คลื่นใต้น้ำ (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 5 : คลื่นใต้น้ำ (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 4 : เจ้าชายแห่งไชยา (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 4 : เจ้าชายแห่งไชยา (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 4 : เจ้าชายแห่งไชยา (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 3 : เจ้าหญิงชาวทะเลใต้ (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 3 : เจ้าหญิงชาวทะเลใต้ (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 2 : เลือกคู่ (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 2 : เลือกคู่ (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 2 : เลือกคู่ (1)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 1 : อุปราชองค์ใหม่ (3)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 1 : อุปราชองค์ใหม่ (2)
- READ ซ่อนรักในรอยกาล "ลวปุระ ทวารวดี" บทที่ 1 : อุปราชองค์ใหม่ (1)