ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 23 : ระมิงค์นคร

ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 23 : ระมิงค์นคร

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

เขนน้อย เจ้าคิดถึงเกลียวคลื่นในท้องทะเลหรือไม่

“ท้องทะเลน่ะหรือ ช่างนานแสนนาน ไกลแสนไกลราวกับภาพฝัน” นิ่งคิดครู่หนึ่งก็ถอนหายใจ

“แต่น่าแปลกที่ข้ากลับจดจำได้ดี ทั้งเสียงคลื่นซัดสาดกระแทกโขดหิน กลิ่นเค็มของสายน้ำ แลท้องฟ้าพร่างดาวกลางห้วงสมุทรเวิ้งว้างมืดมิด”

“พวกเราพากันล่องเรือยามราตรี จำได้หรือไม่ เจ้าพ่อเป็นผู้หัดให้สังเกตคลื่นลม ก้อนเมฆ ดวงดาว ไปจนถึงดวงจันทร์ว่าสัมพันธ์กับสายน้ำอย่างไร ชาวไชยามีเลือดนักเดินเรือต้องรู้ไว้ แม้เด็กเพิ่งลืมตาดูโลกก็ต้องขึ้นเรือไปรู้จักท้องทะเล รู้จักตกปลาหากิน”

“ข้าถึงยังมีโอกาสได้สัมผัสวิถีชีวิตเช่นนั้นอยู่บ้าง แม้เป็นห้วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม” เสียงนั้นรำพึงก่อนเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ “เจ้าพี่เขนหลวงคงคิดถึงทะเลใต้ขึ้นมากระมัง เป็นกษัตริย์ละโว้มิยินดีหรอกหรือ”

“กษัตริย์ที่ครองบัลลังก์อย่างเดียวดายหรือน่ายินดี”

“มีชายาเอกถึงสาม บาทบริจาริกานับสิบ แลโอรสธิดาอีกหลายองค์ เรียกเดียวดายได้อย่างไร”

“ต่อให้มีอีกเป็นสิบเป็นร้อยก็เสมือนโดดเดี่ยวอยู่ดี หาได้มีผู้ใดเป็นพรรคเป็นพวกของข้าอย่างแท้จริงไม่ มีแต่จ้องจะหาประโยชน์อำนาจให้พวกพ้องตนเองทั้งนั้น ชายาทั้งสามที่เจ้าว่า เคยรบราแย่งชิงข้ากันแทบเป็นแทบตาย สุดท้ายเมื่อมีโอรสธิดาถวาย ข้าก็หมดความหมาย”

“ตรัสราวกับมิได้ทรงทราบอยู่แล้วกระนั้น”

“ทราบ แต่ครั้นเผชิญเข้าจริงหาทำใจได้ง่ายดั่งวาจาไม่”

“ไยมิทรงเถลิงอำนาจให้สมที่ครองอำนาจล้นฟ้าในทวารวดีเสียเล่า ปล่อยพวกเขาชักเชิดอยู่ด้วยเหตุใด เจ้าพี่เขนหลวงก็ย่อมทราบว่าหากคิดกำราบ กำจัดพวกคนทรยศเหล่านั้นจริงก็มิได้ยากเย็น เว้นเสียแต่จักหมดพระทัยแล้ว”

“เถลิงไปก็ใช่จะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ในเมื่อชวาลาก็จากไปไกลสุดหล้าเสียแล้ว ไชยาก็กลับมิได้ แต่นั่นมิสมใจเจ้าหรอกหรือเขนน้อยที่ข้าต้องตกอยู่ในกรงขังวังเจ้าเช่นนี้ เป็นกรงขังที่มีชีวิตแต่ไร้วิญญาณ ไม่พบสุข ไม่มีสตรีที่รัก ไร้ญาติขาดมิตร เสวยราชย์ครองเมืองก็เพียงในนาม มิได้เสวยสุขชั่วกาลดังที่เจ้าว่าไว้”

“ข้าหาได้ต้องการเช่นนั้น ข้าเพียงปรารถนาได้ใช้ชีวิตที่ข้าไม่เคยใช้กับชวาลาที่ข้ารัก แต่ในเมื่อข้าไร้วาสนา จำเป็นต้องตายตกไปด้วยกรรมจากอกุศลจิตที่คิดทำร้ายท่าน ทำลายชีวิตไพร่พลนับพันหมื่น ไม่มีสิ่งใดเรียกว่าสมใจหรอกเจ้าข้า”

“เช่นนั้นเจ้าอภัยให้พี่แล้วหรือ”

