ละเล่นลานรัก บทที่ 16 : สัญญาณเหมือนจะดี

ละเล่นลานรัก บทที่ 16 : สัญญาณเหมือนจะดี

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

น้ำเย็นรสชาติหวานติดปลายลิ้นที่มีกลิ่นใบเตยอบอวลอยู่ในปากหลังจากทุกคนดื่มเข้าไป ช่างเพิ่มความสดชื่นได้เป็นอย่างดี ผ่อนคลายอาการเหนื่อยและเรียกเรี่ยวแรงให้เตรียมพร้อมทำกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า

“ฉันไม่เคยวิ่งเล่นอย่างนี้มานานมาแล้ว แต่สามีของฉันดูจะสนุกกว่าลูกเสียอีกนะ จับมือลูกวิ่งอย่างหน้าระรื่นเชียว” ธารทิพย์นั่งคุยกับเธอ “นอกจากสนุกแล้ว ฉันยังฟินอีกด้วยนะ ดูสองคนนั่นสิ ไปไหนมาไหนไม่ห่างกันเลย”

เธอมองตามสายตาของเพื่อนสาว เห็นชายหนุ่มสองคนที่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำพร้อมกัน กำลังเดินเข้ามาใกล้พวกเธอตรงโต๊ะหินอ่อน

“พี่ธารดูจะสนุกดีนะครับ หน้าตาสดใสมากๆ เลย” ฐานินถามคนที่มองมายังพวกเขา

“พี่มีความสุขมากๆ เลย นินล่ะสนุกไหม” ธารทิพย์เออออไปตามคนถาม จะบอกได้อย่างไรว่าทั้งสองคนมีส่วนทำให้ตนเกิดความสุขสมเหมือนนั่งดูซีรีส์วาย

“สนุกมากครับ ไม่ได้เล่นแบบนี้มานานแล้ว” ฐานินตอบ จากนั้นก็หันหน้าไปคุยกับปรียานุช “พี่ปรีล่ะครับ”

ก่อนเธอจะเอ่ยตอบ ไขศิลป์แทรกขึ้นมาก่อน “พี่ปรีต้องสนุกอยู่แล้วสิ ถ้าไม่สนุกจะเอามาให้พวกเราเล่นกันทำไม” เขาดึงแขนเพื่อนชายที่กำลังลงนั่งตรงเก้าอี้ว่างข้างๆ เธอ ให้ไปนั่งด้วยกันที่เก้าอี้ว่างด้านตรงข้าม

ฐานินมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็เดินตามไปโดยไม่ขัดขืน

ปรียานุชรับรู้ทุกอย่าง ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็คาดว่าไขศิลป์นั้นคงแหนหวงหวานใจไม่ให้เข้าใกล้เธอ เมื่อเห็นศศิเดินออกมาพร้อมกีตาร์อีกครั้ง เธอก็พูดให้ทุกคนได้ยิน “ปรีจะพาไปเล่นกันอีกหนึ่งอย่าง พอเล่นเสร็จ อยากให้ทุกคนนั่งกินข้าวเย็นด้วยกันต่อ วันนี้แม่ของปรีเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวทุกคนเอง”

“ได้เลยครับ ผมไม่รีบกลับบ้านอยู่แล้ว วันนี้จะได้ลองชิมฝีมือแม่ของพี่ปรีด้วย” ฐานินเอ่ยด้วยอารามดีใจ

“ถ้าแกไม่รีบกลับก็นอนค้างกับฉันสักคืนดีไหม” ไขศิลป์เอ่ยประชดเพื่อนที่ทำตัวเริงร่าเป็นพิเศษ หลังจากรู้ว่าจะได้กินข้าวเย็นร่วมกับหญิงสาว

“แกเป็นอะไร ฉันรู้สึกมานานแล้ว มีอะไรก็บอกกัน” ฐานินหันหน้ามาถามเขา แต่ไขศิลป์ทำเป็นยกไหล่ทั้งสองข้าง ไม่ยอมตอบคำถามนั้น

เธอพูดขึ้น “ต่อไปเราจะเล่นกาฟักไข่กัน”

“น้าเคยได้ยินนะ แต่ลืมไปแล้วว่าเล่นยังไง” ศศิพยายามให้กีตาร์นั่งด้วยกัน แต่เด็กชายเหมือนจะอยากวิ่งรอบโต๊ะ

