มหรสพเวรา บทที่ 24 : เข้าสู่โหมดมืออาชีพ

มหรสพเวรา บทที่ 24 : เข้าสู่โหมดมืออาชีพ

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

มหรสพเวรา โดย คีตาญชลี แสงสังข์ นวนิยายรางวัลชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 กับเรื่องราวที่จะพาคุณล่องลอยถอยสู่บรรยากาศบ้านเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ย้อนกลับไปเห็นตั้งแต่ของเล็กอย่างแก้วโอเลี้ยงไปจนถึงสิ่งยิ่งใหญ่อย่างโรงมหรสพสมัยใหม่ที่เรียกว่าโรงภาพยนตร์ ขอเชิญท่านพิศเพลินพร้อมกันทั้งประเทศ ณ บัดนี้

 

ไม่อาจสรุปได้ว่าเป็นความปราดเปรื่องของระย้าหรือของเฟื่องฟ้ากันแน่ แต่แล้วในสัปดาห์ต่อมาก็มีข่าวลงในนิตยสาร ‘ภาพยนตร์’ คอลัมน์ ‘ในวงการภาพยนตร์ไทย’ ว่า — งานกำกับเรื่องแรกของผู้กำกับระย้า เจออาถรรพ์เพราะใช้เตียงโบราณมีผ้ายันต์กำกับมาถ่ายทำ ไม่รู้ว่าเพราะอยากจะให้สมจริง หรือให้สมกับชื่อเรื่อง ‘สาปรักเรือนร้าง’ หรือเปล่า —

ระย้าวางนิตยสารพลางยิ้มกริ่ม ตอนนี้พวกเขาทั้งสี่คือระย้า เฟื่องฟ้า จักร และทัพเที่ยงนั่งรวมตัวอยู่ในห้องชั้นล่าง เวลานั้นเกือบหนึ่งทุ่มทีมงานกลับไปหมดแล้ว สวรรยากลับไปพร้อมคุณแม่ของเธอที่มักจะตามมาเฝ้าลูกสาวเป็นประจำ นอกจากทั้งสี่ในห้องรับแขก ในครัวก็ยังเหลือจุกกับผินที่กำลังเก็บกวาดถ้วยจานด้วยความเร่งมือ

“เดี๋ยวผมจะเอาลงคอลัมน์ บันเทิง กีฬา หรรษา ประชาชน ในเดลิเมล์อีกรอบ เอาให้ลือเรื่องอาถรรพ์ให้ทั่วประเทศเลย” ระย้าว่า ยิ้มตามมาอีกรอบ

“แบบนี้คงไม่ต้องใช้แผนสำรองแล้วใช่ไหม” จักรถาม ระย้าใคร่ครวญ

“เชษฐ์หล่อมากนะ รูปร่างดี แสดงก็ดี อย่างคราวชั่วฟ้าดินสลายเขาก็ปล่อยภาพพระเอกนางเอกลงในคอลัมน์บันเทิง-กีฬา นี่แหละ เราอาจจะทำแบบนั้นบ้าง แต่ผมขอคิดดูก่อน เราใช้ฟิล์มไปมาก ถ่ายทำก็ใช้เวลามาก ผมเองก็ไม่อยากให้พวกคุณขาดทุน”

“เราไม่ได้ลงทุนสร้างโรงถ่าย กล้องก็เช่า ของซื้อมาก็เอาไว้ใช้ในบ้านได้ทั้งนั้น จะขาดทุนยังไงได้” เสียงเฟื่องฟ้าแย้ง

ระย้ามองตอบหญิงสาวสีหน้าเข้ม “คุณจะคิดยังไงก็ช่าง แต่ผมเป็นผู้กำกับ ผมไม่ได้แค่จะกำกับให้นักแสดงแสดงดี แต่การควบคุมต้นทุน และทำให้มันได้กำไรก็เป็นหน้าที่ของผมด้วย เก็บเงินเหลือๆ ของคุณโน่นไปให้ทิปพวกทีมงานจะดีกว่า”

“นี่นายระย้า” เฟื่องฟ้าเริ่มเสียงดัง จักรห้ามแล้วแต่เฟื่องยังกระฟัดกระเฟียด ทัพเที่ยงเห็นท่าว่าจะบานปลายจึงพูดขึ้น

