ละเล่นลานรัก บทที่ 28 : คืนของให้แก่กัน

ละเล่นลานรัก บทที่ 28 : คืนของให้แก่กัน

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

ระบบการทำงานในร่างกายเสมือนนาฬิกาปลุกให้ลุกออกมาจากเตียงอย่างคุ้นชิน แม้วันนี้จะไม่ได้ออกไปทำงาน ปรียานุชก็ยังตื่นยามที่เริ่มเห็นแสงเงินแสงทอง

บรรยากาศของเช้าวันใหม่ช่างสดใสเฉกเช่นทุกวันในตอนที่กลับมาอยู่บ้านเกิด

หลังจากนั่งรับประทานอาหารมื้อเช้ากับบุพการี เมื่อพ่อแม่ชวนเธอให้ติดรถออกไปข้างนอกด้วยกันปรียานุชขออยู่บ้านเพื่อใช้เวลาในการตระเตรียมกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในครั้งถัดไป

เธอนึกถึงคำถามของชายหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ได้ยินในวันก่อน จนบัดนี้ก็ยังเชื่อมั่นว่าไขศิลป์สามารถจัดการความกลัวได้ดีกว่าหลายเดือนที่ผ่านมา

ปรียานุชไม่เคยคิดเลยว่าเพราะตัวเธอที่ทำให้เขาเป็นอย่างทุกวันนี้

ทั้งที่เธอมัวแต่คำนึงถึงคนที่อยู่ข้างบ้าน แต่แหวนทองซึ่งวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอนก็เข้ามาก่อกวนความรู้สึกจนไพล่ไปนึกถึงผู้ที่มอบให้แก่เธอ

แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด แต่เส้นทางที่เธอกับเอกลักษณ์เคยจับมือกันเดินไปในฐานะคนรัก คงปิดตายไปตั้งแต่วันนั้น วันที่ฝ่ายชายมีคนรักใหม่ทั้งที่ยังไม่ได้เลิกรากัน

เธอจึงรู้หัวใจตัวเองแน่ชัด คงเป็นไปตามที่เอกลักษณ์หวังไว้ไม่ได้อีกแล้ว

บางทีสายลมพัดหวนกลับมาที่เก่าก็อาจจะไม่ทำให้รู้สึกเย็นสบายเท่าวันวาน

คำพูดหรือข้อความว่าเลิกกันเถอะคงไม่จำเป็นที่ทำให้คนรักกันต้องร้างลา แค่การกระทำก็บ่งบอกให้ทราบว่าไม่มีใจให้กัน ถ้าในวันนั้นเอกลักษณ์ยังมีใจมั่นคงต่อกันมากพอ ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองอาจไม่เป็นเช่นทุกวันนี้

แม้จะตัดใจจนหมดเยื่อขาดใย แต่เป็นมนุษย์ร่วมโลกเดียวกัน เธอจึงยังมีไมตรีมอบให้ในแบบเพื่อนซึ่งไม่มีทางพัฒนาไปเป็นอื่นได้มากกว่านั้นอีกแล้ว

หญิงสาวไม่รู้เลยว่ามุมเล็กๆ ในซอกหลืบของใจตัวเองที่มองข้ามไป กำลังมีเงาของชายคนหนึ่งแฝงตัวอยู่ตรงนั้น เป็นเหตุให้ไม่คิดจะรับชายใดเข้ามาในหัวใจ เพื่อกันพื้นที่ให้คนคนนั้นได้ออกมาโลดแล่นในใจเธอ แล้วสักวันคงจะมองเห็นได้ง่ายโดยไม่มีใครขวางตา

ความคิดกำลังลอยละล่องไปไกลก็ต้องกลับมาสู่ภาพปัจจุบัน หลังจากได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นเป็นคำรบสอง

ปรียานุชลุกขึ้นไปดูผู้มาเยือนเพื่อหวังจะปัดเรื่องของแฟนเก่าไปให้พ้นตัว แต่เพียงเธอเดินออกมาหน้าประตูบ้าน คนที่ไม่อยากนึกถึงก็ยืนยิ้มแฉ่ง ส่งสายตาที่แฝงไว้ด้วยความสุขเกษมยามได้เห็นหน้ากัน

“เรามารบกวนวันหยุดของปรีหรือเปล่า” เอกลักษณ์ถามขึ้น เพราะรู้ดีว่าคงจะได้พบกันแน่นอน ถ้ามาที่บ้านของเธอ

