ละเล่นลานรัก บทที่ 18 : หลายอย่างช่างถูกจังหวะ

ละเล่นลานรัก บทที่ 18 : หลายอย่างช่างถูกจังหวะ

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

หลังจากเก่งกาจได้พบเจอกับนักกิจกรรมบำบัดสาวซึ่งตอกย้ำความคิดในเรื่องของบุตรชายได้ดีทีเดียว ตอนแรกที่เขาพยายามศึกษาหาความรู้ในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับพฤติกรรมและการกระทำของลูกนั้น ก็เริ่มกังวลใจและกลัวภรรยารับไม่ได้ที่จะพาลูกไปพบจิตแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาหรือหาแนวทางแก้ไข แต่เพียงแค่เริ่มคุยกันถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับบุตรชาย เก่งกาจก็พลั้งปากกล่าวโทษภรรยาที่เลี้ยงลูกให้เป็นเช่นนั้น จึงเกิดความผิดใจกันในที่สุด

เมื่อออกมาจากบ้านของศศิ เขาลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับนักกิจกรรมบำบัดในเด็ก อ่านหลายสิ่งหลายอย่างที่ปรากฏในโลกโซเชียล จนเก่งกาจเริ่มมองเห็นหนทางที่จะแก้ปัญหาให้ลูกชายตามคำของเธอ

แต่ปัญหาในตอนนี้อยู่ที่ตนกับภรรยาจะร่วมมือกันช่วยเหลือลูกได้อย่างไร ถ้ายังบาดหมางใจ ไม่ยอมพูดคุยกันเช่นนี้

ตั้งแต่ที่เขาได้เห็นหน้าปรียานุชก็จำได้ทันทีว่าเป็นแฟนเก่าของเพื่อนชายที่คิดจะขอสานสัมพันธ์กันอีกครั้ง

หากลองคิดดูดีๆ บางทีโลกอาจจะกลมหรือมีบางอย่างเชื่อมโยงถึงกันได้เสมอ

โชคชะตาทำให้กีตาร์ได้พบกับนักกิจกรรมบำบัดสาว นอกจากจะมีคนช่วยแก้ไขปัญหา ยังเป็นลู่ทางที่เพื่อนมีโอกาสกลับมาคืนดีกับแฟนเก่าได้อีกด้วย

ก่อนจะคำนึงถึงเพื่อนชาย เก่งกาจต้องทำให้เรื่องของตัวเองผ่านพ้นไปได้ด้วยดี โดยการปรับความเข้าใจกับสิตางค์

ภาพความทรงจำในวันวานของครอบครัวทำให้นึกถึงบรรยากาศที่เคยเกิดขึ้นในบ้าน เขาจึงขับรถไปเยือนบ้านที่ไม่ได้อาศัยอยู่ร่วมเดือน

เก่งกาจจอดรถยนต์ไว้ข้างกำแพง เปิดประตูหน้าบ้านด้วยตัวเองซึ่งมักจะเป็นเช่นนี้ประจำที่กลับจากบริษัท เขาเดินเข้าไปในบริเวณของบ้านสองหลัง หลังหนึ่งมีแสงไฟเปิดไว้ภายในบ้าน อีกหลังหนึ่งมืดสนิทบ่งบอกให้รู้ว่าไม่มีผู้ใดอยู่อาศัยคือบ้านของครอบครัวซึ่งเป็นที่หมายสำหรับการมาเยือนในค่ำคืนนี้

เขาถามหาเหตุผลกับตัวเองก็ได้คำตอบว่ามาเพื่อทบทวนความหลัง และจะทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นบ้านซึ่งมีครอบครัวอบอุ่นยิ่งกว่าเดิม เพราะเขาเป็นผู้นำครอบครัวจึงต้องทำให้ได้ตามความประสงค์นั้น

เก่งกาจเปิดประตูเข้าไปในตัวบ้านอย่างง่ายดาย แม้จะมืดสลัว แต่ภาพจำยังฉายชัดให้เห็นสิ่งของทุกอย่างซึ่งตั้งวางไว้ที่เดิมจึงไม่จำเป็นต้องเปิดไฟ โดยไม่รู้เลยว่ามีใครอีกคนซึ่งมาก่อนเขา และยังนั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่นท่ามกลางความมืดมิดเช่นกัน

“นึกว่าจะลืมบ้านนี้ไปเสียแล้ว” เสียงของหญิงสาวเอ่ยขึ้น เมื่อเขาก้าวขาผ่านห้องนั่งเล่น