ปรียานุชเดินนำหน้าคนทุกคนไปที่ลานกว้าง ใช้ไม้ขีดเส้นเป็นวงกลมบนพื้นดินกว้างพอสมควร นำก้อนหินขนาดเท่ากำมือที่เตรียมไว้จำนวนหกก้อนไปวางรวมกันไว้ตรงกลางวง จากนั้นก็ชี้แจงวิธีการเล่น

หญิงสาวเลือกให้ธารทิพย์เป็นกาซึ่งมีหน้าที่ดูแลไข่หรือหินทั้งหกก้อน ส่วนคนที่เหลือต้องเข้าไปยืนในวงกลมเช่นเดียวกันและพยายามหลอกล่อเพื่อแย่งชิงไข่ของกา ผู้ที่แย่งไข่ก็ต้องระวังไม่ให้มือของกาถูกเนื้อต้องตัวและห้ามออกนอกวง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปเป็นกาแทน

ธารทิพย์นั่งยอง ปกป้องไข่ไว้ ใช้มือปัดป่ายไม่ให้ใครต่อใครเข้ามาหยิบไข่ไปได้

“น้องแทนจะต้องไปเอาหินจากแม่ธารให้ได้นะครับ แต่อย่าให้แม่ธารจับตัวได้” ชาญชัยบอกลูกชาย

คนเป็นผู้ใหญ่พยายามดึงความสนใจจากธารทิพย์ เพื่อให้เด็กๆ วิ่งไปเอาก้อนหินมาให้ได้

ทุกคนตบมือดีใจที่ดาราพรและแทนไทยทำได้สำเร็จ ส่วนกีตาร์ที่เข้ามารวมกลุ่มกันในตอนแรก พอสักพักก็สนใจอย่างอื่นจนศศิต้องจับให้นั่งมองคนอื่นเล่นกันอยู่ไม่ไกล

เมื่อแย่งไข่จากกามาได้จนหมดแล้ว ธารทิพย์ต้องยืนปิดตา จากนั้นทุกคนก็นำไข่ไปซ่อนในบริเวณใกล้เคียงที่ปรียานุชกำหนดไว้ พอทุกคนซ่อนไข่เสร็จเรียบร้อยจึงให้กาหรือธารทิพย์ไปค้นหาไข่มาให้ครบ ถ้าได้ไม่ครบจนยอมแพ้ก็ต้องเป็นกาต่อไป แต่ธารทิพย์หาหินเจอครบถ้วนโดยใช้เวลาไม่นาน เพราะที่ที่ใช้ซ่อนนั้นไม่กว้างมากและสะดวกในการหา

ฐานินเสนอให้ไขศิลป์ลองเป็นกาบ้าง ไขศิลป์ไม่ปฏิเสธ ทุกคนจึงเล่นกาฟักไข่อีกครั้ง

หากครั้งนี้ ไม่ได้แบ่งหน้าที่ว่าใครจะหลอกล่อหรือใครจะแย่งไข่ ทุกคนจึงพยายามแย่งไข่มาให้ได้ โดยอย่าให้เขาโดนตัวและออกนอกวง

ไม่นานไข่ก็ถูกแย่งไปจนครบหกก้อน จากการร่วมด้วยช่วยกันของทุกคน

ดาราพรกับแทนไทยกระโดดดีใจที่ทำได้สำเร็จอีกครั้ง จากนั้นก็นำหินไปซ่อน

ไขศิลป์ต้องไปตามหาหินหกก้อนที่ถูกซ่อนไว้ แต่หาได้แค่ห้าก้อน เหลืออีกหนึ่งก้อนที่ฐานินเป็นผู้ซ่อนซึ่งยังหาไม่เจอสักที

“แกเอาไปซ่อนไว้ที่ไหน พี่ปรีให้ซ่อนแถวๆ นี้ แกแอบเอาไปซ่อนไว้ที่อื่นแน่เลย”

ฐานินซึ่งยืนเหยียบหินก้อนนั้นไว้ ยังนิ่งเฉย รับฟังคำกล่าวของเขา

ทุกคนพยายามกลั้นขำ แต่แทนไทยกับดาราพรหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง มองไปที่เท้าของฐานิน จนไขศิลป์เห็นท่าทีของเด็กทั้งสองก็มองตาม