“เอกมีธุระอะไรกับเราเหรอ” เธอถามกลับ หลังจากยิ้มน้อยๆ ให้กับคำถามของอีกฝ่าย

“จะไม่ชวนเราเข้าไปคุยกันในบ้านสักหน่อยเหรอ หรือไม่อยากให้เราพบพ่อแม่ของปรี” เอกลักษณ์พูดเสียงอ่อน

“ตอนนี้เราอยู่บ้านคนเดียว” ปรียานุชรีบเอ่ยให้อีกฝ่ายเข้าใจ

เอกลักษณ์พูดด้วยน้ำเสียงที่อยากให้คนฟังเห็นใจกัน “เรารู้ว่าเราทำผิดกับปรีไว้มาก เราผิดเองที่ไปคว้าคนใหม่โดยไม่เคยบอกเลิกปรี ที่เราไม่ได้บอกเลิกเพราะเรายังรู้สึกดีๆ กับปรีเสมอ เพียงแค่ความใกล้ชิดกับความห่างไกลทำให้เราเผลอไปคบคนที่อยู่ใกล้ เราขอโทษนะปรีที่ไม่นึกถึงความรู้สึกของปรีบ้างเลย”

เธอทราบมาตั้งนานแล้ว เหตุที่เอกลักษณ์มีคนใหม่เพราะความชิดใกล้จนลืมคนไกลที่เคยบอกให้รอ

ถ้าคนเรามีใจหนักแน่นมากพอ ต่อให้อยู่ใกล้แค่ปลายจมูกสัมผัสกันก็ไม่อาจปล่อยใจให้หลงระเริงกับสิ่งใดได้ง่าย

“มันผ่านมาแล้ว อย่าพูดถึงอีกเลยนะ”

“ปรีไม่ไว้ใจเราแล้วใช่ไหม จึงไม่อยากให้เราเข้าบ้าน” เอกลักษณ์เอ่ยแทรก

คำกล่าวที่ได้ยินไม่ใช่สาเหตุที่ต้องเชิญชายหนุ่มซึ่งเคยเป็นแฟนกันเข้าไปในบ้าน แต่ปรียานุชมุ่งหมายจะกระทำบางอย่างกับอีกฝ่าย

ถ้าเธอปล่อยให้เป็นเช่นนี้เรื่อยไป วันหยุดคงมีเอกลักษณ์แวะเวียนมาให้เห็นหน้ากันจนไม่มีเวลาส่วนตัว

แม้จะเคยคบกันมาสักระยะหนึ่ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เอกลักษณ์ได้มาเยือนบ้านเกิดของเธอ

“บ้านสวยดีนะ น่าอยู่มากเลย ถ้าเราจำไม่ผิด ปรีมีพี่สาวด้วยใช่ไหม ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ” เอกลักษณ์ชวนคุย ยามสายตาเหลือบไปเห็นภาพครอบครัวของหญิงสาวบนฝาผนัง

“พี่เปรมย้ายออกไปอยู่กับครอบครัว น้องดรีมนั่นไง ลูกสาวของพี่เปรม เราเคยบอกไปแล้ว จำไม่ได้เหรอ”

เอกลักษณ์ยิ้มให้เธอ แกล้งทำเป็นลืมเพื่อให้มีเรื่องคุยกัน จะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานๆ

“เอกมีอะไรกับเราหรือเปล่า” เธอถามตรงๆ หวังจะให้อีกฝ่ายเข้าเรื่องเสียที ทั้งที่เมื่อวานก็เจอกัน

“ใกล้จะเที่ยงแล้ว ปรีหิวข้าวหรือยัง ออกไปกินข้าวกับเราไหม” เอกลักษณ์อยากทำคะแนนกับเธอให้ได้มากที่สุด เพื่อหวังฐานะครั้นอดีตให้กลับคืนมาในเร็ววัน

ก่อนเธอจะเอ่ยปากปฏิเสธ เอกลักษณ์ก็พูดต่อ

“กินข้าวเสร็จแล้ว ไปดูหนังกันต่อนะ เราดูโปรมแกรมหนังเข้าฉายในโรงมาเรียบร้อย ช่วงนี้มีหนังแนวที่ปรีชอบดูด้วย ไปกับเรานะ ถือว่าเป็นวันหยุดพักผ่อนก็แล้วกัน”

