แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 21 : งานกีฬากระชับมิตร

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 21 : งานกีฬากระชับมิตร

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

รัชทายาทหนุ่มถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลหลวงโดยทันทีที่มาถึงแสนฟ้า แม้พระอาการบาดเจ็บจะไม่สาหัสมากหากแต่โลหิตไหลออกจากบาดแผลไม่หยุด ครั้นถึงโรงพยาบาลหลวง หมอกุปป้าจึงรีบนำตัวเจ้าชายเข้าห้องฉุกเฉินและห้ามผู้ใดติดตาม ท่านเพียงให้คนไปตามเจ้าสามเมืองที่หอตะวันตกและให้เก็บทุกอย่างไว้เป็นความลับ แจ้งว่าเป็นความต้องการของคนไข้

จันทร์หล้ากลับมาที่หอตะวันตกและรอฟังข่าวคราวของคนเจ็บในแต่ละวันด้วยใจจดจ่อ และแปลกใจที่ทางราชสำนักออกข่าวว่า เจ้าชายหนุ่มเกิดอุบัติเหตุพลัดตกจากหลังม้าแล้วถูกตอไม้แทง หญิงสาวรู้ว่านั่นมันไม่จริง เพราะนางเองคือผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์

เจ้าแกมเมืองประทับรักษาตัวที่โรงพยาบาลหลวงเพียงไม่กี่วัน ก็เสด็จกลับมารักษาตัวอยู่ที่หอหน้า เจ้าสามเมืองรับอาสาเป็นแพทย์เจ้าของไข้ในการตามมาดูแลพระอาการในแต่ละวัน กระทั่งผ่านไปเป็นอาทิตย์ ก็จึงแจ้งว่าอาการของคนเจ็บดีขึ้นตามลำดับและทรงอนุญาตให้คนภายนอกเข้าเยี่ยมได้

ชาวหอตะวันตกซึ่งนำโดยเจ้าสอาดองค์และบุตรธิดาจึงขอเข้าไปเยี่ยมไข้ จันทร์หล้าจึงถือโอกาสนี้ติดตามพวกท่านเข้าไปในที่พำนักของเจ้าแกมเมือง นางเพียงอยากจะไปดูว่าเขายังอยู่ดี ใจจริงนางนึกละอายและอยากจะขอบคุณเขา เพราะที่เขาต้องบาดเจ็บก็เป็นเพราะเขาปกป้องนาง ยามที่เขาถูกมีดฟันแล้วทรุดตัวลงไปในตอนนั้น จันทร์หล้าใจหายวาบและเห็นเขาเป็นนายกอง

นางติดหนี้บุญคุณเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า…

เมื่อเดินทางมาถึงที่หอหน้า ก็พบว่ามีรถยนต์และผู้คนมาเยี่ยมคนเจ็บมากหลาย เจ้าแกมเมืองแข็งแรงไวกว่าที่คิดไว้มาก และดูหายดีเป็นปลิดทิ้งราวกับว่าไม่เคยมีบาดแผลใดๆ มาก่อน ร่างใหญ่นั่งประทับอยู่บนโซฟาหรูรอต้อนรับแขกเหรื่อด้วยความจำเป็น มีพระญาติคนอื่นๆ รายล้อมและคอยอยู่สนทนาเป็นเพื่อนคลายเหงา จันทร์หล้าทันส่งยิ้มให้เขาเพียงแวบเดียวเท่านั้น และคิดว่าเขาคงจะไม่ทันเห็น

เมื่อผู้ใหญ่อยู่จิบชาและพูดคุยกันถึงเรื่องบ้านเมือง เจ้าสุนันต่าก็จึงชวนจันทร์หล้าออกไปเดินเล่นยังสวนด้านหลังตำหนักที่ขึ้นว่างดงามที่สุดในบรรดาสวนทั้งหลายในหอหลวง

สวนหอหน้าแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นสนฉัตรและพรรณไม้สีเขียวอื่นๆ ที่ดูร่มรื่น เย็นตา ทั้งซุ้มไม้เลื้อยหรือบนแปลงดินก็ล้วนเต็มไปด้วยดอกไม้หลากชนิด ทั้งกุหลาบ ลาเวนเดอร์ รวมทั้งดอกเดลฟินเนียมที่แย่งกันบานสะพรั่งชูช่อล่อตาหมู่แมลงตอมน้ำหวาน รอบๆ สวนยังตกแต่งด้วยบ่อน้ำพุสีขาวและปูนปั้นประติมากรรมโรมัน บรรยากาศต่างจากบนตำหนักที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวาอย่างสิ้นเชิง ราวกับเจ้าของตำหนักได้ยกเอาความแจ่มใสลงมาไว้ที่สวนนี้ทั้งหมด