“ข้าไม่มีสิ่งใดต้องอภัย เจ้าพี่มิได้กระทำเรื่องชั่วร้ายต่อข้า เพลานั้นท่านก็เป็นเพียงเด็กขลาดเขลาอ่อนแอคนหนึ่ง ข้าต้องถามท่านต่างหาก ส่งจิตมาถึงข้าในห้วงอนันตกาลเยี่ยงนี้ได้ ย่อมมีญาณวิชาชั้นสูงอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่”

“ทีไอ้รัญชน์ยังสื่อสารกับเจ้าได้ มิเห็นมันต้องมีญาณ”

“มันมีของเก่าติดตัวมาแลมีบุญกรรมสัมพันธ์กันนั้นแล แต่มันก็เงียบหายไปนานแล้วตั้งแต่เมียเจ้าพี่ให้กำเนิดรัชทายาท”

“วาน้อยคลอดโดยปลอดภัยกระนั้นหรือ ข้าได้โอรสหรือธิดาเล่า”

“เจ้าพี่อย่าทรงทราบเลย เมื่อตั้งใจตัดพระทัยแล้วก็จงตัดขาดสายใยรับรู้ห่วงหานั้นเสีย”

“เขนน้อยกำลังลงโทษพี่” เขนหลวงแค่นสุรเสียง “เช่นนั้นรัญชน์ก็คงดูแลวาน้อยกับลูกข้าได้ดีมีสุข มันถึงปิดการสื่อจิตกับเขนน้อย ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าอีกแล้ว”

“เจ้าพี่เขนจักหึงมันไปไยในเมื่อวางใจให้มันแล้ว” เขนน้อยหัวเราะ “มันคงมิตั้งใจปิดจิตกับข้าหรอก ชะรอยจะเป็นพลังเจ้าที่เจ้าทางแดนหนขุนน้ำเสียมากกว่าที่พิทักษ์เอาไว้”

“เขนน้อยอาจใช้รัญชน์เป็นเครื่องมือแกล้งให้ข้าหึงหวงก็ได้ เช่นนั้นถือว่าเจ้าทำสำเร็จ”

“ดูแล้วพระเจ้าจันทรโชติอาวรณ์พระชายามากมายเกินกว่าที่ข้าคิด แต่วางใจเถิด หากชวาลาได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจเพราะรัญชน์ ข้าย่อมไม่อยู่เฉยแน่ เพลานี้มันสื่อจิตกับข้ามิได้ยังไม่สำคัญเท่า…มีใครบางคนพยายามส่งจิตเสาะหาวิชาไสยเวทของข้าที่ถูกทำลายแตกกระจายสู่ห้วงไพศาลอยู่ต่างหาก”

“ผู้ใดกัน”

“นักพรตแถบอุฉุจบรรพตในแดนเหนือ…เพื่อไปรับใช้ราชันชาวลัวะแห่งราชวงศ์กุนาระกระมัง แลคงมีความเกี่ยวพันกับเรื่องชวาลาเทวีไม่ทางใดก็ทางหนึ่งในวันข้างหน้า ข้ารับรู้ได้เพียงเท่านี้”

“เช่นนั้นเจ้าต้องช่วยวาน้อย” เจ้าเขนหลวงร้อนรน “และช่วยไอ้รัญชน์ให้จนสำเร็จ”

“เช่นนั้นเจ้าพี่เขนหลวงก็ต้องรีบกลับลงไปได้แล้ว” เจ้าเขนน้อยว่า “ข้าเพิ่งกระจ่างแจ้งว่าเจ้าพี่หาได้ใช้ญาณวิชาใดสื่อจิตกับข้าไม่ แท้จริงเป็นเพราะ…” เสียงเขาเครือลงด้วยความสะเทือนใจ

“รับปากกับข้า อย่าทำเช่นนี้อีก…จงกลับไปเถลิงพระราชอำนาจพระเจ้าจันทรโชติเสียเถิด และข้าจักช่วยปกป้องคุ้มครองชวาลาเทวีสุดกำลังที่ข้ามีในกรงขังเวลาแห่งนี้เช่นกันเจ้าข้า”

 

เมื่อครั้งมาอยู่แดนเหนือใหม่ๆ ทุกแห่งหนยังมีแต่พงไพรหนาทึบและทุ่งกว้าง แม้อุดมสมบูรณ์หากก็รกร้างห่างไกล มีแต่ชาวป่าชาวเขาอาศัย กระนั้นก็สงบสุขเหมาะแก่การบำเพ็ญเพียร ทั้งได้สอนสั่งดูแลชาวบ้านไปด้วย ข้าจึงพอใจสถานที่นั้นมาก ยิ่งเมื่อจาริกไปถึงอุฉุจบรรพตก็แทบมิอยากจากไปที่ใดอีก”

