ละเล่นลานรัก บทที่ 27 : ดมดอกไม้

ละเล่นลานรัก บทที่ 27 : ดมดอกไม้

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

ไขศิลป์เห็นมาตั้งแต่ต้นที่มีชายหนุ่มทั้งคนใหม่และคนเก่ายืนคุยกับปรียานุชก็เกิดความสบายใจที่เธอเหมือนจะไม่มีเวลาสนใจฐานิน จนเขาเห็นหน้าตาเธอไม่ค่อยเบิกบานแจ่มใสจึงสะกิดให้เพื่อนชายลองเดินเข้าไปขัดจังหวะ

“พี่ปรีจะเล่นอะไรต่อเหรอครับ” ฐานินจูงแขนแฟนสาวเดินไปหาเธอ โดยมีเขาก้าวขาตามหลังเพื่อนอยู่ไม่ห่าง

“พี่เตรียมไว้แล้ว เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ไม่เคยได้ยินกันมาก่อนแน่ๆ” เธอพยายามยิ้มแย้มอีกครั้ง ตอบด้วยน้ำเสียงสดใส หลังจากไม่สนใจผู้เป็นแฟนเก่า

ไขศิลป์เห็นความเปลี่ยนแปลงของเธอจึงเก็บเอาไปคิดอยู่คนเดียว บางทีที่เธอไม่ยอมคืนดีกับคนเก่า เนื่องด้วยอาจสนใจคนใหม่ที่ไม่ใช่เพื่อนของเขาก็เป็นได้

ธารทิพย์ที่เห็นเพื่อนยืนอยู่กับเอกลักษณ์เพียงสองคนก็คิดอยากจะเข้าไปขัดขวาง แต่เสวนากับผู้ปกครองท่านอื่นจนติดลม กว่าจะขอตัวออกมาได้ก็เห็นชายหนุ่มสองคนยืนพูดคุยกับเธอ

เอกลักษณ์เห็นธารทิพย์เดินเข้ามาใกล้ก็รีบผละไปจากเธอ โดยให้เหตุผลว่าจะไปคุยกับเก่งกาจ

“สงสัยมันจะกลัวฉันที่รู้ทันมัน” ธารทิพย์เอ่ยกับเธอเหมือนไม่สนใจเลยว่าจะมีผู้อื่นยืนอยู่ใกล้ๆ

“รู้ทันอะไรเหรอครับ” เขาอดไม่ได้ที่จะถามออกมา เมื่อเห็นถึงความไม่ญาติดีต่อกันที่ธารทิพย์มีให้เอกลักษณ์

“อย่าให้พี่พูดเลยน้องศิลป์ รู้ไว้แค่ว่าพี่อยากให้มันอยู่ห่างปรีก็พอ” ธารทิพย์พยายามหาพรรคพวก

“พี่เอกไม่ได้เป็นเพื่อนกับพี่ธารเหรอครับ” ฐานินถามขึ้น

“คนอย่างมันเหรอจะมาเป็นเพื่อนของพี่ ถ้ามันทำอย่างนั้น พี่คงตัดเพื่อนกับมันมานานแล้ว” ธารทิพย์เอ่ยตอบโดยที่ไม่รู้เลยว่าแสดงอารมณ์เคืองขุ่นผ่านทางน้ำเสียง

ปรียานุชต้องอธิบายเพิ่มเติม “เอกเป็นเพื่อนของพี่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนธารเป็นเพื่อนของพี่ตั้งแต่เรียนมัธยม”

“และเป็นเพื่อนที่จะไม่ให้ใครมาหลอกปรีได้อีก” ธารทิพย์เอ่ยต่อคำของเธอทันที

ไขศิลป์ไม่ได้พูดแทรกทั้งที่รู้ดีว่าเอกลักษณ์เป็นแฟนเก่าของเธอ หรือไม่คิดจะบอกเพื่อนชายเพื่อให้เข้าใจถูกต้อง และคิดว่าคนคู่นั้นในอดีตคงจะมีปัญหาแบบจบกันไม่ค่อยสวยสักเท่าไร แต่ฝ่ายชายยังมีเยื่อใยจึงตามมาง้อขอคืนดี

