บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 26 : ดิ้นรน

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

 

ชาวคณะละครนายสุ่นช่วยกันขนหีบใส่ฉาก เครื่องละคร เครื่องดนตรี ลงเรือประทุนลำใหญ่

ลุงแดงนางเอก ตัวแม่ประจำคณะ เป็นเสมือนแม่บ้านใหญ่ ตรวจตราความเรียบร้อยครั้งสุดท้าย

มิให้มีอันใดขาดเหลือ แปลกใจเมื่อเห็นลำจวนสวมเสื้อแขนยาว มีผ้าคลุมเนื้อตัวรัดกุมมิดชิด อุ้มหีบของแต่งตัวแต่งหน้าใบย่อม โดดขึ้นเรือมา

“ อ้าว มาด้วยรือ ออลำจวน ”

“ จ้ะ ลุง พ่อไม่ไป ให้ฉันไปแทนอย่างไรเล่า ”

ลุงแดงมองระแวง

“ แน่รือ โรงละครในบ่อนท่าเรือโปเส็ง ที่ตั๊กลั๊กเกี้ย สมควรที่พูหญิงยิงเรือดีๆจะเข้าไปแต่เมื่อใดกัน ”

“ ก็แค่ไปช่วยจัดเครื่อง..ช่วยแต่งตัว..แล้วประเดี๋ยวก็กลับ ”

“ พวกอาก็แต่งเองทุกที ต้องให้เจ้ามาแต่งให้เสียเมื่อไร ”

นายสี ตัวนางร้ายร่างอ้อนแอ้นที่กันคิ้วจนโก่งงามค้าน

ลำจวนรีบมุดเข้าไปในประทุน ผ่านอาๆลุงๆไปหามุมนั่งสงบเสงี่ยมตอนในสุด แล้วร้องตะโกนสั่งทาสคนเรือแข็งขัน

“ รีบออกเรือเร็ว ตาม่วง สายแล้ว เร็วๆๆ ”

ตาม่วงปลดเชือกที่คลองเสาอย่างว่าง่าย

เนตร ที่เดินสอดส่ายสายตามองรอบข้าง ก้าวมายืนจังก้าเหนือท่าน้ำ

“ เห็นนางลำจวนวิ่งลงเรือนอยู่ไวๆ  มันมาแถวนี้หรือไม่? ”

คนละคร คนดนตรีที่อยู่ในเรือต่างหันมองหน้ากันขวับ

ลำจวนรีบก้มหมอบแอบหลังหีบใหญ่ ตวัดผ้าคลุมไหล่มาคลุมหัว ดูกลมกลืนไปกับสัมภาระทั้งหลาย

ลุงแดงระบายลมหายใจบางเบา เข้าใจแล้ว ว่าความจริงคืออะไร

เนตรมองเห็นอากัปกิริยาของลุงๆอาๆเหล่านั้น พลันมั่นใจ ตวาดดุดัน

“ นางลำจวน ลงมาบัดเดี๋ยวนี้ ! ”

นายสุ่นที่ดูแลบ่าวซ่อมเรือลำเก่าอยู่ที่ใต้ถุนเรือน เดินออกมาดู นุ่งผ้าลอยชายลำลองไม่สวมเสื้อ ยืนเท้าสะเอวตะโกนถาม

“ มีอันใด เนตร พวกละครเขาต้องรีบไป? ”

“ แล้วคุณพ่อไม่ไปรือ ”

“ สองสามวันนี้พ่อว่าจักพักสักหน่อย ให้เจ้าเสริมคุมแทน ”

บิดาหมายถึงผู้ช่วยบอกบท ที่เป็นนักร้องด้วย

“ คุณพ่อส่งลูกสาวคนเล็กไปแทนตัวรือไม่เล่า ”

เนตรหัวเราะเยาะเบาๆ

“ เจ้าว่ากระไร? ”

นายสุ่นขมวดคิ้ว ปรี่เข้ามาทันควัน

“ นางลำจวน..มันเสนอหน้าลงไปอยู่ในเรือโน่นแล้ว ”

พี่ชายคนโตแสยะเขี้ยวเหมือนแมวร้ายจับได้หนู

“ หา?..เป็นความสัตย์จริงรือ? ”

