ละเล่นลานรัก บทที่ 21 : มัวรอรี ไม่รีรอ

ละเล่นลานรัก บทที่ 21 : มัวรอรี ไม่รีรอ

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

ภายหลังรับประทานอาหารกลางวันเสร็จสิ้น สิตางค์มักจะพาลูกชายมานั่งด้วยกันบนโซฟาในห้องนั่งเล่นเป็นประจำ หากแต่ก่อนผู้เป็นแม่จะส่งโทรศัพท์มือถือให้ลูกทันที แล้วลุกขึ้นไปทำตามอัธยาศัย แต่ปัจจุบันนี้ได้ปรับเปลี่ยนตัวเองและวิธีการเลี้ยงลูก เธอจึงนั่งอยู่กับลูก ปล่อยให้สามีจัดการกับจานชามในห้องครัว

เก่งกาจใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากกว่าที่เคยเป็น โดยเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์จะไม่แตะต้องงานเลยสักนิดเดียว บางทีก็หยุดอยู่บ้านเหมือนวันนี้ บางทีก็พาภรรยาและลูกไปสถานที่ต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นนานๆ ทีเมื่อในอดีต แต่ยามนี้เกิดขึ้นเกือบทุกสัปดาห์

ทั้งสองคนรู้สึกถึงความอบอุ่นของครอบครัวมีมากขึ้น หลังจากที่ได้ปรับความเข้าใจกันและหันมาร่วมมือช่วยกันแก้ไขปัญหาของลูกซึ่งมีสาเหตุมาจากตัวของพ่อแม่เอง

พอสำนึกได้ว่าทำผิดจึงต้องแก้ไขดีกว่าปล่อยปละละเลยไป อาจสร้างปัญหาที่แก้ได้ยากยิ่งตามมา

“ขอดูตูนนะคาฟ ขอ ขอ” กีตาร์หันบอกมารดา

“เราตกลงกันแล้วนี่จ๊ะ ว่าแม่จะให้กีตาร์ใช้โทรศัพท์มือถือเวลาไหนบ้าง ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ตกลงกันไว้นะ” สิตางค์บอกลูกชาย

เธอจัดตารางเวลาที่จะปล่อยให้ลูกอยู่กับโทรศัพท์มือถือ เพื่อจำกัดการใช้เวลาอยู่กับหน้าจอ รวมทั้งเวลาดูโทรทัศน์อีกด้วย หากตอนแรกยังทำไม่ได้จึงต้องอะลุ่มอล่วย จากนั้นค่อยลดทอนเวลาลงเรื่อยๆ จนตอนนี้ให้ลูกอยู่กับมือถือแค่วันละสองชั่วโมง ส่วนเวลาที่เหลือเธอและสามีจะอยู่กับลูก หรือชวนลูกทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยตัวเอง

กีตาร์พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจง่าย หากยังชี้นิ้วไปที่โทรทัศน์

“นั่นก็ยังเปิดไม่ได้นะจ๊ะ แม่จะให้กีตาร์ดูทีวีได้ตอนไหน จำได้ไหม” สิตางค์ชวนลูกคุยโต้ตอบ

“สี่โมงเย็นคาฟ” กีตาร์ท่องจำได้ขึ้นใจ

“ตอนนี้เพิ่งจะบ่ายโมง เหลืออีกกี่ชั่วโมงนะ ถึงจะได้ดู ลองมานับนิ้วกับแม่ดีไหม” สิตางค์ฝึกลูกชายทำกิจกรรมง่ายๆ ไปพร้อมกัน

กีตาร์นับนิ้วไปตามมารดา

“อีกสามชั่วโมง แม่จะเปิดทีวีให้ดูนะจ๊ะ”