เธอออกจากการสนทนานั้นโดยผละไปเรียกคนทุกคนที่รวมกลุ่มกันซึ่งอยู่ไม่ไกล

“ต่อไปเราจะเล่นดมดอกไม้กันนะคะ ปรีจะใช้ผ้าปิดตาผู้เล่น แล้วให้เดินไปดมดอกไม้ แค่นั้นเองค่ะ แต่ต้องกะระยะทางให้ดี ส่วนคนที่เหลือก็เป็นผู้ชม คอยให้กำลังใจหรือบอกทางแก่ผู้เล่นได้ค่ะ” ปรียานุชอธิบายวิธีการเล่นคร่าวๆ เมื่อทุกคนมายืนพร้อมเพรียงกันในลานกว้าง

หญิงสาวผูกเชือกตรงก้านดาวเรืองสีเหลืองสดใสดอกใหญ่โตสองดอก ส่วนปลายเชือกอีกด้านหนึ่งก็นำไปผูกกับไม้ยาว เธอขอความร่วมมือให้ผู้ปกครองท่านหนึ่งช่วยถือไม้ไว้เพื่อให้ดอกไม้ห้อยลงมา

“ใครจะเป็นคนเล่นคนแรกคะ” เธอถามหาความสมัครใจจากทุกคน

เด็กหลายคนยกมือไม่ทันผู้ใหญ่สามคนที่พอเธอพูดจบก็ยกมือขึ้นทันที

ปรียานุชมองไปที่เอกลักษณ์ ฉัตรพงษ์ และฐานินตามลำดับ เธอเลือกให้ฐานินเป็นผู้เล่นคนแรกเพื่อตัดปัญหากับสองคนที่เหลือโดยไม่ให้คิดว่าเธอสนใจใครมากกว่ากัน แต่คนที่มีปัญหาคงเป็นไขศิลป์ที่ทำหน้าไม่พอใจ

เธอบอกผู้ที่ถือไม้ซึ่งมีดอกไม้ห้อยไว้กับเชือกโดยถือไม้ให้ดอกไม้อยู่ในระดับจมูกของผู้เล่น จากนั้นเธอก็พาฐานินออกมายืนให้ห่างจากดอกไม้พอประมาณ

ก่อนที่จะใช้ผ้าปิดตาผู้เล่น เธอให้ผู้เล่นหันมองไปทางดอกไม้เพื่อกะระยะการก้าวเดินจนไปถึงดอกไม้

เมื่อผู้เล่นพร้อม เธอก็ผูกผ้าปิดตาทันที แล้วจับตัวผู้เล่นหมุนสามรอบเพื่อให้หลงทิศ พอหมุนตัวเสร็จ เธอบอกให้ผู้เล่นเดินไปดมดอกไม้

ฐานินยืนเซเล็กน้อย พยายามตั้งหลัก ก่อนจะยกขาก้าว และต้องคาดเดาทิศทางที่จะเดินไปดมดอกไม้ให้ได้ ท่างกลางเสียงเชียร์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ซึ่งบอกแตกต่างกันออกไปจนเริ่มสับสน แต่ฐานินเชื่อมั่นในตัวเอง ทำท่าทียื่นจมูกไปด้านหน้าราวกับตามหากลิ่นของดอกดาวเรืองตลอดทางที่ก้าวขา จนฐานินดมดอกไม้ได้ตรงเผงและรวดเร็วจึงเรียกเสียงปรบมือจากผู้ชม

การเล่นดมดอกไม้ต้องใช้จมูกอย่างเดียวเท่านั้น ห้ามใช้มือควานหาดอกไม้แล้วจับมาดม

เมื่อเธอเปลี่ยนให้คนอื่นมาเป็นผู้ถูกปิดตาหรือผู้ดมบ้าง เด็กๆ ต่างพากันต่อคิวอยากเป็นผู้เล่น ส่วนผู้ใหญ่คอยเอาใจช่วยบุตรหลานโดยบอกทิศทางและระยะทางที่จะต้องเดินไปให้ถึงดอกไม้

ผู้ชมจะสนุกไปกับการดูผู้เล่นออกท่าออกทางดอมดมดอกไม้ พร้อมทั้งคอยเอาใจช่วยให้เดินไปถึงดอกไม้ โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ส่งเสียงหัวเราะเมื่อเห็นผู้เล่นเดินหลงทิศหลงทางบ้าง ดมไม่ถูกดอกไม้บ้าง หรือเด็กๆ มักจะหัวเราะยามผู้เล่นซึ่งเป็นผู้ใหญ่จะโดนแกล้งให้เดินผิดทิศหรือกะระยะผิด

