ละเล่นลานรัก บทที่ 26 : ท่าควายกับท่าสีซอ
โดย : กุลวีร์
ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก
เธอเรียกความสนใจของทุกคนได้เป็นอย่างดี แม้แต่คนเป็นผู้ใหญ่ซึ่งอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อการละเล่นสีซอให้ควายฟังมาก่อน
“จะมีผู้เล่นหนึ่งคนออกมายืนอยู่กลางวง แล้วต้องรีบวิ่งไปยืนตรงหน้าของใครคนใดคนหนึ่งที่นั่งอยู่ ถ้าผู้เล่นคนนั้นทำท่าควาย คนที่นั่งอยู่ต้องทำท่าสีซอ กลับกันถ้าผู้เล่นคนนั้นทำท่าสีซอ คนที่นั่งอยู่ต้องทำท่าควาย ปรีจะสอนทำท่าควายก่อนนะคะ”
หญิงสาวทำท่าควายโดยยกมือสองข้างวางไว้ด้านข้างศีรษะตรงเหนือหู กำมือ ยกเว้นนิ้วชี้ที่จะงอเล็กน้อยเพื่อทำเป็นเขาควาย
ปรียานุชให้ทุกคนทำตาม พอแต่ละคนทำได้ก็สอนทำท่าสีซอเป็นลำดับถัดไป
หญิงสาวทำท่าสีซอโดยยกมือซ้ายขึ้นมาไว้ทางด้านหน้าระดับอกแล้วกำมือ จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นมาไว้ระดับเอว กำมือเช่นกัน เลื่อนมือขวาไปมาคล้ายการสีซอ
เธอสรุปให้เข้าใจกันอีกครั้ง “คนที่นั่งต้องทำท่าให้ไม่เหมือนกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ถ้าคนที่นั่งทำท่าเหมือนกับคนที่ยืนก็ต้องออกไปยืนกลางวงแทน ค่อยวิ่งมายืนตรงหน้าคนที่นั่งอยู่ แล้วทำท่าที่สอนไป แค่นั้นเองค่ะ”
ปรียานุชพูดจบก็วิ่งไปหยุดอยู่หน้าธารทิพย์ เธอทำท่าควาย เพื่อนสาวทำท่าสีซอให้เห็นทันที เธอเปลี่ยนมาเป็นคนที่นั่งอยู่ชิดติดกับเพื่อนสาวทางด้านขวาซึ่งเป็นแทนไทย เธอทำท่าควาย เด็กชายที่อายุน้อยสุดเหมือนจะไม่เข้าใจ หันหน้ามองมารดาซึ่งทำท่าสีซอค้างไว้ก็ทำตาม ก่อนที่บิดาซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังจะช่วยจับมือให้ทำท่าสีซอ
เมื่อยังมีคนทำท่าไม่เหมือนเธอ ปรียานุชก็เปลี่ยนไปยืนด้านหน้าของคนอื่นต่อไป จนมายืนด้านหน้าไขศิลป์ที่ไม่ทันตั้งตัว เขายกมือสองข้างทำท่าควายเหมือนเธอจึงต้องออกไปยืนตรงกลาง และเล่นกันต่อไป
ทุกคนต่างจดจ่อคอยดูว่าจะมีคนมายืนด้านหน้าตอนไหน และต้องทำท่าใดให้แตกต่างจากคนผู้นั้น จึงก่อเกิดความสนุกสนานรื่นเริงลุ้นว่าจะมาถึงคราวของตนเมื่อใด จากนั้นเธอปรับเปลี่ยนการเล่นเล็กน้อย โดยให้มีคนที่ยืนในวงสองคน เพื่อจะได้สนุกกันมากขึ้น และบางคนจะได้ไม่ต้องรอเพราะนั่งกันเป็นวงใหญ่
ความสดใสร่าเริงจากเสียงหัวเราะของเด็กที่หลงทำท่าตามคนที่ยืนดังขึ้นเป็นระยะ เธอเห็นบรรดาเด็กๆ มีโอกาสเล่นกับผู้ใหญ่ทั้งที่เป็นคนในครอบครัวและไม่ใช่คนในครอบครัว เธอเห็นเขาที่เล่นด้วยความสนุกสนานโดยที่ไม่มีความเกรงกลัวเกิดขึ้น แม้เขาจะถูกเพื่อนชายแกล้งทำท่าควายหรือท่าสีซอใส่บ่อยครั้ง ส่วนเธอนั้นมักจะถูกเด็กหลายคนมายืนทำท่าตรงหน้า เธอก็รับมือได้ดี นอกจากนั้นยังมีชายหนุ่มสองคนที่แวะเวียนมายืนทำท่าให้เธอได้เห็น แต่เธอไม่หลงกลทำตามง่ายๆ
เป็นสังคมย่อยๆ ที่มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกันโดยไม่สนเลยว่าเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก แค่มีการละเล่นไทยเหมือนส่วนช่วยประสานให้เกิดความสนุกสนานและเชื่อมโยงความคุ้นเคยแก่กัน
การเล่นสีซอให้ควายฟัง นอกจากจะฝึกสมาธิแล้ว ยังช่วยให้เด็กกล้าที่จะเข้าไปทำความรู้จักกับผู้ใหญ่ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนโดยการทำท่าทำทาง เธอเห็นเด็กหลายคนมีความกล้าในการเข้าหาผู้ใหญ่และกล้าที่จะมองโลกภายนอกซึ่งไม่ได้มีแค่ตัวเองเท่านั้นอย่างเช่นกีตาร์ที่เธอได้เห็นในวันนี้
เมื่อการละเล่นดังกล่าวจบลง เธอให้ทุกคนพักดื่มน้ำและทำตามอัธยาศัย
“พี่ไม่เห็นน้องปรีดื่มน้ำเลย ไม่เหนื่อยบ้างเหรอ” ฉัตรพงษ์เข้ามาคุยกับเธอ “พี่ไปหยิบน้ำมาให้ดีไหม”