ฤๅษีวาสุเทพอธิบายให้ชายผู้มีหน้าตาเหมือนอดีตเจ้าชายจากไชยาฟังขณะเดินทางสู่เมืองระมิงค์ด้วยกัน “แว่นแคว้นต่างๆ ก็ค่อยๆ ก่อร่างสร้างเมืองกันทีละน้อย แลในบรรดานครแถบนั้น ก็เห็นจักมีแต่ระมิงค์ธานีเท่านั้นแลที่เป็นใหญ่กว่าใครเพื่อน แม้มิได้โอ่อ่ารุ่มรวยอย่างชาวใต้ก็ตาม”

วาสุเทพฤๅษีเหลือบสังเกตท่าทางชายแปลกหน้าแวบหนึ่ง “แม้ยามข้าจาริกลงใต้ไปรับใช้ราชสำนักทวารวดีอยู่เนิ่นนาน ก็ยังคิดถึงความสงบร่มเย็นในอุฉุจบรรพตแลมิตรไมตรีจากชาวป่าชาวดอยเสมอ จนท้ายที่สุดก็ต้องกลับแดนเหนือนั้นแล”

“เพราะเหตุนั้นท่านจึงปรารถนาให้ชวาลาเทวีได้มาครองดินแดนอันร่มเย็นนี้ จนถึงกับต้องสร้างบ้านสร้างเมืองขึ้นมาใหม่น่ะหรือ”

“เรื่องนั้นก็มีส่วน” ฤๅษีร่างใหญ่พยักหน้า “แต่อย่างที่เจ้าก็ทราบดีว่าราชธานีละโว้มิปลอดภัยต่อพระนางเจ้าอีกแล้ว วิธีนี้เป็นทางเดียวที่จะรักษาพระชนม์ของพระนางให้ปลอดภัยได้”

“ดูท่านรักพระนางชวาลาเหลือเกินเจ้าข้า”

ดาบสชราคลี่ยิ้มปริศนา “ถูกแล้ว”

“เพราะเหตุใดจึงเป็นพระนางเล่า ในเมื่อที่ข้าได้ยินมานั้น ราชสำนักในทวารวดี หรือแม้แต่ฝักฝ่ายในลวปุระเองล้วนต้องการให้ท่านถือข้างทั้งนั้น ชวาลาเทวีทรงกระทำคุณให้ท่านอย่างใหญ่หลวงกระมัง”

“หาเป็นเช่นนั้นไม่ ความภักดีของข้าเริ่มจากสิ่งเล็กน้อยอย่างยิ่ง” วาสุเทพหัวเราะน้อยๆ “เรื่องมีอยู่ว่าข้ามิใคร่ชินกับอากาศร้อนอบอ้าวในละโว้นัก มีครั้งหนึ่งถึงกับเป็นลมหมดสติไปมิไกลจากอารามบนเกาะกลางน้ำ พระนางเจ้าเป็นผู้พบเข้าและช่วยพยาบาลรักษาจนหายเป็นปกติ โดยที่มิทรงทราบมาก่อนว่าข้าเป็นผู้ใด”

“เท่านั้นเองหรอกหรือ”

“เท่านั้นก็มากพอแล้ว” แววตาพระฤๅษีอ่อนลง “เพื่อพระนางเจ้าแล้วข้าจึงทำได้ทุกอย่าง”

“รวมถึงการดึงข้าข้ามมิติเวลามาเพื่อช่วยพระนางด้วยใช่หรือไม่”

“ข้ามิได้มีวิชาลึกลับซับซ้อนเช่นนั้นหรอก” สีหน้าวาสุเทพฤๅษีหลากใจ “ในคืนจันทราสีเลือด ข้าเพียงสวดภาวนาแลทำพิธีหลั่งน้ำกลางแสงจันทร์ให้เทพเทวาปกปักรักษาคุ้มครองพระนางเท่านั้นเอง แล้วเจ้าน่ะ เหตุใดจึงยังสวมรอยเป็นอนุชาแฝดองค์กัษษกรอยู่ได้เล่า”

“ข้าก็ตอบไม่ได้ว่าทำไม…” รัญชน์ถอนใจ “หรือข้าอาจกลัวที่จะกลายเป็น ‘คนอื่น’ สำหรับพระนาง”

จากนั้นชายต่างวัยทั้งสองก็นิ่งเงียบกันไปเช่นนั้นอีกครึ่งค่อนทาง สดับแต่เสียงฝีเท้าม้ากุบกับและนกกู่ร้องในพงไพร ความคิดกระจัดกระจายไปคนละทาง จนกระทั่งมาถึงชุมทางการค้าแห่งหนึ่ง ฤๅษีจึงเอ่ย