จนเธอขอให้ไขศิลป์เป็นผู้เล่น ฐานินขานอาสาเป็นคนผูกผ้าปิดตาให้เขา

เหตุที่เลือกการละเล่นดมดอกไม้ก็เพื่อให้เขาได้ลองเป็นจุดสนใจของผู้คนจำนวนมาก เพราะทุกสายตาจะมองไปที่เขาเป็นจุดเดียว

ปรียานุชเห็นเขายืนหายใจเข้าออกช้าๆ ก่อนจะถูกปิดตา

แม้ที่ผ่านมาไม่รู้สึกเลยว่าความกลัวกำลังจะแผ้วพาน แต่ที่มันสงบมาสักพัก ใช่ว่ามันจะไม่คิดจู่โจม เขาเริ่มกลัวสายตาที่จ้องมองกัน แต่พยายามไม่นึกถึงอดีต บอกตัวเองว่านี่คือการเล่นสนุก และเห็นตัวอย่างจากหลายคนที่เล่นกันด้วยความรื่นเริง

“ฉันเชื่อว่าแกทำได้และจะผ่านมันไปได้เหมือนคนอื่น” ฐานินพูดกับเขา ขณะผูกผ้าปิดตา

หลังจากถูกผืนผ้าปิดตาไว้ เพียงแค่คิดว่าทุกคนจดจ้องมาที่ตัวเขา ความกลัวก็ตั้งท่าจะรุกราน ไขศิลป์เริ่มประหม่า เกร็งแขนเกร็งขา ยามเดินจึงตัวแข็งทื่อประหนึ่งหุ่นยนต์ เขาไม่ได้ยื่นจมูกตามหากลิ่นดอกไม้เหมือนผู้เล่นคนอื่น เนื่องจากกลัวทำท่าทางที่ไม่น่ามองให้ผู้อื่นได้เห็น

เสียงคนหลายคนคอยบอกทางและส่งกำลังใจให้เขาก็กลบเสียงขบขันที่ได้ยิน โดยเฉพาะเสียงของเธอที่ดังชัดเจนที่สุดกับเสียงของเพื่อนชายซึ่งดังขึ้นเป็นระยะ เมื่อไม่มีใครคิดว่าท่าทางที่แสดงออกไปนั้นเป็นเรื่องน่าอายจึงลดทอนความกลัวลงไปได้มาก

ไขศิลป์พยายามเดินตามหาดอกไม้ ถ้าสามารถทำได้ การออกไปรับงานด้วยตัวเองคงจะทำได้เช่นกัน จนเขาทำสำเร็จก็ได้ยินเสียงปรบมือจากผู้ชมดังขึ้นตามมา

พอเพื่อนชายแกะผ้าปิดตาให้เขา

ภาพแรกที่สู่สายตาคือปรียานุชแย้มยิ้มด้วยความปลื้มปริ่มชวนหลงใหล เป็นรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน หากรู้สึกถึงแรงกระตุกตรงอกข้างซ้ายจนจับหัวใจโดยไม่รู้ตัว เขาส่งยิ้มให้เธอเช่นกัน

“เก่งมากๆ บอกแล้วว่าแกต้องทำได้” ฐานินแสดงความยินดีกับเขาโดยการโอบไหล่

เธอคิดไม่ผิดที่ลองใช้การละเล่นนี้กับเขา พอเหลียวหน้าไปที่เพื่อนสาวซึ่งยืนมองภาพชายหนุ่มสองคนด้วยความเคลิบเคลิ้มก็เข้าใจดี ธารทิพย์ยังคงฟินได้เหมือนเดิม

เมื่อทุกคนเล่นกันจนหนำใจ เธอก็จบกิจกรรมในวันนี้และเดินไปส่งผู้ปกครองกับเด็กๆ ที่อยู่ในความดูแลของตนเป็นอันดับแรก รวมทั้งครอบครัวของกีตาร์ที่เดินออกมาพร้อมกัน

ปรียานุชกลับเข้ามาในลานกว้างหน้าบ้านอีกครั้งก็ยังเห็นผู้คนนั่งรวมตัวกันที่โต๊ะหินอ่อน จึงเดินเข้าไปหา