“หินอยู่ที่ตัวแก” เขาบอกเพื่อน

“ถ้าคิดว่าเจอก็ลองค้นดูสิ” ฐานินยื่นกางแขนออกทั้งสองข้างเพื่อให้เขาค้นหาก้อนหินด้วยความเต็มใจ

ธารทิพย์กระซิบข้างหูเธอ “ปรีดูสิ ทั้งสองคนลูบๆ คลำๆ กันแล้ว”

ปรียานุชมองชายหนุ่มสองคน “ธารอย่ามองพวกเขาให้มากหน่อยเลย”

“ไม่มองไม่ได้หรอก ยิ่งมองยิ่งฟิน ดูสิ จะกอดกันแล้ว”

เธอมองตามที่เพื่อนสาวพูด เห็นภาพของไขศิลป์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าฐานิน โอบแขนไปคลำกระเป๋ากางเกงทางด้านหลังของเพื่อน

“มีไหมล่ะ” ฐานินถามไขศิลป์

“มันต้องมี แต่ฉันยังหาไม่เจอ” ไขศิลป์บอกด้วยความมั่นใจ เพราะจับพิรุธของเด็กสองคนนั้นได้ เขามองตามสายตาของเด็กไปยังบนพื้นจนเห็นบางอย่าง “ฉันเจอแล้ว แกเหยียบหินก้อนนั้นอยู่นั่นไง”

ฐานินจำนนต่อหลักฐาน ยกขาขึ้น เพื่อให้เขานำหินไปวางกลางวง

“แกมาเป็นกาบ้างเลย” ไขศิลป์ไม่ยอมถูกแกล้งอยู่ฝ่ายเดียว

ปรียานุชกับธารทิพย์ขอตัวออกมานั่งดู ปล่อยให้คนที่เหลือเล่นกาฟักไข่กันอีกสักรอบ

“สองคนนั้นหยอกล้อกันอีกแล้ว” ธารทิพย์ยังเอ่ยกับเธอ เมื่อนั่งมองคนในวงได้สักพักหนึ่ง

ปรียานุชเห็นฐานินวิ่งไล่ตามไขศิลป์ที่ไม่ยอมให้เพื่อนโดนตัว

ธารทิพย์ก็เอ่ยขึ้นอีก “ฉันว่าสองคนนั้นต้องเป็นแฟนกันจริงๆ ดูสิ เอาอีกแล้ว วิ่งดักหน้าดักหลัง เมื่อโลกนั้นมีกันแค่สองคน”

“จะพูดอะไรก็เบาๆ หน่อยนะธาร เกรงใจน้าศิบ้าง” หญิงสาวเหลือบมองไปทางศศิที่ยังวุ่นอยู่กับหลานชาย จากนั้นก็เบี่ยงเบนความสนใจเพื่อนสาว “ดูน้องดรีมกับน้องแทนสิสนุกกันใหญ่เลย มัวแต่มองสองคนนั้นวิ่งไล่กันในวง จนลืมแย่งไข่กันแล้ว”

สองสาวยังนั่งดูต่อไป

ไขศิลป์โวยวายใส่เพื่อน “แกอย่ามาแกล้งฉันคนเดียวสิ ทำไมไม่ไปวิ่งไล่คนอื่นบ้าง”

“วิ่งไล่แกสนุกกว่า ฉันอยากให้แกเป็นกาอีก” ฐานินพยายามไล่แตะตัวไขศิลป์ให้ได้

แต่ก่อนที่ทุกคนจะแย่งไข่ได้ครบ ปรียานุชก็ยุติการละเล่นในวันนี้

“ทุกคนพอเถอะค่ะ เย็นมากแล้ว เตรียมตัวกินข้าวกันดีกว่า แยกย้ายไปล้างมือ แล้วมารอที่โต๊ะหน้าบ้านเหมือนเดิมนะคะ”

ผู้ที่เล่นค้างอยู่ต่างพร้อมใจกันหยุดเล่นเพราะรู้สึกหิวไม่ต่างกัน

“แกไม่ได้ซ่อนหินให้ฉันหา” ฐานินพูดกับเขา หากยังส่งเสียงขบขันเบาๆ

“ฉันก็ไม่คิดจะซ่อนหินให้แกหาหรอก ฉันขอไปล้างมือและเข้าห้องน้ำก่อน” ไขศิลป์ผละออกไปจากเพื่อนชาย

