ดาราอรุณ บทที่ 26 : รักพี่เหมือน…

ดาราอรุณ บทที่ 26 : รักพี่เหมือน…

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

ดาราอรุณ โดย กฤษณา อโศกสิน เรื่องของ ‘ลมเย็น’ หญิงสาวที่เกิดในช่วงเวลาที่ดาวประกายพรึกปรากฏบนฟากฟ้าและ ‘หิ้ง’ ชายหนุ่มที่โชคชะตาพัดพามาให้ได้ใกล้ชิดกัน…เมื่อดาวศุกร์ ดารายามแรกอรุณได้นำทางความรักให้ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ดาวศุกร์จึงพาให้ชีวิตของเธอเปล่งประกายไม่ต่างไปจากดาราอรุณและนี่คือนวนิยายที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

“ทำไมไม่ถอดออกมาให้โชยดูหน่อยล่ะ” คราวนี้อีกฝ่ายลดเสียงลงกลายเป็นประนีประนอมยอมเสียหน่อย เพื่อมิให้น่าสงสัยจนเกินควร “ไม่ต้องกลัวจะฮุบหรอกน่า…เค้าแค่จะขอชมเป็นขวัญตาแค่นั้น…วันก่อนที่พี่เย็นเคยเอามาชูอวดก็แค่ชู…วันนี้ก็เอาอีก…”

“พี่เอง พี่เองที่ห้ามเย็นถอด” หิ้งก็เลยแก้ให้ทันใจทันควัน “แหวนหมั้น…ใครเขาถอดเข้าถอดออกกันมั่ง…เขาถือรู้ไหม..”

ผู้จะมาเป็นเจ้าของพี่สาวในอนาคตบอกกล่าวเรียบๆ แต่เฉียบขาดในที

ลมโชยก็เลยสะบัดแพร่ดเดินจากมาหน้าตางอง้ำ มากระแทกตัวลงนั่งตรงหน้าบิดาผู้บัดนี้หมดเวลานัดหมาย เลยเอนตัวลงเอกเขนกบนเก้าอี้ยาว ดึงหมอนมาหนุนศีรษะทำท่าจะหลับมิหลับแหล่

แต่แท้จริงก็หาได้หลับไม่ ยังคงนึกถึงดวงชะตาลมโชยมิรู้วาย…ดังนั้นเมื่อหลับตาลงได้ สองสามอึดใจจึงเปิดเปลือกตาให้กว้างขึ้น ถามว่า

“โชยแน่ใจแล้วเหรอ…ที่จะไปเอาแหวนจากมันมาหมั้นตัวเอง”

“แน่ใจไม่แน่ใจก็เอาไว้ก่อน มีอะไรไหมพ่อ” อีกฝ่ายสะบัดปลายเสียงอย่างเอาเรื่อง

“แต่มันก็น่าเกลียดมากนาลูกนา…” ฝ่ายบิดายังคงใช้ ‘ไม้อ่อน’ สืบไป ด้วยแลเห็นดวงแต่ละดวงลอยเด่น ปรากฎให้เห็นในม่านตา โดยเฉพาะภายในสองวันนี้ที่เจ้าเรือนลัคน์คือจันทร์ 2 เดินไปสมทบกับดาวเสาร์เกษตรกาลกิณีจรที่แม้เล็งกับราหูเดิม เสมือนคือเกราะป้องกันโพยภัย หากก็มิวายบีฑา ดาวจันทร์อันเสียศูนย์อยู่ก่อนหน้า ผู้ที่แลเห็นตัวเลขปรุโปร่งจึงไม่มีวันโล่งอกไปได้ “คิดดู จู่ๆ ไปขอแหวนเขา…ก็แล้วนี่ เขาสั่งให้มาเอาแหวนที่นิ้วเย็นคืนไปละเปล่าล่ะ”

จี้ถูกกลางใจเข้าเท่านั้น ลมโชยก็ได้แต่อึ้งอั้นพูดไม่ออก ไปไม่เป็น

แต่ก็ยังแข็งใจย้อนตอบ

“พ่อก็เข้าข้างพี่เย็นอยู่เรื่อย” หล่อนก็เลยแค่พึมพำ

“ถ้างั้น…เอางี้…” นายชัดได้แต่ช่วยหาทางให้เชิงประนีประนอม “ค่ำนี้ ถ้าเจอเหิน ก็บอกเหินซะไป๊ให้ขอแหวนมาหมั้น”

“ไม่เอา…โชยไม่หมั้นกะพี่เหิน..”