“ผมเห็นด้วยนะ ไม่ใช่ว่าเงินจะสำคัญ แต่การทำสิ่งใดก็ตามมันก็ต้องมีเครื่องวัดความสำเร็จ ถ้าเราได้กำไรก็แปลว่าเราทำหนังได้สำเร็จ ผมเองก็ไม่ได้อยากจะเข้ามาเพื่อทำหนังเพียงเรื่องเดียวเหมือนกัน”

“ขอบคุณครับที่เข้าใจผม” ระย้าสบตาทัพเที่ยง เขาเห็นร่องรอยความมุ่งมั่นเหมือนกับน้ำเสียงที่มั่นคงของอาจารย์นักเขียนร่างสูง ดังนั้นเมื่อตกลงกันว่า ถ้าหาโรงฉายได้ก็อาจจะไม่ดำเนินการตามแผน ‘ข่าวคาว’ ของระย้าต่อ

“แต่ผมขอบอกไว้ข้อ ถึงหาโรงฉายได้แต่ถ้าเจ้าของโรงเขารับไปอย่างเกรงใจก็คงต้องทำตามแผนต่อ เงินมันไม่เข้าใครออกใคร เราอาจจะเจออาการหักมุมตอนจบได้ทุกเมื่อ”

“หมายความว่ายังไงครับ” ทัพเที่ยงถาม

“หมายความว่าถ้ามีหนังที่เขาคิดว่าจะทำเงินมากกว่าของเรา เขาอาจจะอ้างโน่นนี่แล้วไม่เอาหนังเราเข้าฉาย หรือถ้าจะเข้าฉายก็อาจจะให้ลงโรงแค่ไม่กี่วันก็ถอดออก ทีนี้ละต้องขายเหมาให้โรงหนังชั้นสอง บันเทิงแน่ทีนี้”

“ทำยังงี้กันได้ด้วยเหรอ” เฟื่องฟ้าออกอาการเจ็บใจ ระย้าจุดบุหรี่ ทอดสายตานิ่งไปยังความมืดนอกหน้าต่าง

“มันเป็นธรรมดาโลก” เขาว่า ดูดบุหรี่อย่างใจเย็น “เขาสร้างโรงหนังมาเอากำไร ไม่ได้ทำสาธารณกุศลนี่คุณ”

“ถ้างั้นผมขอถามได้ไหมว่าคุณมีวิธีจะปล่อย ‘ข่าวคาว’ ที่คุณว่ายังไง นี่ผมจะต้องไปทำอะไรคุณสวรรยาเขาบ้าง”

ระย้าหัวเราะขำ “มันไม่ต้องมีน้องผมมาเกี่ยวข้องขนาดนั้นหรอกครับคุณจักร”

“อ้าว” จักรผายมือ ไม่เข้าใจ “แล้วมันคือยังไงล่ะ”

ระย้าหรี่ตามอง ยิ้มบางก่อนอธิบาย

“คุณรู้ไหมว่าแถวนางเลิ้ง ระหว่างถนนกระออมกับสี่แยกจักรพรรดิพงษ์ มีสำนักงานนิตยสารบันเทิงตั้งอยู่ที่นั่นหลายฉบับ”

“ก็พอรู้” ทัพเที่ยงเป็นผู้ตอบ เพราะดูเหมือนเรื่องนี้จะอยู่นอกเหนือความรับรู้ของจักร

“เรื่องง่ายๆ ก็คือผมกับคุณจะไปเดินทำหน้าเศร้าแถวนั้น ถ้ายังไม่มีใครสนใจเราก็แค่ผลักไหล่กันให้พอออกท่าออกทาง แค่เห็นคุณนักข่าวสังคมเขาก็ตาวาวแล้ว”

“แล้วข่าวพรุ่งนี้จะออกมาว่าตากล้องกับผู้กำกับตีกันน่ะหรือ” จักรถาม

“โธ่ เราไม่ได้ต่อยกันปากแตก เขาไม่ลงให้เสียพื้นที่เขาหรอก” ระย้าขำ เขาขยี้บุหรี่บนจานแก้วก่อนโยกตัวมาข้างหน้าอธิบายต่อ

“แต่พวกเหยี่ยวข่าวพวกนี้เขาจะไม่ปล่อยผ่าน มันจะต้องมีใครสักคนมาถาม จากนั้นคุณจักรก็ตีหน้าเศร้า บอกไปว่าเรื่องเสียหายแบบนี้คุณไม่กล้าพูดหรอก แล้วค่อยบุ้ยใบ้มาทางผม แค่นี้ก็เสร็จพวกเราแล้ว”

“ยังไง”