“ออกมากินข้าวข้างนอกด้วยกันรู้ไหม” ฐานินกลัวเขาจะหายเข้าไปในห้อง

“รู้แล้ว ฉันก็หิวเหมือนกัน” หากแท้จริงเขาต้องทำตามความตั้งใจเดิม กีดกันเพื่อนชายกับหญิงสาวไม่ให้มีเวลาอยู่ด้วยกัน

ไขศิลป์หายเข้าไปในบ้านไม่นานนักก็เดินออกมาที่โต๊ะหินอ่อน หากไม่เจอเพื่อนชายและพี่สาวข้างบ้านจึงถามมารดา

“นินไปไหนหรือแม่ ในบ้านก็ไม่มี”

ธารทิพย์ได้ยินคำถามนั้นจึงเป็นคนตอบให้แทน “นินไปช่วยปรียกข้าวมาให้พวกเรากิน สามีของพี่ก็ไปช่วยยกด้วยนะ”

ไขศิลป์เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีคนหายไปอีกหนึ่งคน

สิ้นเสียงธารทิพย์ คนที่ถูกถามถึงก็โผล่หน้ามาให้เห็นพร้อมกับในมือถือหม้อใส่อาหาร

ไขศิลป์ตีหน้านิ่ง ยามเห็นสีหน้าเพื่อนชายและหญิงสาวบ่งบอกถึงความชื่นบานที่ได้เดินคุยสุงสิงกันมาตลอดทาง

“อาหารอร่อยมากเลย ผมชิมมาก่อนแล้ว” ฐานินบอกทุกคนทันทีที่มาถึงโต๊ะ

“อย่างนั้นต้องรีบกิน” ธารทิพย์รับหน้าที่ตักอาหารใส่จาน แจกจ่ายให้แก่ทุกคน

“แกเป็นอะไร ทำหน้าทำตาแปลกๆ หิวข้าวจนปวดท้องหรือเปล่า” ฐานินถามเขา

ไขศิลป์ไม่ตอบเพื่อน กินอาหารโดยไม่พูดไม่จา หากฐานินยังพูดคุยสนุกสนานไม่เคยเปลี่ยน

เขาอดมองไปที่ปรียานุชเสียไม่ได้ ก็เห็นแววตาสดใส ใบหน้าแย้มยิ้มระหว่างพูดคุยกับทุกคน โดยเฉพาะเพื่อนของเขา

หลังจากอิ่มท้องกันทุกคนก็ช่วยกันเก็บจานชาน ช้อนส้อม และหม้อใส่อาหารที่ช่วยกันกินจนหมดเกลี้ยง ชาญชัยกับฐานินอาสายกของเหล่านั้นกลับไปคืนที่บ้านของเธอ พร้อมทั้งดาราพรเดินไปด้วยกัน

ระหว่างรอสามีเพื่อที่จะกลับบ้านพร้อมกัน ธารทิพย์ก็พาลูกชายที่ปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ เดินเข้าไปในบ้านพร้อมศศิซึ่งพากีตาร์ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

โต๊ะหินอ่อนจึงมีแค่เธอกับเขาที่ยังนั่งอยู่เพียงสองคนในยามย่ำค่ำ

“วันนี้ศิลป์เป็นไงบ้างล่ะ” ปรียานุชถามเขา

“อาหารฝีมือของแม่พี่ปรีก็อร่อยดีตามที่นินมันว่านั่นแหละ” เขายียวนหล่อน ทั้งที่รู้ดีว่าถูกถามถึงอาการกลัวของตน

“ไม่ใช่อาหารของแม่พี่ ที่พี่ถามคือศิลป์รู้สึกยังไงบ้าง ตอนที่มาร่วมเล่นหรือนั่งกินข้าวกับทุกคนในวันนี้”

