ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 13 : ผู้ชนะศึกกลับบ้าน (2)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 13 : ผู้ชนะศึกกลับบ้าน (2)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

เคยดูหนังดูละครมาก็มาก ยังนึกสงสัยทุกครั้งเวลาตัวละครถูกสั่งให้อยู่กับที่ ห้ามออกไปข้างนอกหรือเคลื่อนไหวใดโดยเด็ดขาด เหตุใดจึงกลับมักจะแกว่งเท้าหาเสี้ยนทำในสิ่งตรงกันข้าม นำความเดือดร้อนไปจนถึงหายนะมาให้ทุกครั้ง มาตอนนี้เขาเพิ่งเข้าใจว่าการอดทนรอโดยไม่รู้จุดสิ้นสุดหรือไม่รู้ข้อมูลใดๆ ที่จะพอคาดการณ์อนาคตได้นั้นทำให้คนเรายากที่จะอยู่นิ่งเฉยได้ และเลือกยอมเสี่ยงพุ่งชนปัญหามากกว่าการรอคอยจำนนต่อโชคชะตา

รัญชน์ก็ไม่พ้นข่ายดังกล่าว เขาค่อยๆ ย่องออกจากเพิงม้า กะจะเลียบเคียงไปยังกระโจมคุมขังนักโทษหญิงเพื่อดูลาดเลา แต่กลับพบใครคนหนึ่งเข้าเสียก่อน

มองจากด้านหลังเห็นเป็นเค้าโครงสตรีร่างสูงกว่าหญิงโบราณทั่วไปที่เขาพบ หากอรชรอ้อนแอ้นเต็มไปด้วยส่วนเว้าส่วนโค้งน่ามองจนยากจะละสายตาได้ เครื่องแต่งกายก็แลดูประหลาด ดูคล้ายสวมเสื้อผ้าแต่ก็เหมือนมิใช่ จนเมื่อเพ่งดูให้ดี จึงเห็นว่ามิใช่ผ้าแถบท่อนบน หากแต่เป็นสร้อยทองระย้าละเอียดยิบหลายชั้นแผ่กว้างคลุมตั้งแต่ช่วงอกลงมาถึงเอวดูมิดชิดหากก็วับแวม รับกับผ้านุ่งสีม่วงเข้มมันเลื่อม

“นางเป็นอย่างไรบ้าง”

น้ำเสียงนางก็ไพเราะอ่อนหวานแม้เอ่ยกับคนคุมตรุ…ชะรอยจะเป็นเจ้านายสตรีสักพระองค์กระมัง

“ยอมกินอาหารบ้างแล้วพระเจ้าข้า” คนคุมกล่าว “แต่ก็ยังมิยอมปริปาก เอ่ยท้าแต่ให้ฆ่านางเสียให้รู้แล้วรู้รอด กระหม่อมขอบังอาจกราบบังคมทูล ว่าหากพระนางเจ้ามิใช้วิธีทรมานแล้วไซร้ เห็นทีนางก็จักได้ใจ เล่นแง่อยู่เช่นนี้มิรู้จบพระเจ้าข้า”

“ข้ามิอยากทำร้ายผู้ใดโดยไม่จำเป็น แม้เจ้าอาจมองว่านั่นถือว่าจำเป็นแล้วก็ตาม” นางผู้อ่อนหวานเอ่ยอย่างนุ่มนวลจนรัญชน์นึกอยากเห็นหน้าจับใจ

“พระนางเจ้าน้ำพระทัยงดงามนัก นางนักโทษควรสำนึกเสียบ้างว่ารับใช้คนผิด ขนาดมันคิดทุรยศทำร้ายพระนางเจ้าแท้ๆ แต่กลับทรงเมตตาละเว้นโทษตายแลโทษทรมานให้เสียอีก”

“ข้าประหัตประหารคนในสนามรบไปมากมายเหลือเกินเจ้าเอ๋ย…” นางรำพึง ก่อนปรับเสียงให้สดชื่นขึ้น “เอาละ อีกไม่นานเราก็จะได้กลับบ้านกันแล้วนา พวกเจ้าทั้งหลายคงคิดถึงครอบครัวเต็มที”

เมื่อนางหันหน้ากลับมา ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มประมวลผลจากถ้อยสนทนาได้ว่า สตรีทรงศักดิ์ผู้นี้ก็คือเจ้าหญิงชวาลา นางพญาผู้แกล้วกล้าผู้นั้นนั่นเอง