“ชะ…โชคดีเหลือเกินที่เจ้าแกมเมืองท่านบ่เป็นอะไรมาก งะ…งานกีฬาช่วงปลายปีกำลังจะใกล้เข้ามาแล้ว หากท่านหายบ่ทัน ก็คงจะบ่ได้ลงแข่งขันขี่ม้าตีโปโลให้กับฝ่ายแสนฟ้า”

“เจ้าปลาสบายใจเถิดบาทเจ้า เจ้าท่านก็ยังดูแข็งแรงเหมือนเคย”

“สู…สูเห็นตอนท่านตกม้าใช่ไหม”

จันทร์หล้ากลั้นหายใจไปหนึ่งจังหวะเมื่อเจ้าสุนันต่าเอ่ยถึงอาการบาดเจ็บของเจ้าชายหนุ่มขึ้นมา

“บาทเจ้า เอ่อ…”

“เกิดอันใดขึ้น”

“เอ่อ ตอนนั้น ท่านกระโดดขึ้นม้า ละ แล้ว เผลอไปทำท่าไหนบ่รู้ อยู่ๆ ม้าก็…ก็ตกใจตื่นก็เลยวิ่งหนีไป เจ้าท่านยังบ่ทันได้จับบังเหียนดี ก็เลย เอ่อ…ก็เลย ตกลงมา”

“ตะ…ตกลงมาแรงเลยหรือ”

“ขาชี้ขึ้นฟ้าเลยบาทเจ้า” จันทร์หล้าเล่าเป็นตุเป็นตะ

“แปลกเหลือเกิน จะ…เจ้าแกมเมืองท่านทรงม้าเก่งยิ่งกว่าอะไรดี เหตุใดถึงพลิกตกม้าได้ ทะ…ท่านเป็นถึงนักกีฬาโลโลของแสนฟ้าเชียวนะ”

จันทร์หล้ายิ้มแหยๆ นางไม่กล้าเล่าเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น

ดรุณีทั้งสองพากันเดินเล่นไปในสวนดอกไม้ ต่างเพลิดเพลินใจกับแปลงไม้ดอกแปลกตาพันธุ์ต่างๆแล้วจึงพากันวิ่งเล่นไล่จับเหล่าผีเสื้อและแมลงปอไปทั่วทั้งสวนอย่างสนุกสนาน ก่อนจะไปนั่งพักเหนื่อยที่ศาลาสีขาวหลังงามริมลำธารน้ำใส น้ำในลำธารคงจะเย็นจัดด้วยมีไอน้ำระเหยลอยเป็นหมอกบางๆ ปกคลุม

“นั่นเจ้าปลากำลังทำอันใด”

“ทะ…ทำช่อดอกไม้ มาช่วยข้าทำสิ”

จันทร์หล้าเข้ามาช่วยเจ้านางน้อยจับเด็ดกิ่งดอกชมพูพันธุ์ทิพย์และดอกอินทนิลสีม่วงอ่อนลงมาจากต้น ว่าแล้วก็แบ่งดอกไม้เป็นสองกองเท่าๆ กัน ทำเป็นช่อดอกไม้ทำมือช่อใหญ่ เสร็จแล้วก็จึงพากันเดินไปตามทางที่ปูด้วยแผ่นหินสีขาวตัดกับสีเขียวของไม้พุ่มเตี้ย ที่จัดแต่งเป็นทรงเขาวงกตที่เป็นระเบียบและสะอาดตา

ใจกลางสวนวงกตปรากฏอนุสาวรีย์หินอ่อนรูปคนตั้งอยู่เป็นอนุสรณ์สถาน แค่เพียงก้าวย่างเข้าไปในบริเวณ จันทร์หล้าก็รู้สึกสะเทือนใจและเอิบอิ่มหัวใจระคนกันอย่างบอกไม่ถูก อนุสาวรีย์นั้นแกะสลักเป็นรูปคนตั้งแต่ช่วงไหล่ขึ้นไปอย่างวิจิตร ท่านผู้หญิงทั้งสองคงจะเคยเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ของใครบางคนเป็นแน่ การจากลาของพวกท่านคงจะสร้างความทุกข์ระทมให้กับคนที่ยังอยู่เป็นล้นพ้น