เก่งกาจรู้ทันทีว่าคือผู้ใด หากยังไม่ทันจะเอ่ยทัก เสียงพูดนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“คุณจะมาบ้านนี้ทำไม บอกว่าฉันผิดมากไม่ใช่เหรอ มัวแต่ว่าคนอื่นผิด ทีคุณไม่ดูตัวเองบ้าง ตั้งแต่ได้เลื่อนตำแหน่ง เคยสนใจไยดีลูกเมียบ้างไหม เช้าออกไปทำงาน กลับก็มืดค่ำดึกดื่น เคยไหมจะมาดูมาแลว่าฉันเลี้ยงลูกยังไงบ้าง เคยไหมล่ะ” คนพูดปิดท้ายโดยการหัวเราะในลำคอ

เขาเปิดไฟในห้องนั่งเล่น หากสายตายังคงมองไปทางต้นเสียง “อย่ามาพูดประชดกันอยู่เลย เรามาพูดคุยกันดีๆ ดีกว่า มันเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องช่วยแก้ไขกันไป”

สิตางค์หัวเราะออกมาราวกับได้ยินเรื่องขบขัน “ช่วยกันแก้ไข ถึงยังไงคุณก็มองว่าฉันผิดอยู่ดี ถ้าฉันผิดมากจะไปหาคนใหม่ก็ได้ คนที่ไม่เคยทำผิดอะไรเลย”

“คุณพูดอะไร กำลังเมาอยู่หรือเปล่า แล้วมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ไฟก็ไม่เปิด” เก่งกาจจ้องมองภรรยา และพยายามเปลี่ยนประเด็น

สิตางค์ยังพร่ำพูดเรื่อยไป “ฉันไม่ได้เมา ฉันคิดถึงบ้านก็เลยมานั่งในบ้านมืดๆ คนเดียว มีสามีเหมือนไม่มี มีลูก ลูกก็ไม่สนใจ ถ้าโยนมือถือให้ก็อยู่กับมือถือได้เป็นวันๆ”

เก่งกาจถอนหายใจอย่างคนที่ไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านั้น พูดไปอาจจะกลายเป็นว่ากล่าวภรรยาให้เข้าใจผิดกันไม่หยุดหย่อน เขารู้ดีที่เป็นเช่นนั้นเพราะภรรยาตามใจลูก ปล่อยให้ลูกอยู่กับหน้าจอมากเกินไป หากที่ผ่านมาเขาเห็นแต่ไม่เคยห้าม มัวทำแต่งานหาเงินให้ครอบครัว

โทรศัพท์มือถือของเก่งกาจดังขึ้นขัดจังหวะที่เขาจะพูดคุยกับภรรยาด้วยความเข้าใจกัน

เขากดรับสายจากเพื่อนชายซึ่งมีเรื่องจะปรึกษา เก่งกาจวางสายเรียบร้อยก็เอ่ยกับภรรยา

“ผมขอตัวไปหาเพื่อนก่อน แล้วเราค่อยคุยกันใหม่”

สิตางค์ยังนั่งหัวเราะให้กับคำของเขา “มาเหยียบบ้านยังไม่ทันไรก็จะไปอีกแล้ว เชิญตามสบายเลย ไม่สนใจบ้าน ไม่สนใจฉัน อยากไปไหนก็ไป หรือมีสาวๆ รออยู่หรือเปล่า”

เก่งกาจก้าวขาได้เพียงสองก้าวก็หยุด หันหน้ามาพูดกับภรรยา “คุณจะไปด้วยกันไหมล่ะ จะได้รู้ว่าผมพูดจริง”

“ฉันไม่ได้ว่าคุณโกหก ถึงคุณจะไปมีอีหนูที่ไหน เชิญเลย ฉันห้ามไม่ได้อยู่แล้ว สำราญให้เต็มที่ปล่อยเมียกับลูกให้เป็นแบบนี้แหละดีแล้ว”

“เราอย่ามาทะเลาะกันเลยนะ ถ้าคุณไม่อยากให้ผมไปไหน ผมไม่ไปก็ได้” เขาลงนั่งบนโซฟาซึ่งอยู่ตรงข้ามกับภรรยา

“แล้วเพื่อนของคุณล่ะ จะให้มาที่นี่เหรอ” สิตางค์เสียงเบาลง เมื่อสามียอมอยู่ด้วยกัน