“จากนี้ข้าจักขึ้นดอยอุฉุจ หากเจ้าจะเข้าเวียงระมิงค์ก็คงต้องแยกกันตรงนี้ อาจต้องอาศัยติดตามขบวนพ่อค้ากลุ่มนั้นเข้าไป ข้าฝากฝังไว้ให้แล้ว”

“เส้นสายเครือข่ายท่านวาสุเทพช่างกว้างขวางเสียจริง”

ฤๅษีหัวเราะอีกครั้งอย่างคนอารมณ์ดีเป็นนิจ “แต่ขุนหลวงระมิงค์องค์นี้มิค่อยโปรดข้าเท่าไร ด้วยข้ามิยอมตามใจสอนวิชาไสยอาคมให้ จึงมิค่อยอำนวยความสะดวกให้ดังเดิม แต่กระนั้นเขาก็มิใช่คนใจร้าย ยังให้คนปฏิบัติต่อข้าด้วยความเคารพนบนอบเสมอ นับว่าเป็นบุรุษน้ำใจกว้างขวางคนหนึ่งนั้นแล”

วาสุเทพนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาฉลาดเฉลียวอย่างผู้ที่ผ่านโลกมามากจ้องลึกลงนัยน์ตาเขา ราวกับพยายามอ่านใจ “ได้ความอันเป็นประโยชน์ต่อหริภุญไชยแล้วก็จงรีบหาทางกลับเสีย”

“กลับที่ใด…โลกในกาลหน้าของข้า หรือหริภุญไชย”

“เจ้าเป็นผู้ตอบสิ่งนั้นได้ดีที่สุด ขุนเจ้ารัญชน์”

 

บุรุษผู้นั้นรูปร่างสูงโปร่ง คิ้วเข้มตาคมแต่ริมฝีปากบาง ดูแปลกตากว่าชาวลัวะชาวดอยทั่วไป ผิวพรรณก็หมดจดดูมีสง่าราศี ดูอย่างไรก็มิน่าเป็นพ่อค้าวาณิชทั่วไปได้ หรือชาวหนขุนน้ำจักมีรูปร่างหน้าตางดงามเช่นนี้กันเล่า…แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเขาเคยเห็นหน้าตาชาวลำพูนอย่างคร่าวมาแล้วเมื่อครั้งท่องไพรไปยังดอยขุนตาลด้วยหวังใจจะพบวาสุเทพฤๅษี

เขายังคงสังเกตพ่อค้าหน้าคมต่อไปอีกพักใหญ่ ครั้นเห็นหน่วยก้านการต่อรองแลกของป่าจากเหล่าพรานเพื่อนำไปขายนั้นดูคล่องแคล่วสมเป็นวาณิช ก็เริ่มเข้าไปทำความคุ้นเคย

“ข้าบ่เคยเห็นหน้าอ้ายบ่าวมาก่อน อ้ายเป็นคนลำพูนแม่นก่อ? มีนามว่าอันใดกา?”

“ข้าชื่อรัญชน์ นำเครื่องดินเผาจากลำพูนมาแลกของป่าหายากกลับไปขาย” พ่อค้าหนุ่มตอบ ยิ่งมองให้ชัดยิ่งเห็นเครื่องหน้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ฝ่ายนั้นก็มองเขาอย่างประหลาดใจเช่นกัน

“แล้วน้องบ่าวเล่า โพกหัวสะพายย่ามเช่นนี้แต่กลับมิเหมือนพรานไพรสักนิด เจ้าเป็นคนที่ใดกา?”

“ข้าชื่อเมฆ เป็นพรานแต๊ๆ ท่องไพรไปทุกแห่งหน แต่มักอยู่บนดอยอ้อยนั่นแล”

“ดอยอ้อย?”

“อุฉุจบรรพตจะใดเล่า แต่เรียกเช่นนั้นก็ยาวเกินไป คนที่นี่เขาเรียกดอยอ้อย”

“อ้ายเมฆหาใช่พรานไพรแต๊เสียที่ไหน” คนแถวนั้นแทรกขึ้น “บิดาเขาเป็นเจ้าเวียงแข้ที่ล่มสลายลงใต้น้ำไป ตัวเขาระหกระเหินอยู่หลายแห่ง นับว่ายังดีที่เจ้าเอเมียะมารดาสืบเชื้อสายเจ้านายทางสะเทิมโน้น ถึงได้มีเจ้าเมืองน้อยใหญ่อุ้มชูเอ็นดู จนได้ไปฝึกวิชามากมายทั่วสารทิศ ข้ามไปไกลถึงศรีเกษตร ฮะลินจี ล่องน้ำไปถึงเมืองดำโน้น ยามนี้เจ้าเอเมียะเป็นถึงชายาองค์ที่ห้าของขุนหลวงระมิงค์พระองค์ก่อน อ้ายเมฆจึงนับเป็นเจ้าผู้หนึ่ง แต่เขาใคร่เป็นศิษย์วาสุเทพฤๅษี เสียแต่ดาบสเฒ่ามิยอมรับใครเป็นศิษย์อีกแล้ว”