หลังจากนำช่อดอกไม้ไปวางลงตรงเบื้องหน้ารูปปั้นสตรีทั้งสอง เจ้าสุนันต่าก็เข้าไปอ่านประวัติของแต่ละท่านที่มีสลักไว้เป็นภาษาไทและภาษาอังกฤษบนป้ายหินอ่อน จันทร์หล้าถึงได้ทราบว่าท่านผู้หญิงทั้งสองเป็นพระมารดาของเจ้าแกมเมือง และอีกคนเป็นอดีตคู่หมั้นที่จากไปก่อนวันสมรสเพียงแค่ไม่กี่วัน

“วิน สิรี มิน จ่อ…ชายาองค์ที่สองของเจ้าฟ้าหลวงแห่งแสนฟ้า อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งชาติ ผู้มีเชื้อสายชาวม่านครึ่งตะวันตก จะ…จากไปในวัยเพียงสามสิบหกด้วยถูกยาพิษ”

เมื่อนั้น คนทั้งสองจึงหันมามองหน้ากันแต่ต่างคนต่างพูดไม่ออกด้วยกันทั้งคู่ เจ้าสุนันต่าหันไปอ่านประวัติของสตรีอีกท่าน ที่มีสลักไว้บนแท่นหินเช่นเดียวกัน

“อดีตคู่หมั้นของเจ้าแกมเมือง นามว่า เจ้าส่องดาว”

“เจ้าส่องดาว…” หญิงสาวทวนชื่อนั้น

“ปะ…เป็นธิดาของเจ้าฟ้าเมืองเขมรัฐที่เสด็จจากไปเมื่อสิบปีที่แล้วด้วยอุบัติเหตุรถยนต์พุ่งตกหนองน้ำ ระ…ร่างของท่านติดอยู่ในซากรถที่จมลงใต้ก้นบ่อ

จันทร์หล้ารู้สึกหดหู่จับจิต นึกไม่ถึงว่าคนอย่างเจ้าแกมเมืองเองก็มีอดีตที่น่าสงสารอย่างคาดไม่ถึง ทำให้นึกภาพไม่ออกเลยว่า การสูญเสียคนที่เป็นที่รักถึงสองครั้งสองครา หัวใจของเขาจะแตกสลายย่อยยับสักเพียงใด หรือเขาจะมีอาการเห็นภาพหลอนนอนฝันร้ายซ้ำไปซ้ำมาเหมือนอย่างที่นางเคยเป็นบ้างไหม

นางเข้าใจหัวอกของคนที่สูญเสียคนรักดี…

“นั่นทั้งสองคนกำลังทำอะไรกันอยู่”

เสียงเข้มขรึมดังมาจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็พบว่าเจ้าของตำหนักมายืนอยู่เบื้องหลังคนทั้งคู่ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ เจ้าสุนันต่ารีบลุกขึ้นมาเหมือนเด็กที่กำลังทำผิดแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้

“เจ้าอ้าย…พะ…พวกข้าเพียงแค่มาเดินเล่นชมดอกไม้ ขะ…ข้านึกได้ว่ามีรูปปั้นของเจ้าป้าและเจ้าส่องดาวตั้งอยู่ในสวนนี้ จะ…จึงพากันมาดู”

คนยืนเอามือไพล่หลังเหลือบมองช่อดอกไม้ที่วางอยู่หน้ารูปปั้นด้วยหางตาเพียงครู่ สายตาคมกริบมองตวัดกลับมาอีกครั้ง

“ที่นี่บ่ใช่ที่วิ่งเล่น…เจ้าแม่ของท่านให้มาตาม บอกว่ากำลังจะกลับตำหนักแล้ว”

“บาทเจ้า”

เจ้าสุนันต่ารีบรับคำ ก่อนจะหันไปมองหน้ากันกับจันทร์หล้าอย่างโล่งอก ว่าแล้วก็จึงรีบพากันออกไปจากที่ตรงนั้นก่อนจะถูกเจ้าของที่ตำหนิไปมากกว่านี้ โทษฐานที่แอบเข้ามาที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาต

“เธอ…เธออยู่ก่อน”

