หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 25 : รังสีอำมหิต

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 25 : รังสีอำมหิต

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

ชั่วกษณะนั้นไม่มีชาวรุ้งพรายคนไหนยี่หระอีกต่อไป ต่างกรีดร้องพลางวิ่งหนีตายชุลมุน หวังให้ตนรอดพ้นจากการจับกุมเข้าเตาถลุงมนุษย์จากขุมนรก

ความเดือดดาลของเผ่ารุ้งพรายช่างไร้ความหมาย เพราะการที่พวกมันกรีดร้องสาปแช่งส่วนกำลังราบของศกุนตะอยู่กลางป่าช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ไม่ได้ทำให้ทุกสิ่งในโลกหล้ายุติธรรมขึ้น ไม่ได้ทำให้ความเกลียดชังลดน้อยถอยลงสักกระผีกริ้น

ศศินเห็นมารดาวิ่งตรงเข้ามา เพียงเท่านั้นหัวใจของเด็กหนุ่มก็เริ่มสั่น

“ดีแล้วที่ลูกยังบ่ได้ไปไหนไกล หมู่เราต้องหนีเข้าป่าเดี๋ยวนี้เลย” เดือนละล่ำละลักพลางหอบหายใจ

“เกิดอะไรขึ้นฤๅจ๊ะแม่เดือน” อินทรธนูก้าวเท้าถี่เข้ามาสมทบ ถามด้วยความร้อนใจ ใบหน้าซีดเซียวยังคงแสดงอาการเจ็บแผลถูกเฆี่ยนอยู่ไม่น้อย

“พวกโขลญหาว่าเผ่ารุ้งพรายเป็นตัวการแพร่เชื้อไข้ลักเพศ ทำให้ชาวศกุนตะเห็นผิดเป็นชอบ สติวิปลาส หันไปร่วมสังวาสทั้งเล่นสวาทแลเล่นเพื่อน มหาเสนาปติขอให้พระสภาออกคำสั่งจัดพิธีอาพาธพินาศ จับเผ่ากาลกิณีไปคุมขังให้หมดทุกคน เชื้อโรควิปริตจักบ่แพร่ลาม!”

เดือนคงรู้ตัวว่าเหลือเวลาอีกไม่มาก จึงพูดรัวเร็ว ท่าทางมีหลายเรื่องที่นางอยากบอก ทว่าถ้อยคำกลับสับสน ตะกุกตะกัก

“พอหมู่เราขัดขืน กลุ้มรุมทำร้ายพวกมัน พวกโขลญเลยใช้ก้อนดินดำ…”

ศศินและอินทรธนูต่างอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก

เดือนรีบดึงแขนลูกชายและคู่ชีพิตของเขาเข้าไปยังด้านหลังคอกเก็บฟืน

“นับแต่นี้บ่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น จงจำใจไว้ว่าหัวใจของเตทั้งสองมีสายเลือดรุ้งพรายไหลเวียนอยู่ แม้ศินกันอินทร์อาจแตกต่างกันราวดวงอาทิตย์แลดวงจันทร์ แต่ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าลูกยังมีอินทร์ เหมือนกับที่อินทร์ก็มีศินเช่นกัน บ่ว่าพวกเราจะถูกไล่ต้อนให้กระจัดพลัดพรายไปอยู่แห่งหนใดก็ตาม”

นางเดือนยอบกายลง เอื้อมมือไปจับแก้มศศินและอินทรธนู

“ยายเฒ่าลงผีเล่า” อินทรธนูผินหน้ากวาดตามองหาผู้เป็นยาย

“หนีเข้าป่าไปแล้ว อินทร์บ่ต้องเป็นห่วง” เดือนลูบศีรษะหลานชายยายเฒ่าลงผี “อัญว่ายามนี้หมู่เรารีบตามยายเฒ่าเข้าป่ากันดีกว่า ก่อนที่โขลญจัญไรจะตะบึงมาทางนี้”

“บ่ว่าจะไปที่ใด อินทร์จะดูแลศินเอง” อินทรธนูให้คำมั่น เด็กหนุ่มไม่เคยรู้สึกผูกพันกับศศินมากเท่าเวลานี้มาก่อน “และอินทร์จะเข้มแข็ง เข้มแข็งให้เท่ากับแม่เดือนหัวหน้าเผ่าเลย”