นายสุ่นถึงแก่มึนงง

ทันใด ลำจวนก็รีบมุดๆออกมาจากเรือ หน้าซื่อสนิท ไม่รู้โหน่เหน่สีสา หันกลับไปสั่งการอย่างอารี

“ ลุงแดง..เครื่องแต่งตัว ฉันเอาไว้ตรงกลางนั้นแล้วนาจ๊ะ ขากลับลุงเก็บกลับมาให้ครบถ้วนตามที่นับกันไว้นาจ๊ะ ”

ไม่ต้องสงสัย ว่าลุงแดงจะไม่เล่นด้วยช่วยกัน

“ เออๆ ไม่ต้องห่วงดอก ออลำจวน ”

ลำจวนเดินสวนแทบตีไหล่เนตร ขึ้นมาบนท่า ทำหน้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ ผู้ใดใช้ให้เจ้ามายุ่งเหยิงกับเครื่อง? ”

นายสุ่นตาขุ่น

“ ไม่มีผู้ใดใช้ ลูกเห็นเขาลืมหีบไว้บนเรือน จึงช่วยยกมาให้.. ”

ลำจวนสะบัดเสียงอย่างรำคาญๆ

เนตรทำหน้ารู้ทัน

“ แหม..ช่างมีน้ำใจงามนักหนาเจ้า ”

“ ฉันทำอันใดได้ฉันก็ทำ ไม่ทอดธุระ มือไม่พาย เอาตีนราน้ำเล่นดอก ”

ลำจวนกล่าวยวนยี เดินลอยชายผ่านพี่เนตรและบิดา กลับเรือน ปะหน้ากับทิม ที่เดินลงมาแตกตื่นพอดี

“ คุณหนูลำจวน เผลอแผล่บเดียว แล่นลงมาถึงนี่ ”

ถ้าหยิกกันได้เหมือนสมัยเด็ก ทิมคงแหนบเข้าให้แล้ว

“ แม่ทิม!   เกือบไปแล้วหนา ”

เนตรหันไปพยักให้ทิมมองดูเรือที่กำลังเคลื่อน-ออกไป

นายสุ่นส่ายหัว เพลียระคนขบขัน

“ เกือบติดเรือไปท่าโปเส็งของเจ้าสัวจาดล่ะซี ”

“ ไฮ้ คุณหนู จะลงเรือไปเก็บรังนกทางปากใต้รือ ”

นางทิมตบอก

“ ชอบนัก ที่ที่มีพวกกุลีชั้นต่ำมันชุกชุมกันอยู่น่ะ เฝ้าไว้ให้ดีเล่า แม่ทิม หากทำน้องสาวฉันหาย ระวังหวายจะลงหลังตัวเองหนา ”

เนตรส่งเสียงทับถมตามลำจวน ที่รีบวิ่งหนีขึ้นเรือนไป

สายวันนั้น ที่ห้องพักหลังศาลเจ้าของอากงกิมเส่ง อาเหมยฮัวนั่งเก้าอี้ หลังตรงสง่า ขาในกางเกงยาวไขว้เอนชิดแนบสนิทอย่างคนงามเรียบร้อยทุกท่วงที หญิงสาวยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับตา จริตกิริยาเปราะบางน่าทะนุถนอม ใบหน้าแม้จะทาแป้งปิดบังไว้อย่างประณีต แต่ก็พอมองเห็นร่องบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายได้  บ่าวคนเดิมคอยประคับประคองพัดวี บนโต๊ะ มีห่อขนมเปี๊ยะอันใหญ่ในห่อกระดาษตีตราแดง วางอยู่

“ หากไม่ได้อาฮุน กับพวกท่านคงเหล่าซือ  ป่านนี้ฉันคงตายไปแล้ว รือไม่ก็ต้องยอมไปเป็นคนของเจ้าสัวจ่างถูกกระทำยำยีไม่เป็นผู้เป็นคน ”

กงจ้องมองใบหน้าอันงดงามแต่บอบช้ำหลายแห่งนั้นด้วยความเวทนา และเป็นกังวลนัก เพราะฮุนยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็นจนบัดนั้น