เขากล่าวรั้งอีกคนไว้ จนทำให้จันทร์หล้าสะดุ้งโหยง นางกระอึกกระอัก รีบหันไปสบตากับเจ้านางน้อยอีกครั้งพลางรีบส่ายหน้าเป็นเชิงว่าอย่าทิ้งนางไว้ตรงนี้

“เจ้าท่าน ทรงดีขึ้นแล้วใช่ไหม”

“เธอดีใจหรือ เธอดีใจทำไม หรือดีใจที่เห็นฉันอยู่ในสภาพแบบนี้ คงจะสมใจเธอแล้วละสิ”

จันทร์หล้าเสียใจที่เขาเข้าใจแบบนั้น

“ข้าบ่ได้คิดแบบนั้น แม้ว่าท่านจะเคยทำป่าเถื่อนกับข้ามาก่อน”

“เธอคิดว่าฉันจะเชื่อคำของคนอย่างเธออย่างนั้นหรือ”

“เชื่อสิ ท่านต้องเชื่อข้า…ข้าบ่ได้อยากเห็นท่านเป็นแบบนี้”

“สูก็เป็นห่วงข้าเหมือนกันหรือ”

ดวงหน้าเศร้าสร้อยพยักหน้าลงตามซื่อ “ข้าจะมีปัญญาที่ไหนไปคิดเรื่องสมน้ำหน้าฆ่าแกงท่านลง ขนาดตัวข้ายังเอาตนเองแทบบ่รอด”

เจ้าชายหนุ่มกวาดตามองคนในชุดผ้าซิ่นยาวพลิ้วเข้ารูปสีอ่อน แม้ใบหน้าอ่อนเยาว์จะเข้ากันดีกับทรงผมที่มุ่นมวยเป็นเกล้าสูงประดับด้วยหวีสับเงินและแซมดอกไม้ หากแต่ภาพจำของเขา นางคือหญิงสาวผมสั้นฟูฟ่องเหมือนแมวยามพองขนขู่ฟ่อ ว่าแล้วก็นึกขำ

“อะ รับไป ฉันเอามาคืน” เขายื่นกำไลเพชรประดับทับทิมที่เคยยึดมาจากนางในคืนวันงานเลี้ยงส่งให้

“เก็บเอาไว้เถิดบาทเจ้า กำไลเป็นของของท่าน ข้าบ่ได้ต้องการสิ่งของแพงๆ แบบนั้น”

“ยังโกรธเคืองฉันอยู่หรือไง…”

“เอ่อ…”

“ใจเธอคิดเกลียดคนที่ช่วยชีวิตเธอมาได้ลงเชียวหรือ”

เขาคาดคะแนจากดวงตาคู่งามที่มองช้อนขึ้นมา ที่พลอยทำให้ใจกระชุ่มกระชวย

“ฉันขออภัย”

จันทร์หล้าเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ แทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าจะได้ยินคำพูดดีๆ ออกมาจากปากเขา ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ นางเหมือนจับเค้าความสำนึกผิดได้ในน้ำเสียง แม้ปลายเสียงจะยังติดหยิ่งยโสอยู่นิดๆ ก็ตามที ไม่รู้เขามาไม้ไหน

“ขออภัยข้าเรื่องอันใด”

“ก็…ทุกเรื่องที่เคยทำให้ต้องเจ็บตัวและที่เคยล่วงเกินทั้งคำพูดและการกระทำ ทุกอย่างที่เคยทำให้เธอต้องเกลียดฉัน”

“ทำไม”

“ก็เป็นสิ่งที่คนเราควรทำบ่ใช่หรือ”

“บ่เห็นจำเป็น” กล่าวเบาๆ อย่างไม่จริงจัง เมื่อน้ำเสียงเขาเปลี่ยน สำเนียงนางเองก็เปลี่ยนจนนึกแปลกใจตัวเอง

ว่าแล้วมือใหญ่ก็คว้าข้อมือนางไป ก่อนจะเอากำไลสวมใส่ให้ สัมผัสจากเจ้าชายหนุ่มครั้งนี้อ่อนโยนขึ้นกว่าทุกครั้ง ดวงตาเขามองลอดออกมาจากกรอบแว่นสีทองมาสบตานาง

“ตอนนั้นที่พาเธอมารักษาตัวอยู่ที่โรงยาหลวง ฉันไม่ยักกะรู้ว่าเธอต้องรักษาอาการทางใจด้วย นึกว่าจะเพียงป่วยเป็นไข้และมีบาดแผล”