ใจคอของทุกคนที่กำลังเงี่ยหูฟังต่างก็เต้นโครมครามพอกัน ด้วยว่าเกรงลูกคนเล็กของบ้านจะห่ามสุดขีดขึ้นมา

“ดูเอา…พูดออกมาได้” เสียงน้าเยี่ยมเยือนดังแว่วอย่างอดทนไม่ไหว “คบกันมากี่ปีแล้ว…”

“กี่ปีก็ไม่สำคัญ…สำคัญที่ว่าจะเอาแน่ไหมมากกว่า” หลานสาวทำเสียงตวัดไปมา “ถ้าไม่เอา…ไงๆ ก็ไม่”

“แน่ไหมโชย” ลมเย็นก็เลยสัพยอกเพื่อให้เห็นเป็นเรื่องล้อเลียน…ขณะที่ใจคอไม่สู้ดี ถ้าจะต้องมาชิงชัยเอาเด่นเอาดับด้วยเรื่องชายคนเดียวที่บัดนี้ลมเย็นสุดแสนจะแน่ใจมั่นใจในตัวเขาทบทวีว่า หิ้งไม่มีวันจะใจอ่อนไปกับทีท่าแย่งชิงของน้องหล่อน

“แน่…” อีกฝ่ายลงเสียงมั่นใจ “ใคร้…จะไปอยู่กับคนอย่างพี่เหินได้ ไม่เห็นได้เรื่องอะไรซักอย่าง…”

คราวนี้ บนริมฝีปากของทุกคนมีแต่ยิ้มระบายบาง

มิว่าใคร ก็ไม่มีปัญญาช่วยดับความฟุ้งซ่าน เอาแน่ไม่ได้ของลมโชยตั้งแต่เด็กจนถึงบัดนี้ได้เลย

แม้นายชัดจะนึกชมเชยอยู่บ้างที่หล่อนยังอุตส่าห์เรียนจนจบมหาวิทยาลัย หรืออาจเป็นไปได้ว่า…เพราะตนเองใช้วิธีการล่อหลอกด้วยรางวัลต่างๆ ที่เขาบอกว่าจะให้แล้วให้จริงดังเช่นลูกผู้นี้อยากได้ชุดราตรีหรูหราราคาเหยียบหมื่น นายชัดก็ขอแลกกับปริญญาสาขาบริหารธุรกิจที่ลมโชยพากเพียรเรียนจนจบ ยังความชื่นใจมาให้เขาครบครัน จึงจ่ายเงินให้สองสาวตัดชุดหรูคนละชุด

เพียงแต่ลมเย็นไม่อยากได้…จึงขอเปลี่ยนเป็นเงินเก็บที่พ่อให้…ไว้ในธนาคาร…ซึ่งนายชัดก็ไม่ว่ากระไร เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าลูกสองคนของตนเองห่างกันไกล ทั้งนิสัยใจคอรสนิยม ความชื่นชมในเส้นทางชีวิต และสิ่งละอันพันละน้อยอีกหลากหลายจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นลูกพ่อแม่เดียวกัน

แต่ก็ช่างเถอะ…นึกเสียว่าดวงใครดวงมัน

“เอางี้…เดี๋ยวเหินกลับ โชยก็ลองทาบทามเขาดูก่อน ดีไหม เผื่อเหินจะไปเอามาให้ได้” ครั้นแล้วผู้พูดก็ลุกขึ้นนั่งพร้อมยิ้มๆ

“นี่พ่อนึกว่าเรื่องตลกเหรอ” ลูกสาวชักฉุน

“ม่าย-ช่าย-ก็ลองดู จะเป็นไร จริงไหมหิ้ง”

หิ้งก็เลยพลอยนึกสนุก แลเห็นภาพสีหน้าบิดาลอยมาปึงปังอยู่ตรงหน้า

“ลองดูก็ดีฮะอา”