“ผมก็จะบอกว่าถ่ายหนังอยู่ดีๆ เจอเรื่องผีๆ สางๆ ทีมงานก็ขวัญกระเจิงแล้ว ตอนนี้นางเอกกับผู้อำนวยการสร้างอย่างคุณจักรก็โดนลือเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับนางเอกอีก แค่นี้แหละคุณเอ๋ย จะต้องมีพาดหัวข่าว นางเอกใหม่กับดาราสังคมคนดังรักกลางกองถ่ายขึ้นมาแน่ๆ”

“แล้วคุณสวรรยาเขาก็เสียหายน่ะสิ ไม่เห็นจะไม่เสียหายอย่างที่คุณว่าเลย”

“ก็ปล่อยให้เสียไปก่อน ไม่กี่วันหรอก จากนั้นก็ค่อยใส่คำโฆษณาไปตอนเปิดขายบัตร ทำนองว่าก่อนหนังฉายจะมีแถลงเปิดใจนางเอกใหม่…เรื่อง…” ระย้าทำท่าคิด “เอาคำแรงๆ หน่อยก็แล้วกัน แถลงเปิดใจนางเอกใหม่เรื่องรักใคร่กับผู้อำนวยการสร้างคนดัง แค่นี้คนก็แห่มาจองตั๋วเต็มโรง ได้พื้นที่ข่าววันถัดไปเข้าให้อีก”

ระย้าดีดนิ้ว จักรและทัพเที่ยงถอดหายใจยาว กิริยานั้นแสดงออกถึงความหวั่นใจมากกว่าจะสนุกไปกับระย้า

“แน่ใจหรือว่าจะได้ผล” เสียงเฟื่องฟ้าออกอาการเหยียด ระย้าหันไปจ้อง ไม่ลดราวาศอก เขาตอกกลับว่า เฟื่องฟ้าน่าจะอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษอยู่กระมัง เรื่องความรักของชรินทร์กับสปันเลยไม่เข้าไปอยู่ในความรับรู้ของเธอเลย ถ้าเธอจะรู้สักนิดว่าเพลง ‘ทาษเทวี’ ที่ชรินทร์ร้องเป็นสื่อใจให้สปัน โด่งดังจนสถานีวิทยุไหนไม่เปิดก็ถือว่าตกยุค เฟื่องฟ้าคงจะไม่ถามเขาออกมาแบบนี้

“แล้วมันเกี่ยวกันยังไง” เสียงเฟื่องฟ้าเริ่มฉุน

“ยิ่งกว่าเกี่ยว…คุณก็ไปอยู่อังกฤษไม่รู้หรือไงว่าเรื่องความรักของเจ้าหญิงมาร์กาเรตกับนายทหารดังกระฉ่อนโลกแค่ไหน ไม่เว้นแม้แต่ในบ้านเรา หนังสือพิมพ์เขียนลงกันไปเป็นเดือนๆ ตอนนี้คุ้ยเรื่องเจ้าหญิงจนไม่มีอะไรจะคุ้ย เรื่องสปันกับชรินทร์นี่และจะเป็นเทพนิยายเรื่องต่อไป” เขาหมายถึงเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตแห่งราชบัลลังก์อังกฤษ กับปีเตอร์ ทาวน์เซนด์ องครักษ์ของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ซึ่งมีข่าวด้วยกันเมื่อปลายปีที่ผ่านมา

“เทพนิยายยังไง ก็แค่นักร้องกับสาวสังคม” เฟื่องฟ้าเถียง

“ชรินทร์ งามเมือง เสมียนแผนกแผ่นเสียงของห้างกมลสุโกศล แห่งสามยอด วังบูรพา กับดอกฟ้าสปันลูกมหาเศรษฐี คนคิดจะทำหนังแบบคุณนึกไม่ออกหรือว่ามันจะโดนใจชาวบ้านชาวช่องเขาขนาดไหน” ระย้าจ้องหน้าเฟื่องฟ้า เสียงเขาเริ่มมีโมโห

“แล้วคุณรู้ไหมคนสมองใสเขาทำอะไร” ระย้าจิ้มนิ้วไปบนขมับตัวเอง “ส.อาสนจินดาที่พวกคุณนับถือเขาหนักหนานั่นไง เขาติดต่อทาบทามชรินทร์ให้ขึ้นปรากฏตัวบนเวทีโรงภาพยนตร์ก่อนการฉายหนังเรื่องใหม่ที่เขากำกับ รู้ไหมว่า ‘แก้วตานาง’ ที่จะฉายประเดิมชัยวันที่ 22 กุมภาพันธ์นี้ บัตรขายเกลี้ยงจนต้องขายเก้าอี้เสริม” คราวนี้ระย้ามองไล่ไปทีละหน้า ทอดเสียงต่ำ