“ก็แน่ละสิ ท่านเป็นนักฆ่าประเภทที่ฆ่าเหยื่อบ่ตายสนิท แถมยังปล่อยทิ้งเอาไว้ แต่บ่ได้อยู่ติดตามผลงานนี่”

“ฉลาดพูดดี”

เมื่อเขาไม่ใช่คนช่างพูด ส่วนนางเองก็ไม่ได้ว่าอยากจะอยู่เจรจา บรรยากาศตรงนั้นจึงค่อนข้างแปลกปนพิลึก กระอักกระอ่วนกันทั้งสองคน เมื่อเจ้าชายหนุ่มเงียบไป จันทร์หล้าเลยจำต้องถามขึ้นเหมือนคนทำตัวไม่ถูก

“ท่านหมอบอกเจ้าท่านรึไง”

“ใช่”

“งั้นท่านหมอก็ทราบตั้งแต่ต้นน่ะสิ ว่าเจ้าท่านเป็นคนพาข้าไปรักษา”

“แหงอยู่แล้ว”

จันทร์หล้านิ่งไปสักพักจึงว่า “ท่านหมอบอกข้าว่าจิตใจบ่เหมือนคนอื่น ข้าล่องลอย จมทุกข์ เป็นคนพลัดถิ่นไร้ที่มา ท่านจึงเมตตาสงสารข้า แถมข้ายังโชคดีที่เจ้านายรักและเห็นใจ ข้ารักษาตัวอยู่นาน ยาของหมอกุปป้าก็เป็นยาวิเศษ ทั้งรักษาพิษไข้ บาดแผลและโรคทางใจ ตอนนี้ข้าเองก็แข็งแรงสมบูรณ์ดี และต้องขออภัย หากนั่นบ่ใช่สิ่งที่ท่านอยากได้ยิน”

“ก็ดี…ก็ไม่ได้ว่าอะไร” เขาว่า ก่อนจะเดินไปอยู่ตรงหน้ารูปปั้นของสตรีทั้งสอง “ฉันได้ยินเธอเรียกฉันด้วยนามอื่น ตอนที่พวกโจรทำร้าย”

เขาหันกลับมาอีกครั้ง “เธอเรียกฉันว่านายกอง”

จันทร์หล้าไม่ตอบ นางไม่อยากรื้อฟื้นความหลัง นางไม่อยากเอ่ยถึงชายผู้ไปดีแล้ว เจ้าแกมเมืองเห็นนางอึกอัก เลยเปลี่ยนเรื่อง

“ว่าแต่ ได้เห็นเจ้าอามและครอบครัวของท่านรักเธอ ฉันก็ดีใจกับเธอด้วย”

“เจ้าอามมีพระคุณต่อข้ามาก ทุกคนที่หอตะวันตกก็รักข้า ข้าเองก็รักพวกเขา”

“เจ้าเสือกล่าวชื่นชมเธอให้ฉันฟัง เขาบอกว่าเธอฉลาดและนอบน้อม เธอรู้จักบ้านเมืองที่สยาม”

“ข้าก็แค่…เคยเห็นจากภาพถ่ายเท่านั้น”

“ดูเหมือนเธอจะยังไม่ได้เล่าของที่เกิดขึ้นที่เมืองหางให้พวกเขาฟัง”

“ข้าก็ยังพอรู้จักบุญคุณคน ข้าหรือที่จะคิดทำร้ายผู้มีพระคุณ…”

เขามองกลับมามองพลางเลิกคิ้ว มิ่งมองนางแมวบ้านผู้นี้อย่างแปลกใจ ส่วนนางพยายามหลบตาเขาตลอด

“ข้าถูกพวกที่ชายแดนนั่นจับมา ชีวิตข้าเป็นผักปลาและไร้ค่าบ่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไร ข้าเองติดหนี้บุญคุณท่านเหลือหลาย ท่านช่วยไถ่ถอนชีวิตข้า แม้จะด้วยจุดประสงค์ใดก็ตาม ข้าเองก็นับว่ามันเป็นบุญคุณอยู่ดี และหากท่านจะเมตตาข้าเอาบุญต่ออีกสักนิด ก็โปรดได้ปล่อยข้าไปสักชีวิตหนึ่งเถิด”