สิตางค์ลูบศีรษะบุตรชายด้วยความรู้สึกเป็นสุขที่ได้เห็นพฤติกรรมของลูกเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ทั้งพูดกันเข้าใจมากขึ้น เชื่อฟังกัน ไม่เอะอะโวยวายยามไม่ได้สิ่งที่ต้องการ หรือแม้แต่การอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ก็ลดน้อยลง

“เรามาเล่นจับอวัยวะกันดีกว่า ลองใช้มือจับหัวให้แม่ดูได้ไหมจ๊ะ เหมือนที่เคยเล่นด้วยกัน” มารดาหากิจกรรมเล่นกับลูกในยามว่าง

กีตาร์ทำตามคำของมารดา ยกมือสองข้างจับศีรษะตัวเอง

“พูดด้วยนะ หัว” สิตางค์บอกลูกชาย “ตาอยู่ไหนจ๊ะ ตาอยู่ไหน ชี้ตาให้แม่ดูหน่อยได้ไหม”

กีตาร์เลื่อนมือลงมาชี้ที่ตาตัวเอง

สิตางค์ออกปากชมเชยให้ลูกชายได้ยิน จากนั้นก็บอกให้ชี้อวัยวะต่างๆ บนใบหน้า ซึ่งลูกชายทำได้ดี อาจจะมีชี้พลาดไปบ้าง แต่ทำให้เป็นเรื่องขบขันแล้วชี้ให้ถูกต้อง

เก่งกาจเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ได้ยินเสียงหัวเราะของบุตรชายปะปนกับภรรยา ความชื่นมื่นของการมีครอบครัวได้เกิดขึ้นในใจเขาซึ่งไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มานานเพราะมัวสนใจแต่เรื่องงาน

ผู้เป็นบิดาเข้าไปร่วมเล่นด้วยกัน เขาเพิ่มความเร็วในการบอกให้ชี้อวัยวะต่างๆ จนทั้งแม่และลูกชี้ผิดชี้ถูกไปตามๆ กันก็เรียกเสียงขำขันและเกิดความสนุกสนานมากขึ้น

เก่งกาจขอบคุณทุกคนที่ให้คำแนะนำและแนวทางในการแก้ไขปัญหาของบุตรชาย โดยเฉพาะปรียานุชหรือนักกิจกรรมบำบัดซึ่งเป็นวิชาชีพที่เขาเองก็ไม่ได้นึกถึงมาก่อนเลยว่าจะมีส่วนช่วยเหลือกันได้มากถึงเพียงนี้

อีกหนึ่งอาชีพที่ไม่ค่อยจะมีคนรู้จัก ถ้าไม่ได้เข้าไปสัมผัสด้วยตัวเอง

การใช้เวลากับภรรยาและลูกเพื่อทำสิ่งต่างๆ นั้นคือช่วงชีวิตสำคัญที่สุดของคนเป็นพ่ออย่างเขา จนตอนนี้กีตาร์สามารถคุยกับเขาและยังเชื่อฟังกันมากขึ้น

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปในทางที่ดีเพียงแค่หันหน้าคุยกันด้วยเหตุและผลเพื่อให้เข้าใจทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นระหว่างเขากับภรรยาหรือเขากับลูก

ในแต่ละวัน ผู้เป็นบุพการีต้องคอยสังเกตทุกการกระทำของบุตรชายเพื่อวางแผนสำหรับการสรรหากิจกรรมมาใช้แก้ไขปัญหาของลูก

ช่วงนี้เก่งกาจมักจะซื้อหนังสือนิทานเพื่อให้สิตางค์อ่านให้ลูกฟังและให้ลูกพูดตามได้อีกด้วย ลูกจะรู้จักสีสันและคำต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ทั้งสองคนยังช่วยกันฝึกการใช้มือของลูก เริ่มต้นโดยการชวนให้ขีดเขียนเส้นตรงทั้งแนวตั้ง แนวนอน เมื่อลูกทำได้ดีก็สอนวาดรูปวงกลม กากบาท สี่เหลี่ยม รวมทั้งกิจกรรมที่ต้องใช้มือกับสายตาประสานกันก็ยังนำมาใช้กับลูก