เก่งกาจได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความคิดที่จะให้เพื่อนมาเยือนถึงบ้าน เพื่อให้ภรรยารู้ว่าไม่ได้คิดปกปิดใดๆ จึงโทร.บอกเพื่อนให้มาหากัน

สิตางค์ทำเป็นนั่งตีหน้านิ่ง หากในใจยิ้มอย่างยินดีที่เขาเหมือนทำตามใจ

ระหว่างที่เก่งกาจนั่งรอเพื่อนก็เริ่มทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้เพื่อให้ครอบครัวกลับมาเป็นเหมือนเดิม

“ผมขอโทษนะคุณ” เขาเอ่ยอย่างคนสำนึกผิด เมื่อภรรยาหันหน้ามามองกัน เขาก็เอ่ยต่อ “ที่วันนั้นผมเป็นฝ่ายว่าคุณเลี้ยงลูกไม่ดีทำให้ลูกไม่เชื่อฟังใครเลย ถ้าจะด่าหรือจะว่าผมก็ได้ ผมเองก็ผิดที่ไม่ช่วยคุณเลี้ยงลูก ไม่เคยห้ามปรามเลยที่เห็นลูกอยู่กับมือถือจนส่งผลให้ลูกเป็นแบบนี้ เหมือนที่คุณเคยว่าผม ผมไม่เคยมองเห็นความผิดของตัวเองเพราะมัวเเต่โทษคนอื่นว่าผิด ผมขอโทษจริงๆ นะ”

สิตางค์อึ้งไปกับคำขอโทษของสามีที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยิน เมื่อเห็นหน้าตาเศร้าสร้อยของเขา พร้อมกับน้ำเสียงไร้การประชดประชัน รวมทั้งท่าทีที่ยอมรับผิดด้วยใจจริง สิตางค์ก็ให้อภัย เพราะลึกๆ ในใจนั้นอยากมองเห็นเขาและลูกอยู่ในบ้านหลังนี้

หลังจากได้นั่งทบทวนคำของสามีและนักกิจกรรมบำบัดสาวผู้นั้น สิตางค์ยังมองเห็นถึงความจริงบางอย่างว่าตนนั้นก็เลี้ยงลูกแบบผิดๆ มาตั้งแต่ต้น

“ฉันต้องขอโทษคุณเหมือนกัน ฉันเองก็ผิดที่ไม่ยอมรับฟังคำตักเตือนของคุณ มัวแต่จะหาว่าคุณโทษแต่ฉัน พอฉันได้กลับมานั่งในบ้าน ฉันอยากให้ที่นี่เป็นบ้านของครอบครัวเราอีกครั้ง ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ”

เก่งกาจย้ายไปนั่งเคียงข้างภรรยา โอบกอดอีกฝ่ายไว้

“พวกเรายังมีโอกาสได้แก้ตัวกับการเลี้ยงลูก เรามาช่วยกันทำให้กีตาร์ดีขึ้นเถอะนะ ผมเชื่อว่าพวกเราทำได้เพื่อลูกของเรา”

“ถ้าคุณเชื่ออย่างนั้น ฉันก็เชื่อเหมือนคุณ” สิตางค์เอ่ยให้เขามั่นใจว่าเธอพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อบุตรชายคนเดียว

เก่งกาจไม่คิดเลยว่าการปรับความเข้าใจกับภรรยาจะง่ายดายขนาดนี้ เมื่อผลออกมาเป็นเช่นนี้ เขาพร้อมจะเอาใจใส่ครอบครัวมากกว่าที่เคยเป็น เนื่องจากไม่อยากให้ครอบครัวต้องแตกแยกอีกแล้ว

เขาคลายอ้อมแขนจากสิตางค์ “สักวันหรือสองวัน ผมขอเคลียร์ตัวเองให้เสร็จก่อน แล้วเราไปรับกีตาร์พร้อมกันนะ ผมจะให้เวลากับครอบครัวให้มากที่สุด ทดแทนช่วงที่ผ่านมา”

สิตางค์ยิ้มให้สามี “แค่บ้านนี้มีคุณ มีกีตาร์ ฉันก็พอใจมากแล้ว”

เก่งกาจรู้แล้วว่าครอบครัวของตนนั้นมีค่ามหาศาลก็ตอนที่รู้สึกว่ากำลังจะสูญเสียไป เพราะการทำเพื่อลูกในอุทรนั้นทำให้สามีภรรยาคืนดีกันและยอมรับในความผิดของตนที่ไม่เคยมองเห็นเมื่อครั้นวันวาน