เอกลักษณ์ยังต้องการรำลึกความหลังกับเธอ

ในเมื่อทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จะให้เป็นเหมือนเมื่อก่อนคงไม่ได้อีกแล้ว เธอจึงพูดไปตามความจริง “เราขออยู่บ้านดีกว่านะเอก วันหยุดเราไม่ชอบออกไปไหน” พอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีเรื่องใดเป็นพิเศษที่จะพูดคุยกัน เธอก็เริ่มทำในสิ่งที่ต้องการ “เอกนั่งรอเราสักครู่นะ”

ปรียานุชเดินขึ้นบันได เข้าไปในห้องนอนตัวเอง รีบคว้าสิ่งของที่ไม่สมควรจะเป็นของเธอเลยด้วยซ้ำ จากนั้นก็เร่งรุดลงมาพบผู้ที่ยังอยู่ในห้องนั่งเล่น

“หลายวันก่อนที่เอกถามถึงมัน เราลองไปหาแล้วก็เจอเข้าพอดี” เธอยื่นแหวนให้คนตรงหน้า

“ปรียังเก็บแหวนของเราไว้อยู่เหรอ” เอกลักษณ์จ้องมองแหวนทองด้วยสีหน้าดีอกดีใจ เพราะคิดว่าเธอยังเฝ้าคอยให้กลับคืนมา

เธอทราบดีว่าอีกฝ่ายคิดยังไงต่อกันจึงเอ่ยให้เข้าใจเสียใหม่ “ที่เราเก็บไว้ ไม่ใช่เพราะเรายังรอให้เอกทำตามคำที่เคยบอกไว้ คำพูดของเอกมันหมดความหมายกับเราไปตั้งแต่วันที่เอกคบคนใหม่ แหวนวงนี้ก็หมดความสำคัญกับเราไปแล้วเหมือนกัน แต่ที่เราไม่ทิ้งทั้งที่สมควรจะทิ้งมัน เพราะเราไม่เคยแตะต้องมันอีกเลยตั้งแต่วันนั้น จนวันที่เอกมาพูดให้เราได้ยิน”

เอกลักษณ์ทำหน้าเศร้าพร้อมทั้งพูดเสียงอ่อนเพื่อให้เธอเห็นใจ “ตอนนี้ทั้งเราทั้งแหวนคงไม่มีความสำคัญกับปรีแล้วใช่ไหม”

“เราขอคืนแหวนวงนี้ให้เอกนะ” เธอไม่ฟังคำของอีกฝ่าย ยื่นแหวนไปจนชนมือเอกลักษณ์ที่จำเป็นต้องแบออกเพื่อรับแหวนจากเธอ

ในเมื่อเธอไม่ยอมรับกันซึ่งๆ หน้าว่าหมดความสำคัญต่อกันแล้ว เอกลักษณ์ก็ยังมองเห็นทางที่จะไปต่อได้เพื่อให้คบกันเป็นแฟนเหมือนเมื่อก่อน

“ถ้าอยากได้วงใหม่บอกเราได้นะ เราจะไปหามาให้ เพราะวงนี้คงมีแต่ความทรงจำไม่ดีต่อกัน”

ปรียานุชอยากคุยให้กระจ่างใจ แต่เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนา

ก่อนที่เธอจะเดินออกไปดูถึงหน้าบ้าน ประตูก็ถูกเปิดโดยคนที่เคยอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้มาก่อน

“พี่เปรมมาคนเดียวเหรอ” เธอถามทันทีที่เห็นเปรมยุดาเดินเข้ามาในตัวบ้านเพียงลำพัง

“สองคนนั้นอยากไปเที่ยวกันตามประสาพ่อลูก แต่พี่อยากจะมานั่งกินข้าวกลางวันกับพ่อแม่และปรี พี่ซื้อของกินมาเต็มเลยนะ” เปรมยุดาชูถุงใส่อาหารที่ถืออยู่ในมือ หากสายตามองไปทางด้านหลังของน้องสาวซึ่งเป็นชายหนุ่มที่เหมือนจะเคยเห็นหน้า

เอกลักษณ์เดินตามหลังเธอมาเช่นกัน หยุดยืนห่างกันพอประมาณ เมื่อได้ยินคำของผู้มาใหม่จึงรู้ว่าเป็นส่วนเกินของครอบครัวนี้