“เอ็งก็จาระไนเสียหมดเปลือก” ชายหนุ่มโคลงศีรษะ “จักเคยเป็นลูกเจ้าลูกนายที่ใดก็ช่าง บัดนี้ข้าเป็นพรานผู้หนึ่งเท่านั้น มิได้สมัครใจจะรับใช้ผู้ใด เว้นแต่จักมีสิ่งจูงใจเพียงพอ”

“สิ่งจูงใจน้องบ่าวย่อมมิใช่แก้วแหวนเงินทอง เพราะหากปรารถนาความมั่งคั่ง น้องบ่าวก็คงอยู่ในวังรับใช้ขุนหลวงไปแล้ว”

“แล้วอ้ายเล่า ดูทีมิใช่พ่อค้าสามัญแน่ อ้ายเป็นผู้ใดในลำพูนกา?”

“อ้ายก็เป็นพ่อค้าหม้อไหนั้นแล…” ดวงตาคมในกระบอกตาลึกยาวแปลกตาหลุบลงต่ำแวบหนึ่ง “ข้าเคยเป็นขุนนางกรมวังมาก่อนจึงอาจดูแปลกตากระมัง”

“เช่นนั้นก็ดี ข้าใคร่รู้จักคนลำพูนยิ่งขึ้น” ดวงตาเมฆเป็นประกาย “หากอ้ายรัญชน์บ่รังเกียจ ก็เชิญอยู่กับหมู่เฮาไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องพูดคุยกับอ้ายเยอะแยะทีเดียว”

จึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้เมฆได้เข้าใกล้ลำพูนมากขึ้น ได้รู้ว่าชาวนครหนขุนน้ำมีวิถีชีวิตอย่างไร

เมื่อสนิทสนมคุ้นเคยกันมากขึ้น พรานหนุ่มจึงยอมเปิดเผยจุดประสงค์เร้นลับของตนต่อลำพูน

“เมื่อครั้งท่องไปยังดอยขุนตาล ได้ยินว่าแม่เจ้าจามเทวีเสด็จประพาสดอยเพื่อมาไหว้สาพระฤๅษีพอดี ข้าใคร่ยลพระโฉมนางพญาเมืองคนงามให้เป็นบุญตา แล้วก็แทบจะวางวายไปตรงนั้น ด้วยจอมนางที่ปรากฏต่อหน้าข้าช่างมีสิริโฉมงดงามประดุจนางสวรรค์ ถึงกระนั้นก็ยังรวบรวมสติขึ้นได้เสียก่อน แล้วจึงลงมือเขียนรูปพระนางขึ้น”

“น้องบ่าวเขียนรูปพระนางจามเทวีกา?”

“แม่นแล้ว งามหยาดฟ้ามาดินเพียงนั้น”

“ขออ้ายชมได้ก่อ?”

“บ่ได้” เมฆส่ายหน้า “ข้าถวายขุนก๊ะไปเสียแล้ว”

“ขุนก๊ะ?”

“ขุนวิลังคะนั้นแล” พรานหนุ่มยิ้มแห้ง “มีนักพรตตนหนึ่งที่ข้าพบบนดอยอ้อย แนะให้ข้านำรูปเขียนพระนางจามเทวีถวายให้ขุนก๊ะทอดพระเนตร เมื่อได้ยลพระโฉมพิลาสเข้านั้นขุนก๊ะย่อมหลงใหลจนใคร่พิชิตดินแดนให้ได้จอมนางมานั้นแล”

“เหตุใดนักพรตตนนั้นต้องแนะนำเช่นนั้นด้วย”

แววตาเมฆฉายแววละอายใจ “เป็นเพราะข้านั้นแลที่ร้อนใจเพราะไฟรักที่มีต่อสาวลำพูนนางนั้น นักบวชผู้นั้นเลยแนะว่า หากใคร่สมรักต่อนางก็ย่อมต้องให้ลำพูนกับระมิงค์เกี่ยวดองกันให้ได้เสียก่อน”

“เจ้าพูดถึงนางใดกัน”