“วันนี้ผมขอตัวกลับก่อนนะครับพี่ปรี ต้องพาแฟนไปดินเนอร์ต่อ” ฐานินบอกเธอทันทีที่เห็นหน้ากัน พร้อมทั้งเหตุผลที่ไม่สามารถอยู่ได้นานเหมือนคราวก่อนๆ

ไขศิลป์ได้แต่นั่งมองเพื่อนจูงมือแฟนสาวเดินห่างออกไปด้วยความเข้าใจดี

“ปรียังไม่หิวเหรอ เรานี่ฮิ้วหิว คงเล่นมากหรือหัวเราะเยอะไปสักหน่อย” เอกลักษณ์ชวนเธอคุยโดยไม่สนคนอื่นที่นั่งร่วมโต๊ะกัน

“ถ้าหิวมากก็ไปหาอะไรกิน มาบอกปรีทำไม” ธารทิพย์เอ่ยขึ้นโดยไม่เกรงใจใคร

“หิวแล้วคาฟ” แทนไทยพูดขึ้นมา

“เรากลับบ้านกันดีกว่า” ชาญชัยลุกขึ้นยืน มองไปที่ธารทิพย์เป็นเชิงถามจะกลับพร้อมกันหรือไม่

แม้ธารทิพย์จะเป็นห่วงเธอ แต่ยังมีใครอีกหลายคนอยู่กับเธอ “ฉันกลับบ้านก่อนนะปรี ดูแลตัวเองดีๆ แล้วกัน อย่าไปเชื่อคำของใคร”

เธอรู้ว่าเพื่อนตั้งใจพูดกระทบกระเทียบเอกลักษณ์

ก่อนที่ธารทิพย์จะเดินไปกับครอบครัวก็ยังหันหน้าไปบอกฉัตรพงษ์ “ฝากปรีด้วยนะคะพี่ฉัตร”

ฉัตรพงษ์ยิ้มให้ทันที เมื่อรู้ว่าเพื่อนผู้นี้ของปรียานุชนั้นอยู่ข้างตน

“ปรียังไม่กลับบ้านอีกเหรอ เราอยากเข้าไปสวัสดีพ่อกับแม่ปรี ตั้งแต่รู้จักกันมา เรายังไม่เคยเจอหน้าพ่อกับแม่ปรีเลย” เอกลักษณ์ยังชวนเธอคุยกันอีก

ปรียานุชเริ่มอึดอัดใจกับท่าทีและคำพูดของอีกฝ่าย แต่ไม่รู้ควรทำเช่นไร จะเอ่ยปากไล่ก็ยังเกรงใจคนที่เคยรู้จักกันมาก่อน

“น้าปรีคะ วันนี้น้องดรีมสนุกมากๆ เลยค่ะ น้องดรีมจะไปสอนเพื่อนทำท่าควายกับท่าสีซอด้วยค่ะ”

หลานสาวเรียกความสนใจจากเธอ

“ได้เลยจ้ะ ไปเล่นกับเพื่อนได้นะ”

“ท่าควายทำยังไงคะลุงฉัตร” ดาราพรเงยหน้าไปถามฉัตรพงษ์

ฉัตรพงษ์ทำท่าควาย ดาราพรก็ทำท่าสีซอ

“ยังไม่หยุดเล่นกันอีก น้องดรีมไม่หิวเหรอจ๊ะ” เธอพูดคุยกับหลานสาว

“พี่ต้องพาน้องดรีมกลับบ้านแล้ว ครั้งหน้าพี่จะมาเล่นด้วยกันใหม่นะน้องปรี” แม้ฉัตรพงษ์จะเสียดายที่ไม่ได้อยู่ทำคะแนนเหมือนใครบางคน แต่คงถึงเวลาที่ดาราพรต้องรับประทานอาหารเย็น

“น้าปรีเดินไปส่งน้องดรีมกับลุงฉัตรนะคะ” กามเทพตัวน้อยเพิ่งจะเริ่มทำงานในตอนที่แยกย้ายกัน

หญิงสาวได้โอกาสที่จะไม่ให้เอกลักษณ์ระลึกถึงความหลังก็เดินไปส่งคนทั้งสอง ปล่อยให้ชายหนุ่มสองคนไว้ที่โต๊ะหินอ่อน

