ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 17 : ตะวันลับฟ้า ดาราพร่างพราย (2)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 17 : ตะวันลับฟ้า ดาราพร่างพราย (2)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

ขบวนพระนางชวาลาเสด็จออกจากราชธานีละโว้ทางสถลมารคจนถึงท่าน้ำละโว้ จากนั้นจึงเริ่มการเสด็จทางชลมารคไปจนถึงแดนเหนือ โดยเริ่มจากแม่น้ำละโว้สู่ลำน้ำสายหลักแห่งอาณาจักรทวารวดีอย่างแม่น้ำพระแดงแล้วจึงล่องต่อไปจนเข้าสู่แม่น้ำวัง และแม่น้ำระมิงค์ (1) อันจักนำไปสู่นครใหม่ในแดนเหนือได้ หากเป็นที่ทราบกันดีว่าภูมิประเทศระหว่างทางนั้นเต็มไปด้วยอันตรายจากทั้งกระแสน้ำ พงไพร อากาศ โรคระบาด ไปจนถึงชนพื้นถิ่น จึงจำเป็นต้องวางแผนการเดินทางอย่างรอบคอบรัดกุมและอาศัยความร่วมแรงร่วมใจจากทุกฝ่าย

ดังนั้น ทันทีที่เสด็จลงจากเสลี่ยงเพื่อเริ่มเส้นทางเสด็จทางชลมารค ทรงเหลียวกลับไปมองราชธานีละโว้อีกเป็นครั้งสุดท้าย ประทับภาพเจ้าชายพระสวามีที่บัดนี้กลายเป็นจุดเล็กยิ่งกว่าเสี้ยวธุลีในคลองจักษุ แล้วเหมือนดวงหทัยหลุดลอย หากจำต้องข่มพระทัย รีบหันกลับเสด็จขึ้นเรือพระที่นั่ง บอกองค์เองว่าบัดนี้ชีวิตและหน้าที่ของพระนางมิเหมือนเดิมอีกแล้ว นับแต่นี้ต้องทรงทุ่มเทให้กับพระราชกิจที่รออยู่ข้างหน้า แลต้องหักพระทัยลืมเรื่องในละโว้เสีย

ทรงกะพริบเนตรไล่หยาดอัสสุชลที่คลอคลอง แล้วมีรับสั่งแข็งขันกระฉับกระเฉงให้ข้าราชบริพาร ขุนนางสำคัญมาเข้าเฝ้าโดยพร้อมเพรียงกันเพื่อวางแผนทรัพยากรในการเดินทางและสวัสดิภาพของผู้ร่วมทางทั้งหมด มิเว้นกระทั่งนางกำนัลสตรีเพื่อให้เข้าใจสถานการณ์และปรับตัวได้

“เป็นหญิงก็หาได้ควรปิดหูปิดตาจากเรื่องภายนอกแล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่บุรุษดูแลปกป้องฝ่ายเดียวไม่ ยามนี้ผู้รู้รอบจักสามารถช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นให้อยู่รอดได้”

ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จล้วนเป็นผู้จงรักภักดีและพร้อมเผชิญอนาคตอันคาดหมายมิได้ไปด้วยกัน ต่างพร้อมเปิดใจและปรับตัวต่อชีวิตและบทบาทใหม่อย่างแข็งขัน

“จากสายน้ำละโว้ สู่ลำน้ำพระแดงคลื่นลมมิแรง ยังพอเดินทางติดต่อกันได้โดยสะดวก จากน้ำพระแดงสู่ธารน้ำตอนเหนืออาจใช้เวลานาน ด้วยเป็นลำน้ำสายใหญ่ ย่อมต้องผ่านชุมทางการค้าและแว่นแคว้นจำนวนมาก เราจักใช้เวลาเก็บสะสมเสบียงจากเส้นทางน้ำพระแดงนี้ให้มากที่สุด เพราะเมื่อเข้าแดนเหนือเมื่อไร หนทางอาจลำบาก เราจักขาดแคลนเสบียงได้” ขุนเจ้ายอดทองสรุปจากต้นหนให้ทุกคนฟัง