“ แต่ยามนี้ พวกอาฮุนจักต้องระบิลบ้านระบิลเมืองประการใดบ้างรือไม่ ”

“ ฉันก็ไม่รู้ได้ แต่ไม่ว่าอย่างใด ฉันจะมาบอกกงว่า ฉันจักขอรับใช้ตอบแทนอาฮุน ดูแลกงให้เป็นอย่างดี ”

“ โอ๊ย ไม่ต้องมาดูแลอั๊วะดอก เอาตัวเองให้รอดปากเหยี่ยวปากกาก่อนเถิด ”

กงโบกมือ ปฏิเสธอย่างจริงจัง

“ อั๊วะคงไม่มีผู้ใดมาข่มเหงคะเนงร้ายอีกแล้ว  ศพไอ้ผัวทราม เขาก็เอาไปทิ้งไว้ป่าช้าวัดสระเกศนั่นแล สมน้ำหน้ามันแล้ว ขอให้มันตกนรกหมกไหม้ ไม่ได้ผุดได้เกิด ”

“ แล้วเจ้าสัวจ่างเล่า เขาเสียอัฐจ่ายค่าตัวลื้อไปโขอยู่รือมิใช่ ”

“ หากมีคนดี คนกล้า..มาคุ้มครองฉันแทนอาใช้  ฉันจักหาเงินไปชดใช้เจ้าสัวจ่างให้เร็วที่สุดเอง ขอเพียงมีผู้ชายที่ทำให้เจ้าสัวจ่างยำเยง มาเป็นร่มเงาให้ฉันก็พอ ”

อาเหมยฮัวน้ำตาไหลรินอีกครา เพราะรู้ว่าความหวังลางเลือนนัก ช้อนตาขึ้นมองอากงอย่างวิงวอน ไฉนจะไม่ล่วงรู้ความต้องการของหญิงสาว กงรีบตีบังกั้นหลานชายทันที

“ อาเหมย..เจ้าต้องพึ่งพาคนรวยๆแลมีอำนาจบารมี.. ”

หญิงงามเมืองคนงามล้ำ ยืนกราน

“ ผู้ใดประเสริฐเท่าอาฮุน กงจ๋า รับฉันเป็นหลานสะใภ้กงเถิด นึกว่าสงสารลูกนกลูกกาตาดำๆ ไม่มีที่พึ่งพาที่ไหนอีกแล้ว ”

กงพูดไม่ออก จะให้ฮุนหลานรักมายึดวิถีบุรุษผู้เป็นเจ้าของคุ้มครองโสเภณีเป็นอาชีพ  เป็นเรื่องที่กงจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด หากกงยังมีชีวิตอยู่

เมื่อหญิงสาวกลับไปแล้ว กงก็นั่งไม่ติด ออกไปชะเง้อรอฮุนอยู่ที่ตรอกข้างศาลเจ้า

ดังนั้น เมื่อเห็นฮุนกับครูพุด เดินมาด้วยกัน เมื่อเขม้นมองแล้วเห็นครูพุดพันผ้าปิดแผลที่แขน แต่ไม่พบว่าฮุนมีร่องรอยบาดเจ็บอันใด กงก็ดีใจมาก

“ อาฮุน.. ”

ฮุนพาครูพุดเข้ามาไหว้กง

“ ครูพุด เป็นทั้งครูแลศิษย์พี่ของอั๊วะด้วย ”

ฮุนไม่เคยพาพวกช่างเขียนคนใดมาถึงห้องพัก กงรู้สึกผิดสังเกต ว่าอาจมีเหตุด่วนอันใดหรือไม่

“ ท่านครูพุด เป็นพระคุณเหลือเกิน ที่ช่วยสั่งสอนอาฮุน แล้วอาคงแป๊ะเหล่าซือเล่าเป็นอย่างไรบ้าง? ”

“ ครูคงแป๊ะได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้วกง.. ”

ฮุนรีบบอก

“ ท่านครูมิได้เจตนาฆ่าคนตาย มิได้รู้จักมักจี่กันมาก่อนด้วยซ้ำ  หากเป็นการป้องกันชีวิตตนเองด้วยสุดวิสัย แลทรงเห็นว่าเป็นช่างเขียนที่จักทำคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองอีกมาก ”