“นางผู้นี้” ครานี้เมฆหยิบเยื่อไม้แผ่นใหญ่ที่ม้วนอยู่ออกมาคลี่กาง ใบหน้ากลายเป็นสีแดงก่ำ “งามจับใจจนข้าอดใจมิไหวต้องวาดนางออกมาเช่นกัน ทราบมาว่าเป็นนางกำนัลคนหนึ่งของแม่เจ้าจามเทวี”

พ่อค้าพินิจรูปวาดนางกำนัลหน้าตาพริ้มเพราผู้นั้นแล้วก็อึ้งไปครู่ “อ้ายบ่าวรู้จักนางกระมัง”

“ก็…เคยพบหน้า น้องบ่าวเห็นนางที่ดอยขุนตาลเช่นนั้นกา?”

“แม่นแล้ว ได้สบตากันโดยบังเอิญหนหนึ่ง จากนั้นข้าก็กินไม่ได้นอนไม่หลับอีกเลย ลืมตาหรือหลับตาก็เห็นแต่หน้านางที่แม้แต่ชื่อก็มิทราบเสียด้วยซ้ำ”

“เจ้าจึงคิดหาวิธีที่จะได้สมรักกับนางกำนัลของแม่เจ้าหริภุญไชย ด้วยการยุยงให้ขุนก๊ะไปตีเมืองลำพูน จากนั้นจักได้ใช้อำนาจขุนก๊ะบีบบังคับเอาตามใจให้แม่เจ้าจามเทวียกนางกำนัลให้กา?”

“อ้ายรัญชน์เอ่ยแล้วฟังดูข้าช่างชั่วช้าสามานย์ยิ่งนัก”

“แล้วเจ้าต้องแลกเปลี่ยนสิ่งใดกับขุนก๊ะเล่า…รับราชการให้ราชสำนักระมิงค์?”

พรานเมฆพยักหน้า ทว่ารัญชน์กลับส่ายหน้า

“มิง่ายเช่นนั้นหรอกน้องบ่าว ข้าได้ยินมาว่าขุนหลวงไร้โอรสสืบบัลลังก์ แม้เจ้าจักไม่มีเลือดระมิงค์สักหยด แต่เพลานี้มีเพียงเจ้าผู้เดียวที่เหมาะสมพอจักสืบราชสมบัติได้ ขุนหลวงย่อมต้องให้เจ้าวิวาห์กับธิดาสักนางของเขาอยู่แล้ว เว้นเพียงเจ้ามิคิดจะยกย่องนางกำนัลแม่เจ้าลำพูนแต่แรก หวังแค่ได้นางมาเป็นเมีย ให้เป็นบาทบริจาริกาคนหนึ่งเท่านั้น”

“ข้ามิได้คิดมักง่ายเช่นนั้น” เมฆร้องลั่น “แล้วข้าหาได้พึงใจเจ้าหยาดรุ่งไม่ ข้อนั้นขุนก๊ะก็ทราบดี”

“เช่นนั้นก็จงไประงับดำริบ้าเลือดของขุนก๊ะเสียเถิด มีหนทางอีกมากมายที่เจ้าจักได้สมหวัง โดยมิต้องบังคับข่มเหงน้ำใจสตรีเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่าหากใช้อำนาจผู้ชนะสงครามบีบบังคับให้ได้นางมาเป็นเมีย เท่ากับทำลายเกียรติ นำความอัปยศสู่นางผู้นั้นเป็นตราบาปใหญ่หลวงทั้งชีวิต”

“ข่มเหงน้ำใจน่ะหรือ ข้ามิได้จักขืนใจนางสักหน่อย”

“มิใช่ก็เสมือนใช่ หากกลับกันต้องเป็นเจ้าที่ถูกบังคับให้ครองคู่กับคนไม่รักบ้างเล่า จะรู้สึกเช่นไร”

“ข้าบ่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่ถูกของอ้ายบ่าวนัก มิว่าบุรุษหรือสตรีก็ย่อมมิต้องการให้ผู้ใดใช้อำนาจบังคับให้ทำตามใจทั้งนั้น” เมฆมองชายรูปงามประหลาดตาอย่างชั่งใจใคร่ครวญ “ท่านมิใช่พ่อค้าหรือขุนนางกรมวังธรรมดาเสียแล้ว หากคงเป็นปราชญ์ชั้นสูงกระมัง ดูทีนครลำพูนคงจักเจริญรุ่งเรืองแน่แท้ แม้แต่พ่อค้าทั่วไปยังมีความคิดความอ่านหลักแหลมลึกซึ้งยิ่ง ข้าใคร่เป็นชาวลำพูนเข้าเสียแล้วสิ” เขาสบตารัญชน์แน่วแน่เหมือนตัดสินใจได้ “อ้ายต้องช่วยข้าแล้วละ อ้ายมิใช่พ่อค้าธรรมดา แต่เป็นชาววังผู้เจริญ จงใช้ไหวพริบของอ้ายช่วยกล่อมจูงใจขุนก๊ะให้เห็นดีเห็นงามกับความคิดอ้ายเถิด”