“เมื่อพ้นจากลุ่มแม่น้ำพระแดง เข้าสู่ลุ่มน้ำวัง อันจักเต็มไปด้วยห้วยละหานสายเล็กสายน้อย และโขดหินจำนวนมาก ถึงครานั้นเราจักต้องเปลี่ยนเป็นเรือของชาวแดนเหนือลุ่มน้ำระมิงค์ เพื่อให้เหมาะกับสภาพแม่น้ำเจ้าข้า”

“อันหยูกยาโอสถทั้งหลายก็มีพร้อมเพียงพอสำหรับทั้งขบวนประทังไปได้หลายเดือน แต่กระนั้นก็ต้องเสาะหาเพิ่มจากชุมทางในลุ่มน้ำพระแดงเช่นเดียวกับเสบียงเพคะ” คุณท้าวเกษวดีทูล “แต่ทั้งนี้หม่อมฉันเกรงว่าระหว่างทางจะต้องมีผู้ใคร่ติดตามขบวนเสด็จเพิ่มมากขึ้นเป็นแน่ ด้วยข่าวเรื่องจอมนารีลวปุระเสด็จไปครองเมืองหนขุนน้ำแดนเหนือแพร่สะพัดไปทั่ว ใครๆ ก็ใคร่อยากร่วมสร้างนครใหม่กับนางพญาผู้ทรงบุญญานุภาพทั้งสิ้น เราควรวางแผนรองรับเรื่องนี้ด้วยเช่นกันเพคะ”

เป็นดังที่พระพี่เลี้ยงคาดคะเนไว้ ระหว่างเส้นทางเสด็จมีพสกนิกรมากมายขอร่วมติดตามไปนครใหม่ ซึ่งล้วนแต่เป็นแรงงานช่างฝีมือทั้งสิ้น มิเว้นกระทั่งพระสงฆ์อีกจำนวนหนึ่งที่ได้ยินเรื่องที่พระนางจักประดิษฐานพระพุทธศาสนาในดินแดนแห่งความมิรู้แจ้งได้ขอติดตามเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ขบวนของพระนางจึงเพิ่มขนาดขึ้นทีละน้อยทั้งที่ยังไม่พ้นเขตแม่น้ำพระแดง

ทว่าเมื่อเริ่มผ่านเข้าสู่ธารน้ำสายเล็กสายน้อยที่เชื่อมลำน้ำใหญ่สู่ลำน้ำวัง ขบวนเสด็จก็เริ่มพบอุปสรรคทั้งดังที่คาดและมิคาดไว้ ตั้งแต่มีชาวบ้านเริ่มล้มป่วยด้วยโรคพื้นถิ่น ทั้งเสบียงของแห้งเสียหายจากอากาศชื้นทำให้ต้องแวะรักษาและเสาะหาของใหม่เพิ่มเติม กระนั้นก็ยังได้เจ้าเมืองรายทางไปจนถึงหัวหน้าเผ่าบางกลุ่มถวายเสบียงอาหารและข้าวของเครื่องใช้ให้ใหม่เพื่อร่วมอนุโมทนาต่อราชภารกิจใหญ่หลวงนี้

และยังมิทันถึงสถานที่เปลี่ยนเรือ ณ ธารน้ำวัง เรือหลวงลำหนึ่งและแพบริวารก็ชนเข้ากับโขดหินเข้าเสียก่อน ทั้งขบวนจึงต้องหยุดพักซ่อมเรือ เป็นเช่นนี้อีกสองสามหน หากก็ผ่านพ้นไปได้สำเร็จ