 

ดังนั้น เกือบค่ำวันนี้ เหินขับรถออกจากลานจอดเบื้องหลังอาคารใหญ่ที่เขาทำงาน จึงต้องแวะรับลมโชยผู้กำลังยืนกระสับกระส่ายรอคอย เนื่องด้วยไม่สามารถผ่านเข้าไปภายในได้จากกฎระเบียบที่เคร่งครัดของสถานที่

“นึกยังไงถึงได้แจ้นมาขนาดนี้” อีกฝ่ายออกเสียงอย่างหงุดหงิดเพราะเมื่อสักครู่ หัวหน้าบอกกล่าวเขาให้รู้สึกผิดถึงความบกพร่องบางอย่างที่ลูกค้าฟ้องมาว่าส่งของช้า นัดไม่เป็นนัด เขาก็เลยกำลังอารมณ์เสียอยู่ทีเดียว

“ต้องแจ้น” อีกฝ่ายตอบอย่างนึกว่าตัวเองก็มีดี ถึงอย่างไรชายคนนี้ก็ไม่ไปไหนหรอกโกรธกันวันสองวันก็ต้องกลับมาดีกัน

นั่นก็คือ ต่างคนก็ต่างสบอัชฌาสัยกัน เข้ากันได้ แต่ก็ขัดคอกัน ผิดหูผิดใจกัน สลับสับหว่างจนกลายเป็นชีวิตประจำวันอันชาชิน

“มีอะไร บอกมา”

“โชยอยากได้แหวน ขอแหวนพ่อพี่มาให้โชยวงนึงได้มะ…ทีพี่หิ้งยังได้มาแล้วเลย…อีก็มาชูอวดให้พยาธิตื่นอยู่นั่นละ…” ลมโชยซอยถี่ยิบด้วยทั้งหึงและอิจฉา หากก็เปิดใจตรงไปตรงมาในแบบของหล่อน “แล้วยังงี้ใครจะยอม”

“เออ…เว้ย…กำลังปวดกบาลอยู่เชียว” เหินก็เลยร้องดังอย่างหงุดหงิด

“ต่อไปนี้จะมีแต่ปวด ขอให้รู้ไว้” ลมโชยส่งเสียงแข่งเช่นกัน “เค้าจะไม่มีวันยอมพี่เย็น…ดีนี่เอาแต่หัวกะทิไปกินคนเดียว…จะได้ไง…”

“ก็ไหนกะจะเอาพี่ชายชั้นให้ได้ แล้วทำไมยังไม่ได้อีกละโว้ย” เหินย้อนเยาะๆ เพราะทั้งมันทั้งหมั่นไส้เลยบีบพวงมาลัยรถแน่น

แต่ลมโชยกลับเปลี่ยนเสียง ขณะเอียงไหล่เข้าไปชน

“ว่าแต่ว่า ยอมไหมล่า ยอมไม่ยอมถ้าจะเอาพี่หิ้งน่ะ”

“ก็คอยดู” เหินก็เลยหัวเราะออกมา “คิดได้ไงว่าเขาจะเอาตัว”

“คิด” อีกฝ่ายยืนยัน

“ลองก็ได้” เหินตอบอย่างเป็นต่อ

“ขอแหวนมาก่อน”

“พ่อชั้นน่ะเหรอจะให้ง่ายๆ…อีเขี้ยวจะตาย…นี่คงยังไม่รู้ฤทธิ์ซีนะ”

“รู้…รู้…รู้…นาน-แล้ว-จ้า” ลมโชยลากเสียง

บรรยากาศจึงเริ่มเปลี่ยนไป

จากกำลังจะทะเลาะเอาเป็นเอาตาย กลายเป็นหยอกเอิน

“รู้แล้วก็อย่าเข้าไปยุ่งกับเค้าได้ไหมขอที…มีเรื่องกับพ่อเราไม่ใช่สนุก รู้ป่าว แค่ตะโกนทวงแหวน …เดี๋ยวชาวบ้านชาวช่องก็ได้ออกมาออเต็มซอย ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน”