จันทร์หล้าขยับเข้าไปหาเขา กลิ่นหอมกลิ่นดอกไม้ประปรุงที่เรือนร่างหอมฟุ้งจนอีกคนได้กลิ่นหวาน

“ขอข้าอยู่ที่นี่ได้ไหม…ตอนนั้นที่เจ้าท่านบอกว่าจะพาข้ากลับไปที่ชายแดน ข้าบ่อยากกลับไปที่นั่น ข้ารักที่นี่ รักทุกคนที่แสนฟ้า ที่ชายแดนนั่นมีแต่สิ่งน่ากลัวและอันตราย”

เจ้าแกมเมืองฟังคำอ่อนหวานนั่นแล้วช่างรู้สึกรื่นหู แต่เขาเองก็ไม่ได้ว่าจะคล้อยตามไปกับน้ำเสียงที่ก็ฟังดู…น่ารัก เข้าหูดี

“ฟังดูเหมือนคำอ้อนวอนเสียจริงๆ แต่เสียดายฉันไม่ใช่พวกชอบทำบุญ ฉันเป็นพ่อค้า ทำการค้าขาย หากใครใคร่อยากได้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ต้องมีสิ่งใดสิ่งอื่นมาแลกเอา”

หญิงสาวสะดุ้งเมื่อเขาพูดแบบนั้น “แต่ข้าบ่มีทรัพย์สินเงินทอง”

“แต่เธอยังติดหนี้ฉันอยู่มากโข มันเป็นราคาชีวิตของเธอที่ฉันไถ่ตัวมาจากคนพวกนั้น พวกมันเรียกค่าตัวเธอสูงลิบลิ่ว แลกกับการพาเธอออกมาจากซ่อง”

“แล้วข้าจะใช้หนี้คืนเจ้าท่านได้อย่างไร”

“อยากจะใช้หนี้จริงๆ หรือไง”

ร่างสูงใหญ่หันกลับมาถาม แสงแดดอ่อนๆ ส่องพาดใบหน้าคมคายที่เริ่มมีหนวดเคราขึ้นเขียวครึ้มให้ดูเยาว์วัยลงไปถนัดตา จังหวะหนึ่งนั้นจันทร์หล้าไม่กล้าสบตาเขา จึงแสร้งทำเป็นเสมองไปทางอื่น ใบหน้าแดงซ่านเหมือนลูกตำลึงสุกเปล่งปลั่ง

“บอกจำนวนมาก่อนสิว่าสักเท่าไหร่ บางทีข้าอาจจะพอ…หยิบยืมจากเจ้าอามมาทยอยคืนได้”

“หากว่าฉันจะให้เธอชดใช้ด้วยอย่างอื่น เธอจะยินยอมหรือไม่”

จันทร์หล้ารีบกล่าวปฏิเสธด้วยความเลิ่กลั่ก รีบหันหลังให้เขา “ท่านต้องการร่างกายข้าหรือ…แต่ข้า ข้า เอ่อ…คือ”

“ฉันจะให้เธอย้ายมาอยู่ที่หอหน้า” เขากล่าวแทรก “เธอมาทำงานเป็นเสมียนให้กับฉัน คอยรับใช้และดูแลฉันตลอดเวลาที่ฉันต้องกลับมาอยู่ที่แสนฟ้านี้ รวมถึงตอนที่ต้องเดินทางไปทำงานต่างเมืองตามคำสั่งของเจ้าฟ้า เธอฟัง พูด อ่านและเขียนภาษาสยามได้ ฉันต้องการเธอมาช่วยงาน”

“แต่ข้าบ่ได้มีความรู้มากมายขนาดนั้น อีกอย่าง ข้าอยากดูแลปรนนิบัติเจ้าอาม ข้าเคยให้สัญญากับเจ้านางท่านว่าจะบ่โยกย้ายหนีไปจากท่าน ข้าออกปากสาบานแล้วว่าจะดูแลเจ้านางจนชีวิตจะหาไม่”

ชายหนุ่มยักไหล่ ไม่สนใจ ก่อนจะหันไปนั่งลงดึงวัชพืชที่ขึ้นมาเต็มลานอนุสรณ์อย่างไร้กังวล

“เจ้าอามทรงอนุญาตแล้ว ท่านตกลงให้เธอย้ายมาอยู่กับฉันได้ หลังเสร็จสิ้นจากงานแข่งกีฬาที่สโมสรช่วงสิ้นปี”