“เราได้ยินว่ามีอัศวบาลจำนวนหนึ่งติดตามมากับขบวนด้วย แลหนึ่งในพวกเขาเป็นผู้ซ่อมเรือ ทั้งที่มิเคยเดินเรือเสียด้วยซ้ำ เราใคร่พบเผื่อจักตบรางวัลให้สักหน่อย ท่านขุนเจ้าช่วยนำเขามาพบก่อนออกเดินทางได้หรือไม่” เจ้าหญิงตรัสต่อขุนเจ้าขันติผู้บัดนี้เป็นที่ปรึกษารับใช้ใกล้ชิดเทียบชั้นกับคุณท้าวทั้งสอง

“พระนางเจ้าจักแปลกพระทัยหรือไม่ หากทราบว่าชายผู้นั้นก็คืออัศวบาลหน้าด่างจากรามนครนั้นเองเจ้าข้า” ขุนเจ้าขันติกราบทูลด้วยท่าทางสงสัยเช่นกัน “ดูแล้วทักษะการดูแลม้าก็มิได้เก่งกาจอันใด เหตุใดองค์อุปราชจึงวางพระทัยให้รับใช้ใกล้ชิดก็ชวนให้คิดประการหนึ่ง หากที่น่าพิศวงยิ่งกว่าคือเขามีวิชาการช่างหลากหลาย รอบรู้ศาสตร์ศิลป์หลายแขนง”

“เช่นนั้นหรือ” เจ้าหญิงชวาลาทรงคิดตาม ภัสดาของพระนางได้ชายผู้นี้มาอย่างไรก็ยังคลุมเครือ แลพระองค์ก็มิทรงเคยตอบให้กระจ่างจริงแท้สักหน แต่ดูว่าทรงไว้วางพระทัยชายเลี้ยงม้าผู้นี้อย่างยิ่ง ถึงขั้นให้ไปสืบความเอากับนางยมลและเข้าออกรับใช้ช่วยราชกิจมากมาย “เขามีสุกกทันตฤๅษีเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้ ขุนเจ้าทราบเรื่องนี้หรือไม่”

“ทราบเจ้าข้า จึงเห็นว่ายิ่งแปลกในสถานะ” ขุนศึกวัยกลางคนลังเลครู่หนึ่งจึงทูลต่อ “ถึงกระนั้น คารมคมคายก็มิน้อยหน้า เห็นหน้าด่างปานครึ่งหน้า หนวดเครารกครึ้มอย่างนั้น กลับเป็นขวัญใจสตรี ไม่ว่าข้าหลวงชั้นสูงจนไปถึงไพร่ ล้วนสะเทิ้นอายชม้อยชม้ายชายตาให้เขาทั้งนั้น พระนางเจ้าลองสังเกตดูเถิด”

ชวาลาสรวลเบาๆ ปรายเนตรไปทางกลุ่มนางรับใช้ที่เฝ้าอยู่ห่างๆ “เราก็เห็น”

“แต่ในเมื่อเป็นผู้ที่เจ้าชายรามราชไว้วางพระทัยแลมีวิชาจากพระฤๅษี หากถึงนครลำพูนแล้วลองเรียกเขามารับราชการสนองพระบาทก็มิเสียหลายนะเจ้าข้า”

“เช่นนั้นต้องให้เราได้พบเขาบ่อยขึ้น เราใคร่เห็นนิสัยใจคอและความรู้ให้ชัดแจ้งเหมือนกัน ท่านจงไปเรียกเขามาเฝ้าเสียยามนี้ แจ้งว่าเราจักตบรางวัลให้ก็แล้วกัน”

ทว่าอัศวบาลหน้าด่างผู้นี้กลับหาเหตุเจ็บป่วยถ่ายท้องไม่ยอมพบ พระนางจึงหมายมาดในพระทัย

ดูเถิดจะเลี่ยงไปถึงเมื่อไร ทำตัวมีลับลมคมใน ชะรอยจักเกี้ยวพานางกำนัลนางใดนางหนึ่งเป็นแน่

 

เชิงอรรถ : 

(1) แม่น้ำปิง



Don`t copy text!