เดือนยิ้มให้อินทรธนู แล้วหันไปหาบุตรชาย ยื่นมีดสั้นที่หล่อนล้วงจากก้นหีบเมื่อครู่ให้ ตั้งใจให้ศศินใช้ป้องกันตัว

“ทีแรกแม่อยากเก็บ ‘ปีกผีเสื้อ’ ไว้มอบให้ลูกทั้งสองในวันกินดอง แต่…”

“เช่นนั้นศินให้อินทร์เลยได้ฤๅไม่” ศศินขออนุญาต

มีดสั้นบางเฉียบทรงปีกผีเสื้อเป็นอาวุธที่เดือนเคยพกติดตัว ก่อนหน้านี้ศศินเคยเห็นมารดาพันเหน็บไว้แถวต้นขา ฝักมีดทำจากหนังกระจงฟอกด้วยใบสอบ ทนทานยิ่ง ด้ามมีดฝังจันทรกานต์เหลือบรุ้งเม็ดจิ๋วไว้สองเม็ด คงเป็นของที่มีมูลค่าสูงสุดบนกายของเดือนในยามนี้

อินทรธนูยื่นมือทั้งสองข้างรับปีกผีเสื้อมาถือไว้ ดึงใบมีดออกจากฝัก มองด้วยแววอัศจรรย์ใจในแววตา

เดือนพยักหน้า “เสียดายที่สูรยกานต์ถูกศกุนตะฉกชิงไป มิเช่นนั้นสินดองของลูกคง…”

“แม่…” ศศินบีบมือมารดาแน่น

“หากบ่มีแม่อยู่ข้างกาย ลูกทั้งสองต้องดูแลกันให้ดี”

อินทรธนูพยักหน้าหนักแน่น ศศินกลับนิ่วหน้า “แม่…อย่าพูดเป็นลางอย่างนั้นซี”

“นับแต่นี้มีดผีเสื้อเป็นของอินทร์ หมู่เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ” นางเดือนมองคู่ชีพิตของลูกชายด้วยสายตาอ่อนล้าและพร่ามัวด้วยความสิ้นหวัง

เสียงหน้าไม้ระคนเสียงกรีดร้องโหยหวนดังใกล้เข้ามา

“เราบ่มีเวลาแล้ว ต้องวิ่งขึ้นเขาเดี๋ยวนี้เลย!” เดือนร้อนรน

ทั้งหมดเร่งฝีเท้าวิ่งเข้าป่าชัฏ ขณะที่สายลมเย็นยามหัวค่ำเริ่มกระโชกแรง การวิ่งทำให้พวกมันรู้สึกอุ่นขึ้น ชีพจรสูบฉีดแรงขึ้น ที่สำคัญหัวใจที่สูบฉีดยังทำให้พวกมันรู้สึกว่าตนยังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่

“จะหนีไปไหนไอ้พวกอัปรีย์ พวกมึงนี่ละที่พาชาวศกุนตะเห็นความวิปริตวิตถารเป็นของชอบ”

ถ้อยคำเหยียดหยามถูกสำรอกจากปากหน่วยสมิงไม่ขาดสาย พร้อมเสียงลูกดอกเสียดอากาศหวีดหวิวอยู่เป็นระยะ แม้ค่ำนี้รอบกายมืดสนิท แต่นิ้วของพวกมันจ่ออยู่ที่ไก ไม่มีใครยอมพลาดการล่าแสนสนุก รุ้งพรายผู้ใดเผลอชะงักแม้เพียงเสี้ยวพริบตา ลูกดอกที่ไม่พลาดเป้าย่อมปลิดชีวิตผู้ถูกพรากความเป็นมนุษย์ไปอีกราย

ศศินบังคับแข้งขาให้วิ่งไปเหมือนกี่กระตุก ลากร่างซึ่งถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของสรุกและมีจิตผิดปกตินี้ไปด้วย

เนื้อหนังของตนช่างหนักเหลือเกิน ศศินคิด หากโยนทิ้งได้คงดี

แม้เด็กหนุ่มพยายามจดจ่อเหล่าแมกไม้เบื้องหน้า ด้วยยามข้างแรมนัยน์ตาของเผ่ารุ้งพรายมองเห็นทุกอย่างไม่ต่างกับพวกศกุนตะ แต่สัมปชัญญะกลับแยกเป็นสองส่วน เรือนร่างกับจิตใจของศศิน เด็กหนุ่มเริ่มเกลียดเปลือกที่ห่อหุ้มจิตใจที่ชนเผ่าอื่นจงเกลียดจงชังนี้เหลือเกิน เด็กชายพร่ำบอกตนเอง