เมื่อได้พบพักตร์พระนางเข้า รัญชน์ก็ตกตะลึงจนเกือบเผลอครางออกมาด้วยความอัศจรรย์ใจ ด้วยเบื้องหน้าเขายามนี้คือสตรีทรงโฉมที่สุดที่เคยพบพานมาในชีวิต ทั้งนัยเนตรกลมโตสุกใสดั่งดวงดาราหากแฝงเปลวเจิดจ้าแห่งแสงตะวัน นาสิกโด่งหากเล็กเรียวปลายเชิดรั้น ไปจนถึงพระปรางอิ่มกลมเป็นสีระเรื่อ หากที่จับตาจับใจที่สุดกลับเป็นรอยยิ้มพิมพ์ใจที่ทั้งหวานและเย้ายวนใจในคราเดียวกัน…

หัวใจรัญชน์เต้นผิดจังหวะ กลืนน้ำลายลงคอยากเย็น…พระชายาของเจ้าชายกัษษกรนั่นเอง

เคราะห์ดีที่พระนางไม่เห็นเขา มิเช่นนั้นเขาคงจนปัญญาจะคิดข้อแก้ตัวขึ้นมาได้

เจ้าหญิงโฉมงามเสด็จดำเนินจากไปแล้ว เขาเพิ่งได้สติ หากก็เสมือนไร้สติ เพราะเดินตามพระนางไปราวต้องมนตร์…

แต่แล้วก็กลับต้องสะดุ้ง เมื่อพระนางหยุดลงหน้ากระโจมชั่วคราวขนาดใหญ่ที่รัญชน์จำได้ว่าหน้าตาเหมือนกระโจมของสุกกทันตฤๅษี แว่วเสียงพระนางตรัสว่า

“อาจารย์กำลังตรวจแขนเจ้าพี่เขนใช่หรือไม่เจ้าข้า” รับสั่งพลางแย้มสรวลอ่อนหวาน ก่อนเสด็จเข้าไปพ้นสายตาเขา “ให้ข้านวดยาให้เจ้าพี่เถิด เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว เพลานี้กว่าพายุจะสงบก็ต้องรออีกนานเทียว อาจจักถึงวันพรุ่งเสียด้วยซ้ำ”

ครู่หนึ่งฤๅษีเฒ่าก็เดินออกมา เป็นนัยให้ชายาปรนนิบัติสวามีตามลำพัง ฤๅษียังไม่เห็นเขา รัญชน์จึงถือวิสาสะยืนแอบหลังรอยต่อม่านชั้นในกระโจม

“น้องนึกว่าแขนและหลังเจ้าพี่หายดีแล้วเสียอีก เห็นทำอันใดได้ตั้งมากมาย” แล้วสุรเสียงก็เบาลงหากแฝงความเอียงอาย “น้องมิได้หมายถึงเรื่องนั้นเสียหน่อย เจ้าพี่ละก็…”

ให้ตายเถอะ…ฟังแล้วคิดดีไม่ได้เลย

รัญชน์หันรีหันขวาง เขาไม่แน่ใจว่าตนควรจะอยู่ตรงนั้นต่อดีหรือไม่

“ให้น้องนวดยาเถิดเพคะ น้องอยากดูแลเจ้าพี่” ช่างเป็นมธุรสวาจารื่นหูเหลือเกิน “อันที่จริง ความฝันของน้องมิได้ยิ่งใหญ่เลย อยากแค่ได้ตื่นมาปรนนิบัติดูแลสวามีตนเท่านี้ก็พอแล้ว แต่ทำเช่นไรได้ ในเมื่อฟ้าลิขิตให้เกิดมาพร้อมหน้าที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้…” ได้ยินเสียงพระนางถอนปัสสาสะ “ใจหนึ่งก็ใคร่กลับบ้านละโว้ยิ่งนัก อีกใจหนึ่งก็อยากครองรามนครกับเจ้าพี่สืบไป มิอยากเฉลิมฉลองเกียรติยศยิ่งใหญ่ใดๆ ทั้งสิ้น”

ทรงนวดยาให้พระสวามีต่อไปอีกพักใหญ่ มิได้ทรงกระทำการใดที่รัญชน์แอบนึกระทึกขวัญอย่างที่คิด ครู่หนึ่งเขาจึงเลี่ยงกลับเพิงม้าก่อนที่จะมีใครมาพบเข้า

ดวงเนตรและรอยยิ้มหวานแฉล้มของพระนางยังติดตาตรึงใจเขามิคลาย…สตรีผู้นุ่มนวลอ่อนหวานผู้นี้นะหรือที่ชิงชัยในสมรภูมิจนเอาชนะเจ้าฟ้าแห่งนครรัฐอันเกรียงไกรได้