ไขศิลป์มีเรื่องจะต้องคุยกับปรียานุชจึงไม่ยอมเข้าบ้าน

เอกลักษณ์ที่ไม่รู้จะพูดกับใครก็ถามเขา เพื่อให้รู้ว่าเขาคือคู่แข่งอีกคนหนึ่งหรือไม่ “นายรู้จักกับปรีมานานแล้วเหรอ”

“ตั้งแต่เด็กๆ” เขาตอบไปแบบห้วนๆ หากยังเอ่ยต่อ “คุณล่ะ เหมือนพี่ปรีจะเคยบอกให้ผมฟังว่าเป็นแฟนเก่า”

“ปรีเคยพูดถึงผมด้วยเหรอ” เอกลักษณ์สนใจขึ้นมาทันที

“ไม่หรอก พูดครั้งเดียวก็ไม่พูดอีกเลย บอกทำนองว่าคุณจะมาขอคืนดี”

“ผมเคยทำผิดกับปรีที่ทิ้งไปหาคนใหม่ แต่ตอนนี้ผมไม่มีใครแล้วก็เลยกลับมาหาปรี อยากคบกับปรีต่อ” เอกลักษณ์บอกไปตามความจริงเผื่อจะได้รับความช่วยเหลือจากเขา

ไขศิลป์ยิ้มน้อยๆ ให้กับคนตรงหน้าที่คิดอะไรง่ายๆ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย “คุณอาจจะต้องทำใจไว้บ้าง ผู้หญิงบางคนเจ็บแล้วจำ ผมคิดว่าพี่ปรีเป็นอย่างนั้น และพี่ปรีคงไปคบคนใหม่น่าจะง่ายกว่า”

เอกลักษณ์หัวเราะออกมาที่คิดว่าจะได้พรรคพวกนั้นคิดผิด “คนใหม่อย่างคุณฉัตรน่ะเหรอ ปรีไม่สนหรอก ผมรู้จักปรีดี เห็นท่าทางอย่างนั้น ปรีไม่เลือกคบหรอก”

“ผมแค่อยากให้คุณเปลี่ยนความตั้งใจใหม่ บางครั้งคนเรามันก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้หรอก อย่างมากสุดก็แค่เพื่อนกัน” ไขศิลป์บอกตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมต้องพูดเช่นนั้น หากนี้เป็นการช่วยเธอ เขาก็พร้อมจะช่วยให้ชายตรงหน้าไม่ต้องมารบเร้าหรือวอแวกับเธอมากนัก เพราะดูท่าทีเธอนั้นคงคิดตรงกันข้ามกับเอกลักษณ์

“นายเป็นแค่คนข้างบ้านจะรู้อะไรมาก”

“วันนี้คุณกลับไปได้แล้ว นี่มันบ้านของผม ผมมีธุระจะคุยกับพี่ปรีแบบสองต่อสอง ไม่อยากให้คนอื่นอยู่ฟังด้วย” ไขศิลป์จบการสนทนาทันทีที่อีกฝ่ายเหมือนจะไม่ยอมรับฟังกัน

เขาหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมต้องไม่พอใจ ยามได้ยินคำว่าเป็นแค่คนข้างบ้านของเธอ

เอกลักษณ์ลุกขึ้นยืนทันทีที่เธอเดินเข้ามาใกล้ เผื่อจะเรียกความเห็นใจจากเธอได้บ้าง “เรากลับก่อนนะปรี เจ้าของบ้านไล่เราแล้ว”

ปรียานุชมองหน้าชายหนุ่มสองคนสลับกัน

“ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่ปรี” ไขศิลป์เอ่ยอย่างหน้าตาเฉย ไม่สนใจคนที่ขอตัวกลับ เพื่อเป็นการดึงตัวเธอให้อยู่ด้วยกัน

“ปรีไม่ต้องเดินออกไปส่งเราหรอก เรากลับเองได้ จะได้คุยกันให้จบๆ แล้วรีบกลับบ้านไปกินข้าวเย็นด้วยนะ” เอกลักษณ์พูดจบก็ผละไปทันที โดยไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นคู่แข่งคนสำคัญ