“ถ้าจะนับถือเขา พวกคุณก็ต้องหัดเรียนรู้จากเขาด้วย”

เฟื่องฟ้าเม้มปากแน่น ส่วนทัพเที่ยงและจักรนั่งเงียบ ทุกอย่างเป็นจริงอย่างที่ระย้าเคยพูด วงการนี้ไม่มีลู่ให้วิ่ง ไม่มีกติกาตายตัว มันไม่ใช่สนามเด็กเล่นของลูกผู้ดีเงินหนา แต่เป็นเวทีแห่งการพิสูจน์ฝีมือและชีวิต

“ที่ผมเสนอให้เป็นคุณจักรไม่ใช่คุณทัพเที่ยง” ระย้าซึ่งระงับอารมณ์ลงมาเป็นปกติหยิบบุหรี่อีกตัวขึ้นจุด “เพราะทั้งสองเรื่องมันคือดอกฟ้ากับดอกดิน” เขาเลี่ยงคำว่าหมาวัด “มันขัดแย้ง มันต้องลุ้น และเอาใจช่วย ก็เหมือนสวรรยาลูกสาวครูจนๆ กับคุณจักรหนุ่มนักเรียนนอกลูกชายคุณพระนั่นแหละ เดี๋ยวก็หมดเรื่องชรินทร์แล้ว ยังไงหนังสือพิมพ์ก็ต้องหาข่าวใหม่มาเล่นต่อ” ระย้าดูดลมผ่านไส้กรองบุหรี่จนแก้มตอบ จ้องนิ่งไปยังคู่สนทนาขั้วตรงข้ามอย่างเฟื่องฟ้าที่หน้าง้ำอยู่

“หลังจากนั้น…ก็จะเป็นตาของพวกเรา”

เขาจ้องเฟื่องฟ้า ดวงตาของเขาแข็งกร้าวขึ้นราวกับกำลังวางแผนขั้นต่อไป

คืนนี้จักรไม่กลับบ้านทั้งๆ ที่ทุกคนแยกย้ายกันก่อนสามทุ่ม ทัพเที่ยงดูออกว่าจักรมีบางอย่างอยากจะสนทนากับเขาเพียงลำพัง อันที่จริงพรุ่งนี้ทั้งคู่ต้องเจอกันที่มหาวิทยาลัยอยู่แล้ว แต่เรื่องที่จักรอยากจะพูดคงจะเป็นเรื่องร้อน เขาจึงยังอยู่จนกระทั่งเวลานี้

“ง่วงหรือยัง” ทัพเที่ยงทัก เป็นการเปิดฉากคุยมากกว่าจะถามจริงจัง ตอนนี้พวกเขาสวมชุดนอนนั่งอยู่ด้วยกันในห้องรับแขกด้านล่าง จักรมีเสื้อผ้าสำรองเอาไว้ในห้องที่เขาเคยอยู่บนตึกใหญ่ แต่คืนนี้เขาจะนอนห้องเล็กทางด้านหน้าของเรือนก้านมะลิ

“นายรู้ใช่ไหมว่าทำไมกันถึงค้าง”

“รู้สิ” ทัพเที่ยงรับ ส่งแก้วน้ำดื่มให้จักร “กินซะก่อน เดี๋ยวคอจะแห้ง”

“กันไม่ได้จะพูดเยอะขนาดนั้นหรอกน่า กันแค่อยากจะถามนายหน่อยเท่านั้น” จักรยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

“นายคิดยังไงกับเรื่องที่เรากำลังทำอยู่” สีหน้าของจักรบ่งบอกว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ได้หมายถึงวิธีการทำหนัง แต่เป็นเรื่องที่พวกเขาจะต้องทำเมื่อมาทำหนังต่างหาก

“ทำไม…นายไม่สบายใจหรือ”

“ตอนแรกกันก็สนุกดีหรอกนะ คือกัน…” จักรนึกคำพูดไม่ออก

“ก่อนนี้นายคิดแต่เรื่องการถ่ายทำ เรื่องมุมกล้อง เรื่องงานศิลปะ”

“จะว่ายังงั้นก็ได้”