และนางพญาผู้แกล้วกล้าฟาดฟันในสงครามผู้นี้น่ะหรือที่ปรนนิบัติสวามีด้วยความรักเทิดทูนอย่างสุดแสน…ช่างเป็นขั้วตรงข้ามในคนเดียวกันอย่างน่าอัศจรรย์

ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าชายจะทรงทั้งห่วงและหวง…และอาจจะรวมถึงเกรงพระทัยพระชายาอย่างยิ่ง

 

ขบวนทัพแห่งพระนางชวาลาและสวามียาตราสู่ชายแดนลวปุระยามย่ำรุ่งในอีกทิวา แสงอรุโณทัยส่องสว่างทีละน้อยฉาบผืนฟ้าเป็นสีทองอมชมพู เป็นภาพที่พระนางและภัสดาต่างทรงชี้ชวนกันมองด้วยความผาสุก ด้วยแม้ละโว้จักปกครองด้วยสายวงศ์จันทร์เสี้ยว ทว่าลวปุระกลับได้รับฉายานามว่านครแห่งแสงอรุณอันรุ่งโรจน์ ประการหนึ่งด้วยทัศนียภาพอันงดงามแห่งดวงรพีเหนือโค้งน้ำและเหลี่ยมเขายามรุ่งเช้าเป็นที่โจษขาน อีกประการยังหมายถึงการเป็นศูนย์รวมความเจริญรุ่งเรืองทั้งปวงในทวารวดี

และแม้เพิ่งพ้นรุ่งสางได้มินาน ประชาชนที่ทราบข่าวขบวนเสด็จก็ต่างแห่แหนหลั่งไหลกันมาเข้าเฝ้าเฉลิมฉลองแน่นขนัดตั้งแต่ยังมิล่วงเข้าประตูเมือง ประชาชนนับพันหมื่นส่งเสียงโห่ร้องอวยชัยถวายพระพรอุปราชรามราชและเจ้าหญิงชวาลากึกก้องตลอดทาง

พระราชสวามีทอดพระเนตรทวยราษฎร์สองข้างทางแล้วตรัสว่า “นั่นละ ประชาชนของวาน้อย”

“ประชาชนของเจ้าพี่…ของเรา เพคะ”

เจ้าอุปราชทรงนิ่งไปอึดใจ ยากที่พระนางจักทราบได้ว่าทรงรู้สึกเช่นไร น้อยเนื้อต่ำใจ หรือยอมรับและเข้าใจในสภานภาพแลสภาวการณ์ที่เป็น

ชวาลาทรงพยายามอย่างยิ่งยวดที่จักมิก้าวก่ายหรือกระทำการใดให้พระสวามีรู้สึกต่ำต้อยกว่า ด้วยพระนางเองก็มิได้ทรงปรารถนาจักมีอำนาจเหนือคู่ชีวิตสักนิด

ทรงหวนนึกถึงโมงยามที่ผ่านมา ทันทีที่ข้ามอุรคาบรรพต ก็มีม้าเร็วจากวังหลวงทูลเชิญพระอักษรเร่งด่วนจากตำหนักชวัลรวีของเจ้านายฝ่ายรักตมปุระ แจ้งว่า

‘การข่าวจากภายในแจ้งว่าพระเจ้าจักวัติวิราชเตรียมสละราชย์ให้อุปราชรามราช หลังพิธีเฉลิมฉลองชัยชนะ ทั้งสองพระองค์จงเตรียมการให้พร้อมเถิด’

เมื่อสดับถ้อยความในสาส์น เจ้าชายก็มิได้รับสั่งอันใด พระพักตร์เรียบเฉยมิแสดงอาการยินดียินร้าย ก่อนจะค่อยปรับเป็นสดชื่นเมื่อฟ้าเริ่มสางและเข้าเขตชายแดนละโว้

เจ้าหญิงบีบพระหัตถ์ภัสดา ครู่หนึ่งพระองค์จึงสัมผัสตอบ ตรัสกระซิบแผ่วเบาข้างพระกรรณ

“พี่รักวาน้อยนะเจ้าเอ๋ย”

พระปรางองค์หญิงแห่งละโว้ซับสีระเรื่อ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร คำรักจากกัษษกรก็ยังความหวามไหวในหทัยได้เสมอ…ชวาลาต้องการเท่านี้แล ขอเพียงมีพระราชสวามีเคียงข้าง ให้ต้องเหน็ดเหนื่อยปกครองบ้านเมืองเท่าไรพระนางก็มิทรงหวั่นเกรงทั้งสิ้น



Don`t copy text!