ครูพุดขยายความให้กระจ่าง

“ แล้วอาฮุนเล่า ต้องโทษเนื่องด้วยร่วมวิวาทใดๆหรือไม่ ”

อากงจับแขนฮุนอย่างวิตกห่วงใย

“ อั๊วะมิได้ต้องโทษอันใด ”

ฮุนบีบมือกง สบตาให้ความมั่นใจ

“  เพียงแต่ว่า.. ”

ครูพุดอารัมภบท

“  มีอันใด? ”

อากงร้อนใจ

“ ท่านครูคงแป๊ะ..เห็นว่า..อาฮุนกำลัง..ดวงชะตาตก อาจมีเคราะห์ร้าย ท่านอยากให้ฮุนย้ายที่อยู่ให้ไกลออกไปจากละแวกบ้านย่านนี้สักหน่อย ให้มันหายตัวไปไกลๆสักพัก น่าจะดี ”

ครูพุดค่อยๆเปรยหลังจากได้รับเชิญเข้ามานั่งพัก และกงอุตส่าห์รินชาให้สองครูศิษย์ ไม่คาด ว่ากงจะเบิกตากว้าง ตบพื้นปัง เห็นด้วยทันที

“ นั่นปะไร ว่าแล้ว ดีแล้วๆ ”

ฮุนกระพริบตาปริบๆ

“ ดีแล้วอันใดรือ กง”

“ อั๊วะก็เห็นเช่นนั้น อาฮุน ลื้อกำลังดวงตกจริงด้วย ผู้หญิงจะนำเคราะห์กรรมมาให้ ”

ครูพุดอ้าปากหวอ

“ หา? อากงก็หยั่งรู้ดวงชะตาโชคเคราะห์เหล่านี้ด้วยรือ ”

“ นั่นซี กงไปเอามาจากไหนกัน? ”

ฮุนงงงัน เพราะแม้กงจะรับหน้าที่เป็นคนดูแลศาลเจ้าในอุปถัมภ์ของคนตระกูลอึ้ง แซ่ของท่านเจ้าสัวโต แต่กงไม่ใช่คนที่หมกมุ่นกับเรื่องดวง ชะตา โชค เคราะห์ หรือทรงเจ้า

กงขึงตาใส่

“ ก็แล้วไม่จริงรือ ลื้อพาอาครูคงแป๊ะไปมีเรื่องร้ายแรงเพียงนี้ มิใช่เพราะสตรีเป็นเหตุดอกรือ หากไม่รีบแก้ไข จะมีอันใดตามมาอีกบ้าง อั๊วะเห็นลื้อกระสับกระส่าย ร้อนๆหนาวๆมาสักพักแล้วนา อาฮุน อาคงแป๊ะเหล่าซือพูดถูก ลื้อย้ายที่อยู่ไปเสียได้สักพัก น่าจะดี ”

หนุ่มผมเปียคอตก  เศร้าสลด หมดแรง

กงมองไป เห็นห่อขนมเปี๊ยะของเหมยฮัว  พลันรีบบอกเล่าความเท็จ

“ เอ้า..นี่ขนม  ท่านเจ้าสัวโตเจือจานของอย่างดีๆมาให้ หิวไหม กินขนมแก้หิวกันก่อน ”

กงแก้ห่อ เอามีดมาตัดขนมเป็นชิ้นเล็กๆ

ไม่มีวันเสียหรอก ที่กงจะเอ่ยนามอาเหมยฮัวออกมาให้ผ่านหูฮุน  ดี..ดีมาก..หากฮุนจะหายหัวไปเสียได้ ไม่ให้สตรีอันไม่เป็นที่พึงประสงค์สำหรับกงเข้าหาหลานรักได้ ในช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะเปราะบางนี้

 