ก่อนฉัตรพงษ์จะทำตามความตั้งใจ เอกลักษณ์ก็เดินมาหาเธอพร้อมกับน้ำเปล่าหนึ่งขวดในมือ
“ปรี เราเอาน้ำมาให้”
ปรียานุชจำเป็นต้องรับขวดน้ำที่เอกลักษณ์ยื่นส่งให้ จากนั้นก็แนะนำชายหนุ่มทั้งสองให้รู้จักกัน โดยเริ่มจากคนที่ยืนอยู่กับเธอก่อน
“เอก นี่คุณฉัตร”
ฉัตรพงษ์ส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
“คุณฉัตรคะ นี่เอก เพื่อนของปรีค่ะ” เธอยังต่อท้ายให้ฉัตรพงษ์ได้ทราบว่าชายหนุ่มที่เพิ่งเจอหน้ากันวันนี้เกี่ยวข้องกับเธออย่างไร
เอกลักษณ์ค้อมศีรษะให้คนที่พอจะดูออกว่ามีอายุมากกว่าตน
ฉัตรพงษ์แย้มยิ้มมากขึ้น เมื่อรู้ว่าเอกลักษณ์คงจะสนใจเธอเช่นกัน แต่ฝ่ายหญิงอาจให้ได้แค่ความเป็นเพื่อน
“การละเล่นเมื่อกี้ เราสนุกมากเลยนะปรี ไม่เคยเล่นมาก่อน ไม่เคยรู้จักเลยด้วย เคยแต่ได้ยินรีรีข้าวสาร มอญซ่อนผ้า ม้าก้านกล้วย” เอกลักษณ์ชวนคุยกันต่อเพราะแอบไปศึกษาในสิ่งที่เธอสนใจ
“พี่ก็เหมือนกันนะ สีซอให้ควายฟัง ไม่คิดเลยว่าจะเป็นการละเล่นไทย นึกว่าจะเป็นสำนวนไทยอย่างเดียว” ฉัตรพงษ์เอ่ย
ปรียานุชก็ได้แต่ยืนฟังชายหนุ่มสองคนพูดพร่ำถึงการละเล่นที่ผ่านมา จนเอกลักษณ์พูดถึงเรื่องแต่หนหลัง
“เราดีใจจริงๆ ที่ปรีได้เป็นนักกิจกรรมบำบัดในเด็กจนสมใจ ตอนอยู่มหาวิทยาลัยปรีเคยเล่าให้เราฟังว่าชอบอยู่กับเด็กๆ เรายังจำได้เลย”
“ตอนที่พี่เห็นน้องปรีอยู่กับพวกเด็กๆ น้องปรีดูมีความสุขสบายใจมากเลยนะ” ฉัตรพงษ์เอ่ยในทำนองเดียวกัน เหมือนจะไม่ยอมให้เอกลักษณ์พูดอยู่ฝ่ายเดียว
“เด็กๆ ใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่หลอกลวงหรือเสแสร้งกันง่ายๆ ปรีจึงเลือกอยู่กับเด็กๆ มากกว่าผู้ใหญ่” เธอตอบออกไปโดยไม่ได้สนใจเลยว่าคำกล่าวนั้นจะค่อนแคะคนเป็นแฟนเก่า
ฉัตรพงษ์พูดเป็นเชิงหยอกเย้า “ชอบเด็กมากๆ แบบนี้ แต่น้องปรีก็ยังไม่มีเด็กเป็นของตัวเอง”
ปรียานุชหัวเราะออกมา เมื่อไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
เอกลักษณ์อยากทำให้ฉัตรพงษ์ได้รู้ว่าตนนั้นอาจจะรู้จักเธอดีกว่าใคร “ปรีเคยบอกเราว่าอยากจะมีลูกสักคนสองคน เป็นครอบครัวเล็กๆ ในบ้านหลังเล็กๆ ที่อบอุ่น เราอยากให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน”
พอเอกลักษณ์พูดเรื่องที่ไม่เข้าท่าก็เกิดความเงียบงันไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เธอเคยพูดเช่นนั้นจริงๆ
เป็นความจริงที่ยังไม่มีวันเป็นจริงในชีวิตเธอ
ฉัตรพงษ์ยืนมองท่าทีของคนทั้งสองจนเริ่มตงิดใจที่สองคนอาจจะมีลับลมคมในมากกว่าเป็นเพื่อนกัน หากความสงสัยและอยากหาคำตอบนั้นต้องพักไว้ก่อน เมื่อดาราพรวิ่งเข้ามาจับแขน
“ลุงฉัตรคะ พ่อรามฝากมาบอกว่าให้ลุงฉัตรแวะไปส่งน้องดรีมที่บ้านด้วยนะคะ” ดาราพรเพิ่งจะนึกขึ้นได้ จึงรีบเข้ามาแจ้งให้ทราบ
“ไม่ใช่พ่อลูกกันเหรอครับ” เอกลักษณ์ถามขึ้น เพราะเคยเห็นเด็กผู้หญิงพูดคุยกับฉัตรพงษ์อย่างคนคุ้นเคยกันดี
“ผมเป็นเพื่อนของพ่อของน้องดรีมครับ ผมยังไม่เคยมีครอบครัว” ฉัตรพงษ์บอกให้อีกฝ่ายได้รู้ เผื่อจะเข้าใจในท่าทีที่ตนทำความรู้จักกับหญิงสาว
เอกลักษณ์เฝ้ามองดูว่าใครจะเป็นคู่แข่งในการพิชิตใจหญิงสาว หากตอนแรกคาดว่าเป็นลูกเจ้าของบ้าน แต่ฝ่ายนั้นไม่ค่อยเข้ามาสุงสิงกับเธอเท่าฉัตรพงษ์ จนทราบแน่ชัดแล้วว่าคนที่เก่งกาจเอ่ยถึงนั้นคือคนตรงหน้าที่พยายามตีสนิทกับปรียานุชเพื่อหวังพัฒนาความสัมพันธ์
ดาราพรจูงแขนฉัตรพงษ์ให้ไปรู้จักเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเจอกันวันนี้
ฉัตรพงษ์จำเป็นต้องปล่อยเธอไว้กับเอกลักษณ์โดยดี แม้ในใจจะเสียดายเวลาที่ไม่ได้สร้างความสนิทสนมกัน