“พี่สนใจผมด้วยเหรอ นึกว่าจะสนใจแต่…” เขาหยุดปาก เมื่อเธอหันมามองด้วยตาขวาง

“พี่ถามเพราะจะได้รู้ว่าต้องไปปรับเปลี่ยนอะไร หรือต้องเพิ่มเติมอะไรบ้าง ถ้าพี่ไม่รู้ว่าศิลป์เป็นยังไง พี่ก็ไม่รู้จะต้องทำอะไรต่อไป พี่อยากให้นึกถึงตัวเองมากๆ ไม่ใช่จะมัวแต่สนใจคนอื่น” อารมณ์ของเธอเริ่มขุ่นมัว เพราะรู้ว่าเขาจะกล่าวถึงเรื่องใด

“วันนี้ตอนออกมาเจอคนพวกนั้นครั้งแรก ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาบ้าง แต่ผมทำตามที่พี่บอก พยายามข่มมันไว้ ไม่ให้ตัวเองคิดถึงเรื่องอดีต พอได้มาอยู่กับทุกคนจริงๆ ผมก็กลัวนิดหน่อย แต่ทุกคนไม่ได้สนใจผม ผมก็ไม่ค่อยกลัวมากนัก”

“พี่เคยบอกแล้ว ศิลป์ต้องปรับที่ความคิดตัวเอง อย่าเพิ่งไปกลัวล่วงหน้า ทั้งที่มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย วันนี้แค่คนกลุ่มน้อย ถือว่ารับมือกับตัวเองได้ดีนะ ตอนไปอยู่ในสังคมที่มีคนแปลกหน้ามากกว่านี้ก็ทำเหมือนวันนี้ จำไว้แล้วกันว่าจัดการกับมันยังไง คนเราถูกมองเป็นเรื่องปกติ แต่อย่ากลัวสายตาคนอื่นก็พอ”

“ผมจะพยายามไม่นึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้น” ไขศิลป์พูดจบก็เห็นเพื่อนกับชาญชัยเดินเข้ามาใกล้

“ผมต้องขอกลับก่อนนะครับพี่ปรี” ฐานินบอกเธอ หากเห็นไขศิลป์ลุกขึ้นยืนก็เอ่ยถาม “แกจะไปไหน นั่งคุยกับพี่ปรีต่อก็ได้”

“ฉันจะเดินไปส่งแก” เขาต้องการให้เพื่อนกลับบ้านโดยไว เพราะจะได้หมดหน้าที่ของเขาที่มาขัดขวางคนทั้งสองไม่ให้เข้าใกล้หรือพูดคุยกันมากเกินควร

ก่อนสองหนุ่มจะผละออกไป ธารทิพย์กับลูกชายก็เดินมาหาเธอ

เพื่อนสาวนั่งลงคุยกับเธอ หากสายตายังมองตามหลังชายหนุ่มสองคนที่ก้าวขาไปยังประตูหน้าบ้านและยืนคุยกันอยู่ตรงนั้น

“ธารเป็นอะไรหรือเปล่า นั่งบิดตัว ม้วนไปม้วนมา” ปรียานุชถามเพื่อนสาว เมื่อเห็นท่าทีแปลกๆ

“ปรี ฉันจะไม่ไหวแล้ว” ธารทิพย์เอ่ยเสียงอ่อน

ชาญชัยพูดต่อจากภรรยาเพื่อให้เธอไม่ต้องกังวล “ธารเป็นอย่างนี้ประจำ ตอนหนังดูซีรีส์วายที่มีฉากพระเอกนายเอกกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกัน แต่ผมคิดว่าสองคนนั้นแปลกๆ อยู่นะ”

“คุณไม่เคยดู พอมองเห็นภาพจริงๆ ก็คิดว่ามันแปลกๆ” ธารทิพย์เอ่ยกับสามี ก่อนหันหน้ามาบอกเธอ “ที่ฉันไม่ไหว คือฉันอยากได้หมอนมาจิกต่างหากล่ะ มองสองคนนั้นแล้วมันฟินเวอร์ จนบอกไม่ถูกเลย” ปากพูดไป แต่สายตายังเมียงมองไปทางสองหนุ่มที่ยืนเจรจากัน

แทนไทยขอไปนั่งบนตักบิดา ชาญชัยอุ้มลูกมานั่งบนตัก “ถ้าผมดูซีรีส์วายกับธาร แล้วใครจะเลี้ยงลูกล่ะ”