วันต่อมา ฮุน ที่แต่งตัวเรียบร้อยกว่าปกติ ผมเปียเรียบร้อย มีเสื้อคลุมพร้อมเดินทาง ก็มายืนโค้งหลัง กุมมือ มีหีบของส่วนตัววางอยู่ข้างกาย  ต่อหน้าคุณทนายพด ผู้ทำหน้าที่ดูแลธุระเรื่องราวทั่วไปให้แก่ท่านหลวงสิทธิ์นายเวร ที่ริมรั้วต้นไม้ นอกบริเวณสวนอันเขียวขจีร่มรื่น ล้อมหมู่เรือนหลังมโหฬารของท่านเจ้าพระยาพระคลังฯ

ทนายพดซึ่งแต่งกายอย่างฝรั่งทั้งตัว เพ่งพินิจพิจารณาดูเจ้าหนุ่มจีนผมเปีย ที่แต่งตัวอย่างจีนคนงาน  ประเมินบุคลิกลักษณะหน่วยก้าน

“ หากอยากจะไปให้ไกล ก็ไปต่อเรือรบที่จันทบุรี  เอาไหมเล่า เจ้าเคยงานต่อเรือสำเภามาแล้ว เรือรบก็ไม่ได้ต่างกันมาก จะพาไปลงเรือไปเมืองจันท์เย็นนี้ พรุ่งนี้เช้าก็ถึง ”

“ เรื่องงาน กระผมไม่เลือก ให้ทำสิ่งใดก็ไม่เกี่ยง แต่จันทบุรี..ออกจะไกลโขขอรับ  กระผมเป็นห่วงอากง  อย่างไร..อยากจะพอไปมาหาสู่ดูแลท่านได้บ้าง ”

ฮุนพนมมือนอบน้อม ทว่าดวงตา ใบหน้า อ้อนวอนขอร้องอย่างไม่ติดขัดอ้ำอึ้ง ออกเสียงอักขระถ้อยคำชัดเจน น้ำเสียงสุภาพนุ่มนวลทว่าทระนงองอาจ ต่างจากกรรมกรจีนที่พบได้ทั่วไป

ทนายพดเลิกคิ้ว ผิดคาด แปลกใจไปในด้านดี

หลวงนายสิทธิ์ฯเดินผ่านมา เพื่อจะออกประตูด้านหน้าไปยังท่าเรือริมแม่น้ำ แต่งตัวอย่างจะเข้าเฝ้าในวังหลวง มีผู้ติดสอยห้อยตามสองนาย

ฮุนมองเห็นท่าน รีบนั่งยองลง พนมมือไหว้ท่วมหัว

บุรุษหนุ่มผู้งามสง่า มีบารมีสูงส่ง รีบบอก

“ ไม่ต้อง ไม่ต้องนั่งลงไปเช่นนั้น ”

“ เจ้าฮุน! ลุกขึ้นมา! ”

ทนายพดดุ

ฮุนลุกขึ้นมาอย่างลังเล มือกุมเป้า หลังก้มต่ำลงไปครึ่งตัว  หวั่นเกรงหากจะยืนเสมอกับท่าน

“ อยู่อู่เรือสำเภาของท่านเจ้าสัวโตมาหลายปี ก็เชื่อได้ว่าเก่ง เพราะสำเภาท่านโตนั้นดีนัก แล้วยังเป็นช่างเขียนในตัวคนเดียวกันด้วย  ก็นับว่าหาตัวจับยาก ..”

ท่านช่วง หลวงนายสิทธิ์ฯ หรือคุณหลวงสิทธิ์ฯมหาดเล็ก พูดอย่างจดจำฮุนได้แม่นยำละเอียดละออ

ฮุนมองท่านด้วยดวงตาชื่นชมศรัทธาปลาบปลื้มใจ ในข้อที่ท่านไม่ละเลยคนเล็กคนน้อยต่ำต้อยเยี่ยงเขา

“ ต่อไป การค้าขายกับฝาหรั่งจะมาแทนจีน ผู้คนชั้นสูงจักเดินทางโดยสารไปมาหาสู่กัน เรือของเราต้องไม่เพียงแข็งแรงเท่านั้น หากต้องประณีต สวยงามด้วย คนมีฝีมือ รู้งาน art ต่างๆ จำเป็นมากทีเดียว เช่นนั้น ให้ไปต่อเรือกำปั่นที่อู่บางคอแหลมท่าจะดีหนา เจ้าพด ”

ท่านตัดสินให้

“ ขอรับกระผม นายน้อย..”