“แต่ตอนนี้มันเป็นเรื่องของธุรกิจ การตลาด และอีกสารพัดเรื่องนอกเหนือจากการผลิตหนังขึ้นมาสักเรื่องหนึ่ง”

“ใช่ แล้วนายล่ะ คิดยังไงกับเรื่องนี้”

“สนุกดี” ทัพเที่ยงว่า รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก “กันไม่ได้โตมามีพร้อม กันสนุกกับการดิ้นรน และตอนนี้กันก็ยังไม่รู้สึกว่ามันข้ามเส้นสิ่งที่กันจะรับไหว นายลำบากใจเรื่องคุณสวรรยาใช่ไหม” ทัพเที่ยงไม่อ้อมค้อม

จักรพยักหน้ายอมรับ เขาบอกทัพเที่ยงว่าวันนี้เขาเพิ่งรู้สาเหตุที่สวรรยามึนตึงใส่ และสาเหตุนั้นมันก็ทำให้จักรพอจะเดาออกว่า สวรรยาจะไม่มีทางให้อภัยถ้างานโปรโมตหนังครั้งนี้จะใช้หล่อนมาเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่เพราะหล่อนเป็นสุภาพสตรีขี้อาย เหตุการณ์วันนี้ทำให้จักรรู้ว่าสวรรยานั้นเป็นช้างเท้าซ้ายไม่ใช่ช้างเท้าหลังต่างหาก

“ช้างเท้าซ้าย”

“ใช่…เท้าซ้ายคู่กับเท้าขวา ไม่ใช่เท้าที่จะก้าวตามหลัง แม่คนนั้นก็ภาคสองของยายฟ้านั่นแหละ ผู้หญิงสมัยนี้ทำไมมันเป็นยังงี้ไปหมดเลยว้า…” ประโยคหลังเขารำพันกับตัวเอง

“ขนาดนั้นเชียว”

จักรพยักหน้า ถอนหายใจด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อ ก่อนเล่าเหตุการณ์เมื่อบ่ายให้ทัพเที่ยงฟัง

ราวบ่ายสามของวันนี้ ระย้าให้ทุกคนพักยี่สิบนาทีก่อนจะถ่ายฉากต่อไป จักรออกไปยืนสูบบุหรี่ใต้ต้นแก้ว สวรรยาเดินมาตามทางเดินโรยกรวดด้วยอาการคอตั้งเหมือนๆ ที่เคยเห็น จักรคิดอย่างไรไม่รู้ เขาแกล้งขวางเธอเอาไว้ ตามปกติแล้วสวรรยาก็แค่เชิดใส่ แต่วันนี้ไม่รู้เลือดจะไปลมจะมาหรือเปล่า จากที่เธอไม่ใคร่อยากพูดจากับจักร เจ้าหล่อนก็เลือกจะต่อว่า

‘ผู้หญิงไม่ใช่ของเล่นจะนึกสนุกทำอะไรก็ได้ จะขวางก็ขวางอย่างนี้มันไม่ใช่สุภาพบุรุษ’

จักรซึ่งเก็บความในใจมาเป็นเดือนเลยได้โอกาสถามกลับว่าเขาไปทำอะไรให้ เธอถึงมองเขาเป็นคู่อาฆาตมากกว่าผู้ร่วมงาน แล้วปากเสียๆ ของจักรก็ดันใช้คำว่า

‘หรือนี่คือการเรียกร้องความสนใจแบบใหม่ของผู้หญิงสวยๆ’

แค่นั้นสวรรยาก็เลือดขึ้นหน้า แล้วความในใจที่เธอเก็บไว้ตั้งแต่คืนที่วังสราญรมย์ก็พรั่งพรูออกมาให้จักรได้รู้

เธอบอกเขาว่าถ้าไม่มีระย้า ไม่มีทางที่เธอจะเข้ามาร่วมสังฆกรรมทำอะไรกับคนอย่างจักรโดยเด็ดขาด

“แล้วเธอโกรธอะไรนาย”

“โกรธเพราะฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียดน่ะสิ” จักรฉุนขึ้นเล็กน้อยเมื่อพูดมาถึงตรงนี้ “แม่คุณได้ยินกันพูดกับคุณอเนกว่า มาหาผู้หญิงแถวนี้เพราะค่าตัวน่าจะถูกกว่าผู้หญิงแถวศาลาเฉลิมกรุง แล้วคุณอเนกก็ดันพูดเอาใจกันว่า ระดับ จักร ปิ่นพิมุกข์ จ่ายอย่างงามอยู่แล้ว ผู้หญิงที่กล้าปฏิเสธไม่บ้าก็โง่ ถ้าโง่ก็ต้องโง่ถึงขนาด โธ่เว้ย…เขาพูดเอาใจขนาดนั้นเพราะจะหาคะแนนนิยมจากกันเรื่องคุณหลานสาวของกัน แล้วแม่คุณสวรรยาได้ยินเข้าก็โกรธเป็นไฟ หาว่ากันดูถูกลูกผู้หญิง เห็นเป็นผักเป็นปลา”

ทัพเที่ยงขมวดคิ้วมองจักรด้วยสายตาผิดหวัง “แล้วมันไม่ใช่ผักปลาตรงไหน”

“เฮ้ย…ฟังให้จบก่อนได้ไหม ที่กันกับคุณอเนกคุยกันทั้งหมดมันเรื่องหานางเอกหนังโว้ย…”

“นางเอกหนัง” ทัพเที่ยงทำหน้าเหยเก ไม่เข้าใจในสิ่งที่จักรพูด

“เอาแบบสรุปนะเพื่อน ทั้งหมดมันหมายถึงว่าหานางเอกหน้าใหม่ค่าตัวจะถูกกว่านางเอกที่มีผลงานภาพยนตร์มาแล้ว ผู้หญิงในศาลาเฉลิมกรุง หมายถึงผู้หญิงในจอ ไม่ใช่ผู้หญิงที่เดินเตร่อยู่แถวนั้น”

“อ้อ…” ทัพเที่ยงร้องรับ จักรยกนิ้วชี้

“ยังงี้เลย แม่สวรรยาคนดีก็ส่งเสียงแบบเดียวกับนาย แล้วไม่มีขอโทษสักคำ แถมหล่อนยังบอกว่า เวลาพูดถึงผู้หญิงก็ให้ใช้คำที่สุภาพกว่านี้หน่อย ไปพูดถึงเรื่องราคาใครได้ยินก็จะดูถูกคนพูดเอาได้ ดูซี…น่าเจ็บใจไหม กันถึงบอกว่าแม่นั่นน่ะ ไม่ใช่ช้างเท้าหลังหรอก หล่อนไม่สำนึกด้วยซ้ำว่าเข้าใจคนอื่นผิด แล้วคนอย่างนั้นถ้ารู้ว่าโดนหลอกใช้คงโกรธเป็นไฟแน่”

“นายเลยอยากให้บอกความจริง”

“ใช่”

“นายว่าคุณสวรรยาเขาจะยอมร่วมมือไหม”

“ก็ถ้าคนอย่างนายคิดว่าเรื่องที่เราทำอยู่และกำลังจะทำต่อไปมันสนุกดี คนที่ตั้งใจแสดงไม่อิดออดแบบนั้นมีหรือจะไม่ยอม”

“แล้วนายล่ะ” คราวนี้ทัพเที่ยงถามจักรบ้าง “นายสนุกกับเรื่องแบบนี้จริงๆ หรือเปล่า”

จักรยักไหล่ “กันก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่านายพูดถูกเรื่องที่ว่าถึงเงินจะไม่ได้สำคัญ แต่เราก็ต้องมีเครื่องวัดความสำเร็จ กันยังไม่อยากแพ้ตั้งแต่เริ่มว่ะ”

“กันพูดแทนนายเรื่องที่ว่าเงินไม่สำคัญ แต่สำหรับกันยังสำคัญอยู่”

“เออ.. รู้หรอกน่า” จักรว่า ทั้งคู่หัวเราะกว้างให้กันและกัน

จักรเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้สีหน้าสบายใจขึ้น ไม่มีใครรู้ว่าหนังที่พวกเขากำลังทำจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า แต่ตอนนี้ชายหนุ่มทั้งสองกำลังตระหนักถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ นอกจากหนังจะประกอบด้วยศิลปะหลายแขนงมารวมกันแล้ว กว่าหนังจะออกไปสู่สายตาผู้ชมได้สักเรื่องหนึ่ง มันยังเต็มไปด้วยผู้คนและเม็ดเงินมูลค่ามหาศาลในส่วนต่างๆ ดังนั้นความรักอย่างเดียวคงไม่พอ มันต้องรักถึงขนาดคลั่งอย่างที่ระย้าเป็นนั่นเชียว ถึงจะวิ่งอย่างไม่มีลู่ในวงการนี้ได้



Don`t copy text!