“คุณมาที่นี่ได้ยังไง ผมไม่เห็นรถคุณจอดในโรงรถเลย” เขาเอ่ยถาม

“ฉันจอดไว้ข้างถนนหน้าทางเข้าหมู่บ้าน ไม่อยากขับเข้ามาให้แม่บ้านต้องแตกตื่นออกมาเปิดประตูให้ อาจมืดแล้วก็ได้ คุณคงไม่สังเกตเห็น”

เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น บ่งบอกการมาถึงของเพื่อนชาย

“ผมขอออกไปคุยกับเพื่อนไม่นานหรอก ค่ำนี้เราไปกินข้าวด้วยกันนะ คุณคงยังไม่ได้กินอะไรเหมือนผม” เก่งกาจต้องรีบออกไปพบเพื่อน ก่อนที่แม่บ้านจากบ้านใกล้กันจะมาต้อนรับผู้มาเยือน

สิตางค์พยักหน้ารับคำของเขา แม้สามีจะทำตัวยุ่งกับงาน แต่ก็ไม่เคยละทิ้งความเป็นห่วงเป็นใยที่มีให้กันเลย

เก่งกาจเดินออกไปจากตัวบ้านก็พบเพื่อนชายยืนรออยู่หน้าประตูทางเข้า

“ฉันมาขัดจังหวะหรือเปล่า คืนดีกับเมียอยู่ทำไมไม่บอกกันล่ะ” เอกลักษณ์เห็นสิตางค์หยุดยืนเมียงมองอยู่ไกลๆ

“มีเรื่องอะไรจะปรึกษากันก็ว่ามา” เก่งกาจรีบเข้าเรื่อง

“หน้าตาแกเบิกบานอย่างนี้ คืนดีกันเรียบร้อยแล้วใช่ไหม ดีแล้วนะ แกจะได้ไม่มีหน้าตาอมทุกข์อมโศกเหมือนอมโลกทั้งใบ”

“ตกลงแกจะมาดูหน้าฉันหรือจะมาขอคำปรึกษากันแน่ รอให้ฉันกลับไปที่ห้องแกก่อนก็ไม่ได้” เก่งกาจส่ายศีรษะให้เพื่อนชาย

“คืนดีกันแล้ว แกยังจะกลับมาที่ห้องฉันอีกเหรอ” เอกลักษณ์ตั้งใจหยอกเขา หากเอ่ยต่อเพื่อให้เขาเข้าใจเสียใหม่ “ฉันแค่โทรถามแกว่าจะกลับดึกไหมเพราะมีเรื่องอยากปรึกษา แต่แกนั่นแหละที่โทรให้ฉันมาหาถึงที่นี่”

เก่งกาจแค่อยากให้สิตางค์ได้รู้ว่าตนพูดความจริงและไม่คิดจะมีสาวคนใดนอกจากภรรยา

“แกมาอยู่ตรงนี้แล้วก็พูดมาเถอะ แต่คืนนี้ฉันคงไม่กลับไปนอนที่ห้องแกนะ”

“ฉันเข้าใจ คนเพิ่งคืนดีกับเมียก็เป็นแบบนี้ เอาใจกันให้เต็มที่เลยนะ จะได้ไม่ผิดใจกันอีก โชคดีที่ฉันมาอยู่ใกล้ๆ แกคงไม่ไปนอนที่อื่น”

“ตกลงจะพูดเรื่องของแกได้หรือยัง” เก่งกาจเอ่ยแทรกขึ้นมา

“ฉันไม่รู้จะเข้าไปหาปรียังไงดี แกช่วยคิดหน่อยสิ ไหนๆ แกก็ไม่มีเรื่องต้องทุกข์ใจมากแล้ว”

เก่งกาจมองเพื่อนที่อยากกลับไปคบกับแฟนเก่า

ทั้งที่เอกลักษณ์มีความเชื่อมั่นให้เห็น แต่ยังลังเลใจอยู่หลายวัน แม้จะย้ายมาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหญิงสาวผู้นั้น แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่กล้าสักที จนเขายังรอดูว่าเพื่อนจะกล้าตอนไหนหรือยอมถอดใจ เก็บของออกจากห้องเช่าแล้วกลับไปอยู่บ้านตามเดิม