ทนายพดก้มศีรษะ แสดงความเคารพในท่าแบบคนฝรั่ง

นางทิมเปิดประตูเข้ามาเห็นลำจวนกำลังคลี่ผ้าสไบผืนที่บางเบาที่สุด ที่เลือกจากสองสามผืนที่พาดเรียงสีไว้ที่หลังหีบเสื้อผ้า

“  จะทำอันใดอีก คุณหนู จะคิดสั้นผูกคอตายหรือไรคะ ”

นางเข้ามาแย่ง

“ ฉันคิดดีถ่องแท้แล้ว ”

ลำจวนยื้อสไบคืนมา

“ ผืนนี้แล ห่มบ่อย ”

หญิงสาวพับจนเล็ก แล้วม้วนซ้ำ จนเหลือเป็นขยุ้มเล็กนิดเดียว

“ ทิมต้องช่วยฉัน มิฉะนั้น ฉันต้องตายทั้งเป็น ”

หญิงสาวสีหน้าเยือกเย็น

“ ช่วยอย่างไร? ”

ลำจวนดึงนางทิมมาใกล้ กระซิบราวกับกลัวว่าจะมีใครแอบฟังอยู่

“ ไปวัดแจ้ง ที่พระอุโบสถ ที่เขากำลังเขียนภาพฝาผนังกันอยู่ ตามหานายฮุน ช่างเขียน เอาสไบนี้ไปให้เขา ”

นางทิมตัวสั่น ขนลุกซู่

“ หากเขียนได้ ฉันจักเขียนเป็นจดหมายให้หล่อนเอาไปยื่น แต่นี่ เพราะเขียนไม่เป็น หล่อนจึงต้องจดจำถ้อยคำดังนี้ให้ดี ”

นางทิมน้ำตาเต็มตา

“ คุณหนู.. ”

“ ดึกคืนนี้ เมื่อทุกคนหลับใหลแล้ว ฉันจักหนีไปรออยู่ที่หลังโบสถ์วัดทอง ให้เขามาพาฉันไป  ฉันยินดีจักไปกับเขาทุกที่ ไม่ว่านรกสวรรค์ก็ตามที หากผิดจากนี้ ก็จักมิอาจได้พบกันอีก..จนวันตาย ” ลำจวนแน่วแน่

“ หากทิมไม่ช่วย ฉันจักแช่งให้ทิมต้องตายด้วยคมหอกคมดาบอย่างทรมาน ”

หญิงสาวจ้องสะกด ดวงตาดุจไฟนรกที่ลุกโชน

เรือกำปั่นที่พวกคนงานช่วยกันสร้างอยู่นั้น สูงใหญ่กว่าบ้านกว่าเรือน เหมือนเป็นกำแพงวังก็ไม่ปาน

คนงานในอู่ต่อเรือกำปั่นที่บางคอแหลม รวมไว้ด้วยคนหลายเชื้อชาติ และสวมใส่เสื้อผ้าปกติของตน ทั้งจีน  มอญ ลาว ไทย แตกต่างกันไป เพียงแต่ล้วนเลือกที่เก่าคร่ำคร่าสีสันมอทึมเหมาะแก่การเปื้อนเปรอะเลอะเทอะ

ทนายพดพาฮุนขึ้นไปที่ห้องทำงานในอาคารครึ่งตึกสองชั้น กลางห้องมีเรือกำปั่นจำลองทำด้วยไม้งามมาก ขนาดเต็มโต๊ะยาว รูปร่างหน้าตาเหมือนเรือกำปั่นสองเสา สามเสาของฝรั่ง ที่วิ่งกันเข้าแม่น้ำเจ้าพระยามา

ผู้จัดการอู่ต่อเรือ เป็นผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบการต่อเรือ ที่ทนายพดเรียกเป็นภาษาฝรั่งว่า manager เป็นคนไทย ผิวคล้ำ หน้าคมเหมือนคนใต้ และแต่งตัวอย่างฝรั่งเช่นกัน