“ทำไมต้องพูดถึงแต่เรื่องอดีตด้วยล่ะ เราไม่ชอบ” เธอพูดกับเอกลักษณ์ที่ยืนส่งยิ้มให้กันไม่หยุดหย่อน
“เราอยากให้ใครต่อใครรู้ว่าเรากับปรีเคยสนิทกันขนาดไหน”
ปรียานุชได้ฟังคำตอบนั้นก็ถอนหายใจ “อย่าพูดเรื่องอดีตเลย ทุกวันนี้เราสนใจปัจจุบันมากกว่า”
เอกลักษณ์พยายามที่จะเข้าใจเธอเพราะไม่อยากให้เสียคะแนน และกลัวเธอจะไม่ยอมกลับมาคบกันใหม่อีกครั้ง หากก่อนที่จะสนทนากันต่อไปก็มีคนเข้ามาแทรกกลางคัน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 35 : ใครเห็น...ใครก็ต้องคิด
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 34 : สุดแสนเสียดาย
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 33 : คนหนึ่งแพ้ย่อยยับ หนึ่งคนชนะขาดรอย
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 32 : ช่วงชิงชัย
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 31 : ขอลงแข่ง
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 30 : ตัวเลือกไม่รู้ตัว
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 29 : ต้องลองอีกสักครั้ง
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 28 : คืนของให้แก่กัน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 27 : ดมดอกไม้
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 26 : ท่าควายกับท่าสีซอ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 25 : คิดผิดถนัด
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 24 : ต้นเหตุความกลัว
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 23 : แหวนแฟนเก่า
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 22 : ขอหวนคืน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 21 : มัวรอรี ไม่รีรอ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 20 : ฉันจะตีก้นเธอ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 19 : งูกินหาง...ห้ามใกล้กัน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 18 : หลายอย่างช่างถูกจังหวะ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 17 : ผิดทั้งสองคน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 16 : สัญญาณเหมือนจะดี
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 15 : จ้ำชิงหลัก
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 14 : หลานชายก่อกวน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 13 : กำทายขอถาม
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 12 : ต้องตาต้องใจ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 11 : ตัดไฟแต่ต้นลม
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 10 : กิจกรรมวันแรกเริ่ม
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 9 : ปัญหาเกินกว่าหนึ่ง
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 8 : ตบแผละแซะคำตอบ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 7 : เด็ก (เริ่ม) มีปัญหา
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 6 : เด็กชายวุ่นวาย
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 5 : ร่วมด้วยช่วยกัน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 4 : หาทางเข้าหา
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 3 : เหตุจากหิน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 2 : หินเข้าห้อง
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 1 : เสียงลือเสียงเล่าอ้าง