ผลของการเป็นเด็กติดจอทำให้กีตาร์เป็นเด็กพูดช้าหรือการพูดนั้นไม่สมวัย เขาเพิ่งเล็งเห็นแน่ชัดก็ตอนที่ได้พบผู้เชี่ยวชาญ ส่วนสิตางค์ที่แต่ก่อนไม่เคยทุกข์ร้อนเพราะคิดอยู่เสมอว่าเดี๋ยวลูกคงพูดได้เองก็ตระหนักถึงการพูดของลูกเช่นกัน

เด็กที่มีช่วงอายุประมาณสี่ขวบต้องพูดเป็นประโยคยาวได้บ้าง พวกเขาจึงต้องฝึกฝนลูกชายด้วยการชวนลูกพูดคุยกันในทุกครั้งที่สบโอกาส ไม่ใช่แค่รอเวลาไปพบผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะคนที่อยู่กับลูกมากที่สุดคือบิดามารดา

เขากับภรรยายังสอนให้ลูกได้รู้จักสิ่งของรอบตัวและเรียกสิ่งนั้นๆ ได้ถูกต้อง รวมทั้งการใช้งานของสิ่งที่อยู่รอบตัวก็ต้องแนะนำลูกให้ได้รับรู้อีกด้วย

นอกจากนั้นสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน เด็กในช่วงวัยเดียวกับกีตาร์ก็ต้องล้างมือ แปรงฟัน และสวมเสื้อผ้าได้เอง พวกเขาจึงหมั่นสอนให้กีตาร์เรียนรู้กิจกรรมเหล่านั้นเพื่อที่จะสามารถทำได้ด้วยตัวเอง เป็นการฝึกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งขณะนี้กีตาร์เริ่มทำเองได้บ้างแล้ว แม้ผู้เป็นแม่จะต้องช่วยจับบ้างเป็นบางคราวบางตอน

พอบุตรชายมีหลายพฤติกรรมส่อแววดีขึ้น เก่งกาจก็เบาใจ คงจะต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เป็นปกติไปตามวัยของเด็ก อีกทั้งการเห็นลูกชายเล่นกับคนอื่นอย่างสนุกสนานเป็นเรื่องที่พ่อแม่ก็พลอยมีความสุขไปด้วย เขาจึงไม่พลาดเข้าร่วมกิจกรรมการละเล่นไทยเหมือนในวันก่อน

หลังวางสายจากคนที่อยากมาหากันถึงบ้าน ประมาณครึ่งชั่วโมงเก่งกาจก็เดินไปเปิดประตูต้อนรับเอกลักษณ์ที่ออกมาจากรถยนต์ เดินมุ่งหน้ามาพบเขาด้วยความร้อนอกร้อนใจ

“ลมอะไรหอบแกให้บึ่งรถมาหาฉันถึงที่นี่” เก่งกาจพูดกับเพื่อน

“แกเคยอยู่ที่ห้องฉันเป็นเดือนๆ มันเหงาปาก ไม่มีใครคุยด้วย” เอกลักษณ์ยิ้มน้อยๆ ให้เขา แต่ไม่ยอมเข้าเรื่องสักที พลางมองบ้านสองหลังที่อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน “บ้านของแกหลังไหนล่ะ วันนั้นฉันมามืดๆ ค่ำๆ ไม่ทันได้มอง”

เก่งกาจจำใจบอกให้รู้ ขณะรอให้เพื่อนชายเข้าประเด็น “บ้านฉันหลังนั้น อีกหลังของแม่ยาย ตอนนี้คงอยู่ต่างจังหวัด”

“เมื่อไหร่ปรีจะจัดกิจกรรมอย่างนั้นอีก” เอกลักษณ์เอ่ยเสียงอ่อนในเรื่องที่ครุ่นคิดมาทั้งคืน

“เพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี่เอง อย่าใจร้อนสิ” เก่งกาจพอจะทราบว่าเพื่อนกำลังว้าวุ่นใจในเรื่องใด

“ฉันไม่อยากปล่อยเวลาให้ผ่านไปแบบเปล่าประโยชน์อีกแล้ว ดูท่าทีของปรีเมื่อวาน คงจะตกใจที่ฉันไปหา ปรีไม่พูดอะไรกับฉันเลยสักคำ”

“ทำไมแกไม่อยู่คุยกันต่อล่ะ ตามพวกฉันกลับพร้อมกันทำไม”

“พอเจอหน้าปรี ฉันก็พูดไม่ออก ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ถ้าว่ากันไปตามจริง ฉันผิดเองที่ไปคบคนใหม่ทั้งที่ปรียังรอฉันอยู่” ด้วยเหตุผลที่เอกลักษณ์ใช้อ้างออกไปทำให้ปล่อยเวลาผ่านพ้นมาหลายวันจนเป็นเดือนจึงไปเจอหน้ากันได้เสียที ทั้งที่อยู่ไม่ไกลกันเลย

เก่งกาจส่ายศีรษะให้เพื่อนซึ่งพอถึงเวลาจริงกลับถอยออกมา อาจเป็นเพราะความรู้สึกผิดในใจทำให้ไม่กล้าสู้หน้ากันก็ได้

“แกต้องสารภาพผิดกับคุณปรี ให้คุณปรีเข้าใจกันก่อน แล้วค่อยเรียนรู้กันใหม่ คงยังไม่สายไปหรอก ถ้าคุณปรียังไม่มีใคร” เขาแนะนำเพื่อน เพราะทุกอย่างต้องคุยกันไปตามความจริงจึงจะเข้าใจกันเพื่อให้อภัยกันและมีโอกาสแก้ตัว เก่งกาจพูดขึ้นมาอีก เมื่อนึกขึ้นมาได้ “แกรีบหน่อยก็ดีนะ เมื่อวานฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งทำท่าจะจีบคุณปรี ถ้าแกปล่อยไว้อย่างนี้ มีหวังคนอื่นจะได้ใจคุณปรีไปก่อนแกแน่ๆ”

“ฉันฝากสวัสดีเมียกับลูกของแกด้วยแล้วกัน” เอกลักษณ์พูดจบก็กลับหลังหัน เดินออกไปนอกบริเวณบ้านด้วยท่าทีร้อนรนไม่ต่างจากตอนแรกที่มาถึง

“แกจะรีบไปไหน” เก่งกาจตะโกนถามไล่หลังเพื่อน

“ฉันจะไปสารภาพผิดกับปรีวันนี้เลย ไหนๆ ก็รู้จักบ้านปรีแล้ว” เอกลักษณ์ตะโกนบอกเขา

เก่งกาจไม่คิดว่าคำพูดของตนจะได้ผลเร็วเกินคาดซึ่งทำให้เพื่อนฮึกเหิมในการคืนดีกับแฟนเก่า

บทจะไม่กล้าก็ไม่รู้จะพูดยังไงเพื่อให้ทำตามใจปรารถนา แต่บทจะกล้าขึ้นมา เก่งกาจก็ไม่คิดจะขวาง เพราะวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อนชายคงได้เจอคนที่อยากไปพบแน่นอน

เอกลักษณ์เพิ่งรู้ตัวว่ามีคู่แข่งจึงไม่รอช้าที่จะไปหาเธอ

หากแต่ก่อนคิดว่าเธอยังไม่มีใคร จึงปล่อยเวลาให้ล่วงเลยจนกว่าตัวเองพร้อมสู้หน้าเธอได้ แต่ตอนนี้คงไม่ต้องรอแล้ว เพราะกลัวเธอจะเปิดใจให้ชายอื่นที่ไม่ใช่ตน



Don`t copy text!