ปรียานุชลงนั่งตรงข้ามเขา หากยังจ้องมองด้วยความสงสัย ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะถาม “ตอนพี่ไม่อยู่ คุยอะไรกันหรือเปล่า เหมือนเอกจะไม่พอใจศิลป์นะ”

“พี่ปรีแคร์นายคนนั้นด้วยเหรอ” เขาถามกลับ เมื่อเธอยังตีหน้านิ่งเหมือนจะไม่เล่นด้วยก็พูดต่อ “ผมแค่พูดให้นายคนนั้นเผื่อใจไว้ว่าบางทีพี่ปรีก็ไม่เคยคิดจะกลับไปคบกันอีกเท่านั้นเอง”

“รู้ด้วยเหรอว่าเอกกับพี่เคยเป็นอะไรกันมาก่อน”

“ผมรู้ตั้งแต่ได้ยินเรื่องแหวนแล้ว ถ้าปรีพี่ไม่คิดจะสานต่อกับคนเดิม ผมแนะนำให้ทิ้งแหวน หรือคืนนายคนนั้นไป”

ปรียานุชนึกขัน เมื่อคำของเขาคล้ายคำของเพื่อนสาว “พี่จะกลับไปคิดดูอีกที แต่พี่คงไม่เก็บไว้กับตัวอีกแน่นอน”

หญิงสาวส่งยิ้มให้คนที่ยังหวังดีต่อกันเสมอ

ไขศิลป์นึกถึงรอยยิ้มนั้นอีกครั้งก็รู้สึกหวิวหวานในใจโดยไร้เหตุผลจึงรีบเข้าเรื่องที่รอคุยกับเธอ

“พี่ปรีคิดว่าผมจะออกไปข้างนอกได้หรือยัง”

“ศิลป์ลองถามตัวเองดีกว่าว่าพร้อมที่จะออกไปเจอผู้คนไหม” เมื่อเล็งเห็นว่าเขามีทีท่าอยากปรึกษากันจริงจังก็เอ่ยต่อ “ถ้าให้พี่ออกความเห็น พี่คิดว่าศิลป์น่าจะออกไปเจอผู้คนได้ เพราะตอนเล่นดมดอกไม้ ทุกคนจะมองไปที่ศิลป์ พี่รู้ว่าศิลป์กลัว แต่ศิลป์ยังพยายามควบคุมตัวเองให้เล่นต่อไปจนจบ พี่ขอชื่นชม จำความรู้สึกและวิธีการรับมือกับความกลัวตอนที่เล่นดมดอกไม้ไว้ให้ดี สามารถนำไปใช้จัดการกับความกลัวตอนที่ศิลป์ออกไปข้างนอกได้เหมือนกัน”

“ผมไม่คิดเลยว่าตัวเองจะทำได้ แต่พอทำได้แล้วก็คิดว่าผมน่าจะออกไปเจอคนอื่นได้โดยไม่กลัวว่าใครจะมองกันอย่างไร ผมแค่อยากได้ความมั่นใจจากพี่ปรี”

ปรียานุชรู้แล้วว่าเรื่องใดที่เขาอยากคุยกับเธอ “หากเราคิดว่าทำได้ก็ต้องทำได้ ขอแค่ให้เชื่อมั่น แต่อย่ากลัวไปก่อน ถ้ายังไม่ได้ลงมือทำ”

ทั้งสองคนนั่งคุยกันต่ออีกสักพัก พ่อแม่ของเขาก็กลับมาถึงบ้านพร้อมด้วยอาหารมื้อเย็นเต็มสองมือ ก่อนที่ปรียานุชจะขอตัวไปกินข้าวกับพ่อแม่ซึ่งรออยู่ที่บ้าน เธอได้บอกกล่าวเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นกับเขาให้ศศิได้รับรู้

ศศิดีใจที่บุตรชายกล้าออกไปข้างนอกและหวังว่าอีกไม่นานไขศิลป์คงจะสมความตั้งใจในเรื่องการงาน

ผู้เป็นมารดาคงไม่คิดมาก่อนเลยว่าตนไม่ได้หาคนมาช่วยเหลือบุตรชายเพียงเท่านั้น แต่อาจจะทำให้ลูกได้พบคู่ชีวิตที่ดีโดยไม่รู้ตัว

ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีพอๆ กับที่ลูกมีการมีงานทำเพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีพต่อไป

 



Don`t copy text!