“พ่อค้าหม้อไหจักไปกล่อมขุนหลวงได้จะใด”

“พ่อค้าที่เคยเป็นขุนนางในวังจะใดเล่า”

ทว่า ยังไม่ทันที่เมฆจะเข้าไปกราบทูลขุนหลวงวิลังคะ ข่าวลือเรื่องพ่อค้าตาคมจากหริภุญไชยมาอาศัยกับพวกพรานป่าก็ไปเข้าหูขุนหลวงระมิงค์เข้าเสียก่อน ทั้งยังเป็นข่าวที่แต่งเติมเสริมต่อกันไปอีกว่าแท้จริงชายผู้นั้นหาใช่พ่อค้าธรรมดาไม่ แต่เป็นดาบสผู้ทรงฤทธิ์จากดอยขุนตาลที่กำลังออกจากการจำศีล

 

ข้างฝ่ายรัญชน์ที่ต้องสวมบทบาทเป็นผู้อื่นและเผชิญหน้ากับขุนหลวงวิลังคะโดยมิทันตั้งตัวเริ่มอกสั่นขวัญแขวน ไม่ได้เตรียมใจจะพบเจ้าเมืองระมิงค์มาก่อน แต่จะหาเรื่องกลับตัวก็มิได้เสียแล้วด้วยวันรุ่งขึ้นเจ้าเมืองระมิงค์ก็เสด็จเข้ามารวดเร็วปานพายุ ได้ยินเสียงดังกังวานมาไกลก่อนเห็นตัว

“อ้ายเมฆ ผู้ใดคือป้อครูดอยขุนตาลกา?” เสียงนั้นทรงอำนาจ ตามด้วยร่างเตี้ยล่ำหนา ทว่ามิได้ขี้ริ้วดังตำนานบรรยาย เสียแต่ทรงเครื่องอาภรณ์สีฉูดฉาด ตัดกับผิวเข้มคล้ำทำให้ดูขัดนัยน์ตาเล็กน้อย

“เฮามีเรื่องร้อนใจใคร่พบนักเทียว”

ดูแล้วขุนหลวงผู้นี้มีลักษณะโผงผาง ตรงไปตรงมา ขณะเดียวกันก็คงเอาแต่ใจอย่างคนเคยชินต่อการมีอำนาจ จึงเข้ามาแล้วประกาศความต้องการของตนโจ่งแจ้งปราศจากความเกรงใจ

“ผู้นี้กา? รูปร่างหน้าตาบ่เหมือนหมู่เฮา งามแต๊” ขุนหลวงเพ่งมองเขาโดยตรง

“พระองค์ เอ้อ ท่านขุน” เขามองพรานเมฆเป็นเชิงหารือว่าจะใช้คำใด ครั้นเมฆพยักหน้าคำที่สองจึงกล่าวต่อ “ขุนหลวงมีเรื่องอันใดร้อนใจกา?”

“เฮาอยากได้นางพญาเป็นเมีย” ขุนหลวงร่างหนาโพล่งทันควัน “เมียงามดุจนางสวรรค์ คู่ควรแก่การเป็นเทวีระมิงค์”

“ท่านขุนมีเมียตั้งมากมายบ่ใช่กา?”

“ชายาเฮาก็ตายไปนานแล้ว มีก็แต่นางสนมเท่านั้น หาควรแก่การยกย่องเป็นชายาไม่” เจ้าเมืองระมิงค์หันมาทางฤๅษีจำเป็น “เฮาใคร่ได้นางพญาชาวเม็งผู้นั้นยิ่งนัก…เหตุใดจึงดูงุนงงนัก เทวีแห่งหริภุญไชยจะใดเล่า จะมีนางใดงามกว่านี้อีกกา?”