“ฉันนึกว่าแกล้มเลิกความตั้งใจไปแล้ว เห็นนิ่งอยู่นาน ไม่เข้าไปหาผู้หญิงสักที ไม่รู้ว่ารออะไร” เก่งกาจมองเพื่อนที่ยังยืนมองตาละห้อยเพื่อขอคำปรึกษา “ฉันมีเรื่องจะบอกแก น่าจะเป็นหนทางที่แกจะเข้าหาคุณปรีได้แบบไม่ดูจงใจเกินไป”

“แกรู้จักปรีด้วยเหรอ” เอกลักษณ์ถามด้วยความสงสัย เพราะช่วงเวลาที่ผ่านมาตอนที่คุยกันถึงปรียานุชนั้น เก่งกาจไม่เคยเรียกชื่อหญิงสาวเช่นนั้นเลย

“ก็เพิ่งจะรู้จักกันเมื่อเย็นนี่เอง จะว่าเป็นโชคช่วยแกก็ได้ มันช่างเหมาะเจาะพอดี”

เก่งกาจเล่าถึงเหตุผลที่ได้ไปทำความรู้จักกับปรียานุชให้เพื่อนรับฟัง

เอกลักษณ์ยิ้มอย่างพึงใจที่ทุกอย่างช่างเป็นใจให้ตนสมความปรารถนา

“คุณปรีบอกฉันว่าจะจัดกิจกรรมที่บ้านป้าศิ ให้ฉันกับสิตางค์พาลูกไปร่วมกิจกรรมได้ แกไปกับพวกฉันสิ ไม่ยากเลยที่จะไปพบคุณปรี ถ้ารู้ว่าวันไหนจะรีบบอกแก รอให้คุณปรีโทรบอกฉันก่อน”

เก่งกาจเอ่ยรวบรัดตัดความ เมื่อรู้สึกว่าทิ้งภรรยาให้ยืนรออยู่นานพอสมควร

“ฉันคิดไม่ผิดจริงๆ ที่รีบมาปรึกษาแก ถ้าปล่อยไว้ ฉันคงคิดจนหัวหมุนทั้งคืน”

“สบายใจแล้ว แกก็กลับไปซะ” เก่งกาจไล่เพื่อนกลายๆ

“จะกลับไปเอาใจเมียต่อละสิ ไม่รบกวนแล้ว” เอกลักษณ์ผละออกไปจากหน้าบ้านเร็วไวราวกับรู้ตัวดีว่ามารบกวนเวลาที่เขาอยู่กับภรรยา

เก่งกาจมองเพื่อนค่อยๆ ขับรถห่างออกไปจากบ้าน เขาหันหลังกลับไปมองภรรยาซึ่งยืนส่งยิ้มหวานให้แก่กัน

เมื่อทุกอย่างเริ่มเป็นไปในทางที่ดีอาจเรียกได้ว่าเข้ามาได้ถูกจังหวะทั้งชีวิตเขาและเพื่อนชาย

แต่เก่งกาจอาจลืมคิดไปว่าคนที่สมหวังในความรักนั้น ต้องรู้สึกเหมือนกันทั้งสองฝ่ายอย่างเช่นเขากับสิตางค์

 

หญิงสาวเดินออกจากคลินิกช้ากว่าปกติหลังจากเวลาเลิกงานในช่วงค่ำ เพราะมีเด็กรายใหม่เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในความดูแลของเธอเป็นครั้งแรก จึงต้องใช้เวลาพูดคุยกับบิดามารดาของเด็กนานพอสมควร จนได้รับความร่วมมือเต็มที่ รวมทั้งยังช่วยกันวางแผนการบำบัดรักษาเพื่อให้ได้เป้าหมายทีละขั้นทีละตอน

ก่อนจะถึงหน้าบ้านก็เห็นศศิออกมายืนตรงหน้าประตูบ้านราวกับเฝ้ารอเธอ

ศศิเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เป็นเหตุให้เธอต้องหยุดยืนโอภาปราศรัยกัน

“หนูปรีมาพอดีเลย น้ากำลังจะไปหาหนูที่บ้าน” ศศิเอ่ยทันทีที่เข้าใกล้ตัวเธอ

“น้าศิมีอะไรกับปรีเหรอคะ”

“มีข่าวดีอยากบอกให้รู้” ศศิเว้นไว้แค่นั้นเพื่อเรียกความสนใจ “สิตางค์กับเก่งเพิ่งจะมารับกีตาร์ไปอยู่ด้วยกันแล้วนะ”

ปรียานุชดีใจกับคำกล่าวที่ได้ยิน หากยังไม่ทันเอ่ยคำใด อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาอีก

“น้าต้องขอบคุณหนูปรีมากๆ ที่ช่วยเหลือกัน น้าเห็นสองคนนั้นก็ดูจะรักใคร่กลมเกลียวกันดีนะ”

“ปรีอยากให้กีตาร์หายจากสิ่งที่เป็นอยู่ค่ะ” เธอปรารถนาให้เด็กทุกคนได้รับการเลี้ยงดูอย่างถูกต้องและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในทางที่ถูกที่ควร

“ความหวังดีของหนูปรีอาจจะส่งผลให้เจอคู่ชีวิตที่ดีสักคน จนมีลูกมีเต้าเชื่อฟังกันง่าย ต่างจากน้าที่มีลูกชายคนเดียว แต่ยังไม่ยอมออกไปไหนอีก ไม่รู้น้าทำกรรมอะไรไว้จึงได้ผลกรรมเช่นนี้” ศศิพูดถ้อยคำท้ายๆ ด้วยเสียงอ่อนอกอ่อนใจในชะตากรรมตัวเอง

“อาจจะไม่ใช่เวรกรรมเสมอไปก็ได้ค่ะ บางทีเกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่หรือขึ้นอยู่ที่ตัวเด็กเองที่เผชิญสิ่งใดจนจำฝังใจอย่างศิลป์นี่ไงคะ ถ้าศิลป์ชนะความกลัวที่เกิดขึ้นได้มากพอ ก็ออกไปเจอผู้คนและเข้าสังคมได้ค่ะ” เธอพูดให้คนฟังสบายใจ

“น้าเชื่อว่าหนูปรีต้องช่วยศิลป์ได้ เหมือนอย่างที่ช่วยกีตาร์”

“สำหรับกีตาร์ นี่แค่เป็นการเริ่มต้นเท่านั้นเองค่ะ คงต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร อาจไม่รวดเร็วเพื่อให้ได้อย่างที่อยากให้เป็น ตอนนี้คงขึ้นอยู่กับพ่อแม่เป็นหลัก แต่ปรีเชื่อว่าพวกเขาควรจะปรับเปลี่ยนตามที่แนะนำไปแน่นอนค่ะ”

หญิงสาวเชื่อมั่นเช่นนั้นจริงๆ ถ้าสามีภรรยาที่เคยผิดใจกันมารับลูกชายพร้อมกันได้และยังดูจะรักกันดีเหมือนเดิม แสดงว่าไปตกลงทำความเข้าใจกันตามคำของเธอ

ปรียานุชยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งทำให้สามีภรรยาคู่นั้นกลับมาเป็นครอบครัวสุขสันต์ตามเดิม

“เสาร์นี้ ปรีจะไปจัดกิจกรรมการละเล่นไทยที่บ้านน้าศิอีกนะคะ คงมีคนมากขึ้นจากคราวก่อน”

“จะดีเหรอหนูปรี” ศศิกลัวว่าลูกชายจะไม่ยอมเข้าร่วมกิจกรรม

“ศิลป์คงไม่มีปัญหาหรอกค่ะ พวกเราต้องฝึกให้ศิลป์เรียนรู้ที่จะอยู่กับคนหมู่มากเพราะจะได้จัดการสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ได้ อย่าห่วงเลยนะคะ จะมีคนแปลกหน้าที่ศิลป์ไม่เคยเจอแค่ไม่กี่คน นอกจากนั้นก็เป็นคนที่เคยเล่นด้วยกันมาครั้งหนึ่งแล้วค่ะ”

ศศิมีสีหน้าคลายกังวล “น่าจะชวนพวกกีตาร์มาทั้งครอบครัวนะ”

“วันนั้นคุณเก่งให้นามบัตรไว้ ปรีโทรบอกคุณเก่งเรียบร้อยแล้วค่ะ” เธอยังจำท่าทีที่เก่งกาจให้ความสนใจต่อกิจกรรมการละเล่นไทยที่เคยบอกเล่าให้ฟังในวันนั้นได้ดี

หลังจากได้บอกเล่าเรื่องราวน่ายินดีให้เธอรับรู้แล้ว ศศิก็ขอตัวกลับเข้าบ้าน

ปรียานุชไม่คิดมาก่อนเลยว่าในวันที่จัดกิจกรรมครั้งถัดไปจะได้พบคนที่เคยรู้จักกัน ทั้งคนที่เพิ่งเจอหน้ากันเพียงหนเดียวและคนที่เคยอยู่ในความทรงจำแม้ตอนนี้อาจจะเผลอหลงลืมไป 



Don`t copy text!