“เราขอกลับก่อนนะปรี ค่อยคุยกันใหม่ก็ได้” เอกลักษณ์ยกมือไหว้พร้อมทั้งส่งยิ้มให้เปรมยุดา ก่อนจะเดินผ่านหญิงสาวสองคนไปเปิดประตูออกจากบ้าน โดยไม่สนใจเลยว่าเจ้าของบ้านจะเดินมาส่งหรือไม่

“พี่เข้ามาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า” เปรมยุดาถามน้องสาว หากไม่คิดจะได้คำตอบก็พูดต่อ “พี่เหมือนคุ้นหน้าผู้ชายคนเมื่อกี้ ใครเหรอ จำไม่ได้เหมือนกันว่าเคยเห็นจากที่ไหน”

แม้เธอจะไม่เคยพาตัวแฟนเก่ามาให้คนในครอบครัวได้รู้จักกัน แต่ก็เคยส่งรูปถ่ายของเอกลักษณ์ให้พี่สาวได้เห็น เพื่อให้รู้ว่าเธอนั้นกำลังคบหากับชายคนใด ซึ่งเอกลักษณ์เป็นคนสุดท้ายที่เปรมยุดาทราบว่าเธอมีแฟน

พี่สาวของเธอคงจำเอกลักษณ์ไม่ได้แน่นอน เพราะไม่เคยพูดถึงอีกเลยตั้งแต่วันที่ตัดใจได้สำเร็จ

ในวันที่เธอเศร้าระทมใจกับการเป็นคนถูกทิ้งโดยไม่รู้ตัว นอกจากเพื่อนสนิทก็ยังมีพี่สาวที่คอยรับฟังและให้คำแนะนำเพื่อให้เธอก้าวผ่านชีวิตช่วงนั้นไปได้ด้วยความเข้มแข็ง

“พี่เปรมพอจะจำเอกได้ไหม คนเมื่อกี้คือเอก” ปรียานุชพูดไปตามความจริง

เปรมยุดาใช้ความคิดทบทวนอยู่นานกับชื่อของชายหนุ่มที่น้องสาวเอ่ยออกมา หากยังนึกไม่ออกก็ก้าวขาไปที่ห้องครัวจนวางถุงอาหารบนโต๊ะ “พี่จำได้แล้ว คนที่ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ บอกให้ปรีรอกลับมาแต่งงานด้วยกัน แต่ก็ไปคบผู้หญิงคนใหม่ทั้งที่ยังไม่ได้เลิกกับปรี”

เธอพยักหน้ายอมรับว่าใช่คนเดียวกันกับที่พี่สาวเอ่ยถึง

“มาหาปรีทำไมล่ะ” เปรมยุดาถามต่อ

“เอกมาขอเริ่มต้นใหม่กับปรี อยากให้ปรีกลับไปคบเป็นแฟนกันเหมือนเดิม” เธอเพิ่งจะมีโอกาสบอกเรื่องดังกล่าวกับพี่สาว

“ปรีจะทำยังไง ฝ่ายนั้นรู้ได้ยังไงว่าบ้านเราอยู่ที่นี่ พ่อกับแม่รู้หรือเปล่าว่าเป็นใคร เคยทำอะไรกับปรีไว้บ้าง ตอนนั้นพี่ยังไม่ได้บอกอะไรกับพ่อแม่ บอกแค่ว่าปรีมีแฟนแล้ว และก็เลิกกันไปแล้ว”

ปรียานุชถูกเปรมยุดาฉุดแขนให้นั่งคุยกันบนเก้าอี้ตรงโต๊ะอาหาร แต่เธอไม่รู้ว่าจะตอบคำถามไหนก่อนกัน จึงเล่าตั้งแต่เอกลักษณ์มาที่บ้านหลังนี้และหวนมาพบกันอีกได้อย่างไร รวมทั้งการตัดสินใจของเธอที่คืนแหวนให้อีกฝ่ายไปเรียบร้อย และยอมรับว่าเธอนั้นคงไม่มีใจให้กับเอกลักษณ์ได้เหมือนเก่าอีกแล้ว