ครั้นแล้วอีกฝ่ายก็ลดเสียงลง “เอาน่าโชย…แล้วจะเก็บตังค์ซื้อให้”

“ชิ่ว…อมพระมาร้อยองค์ก็ไม่เชื่อ” หญิงสาวสวนกลับทันใด

“หิวแล้ว” คนขับรถบ่น

“ก็รีบๆ เซ่ เค้าก็หิว”

ทุกวันนี้ เหินก็ได้อาศัยอาหารเย็นบ้านนายชัดช่วยให้ท้องอิ่ม สลับกับแวะกินตามทางบางวัน พอให้หลับสบาย

คงจะสมดังหวังที่นายหันเคยตะโกนบ้างกระมัง

‘เอาลูกมันเป็นเมียซะให้เข็ด เอาแล้วทิ้งได้ พ่อจะรอตบมือ’

เหินนึกแล้วอยากจะวิ่งไปหัวเราะใส่หน้าบิดาเสียจริงๆ

เป็นเมียหรือไม่นี่ เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นเรื่องขี้ผงไปแล้วละพ่อ

ผู้หญิง…ไม่ว่าคนไหน ก็ไม่เคยคิดอย่างพ่อหรือแม่อีกต่อไป

พ่อคิดจะเอาเปรียบอาชัดจนสามารถหัวเราะใส่หน้าได้ทุกโมงยาม ก็เฉพาะอาเขาให้ลูกพ่อได้กินได้นอนพักในบ้านเขาเท่านั้น

แต่เขาก็ให้ด้วยความเต็มใจ เพราะผมเป็นคู่รักของลูกสาวเขา…หากก็มิใช่เลยไปถึงเรื่องเสียตัว

เหินได้แต่ไล่เรียงเรื่องราวการคบหา รักกัน จูบกัน วิ่งไล่กัน โกรธกัน ดีกันของเขากับลม โชยมาหลายปีอย่างไม่มีกังขาใดใดหลงเหลือ

นี่คือน้ำเนื้อแท้ๆ ของครอบครัวอาชัดเลยทีเดียว

ก็เพิ่งไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เท่านั้นที่ทุกสิ่งเริ่มผันแปร

หญิงผู้เป็นทั้งเพื่อนเล่นและคู่รักเกิดอาการแสนหนักขึ้นมาตอนพบหน้าพี่ชายเขาตั้งแต่นาทีแรก…จนเขาเองก็ทนไม่ไหว

ทั้งหึงหวง หมั่นไส้ ขวางนัยน์ตา ทำงานผิดๆ ถูกๆ พูดกับใครต่อใครแทบจะไม่รู้เรื่อง มิหนำซ้ำ ตอนที่คุณหญิงระวีฉายอะไรนั่นพาลูกสาวมาด้วย แขกพิเศษของพ่อก็ยังทำท่าเหมือนเขาเป็นส่วนเกินที่ควรจะเมินหน้า

เขาเลยเกลียดยายนั่นมาจนถึงวันนี้ แล้วพาลหมั่นไส้คุณหนูขาวไปพร้อมกัน

“โชย” ในที่สุดเขาก็เอ่ยเป็นการเป็นงานอย่างอยากจับให้มั่นคั้นให้ตาย “ตกลงจะเอายัง

ไงกันดี โชยกะพี่น่ะนะ…ไม่เกี่ยวกับคนอื่น”

“โชยจะเอาแหวนหมั้นจากพี่หิ้งจ้า…ไม่ใช่พี่”

“โชยไม่รักพี่แล้วเหรอ” เหินถามพร้อมความตื้นตันที่เริ่มแล่นขึ้นถึงขอบตา

“ก็โชยรักพี่หิ้งไง ขอโทษพี่ด้วยละกัน” อีกฝ่ายตอบง่ายๆ ไร้มารยา

“โชยเพิ่งรู้ว่าโชยรักพี่เหมือนเพื่อนเล่น เพื่อนกิน เพื่อนเมาแค่นั้น”

เหินสะอึกนิดหนึ่ง จึงถาม

“แล้วพี่หิ้งล่ะ เขารักโชยไหม”

 



Don`t copy text!