จริงสินะ…หนึ่งในตำนานเล่าขาน ขุนวิลังคะพึงใจพระโฉมพระนางจามเทวีจนแต่งทูตมาสู่ขอ

“ข้านึกว่าขุนหลวงชังชาวเม็งเสียอีก” รัญชน์หยั่งเชิง “ค่าที่บังอาจขึ้นมาเป็นใหญ่ปกครองหมู่ลัวะ แผ่ขยายอำนาจรุ่งเรืองอย่างน่าอัศจรรย์”

เมฆขยับตัวอย่างอึดอัด มองด้วยสายตาไม่เข้าใจนัก ขณะที่ขุนวิลังคะชี้ไปทางพรานหนุ่ม

“ก็อ้ายเมฆน่ะสิ ไปลักวาดรูปพระนางครั้งประพาสป่าดอยขุนตาล ผ่านไปเนิ่นนานถึงเพิ่งนำมาให้ข้าชม รู้เช่นนี้เฮาคงไปรับขวัญนางพญาตั้งแต่ย่างบาทสู่นครหนขุนน้ำทีเดียว”

“เหตุใดสูจึงทำเช่นนั้น” รัญชน์แสร้งหันไปถามพรานรูปงาม แววตาพรานหนุ่มฉายแววฉงนอีกครั้ง

“ก็คงอยากให้เฮาไปก่อศึกบดขยี้แคว้นพระนางน่ะสิ ป้อครูคงรู้ดีว่าอันนครที่มีเพียงนารีปกครองนั้นอ่อนแอนัก ไฉนจะสู้เมืองระมิงค์ของตูข้าได้ แต่ข้ามิทำเช่นนั้นหรอก”

คราวนี้ทั้งฤๅษีตัวปลอมกับพรานหนุ่มเชื้อสายเวียงแข้หันมาสบตากันงุนงง

“ขุนหลวงมิได้คิดจักยกทัพตีเมืองหริภุญไชยเพื่อชิงพระนางเจ้าหรอกหรือ”

“ความงามเฉิดฉันนี้ ทำลายเสียก็น่าเสียดาย สู้ใช้ไม้อ่อนให้พระนางยินยอมด้วยสิเน่หามิดีกว่าฤๅ”

“ยินยอมด้วยสิเน่หากา? หมายความว่า…”

“ก็ป้อครูนั่นแลต้องเป็นผู้ทำเสน่ห์มายาให้นางพญาลำพูนลุ่มหลงในตูข้าให้จงได้” กล่าวแล้วก็ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายปฏิเสธ “รู้ไว้เถิด เฮาจักเอาแม่เจ้าหริภุญไชยเป็นเมียให้จงได้ ที่มาหาป้อครูก็ด้วยเหตุนี้แล โปรดช่วยเฮาให้สมหวังด้วยเถิด”

“เฮาน่ะหรือ…เหตุใดต้องเป็นเฮา”

“ก็ได้ยินเขาเล่าว่าป้อครูมีวิชาอาคมลึกลับ ชะรอยจักเป็นนักพรตกลางไพรที่เขาร่ำลือกัน”

“เฮามิใช่นักพรตผู้นั้น หากให้เฮาช่วย เฮาจักช่วยด้วยวิถีที่มิต้องทำเสน่ห์และมิใช้กำลังทำศึก”

รัญชน์พยายามตั้งสติ…ทำอย่างไรถึงจะรักษาผลประโยชน์และความปลอดภัยให้หริภุญไชยและพระนางจามเทวีได้โดยไม่ต้องมีประชาชนแคว้นใดเสียหายเดือดร้อน

“ช่วยให้สมหวังนั้นบ่ยาก กองทัพเกรียงไกรของขุนหลวงย่อมเอาชนะเมืองกระจ้อยอย่างหริภุญไชยได้ง่าย ได้จอมนางมาครองโดยมิต้องสงสัย หากสมรักนั้นแลที่ยาก ขุนหลวงคงบ่ปรารถนาให้สตรีกล้ำกลืนฝืนทำว่าสิเน่หาแม่นก่อ อย่างไรก็ย่อมอยากได้ความรักสมัครใจ เช่นนั้นแลที่ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ โปรดอย่ารีบร้อนนักเลย”

“ใช้เวลาอย่างไรหรือ”

ฤๅษีจำเป็นกระแอมเล็กน้อย “ก็ทำให้พระนางเห็นว่าขุนหลวงแห่งระมิงค์เป็นยอดบุรุษผู้น่าใฝ่หา น่านับถือ เมื่อพระนางเกิดความประทับใจก็จักยอมประนีประนอมนุ่มนวล มิต้องแลกด้วยความขุ่นข้อง”

“แล้วเฮาต้องทำอย่างไร โปรดบอกมาเถิด” ขุนหลวงชาวลัวะฟังวาจาซับซ้อนไม่ออก ถนัดแต่ถ้อยคำตรงไปตรงมา รัญชน์จึงรวบรวมความกล้า

“ประการแรก ขุนหลวงต้องบำรุงปรุงโฉมให้ต้องใจสตรีเสียก่อน”

 



Don`t copy text!