“ ฮุนชำนาญการงานช่างที่วิจิตรประณีต เป็นช่างเขียน ช่างสี ช่างกาว แลงานประดับตกแต่ง วาดรูป ร่างภาพ ต่างๆ ”

ทนายพดแนะนำฮุนแก่แมเนเจอร์

“ เช่นนั้นรือขอรับคุณทนายพด ดีจริง คนงานจีนผูกปี้รู้งานช่างเช่นนี้หายาก ”

แมเนเจอร์มองฮุนอย่างสนใจ

“ เขาเป็นกำพร้า เติบโตมากับคนอู่เรือสำเภาของเจ้าสัวโต แลเป็นช่างเขียน ศิษย์คุณหลวงเสนีย์บริรักษ์ ”

ทนายพดอ้างอิงชื่อบุคคลสำคัญทั้งหลายเพื่อรับรอง

“ อ้อๆ ”

ดูเหมือนผู้จัดการจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนามทุกท่านเหล่านี้ดี

“ คุณหลวงท่านฝากมาให้นายน้อยช่วย กระผมก็ขอฝากให้คุณ manager รับไปใช้งานด้วยก็แล้วกันนะขอรับ ”

“ ได้ขอรับ คงต้องให้ฝึกดูว่าทำอะไรได้บ้าง ขอให้หนักเอาเบาสู้ก็พอ ”

“ เป็นพระคุณอย่างสูงขอรับ ”

ฮุนพนมมือไหว้ ก้มศีรษะพองาม ขณะกล่าวคำ

ทำให้ผู้จัดการมองฮุนอย่างแปลกใจ

“ พูดไทยชัดถ้อยชัดคำ น้ำเสียงหนักแน่น ท่วงทีลักษณะก็ดูเป็นสง่าราศีดีนี่”

ทนายพุดยิ้ม ที่ผู้จัดการพูดทุกสิ่ง ตรงกันกับที่ทนายพดคิด

“ ดีๆๆ มาช่วยกันๆ ”

 

เมื่อเข้าไต้เข้าไฟ ชานเรือนแม่จำปาจุดตะเกียงเพียงให้แสงเท่าที่จำเป็นสำหรับการกินข้าว

ลำจวนนั่งเปิบข้าวกับแม่จำปาสองคน มีทาสหญิงคนนึงนั่งปัดยุง คอยเฝ้าดูแล ส่วนที่ระเบียงเรือนด้านหน้า มีทาสชายสองคนยืนเฝ้าอยู่ราวกับผู้คุม

ลำจวนนั่งกินข้าวทั้งๆที่กระเพาะตีบตัน ไม่รู้หิว และปากลิ้นชืดชาไม่รู้รส

ในที่สุดหญิงสาวก็ทนไม่ได้ ที่จะถามออกมา

“ แม่จ๋า ทิมไปไหน ป่านนี้ยังไม่กลับอีก ”

“ ไม่รู้มันไปไหนไม่บอกไม่กล่าว สงสัยไปเยี่ยมญาติกระมัง ญาติเขาป่วยๆอยู่นี่ ”

แม่จำปาทำหน้าเบื่อระอานิดๆหน่อยๆ เฉยเมย ไม่ใส่ใจ ไม่มองแม้แต่หน้าลำจวนด้วยซ้ำ

คนงานอู่ต่อเรือกำปั่นบางคอแหลมมีทั้งคนที่เช้ามา เย็นกลับ ที่อาศัยอยู่ในชุมชนละแวกนั้น และมีทั้งคนงานที่พักอาศัยที่เรือนหลังอู่สำหรับพวกคนตัวคนเดียวที่ไม่มีบ้านหรือมาจากถิ่นอื่น พวกคนงานเหล่านี้ นอกจากมีที่ให้พักนอนแล้ว ยังมีโรงเลี้ยงข้าวปลาอาหารให้ด้วย

โรงนั้นเป็นเหมือนศาลา มีพื้นไม้กระดาน ปูเสื่อให้นั่งล้อมวงรอบโต๊ะเตี้ยหลายโต๊ะ หลายวง

ในแสงตะเกียงสว่างจ้า  กุ๊กจีน วางหม้อข้าวใหญ่ หม้อหนึ่ง  เนื้อสัตว์ถาดหนึ่ง ผักถาดหนึ่ง บนยกพื้นสูง