จันทร์หล้าไม่อยากเชื่อคำพูดเขาเสียทีเดียว นางนิ่งอึ้งลงไปราวกับกำลังสับสนและรู้สึกเคว้งจนทำตัวไม่ถูก เจ้าแกมเมืองหันมาหา หัวเราะใส่เล็กน้อย

“มาทำงานอยู่กับฉัน เธอจะได้เรียนภาษาไทและภาษาอังกฤษ เธอได้ภาษาสยามแล้ว เรียนเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยก็คงจะใช้ทำงานได้ อีกอย่างทำงานเป็นเสมียนให้กับฉัน เธอจะได้เปิดหูเปิดตา เดินทางไปที่นั่นที่นี่ทั่วรัฐไทคำหลวง ฉันจะให้เบี้ยเลี้ยงเธอเหมือนกับคนอื่นๆ นี่แหละคือสิ่งที่เธอจะตอบแทนบุญคุณและใช้หนี้คืนฉันได้…หากเธอต้องการจะทำมันจริงๆ”

หญิงสาวพรวดพราดเข้านั่งลงข้างๆ คนกำลังนั่งถอนหญ้าด้วยสายตาเป็นกังวล

“แต่เจ้าท่านต้องสัญญากับข้าก่อนว่าจะบ่ทำอันใดข้าเป็นอันขาด ต้องสัญญาว่าจะบ่รุกรานหรือล่วงเกินข้าเหมือนที่เคยทำ” นิ้วก้อยน้อยๆ ยกยื่นออกมาตรงเบื้องหน้าเพื่อขอทำสัญญาใจ “…สัญญาสิ สัญญาต่อหน้ารูปปั้นมารดาและชายาของท่าน ว่าท่านจะเมตตาข้าเหมือนดั่งคนในครอบครัวด้วยเช่นกัน และจะปกป้องข้าเสมือนดั่งปกป้องสหาย”

“ตลกแล้ว ใครเป็นคนยื่นข้อเสนอให้ใครกันแน่…”

“สัญญาสิ”

แกมเมืองหนุ่มทำน้ำเสียงจิ๊เมื่อถูกรบเร้าซ้ำแล้วซ้ำอีก หากแต่ก็ยอมยื่นนิ้วก้อยของตนเองเข้ามาเกี่ยวพันทำสัญญาอย่างเสียไม่ได้ จันทร์หล้าพอโล่งใจอยู่ในที

อย่างน้อยก็หวังว่าคนอย่างเขาจะรักษาสัญญา

“ข้ามีอีกเรื่องที่อยากจะถามท่าน”

“อะไรอีกล่ะ”

“เหตุใดท่านถึงบ่พูดสำเนียงไทคำหลวงกับข้า เหตุใดต้องพูดกับข้าด้วยสำเนียงสยาม”

“ก็ฉันไม่ชิน…” เขากล่าวทื่อๆ ให้เหตุผลแค่นั้น และไม่ได้ขยายความอีก

“ข้าเคยบอกเจ้าท่านแล้ว ว่าถึงข้าจะฟังเข้าใจ หากข้าบ่ใช่คนสยาม เจ้าท่านพูดกับข้าด้วยสำเนียงภาษาของไทคำหลวงเถิดนะ หมู่เฮาอยู่ในดินแดนไทคำหลวง เหตุใดเฮาต้องใช้ภาษาของคนอื่นสนทนาต่อกันด้วย”

“สูชักจะขอข้ามากเกินไปแล้วนะ”

“ต้องอย่างงี้สิ” จันทร์หล้ายิ้มออก ซึ่งทำให้อีกฝ่ายอดที่จะขุ่นเคืองอย่างเสียไม่ได้

“รีบไปเถิด เจ้าอามท่านรอสูอยู่ เอาไว้พบกันอีกครั้งในงานกีฬาที่สโมสรโปโล ข้าได้ยินว่าสูจะลงแข่งขันกระโดดไกลให้หอตะวันตก”

“ข้าเองก็ได้ยินมาว่า เจ้าแกมเมืองเป็นนักกีฬาขี่ม้าตีโปโลที่เก่งกาจ แม้จะบ่เคยเห็นและรู้จักสิ่งนั้นมาก่อน แต่ข้าก็หวังว่าจะได้เห็นเจ้าท่านลงแข่งขันในวันนั้นเช่นเดียวกัน ข้าน้อยขอลา…”

 



Don`t copy text!