“พี่เห็นด้วยกับปรีที่ทำอย่างนั้น คนเราคลาดกันมาแล้วครั้งหนึ่งอาจไม่ใช่คู่กันก็ได้ แต่ปรีต้องบอกฝ่ายนั้นให้รู้ ถ้าจะมาคบหรือรู้จักกันอีกคงเป็นได้แค่เพื่อน ไม่มีทางจะคบเป็นแฟนกัน พูดกันให้เข้าใจ ถ้าฝ่ายนั้นยอมรับได้ก็คงรู้จักกันต่อไปอย่างสบายใจ แต่ถ้ารับไม่ได้ก็อาจจะไม่ตามตอแยอย่างนี้” นานมากแล้วที่เปรมยุดาไม่ได้คุยกันถึงเรื่องปัญหาหัวใจของน้องสาว

“ปรีพยายามหาโอกาสบอกเอกให้เข้าใจ เพราะปรีก็ไม่อยากให้เอกคิดเองเออเองว่าปรียังมีใจให้กัน หรือคิดว่าปรียังหวังที่จะแต่งงานกันเหมือนที่เคยรับปากไว้”

เมื่อคำที่เคยบอกให้รอนั้นไร้ค่าตั้งแต่วันที่อีกฝ่ายคบคนใหม่ คำของเธอที่เคยพูดว่าจะรอก็หมดสิ้นความหมายเช่นกัน แม้แหวนยังคงอยู่ให้เห็นตำตาก็ตาม

ของหลายอย่างคงนำมาเปรียบกับลมปากของคนไม่ได้ เพราะใจคนผันแปรง่าย ต่างจากสิ่งของที่เคยเห็นอย่างไรก็ยังเป็นเช่นเดิม

“พี่คิดว่าชีวิตปรีคงรอคอยผู้ชายดีๆ สักคน” เปรมยุดาเล็งเห็นโอกาสที่จะพูดถึงเพื่อนของสามี “หรือตอนนี้อาจจะเจอผู้ชายคนนั้นเข้ามาในชีวิตแล้วก็ได้”

เธอจ้องหน้าพี่สาวซึ่งกำลังอมยิ้มให้กับคำกล่าวนั้น

“ปรียังไม่เห็นเจอใครอย่างที่พี่เปรมว่าสักหน่อย” ปรียานุชทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่พอจะคาดเดาได้ว่าพี่สาวจะเอ่ยถึงใคร

“ที่ไม่เจอ คือไม่ยอมมองเห็นเอง หรือตั้งใจจะปล่อยให้ผ่านไป พี่อยากให้ปรีลองเรียนรู้ผู้ชายอีกสักคนก็ดีนะ บางทีผู้ชายไม่เหมือนกันทุกคนหรอก”

“ปรีไม่เคยคิดจะปิดตายหัวใจสักหน่อย”

“แต่ก็ไม่เคยเปิดใจให้ใครอีกเลยมาหลายปี” เปรมยุดาเอ่ยแทรกน้องสาว จากนั้นก็พูดต่อเพราะกลัวจะไม่ยอมรับฟังกัน “ในสายตาของพี่และเท่าที่พี่ได้รู้จักมานาน ตั้งแต่คบกับรามใหม่ๆ คุณฉัตรเป็นผู้ชายที่ดีนะ สุภาพ ไม่เที่ยวกลางคืน ที่ผ่านมาก็รักๆ เลิกๆ กับผู้หญิงมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายถูกทิ้งเสียมากกว่า พี่เชื่อว่าคุณฉัตรสามารถดูแลน้องสาวของพี่ได้”

“คุณฉัตรให้พี่เปรมมาพูดกับปรีเหรอ” เธอคิดไว้ไม่มีผิด คนที่พี่สาวเอ่ยถึงคือฉัตรพงษ์

“เปล่า” เปรมยุดารีบปฏิเสธ แต่ก็ไม่วายที่จะบอกให้รู้ว่าตนนั้นเป็นพวกเดียวกับฉัตรพงษ์ “พี่อยากพูดให้ปรีได้ลองคิดดู เพราะพี่รู้ว่าคุณฉัตรคิดจริงจังกับปรีมากเลยนะ ถึงแม้พี่จะสนับสนุนให้คุณฉัตรเป็นน้องเขย แต่อยากให้ปรีตัดสินใจด้วยตัวเอง”

หลายอย่างในชีวิตที่ผ่านมา ปรียานุชมักจะเลือกด้วยตัวเองเสมอ เรื่องของหัวใจคงเช่นเดียวกัน แม้การเลือกเองจะทำให้ผิดหวัง แต่อย่างน้อยก็อย่าให้ใครมากำหนดชีวิต