“อย่าหยุด วิ่งไป”

ชาวรุ้งพรายหลายคนที่เผอิญหนีตายมาทางเดียวกับศศินหมดแรงล้มพับไปกลางทาง เสียงลูกดอกทะลวงกิ่งไม้ดังไล่ตามติด

บ่วงยมบาศเข้ารัดรึงกระทั่งศศินแทบหายใจไม่ออก บ่วงเชือกแห่งความตายเข้ายึดกุมจนเด็กหนุ่มสัมผัสได้แจ่มชัด

ความคิดที่ว่ากำลังจะสิ้นลม และความคิดที่ว่าไม่อยากมีตัวตนอีกต่อไปช่างเย้ายวนเหลือแสน

ราวกับว่าทิวเขาไม้คานทอดตัวออกไปไม่รู้จบ

เด็กหนุ่มไม่อยากรู้สึกรู้สาอะไรอีกแล้ว ไม่ว่าความเจ็บปวด เหนื่อย หนาว หรือสิ่งใดก็ตาม เพียงศศินปล่อยให้สังขารลื่นไถลลงไปยังหุบเหวเบื้องล่าง ทุกอย่างก็จะยุติ

มารดาและอินทรธนูเป็นผู้หยุดความคิดฟั่นเฟือนของศศิน

พวกมันวิ่งกระหืดกระหอบเคียงข้าง วิ่งสุดกำลังที่พวกมันมี เด็กหนุ่มจึงไม่มีสิทธิ์คิดอะไรบ้าๆ เช่นนั้นอีก ไม่อย่างนั้นพวกมันที่เหลือจะทำอย่างไรหากไม่มีศศิน

เด็กหนุ่มทรุดฮวบลงบนผืนดิน โดยที่ไม่รู้ว่าตนวิ่งไม่หยุดมานานเท่าไรแล้ว

“ลุกขึ้น! เดินไปอีกหน่อยเถอะ!” นางเดือนเขย่าตัวบุตรชาย โดยมีไอ้ด่างช่วยเลียหน้าปลุกอีกแรง ที่แท้มันก็วิ่งตามศศินมาตลอด

ศศินไม่มีทั้งกำลังและแรงใจที่จะลุก แต่ก็ทำตาม ขมับของเขาปวดหนึบตามจังหวะการเต้นของชีพจร เพียงเคลื่อนไหวนิดเดียวก็เจ็บปวดเข้าไปถึงข้อกระดูก

ตอนนั้นเองที่พวกมันได้ยินเสียงฝีเท้า

เดือนพยุงอินทรธนูที่ทั้งปวดแผลและอ่อนแรงเต็มทน แข้งขาที่เมื่อยล้าทำให้พวกมันเคลื่อนที่ได้ช้าลง ทว่าเสียงย่ำของผู้ไล่ล่าก็ไม่ได้แคล่วคล่องยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

แม้กระนั้นพวกมันก็คืบเคลื่อนใกล้เข้ามาดุจฝูงหมาป่าออกล่าเหยื่อ ฉะนั้นสิ่งที่ศศินคิดที่จะทำเหมือนที่เคยทำมาตลอดในสถานการณ์คับขันคือเลือกต้นไม้ใบหนาทึบและสูงลิ่ว แล้วปีนป่ายขึ้นไปหลบซ่อน

ทว่ายามนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลืออยู่อีกแล้ว

จู่ๆ เด็กหนุ่มก็สะดุ้งโหยง เพราะสังเกตเห็นดวงตาสองคู่ท่ามกลางความมืด ศศินเผลอขบริมฝีปาก อ้อนวอนผีย่าผียายไม่ให้พวกมันไม่ได้ยินเสียงหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำของเขา

สิ่งเดียวที่ทำให้ใจชื้นคือโขลญส่วนกำลังราบก็หมดแรงเช่นกัน

ทว่าบัดนี้ไอ้ตูบกับพวกยังคงเหลือเรี่ยวแรงชูหน้าไม้ ย่างสามขุมเข้ามาพลางแสยะยิ้ม รังสีอำมหิตแผ่กำจาย

 

 



Don`t copy text!