ธารทิพย์ค้อนขวับให้สามีหนึ่งที จากนั้นก็พูดกับเธอ “ปรีจัดกิจกรรมอย่างนี้อีกวันไหน อย่าลืมชวนฉันด้วยนะ ฉันจะมาดูสองคนนั้นอีก ฉันพอจะมองออกนะว่าน่าจะเป็นเกินเพื่อนกัน เห็นแค่นี้ ฉันก็ฟินแล้ว ดูสิ เอาอีกแล้ว หยุมหัวกันด้วย ฉันเขินแทนเลย”

“เหมือนการละเล่นไทยของฉันน่าสนใจน้อยกว่าผู้ชายสองคนจู๋จี๋กันเลยนะ” เธอหยอกเพื่อนสาว

“ฉันขอกลับบ้านก่อนนะปรี” ธารทิพย์ตัดบทสนทนาพลางลุกขึ้นยืน “ฉันจะพาลูกไปอาบน้ำ แล้วก็ส่งเข้านอน ส่วนฉันจะไปฟินกับในจอต่อ ตอนนี้อารมณ์มันค้าง”

ปรียานุชส่ายศีรษะให้กับเหตุผลไม่เข้าท่าของเพื่อนสาวที่ต้องรีบกลับบ้านเป็นการเร่งด่วน ขณะเดียวกันเธอก็เห็นไขศิลป์เดินย้อนกลับเข้าไปในตัวบ้านโดยไม่แวะสนทนากับพวกเธออีก

ศศิเดินมาหาเธอที่นั่งอยู่เพียงลำพัง “คงกลับกันหมดแล้วสิ กว่าจะจัดการให้กีตาร์สงบได้ใช้เวลานานเลย”

ปรียานุชได้ยินอีกฝ่ายกล่าวถึงเด็กชายคนนั้นก็เริ่มเข้าเรื่องที่อยากรู้ “ปรีมองดูกีตาร์มาหลายวัน สังเกตพฤติกรรมมาหลายครั้ง ปรีคิดว่ากีตาร์น่าจะเป็นเด็กสมาธิสั้น อาจจะเป็นผลมาจากการเป็นเด็กติดจอซึ่งมักจะพบบ่อยในปัจจุบัน พวกเด็กๆ ที่เคยอยู่ในความดูแลของปรีก็เป็นคล้ายๆ กีตาร์หลายคนค่ะ”

“หนูปรีพูดขึ้นมาพอดี น้ากำลังจะหาเวลาไปปรึกษาหนูปรีเรื่องของหลานคนนี้เหมือนกัน นี่น้าก็พยายามปรับเปลี่ยนหลายอย่าง ไม่ตามใจ ชวนคุยกันบ่อยๆ กีตาร์ก็ทำตัวดีขึ้นมานิดหน่อย”

“ที่เด็กเป็นแบบนี้เพราะการเลี้ยงดูของผู้ปกครองมากกว่าค่ะ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะพบบ่อยจนเกินจะแก้ไขได้ทั้งที่เห็นสาเหตุชัดเจนดีอยู่แล้ว หากเธอเป็นเพียงคนที่ช่วยแก้ตรงปลายเหตุหรือผลกระทบที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง “ถ้าปล่อยไว้ให้เป็นนานกว่านี้ จะใช้เวลาให้กลับไปเป็นเหมือนเด็กที่อยู่ในวัยเดียวกันมากกว่านี้อีกนะคะ”

“น้ากังวลอยู่เหมือนกัน อยู่ด้วยกันหลายวันก็ห่วงหลานมากขึ้นทุกที หนูปรีพอจะช่วยน้าอีกสักเรื่องได้ไหม” ศศิเอ่ยด้วยความเกรงใจ ไหนจะเรื่องลูก ไหนจะเรื่องหลาน ก็ขอให้เธอช่วยเหลือกันไปเสียหมด

ปรียานุชเห็นว่าเรื่องของไขศิลป์อาจแก้ไขง่ายกว่าที่คิดไว้ เพราะพูดคุยกันก็รู้ความและเข้าใจกันดี ซึ่งขึ้นอยู่ที่ตัวเขาต้องปรับความคิดตัวเองให้ได้ เธอแค่ช่วยสร้างสถานการณ์ให้เขาได้เข้าร่วมกิจกรรม แต่เด็กชายผู้นั้นจะพูดคุยให้เข้าใจอย่างเขาไม่ได้ จึงต้องขอความร่วมมือกับผู้ปกครองเพื่อช่วยกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็ก