หลังเลิกงาน อาบน้ำในแม่น้ำแล้ว คนงานก็ทยอยกันมาตักข้าวราดกับข้าวที่เป็นเนื้อและผักในจานใครจานมัน  หยิบตะเกียบ หรือเปิบด้วยมือตามถนัด แล้วไปหาที่นั่งกินตามสบาย

ฮุนตักข้าวแล้ว มองหาที่นั่ง ทุกโต๊ะดูมีสมาชิกครบวง กินไป คุยกันไป โขมงโฉงเฉง ฮุนเห็นโต๊ะหนึ่ง มีเพียงหนุ่มจีนผมเปียสามคน  นั่งล้อมวงกันอยู่

“ ขอนั่งด้วยคนได้ไหม?  ”

ฮุนยิ้มเปิดเผย ถามด้วยภาษาฮกเกี้ยน

ทั้งสามมองฮุนตื่นๆ เขินอาย แล้วขยับที่ให้ ทั้งสามเป็นจีนใหม่ที่เพิ่งมาถึง ยังมีความหวาดหวั่น แปลกที่แปลกทาง ไม่มีความมั่นคงทางจิตใจแม้แต่น้อย

“ ชื่ออะไร?   ชื่ออะไร?   ชื่ออะไร? ”

ฮุนหันถามทีละคน มองหน้า สบตา อย่างสนิทสนม เป็นกันเอง

“ อั๊วะชื่อหลิน กิมฮุน ”

ชายหนุ่มแนะนำตัวก่อน

“ หวง ต้าชาน ”

คนตัวโต สูงใหญ่ สมชื่อต้าซาน ภูเขาลูกใหญ่  ตอบทั้งๆที่ข้าวเต็มปาก จนเม็ดข้าวกระเด็น

“ หลี่ เหลี่ยงแช ”

คนนี้มีผิวขาวมาก ขาวจนเหมือนมีแสงในตัวเอง สมชื่อดาวกระจ่าง

“ เล่า ตงไห่ ”

ส่วนคนนี้ มีฟันที่สวย ซี่ใหญ่ แข็งแรง เวลายิ้ม ใบหน้าของเขาสดใสน่ามองมาก หรือทะเลตะวันออกจะสว่างสดใส ดุจรอยยิ้มนี้

“ มาจากที่ไหนกันบ้าง ”

ฮุนสนใจจริงจัง เขาเกิดมาก็อยู่บนดินแดนสยามแล้ว ไม่มีภาพของเมืองจีนเลย

“ จังโจว / จางผู  / เซี้ยะเหมิน ”

แต่ละคนตอบต่างกันไป

“ ต่างคนต่างมาจากคนละที่เลย ดีๆๆ ”

ฮุนรู้สึกสนุกขึ้นมา

“ แล้วลื้อล่ะ? ”

เพื่อนๆถามบ้าง

“ อั๊วะเกิดในเรือ  จากเซี้ยะเหมิน ”

ฮุนตอบ ตามที่รู้มาจากกง

“ โอ้  เป็นคนเซี้ยะเหมินเหมือนกัน ”

เล่าตงไห่ ดีใจ

“ เป็นคนที่ไหนไม่รู้  พ่อแม่มาที่ท่าเรือเมืองเซี้ยะเหมิน..แล้วลงเรือมาที่นี่ แล้วอั๊วะก็เกิดในเรือ ”

ฮุนเล่า

“ แล้วทำไมไม่ถามพ่อแม่วะ ว่ารากเหง้ามาจากที่ใด พ่อแม่ลื้ออยู่ที่นี่ด้วยพร้อมหน้า ดีจริงๆ ”

หลี่ เหลี่ยงแชแอบอิจฉา

“ เปล่า พ่อแม่ตาย เป็นไข้ตายในเรือ เขาเอาร่างท่านโยนลงงทะเล อั๊วะเลยไม่รู้อะไรเลย ”

ฮุนเล่าเรื่อยๆตามจริง ไม่ได้เศร้าโศก สงสารตัวเองแต่อย่างใด

 



Don`t copy text!