“ปรีรู้ว่าคุณฉัตรพยายามทำความรู้จักกับปรี แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้หรอกว่าปรีจะคิดกับคุณฉัตรถึงขั้นที่เลือกเป็นคู่ชีวิตหรือเปล่า แค่คุณฉัตรมีไมตรีมอบให้กัน ปรีก็จะสนิทสนมเท่าที่ทำได้”

“ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง ถ้ามีปัญหาหรืออยากระบายก็โทรมาปรึกษากับพี่ได้เสมอ พี่มีน้องสาวแค่คนเดียวจะให้ทอดทิ้งได้ยังไง ถึงจะโตเป็นสาวเป็นแส้แล้วก็ตาม” เปรมยุดาเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้กดดันเธอมากเกินไป “พี่มาถึงบ้านตั้งนาน ยังไม่เห็นพ่อแม่เลย”

“พ่อกับแม่ชวนกันออกไปข้างนอก คงไม่รู้ว่าพี่เปรมจะมานั่งกินข้าวกลางวันด้วยกัน ได้โทรบอกไว้ก่อนไหมล่ะ” เธอโล่งใจที่พี่สาวไม่พูดถึงเรื่องผู้ชายคนใหม่ที่เข้ามาในชีวิตเธอ

เปรมยุดาไม่ได้ตั้งใจจะมากินข้าวกลางวันกับบิดามารดาเพียงอย่างเดียว แต่มีเรื่องสำคัญอยากให้น้องสาวช่วยเหลือกันจึงยอมทิ้งร้านเพียงชั่วครู่

“พี่ไม่ได้โทรบอกใครหรอก พอดีพี่มีปัญหานิดหน่อย อยากจะมาขอให้ปรีช่วยเหลือกันจะได้ไหม เพราะพี่มองไม่เห็นใครที่จะช่วยได้ นอกจากน้องสาวของพี่คนนี้เท่านั้น”

ปรียานุชนั่งรับฟังพี่สาวอธิบายเรื่องที่จะไหว้วานกัน ซึ่งไม่ยากเย็นเกินที่เธอสามารถทำได้ และพี่สาวก็มีเหตุผลเพียงพอที่ต้องมาขอความช่วยเหลือจากตัวเธอ

เปรมยุดายังทิ้งท้าย หลังจากบอกจุดประสงค์ที่ต้องรีบมาพบน้องสาว “พี่ขอจองตัวปรีไว้ก่อนเลยแล้วกัน ตกลงนะ”

แม้เธอยังไม่ได้ตกปากรับคำ แต่การไม่มีคำปฏิเสธให้ได้ยินก็เหมือนเธอยอมเออออไปตามพี่สาว “เมื่อไหร่พี่เปรมกับพี่รามจะมาเล่นด้วยกันบ้าง ปล่อยให้น้องดรีมเล่นกับคนอื่นมาหลายครั้งแล้ว”

“รอให้พี่ว่างก่อนนะ ช่วงนี้งานเข้ามาเยอะมาก ในร้านก็ยุ่งมากด้วย นี่พอพี่กินข้าวเสร็จก็ต้องโทรให้รามมารับ จะไปดูร้านต่อ” เปรมยุดาอยากเปิดโอกาสให้ฉัตรพงษ์ได้ทำคะแนนเพื่อพิชิตใจน้องสาวให้ได้

สองพี่น้องนั่งรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันอีกสักพัก พิรามกับลูกสาวก็แวะรับเปรมยุดาตามคำที่บอกกันไว้

ที่ผ่านมาปรียานุชเหมือนจะเข็ดกับการให้ใจแก่คนที่ไม่มั่นคงต่อกัน เพราะไม่อยากจะเจ็บซ้ำๆ กับความรักจึงใช้เวลากับการงานเป็นส่วนใหญ่จนไม่ได้เหลือบแลหัวใจตัวเองเท่าที่ควร หากตอนนี้คิดจะลองเปิดใจให้มากขึ้นเพื่อให้ใครสักคนได้เข้ามาง่ายๆ แต่เธอไม่รู้เลยว่าอาจค้นพบคนบางคนก็เป็นได้ เพราะความห่วงใยอาทรคือหมุดตอกตรึงชายหนุ่มผู้นั้นไว้ให้อยู่ในใจโดยไม่รู้ตัว

 



Don`t copy text!