“ปรีช่วยได้ค่ะ แต่ปรีอยากพูดคุยกับพ่อแม่ของกีตาร์ น้าศิช่วยติดต่อให้ปรีได้ไหมคะ”

“น้าติดต่อให้ได้จ้ะ” ศศิพูดด้วยความดีใจ หากเงียบไป เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสองคนนั้นกำลังผิดใจกันจึงต้องบอกให้เธอทราบ “แต่น้าไม่แน่ใจนะว่าพ่อกับแม่ของกีตาร์จะยอมมาคุยกับหนูปรีหรือเปล่า เพราะตอนนี้มีปัญหากันอยู่”

ปัญหาของตัวเด็กเองก็พอจะรับมือได้ ยังจะมีปัญหาของพ่อแม่เพิ่มเติมขึ้นมาอีก ขณะที่เธอกำลังใช้ความคิด ศศิก็เอ่ยต่อ

“น้าต้องขอบคุณหนูปรีมากๆ วันนี้น้าดีใจนะที่ศิลป์ออกมาจากห้อง พบปะและเล่นกับผู้คนได้ น้าไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มานานแล้ว”

“ต้องชมเชยศิลป์ที่บังคับตัวเองให้ไม่กลัวได้ค่ะ ที่ผ่านมายังบังคับไม่ได้จึงไม่ยอมออกไปไหนเพราะกลัวสายตาคนอื่น แต่อย่าชะล่าใจไปนะคะ นี่เพิ่งวันแรก ถ้ามีคนมากกว่านี้อาจเป็นเหมือนเดิมก็ได้ ต้องค่อยๆ ปรับ ในครั้งถัดไปคงมีคนมาเล่นด้วยกันเพิ่มขึ้นอีกแน่นอนค่ะ”

การสนทนาของทั้งสองคนหยุดลง เมื่อหน้าบ้านของเธอมีรถยนต์เข้ามาจอด

ปรียานุชจึงขอตัวกลับ เพราะคาดว่าเป็นรถของครอบครัวพี่สาวที่มารับลูกสาว

พอเดินมาถึงหน้าบ้านตัวเองก็เห็นเปรมยุดากับพิรามยืนคุยกับบุพการีของเธอ

“วันนี้พี่เปรมไม่มาเล่นด้วยกันเลยนะ” เธอทักพี่สาว

“พี่ติดธุระเรื่องร้าน” เปรมยุดาแจงเหตุผล จากนั้นก็กล่าวขึ้นอีก “ครั้งหน้ามีวันไหน พี่จะให้คุณฉัตรมาเล่นกับปรีด้วย”

เธอเพิ่งจะนึกถึงชื่อของคนที่ดาราพรเคยพูดให้ได้ยินตอนมาถึงใหม่ๆ

“เป็นเพื่อนร่วมงานของพี่เองแหละ เห็นว่าสนใจการละเล่นไทย พวกพี่ก็เลยแนะนำให้มาพร้อมกับน้องดรีม” พิรามคลายข้อสงสัยของเธอและยังกรุยทางให้เพื่อนเพื่อทำความรู้จักกับเธอง่ายขึ้น

“ลุงฉัตรบอกว่าจะมาเล่นกับน้องดรีม แต่วันนี้มาไม่ได้ค่ะ” ดาราพรเอ่ยเสริม

“แต่ครั้งหน้าคุณฉัตรมาได้แน่นอน ปรีล่ะให้คุณฉัตรมาร่วมกิจกรรมได้หรือเปล่า” เปรมยุดาถามเธอ

“มาได้นะพี่เปรม ปรีไม่ห้ามสักหน่อย”

ปรียานุชไม่ได้สนใจชายหนุ่มที่พี่สาวพูดถึงแม้แต่น้อย เพราะกำลังครุ่นคิดหาหนทางแก้ไขพฤติกรรมของเด็กชายที่เข้ามาอาศัยในบ้านข้างเคียงซึ่งพ่อแม่มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงของลูก

ดังนั้นหญิงสาวต้องพูดคุยกับพ่อแม่ของกีตาร์ให้เข้าใจ

แต่จะเป็นไปโดยง่ายเชียวหรือ เมื่อสามีภรรยากำลังอยู่ในช่วงระหองระแหงกัน



Don`t copy text!