ละเล่นลานรัก บทที่ 38 : ยังไม่บอกให้รู้ดีกว่า

ละเล่นลานรัก บทที่ 38 : ยังไม่บอกให้รู้ดีกว่า

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

ทุกอย่างรอบกายนั้นช่างสดใสมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากได้ค้นพบคนที่มีหัวใจตรงกัน แต่ก่อนนั้นเธอยังคิดเสมอว่าเขาเป็นแค่เพียงน้องชายที่อยู่ข้างบ้าน เคยผูกพันกันมาในช่วงเวลาหนึ่งซึ่งยังเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้ประสีประสา ครั้นเติบโตก็แยกไปตามหนทางของตัวเอง แต่ความสัมพันธ์เฉกเช่นพี่น้องยังคงอยู่เหมือนด้ายบางๆ ที่ร้อยรัดซึ่งกันและกันไว้ จนเธอกลับมาอยู่บ้านเกิดถาวรและได้รับรู้ปัญหาของเขา ความห่วงใยในตัวคนที่เคยผูกพันกลับกลายเป็นเหมือนเส้นไหมที่ค่อยๆ ถักทอให้เป็นผืนผ้าของความรักห่อหุ้มหัวใจทั้งสองดวง

เขาให้เธอเป็นคนสำคัญในชีวิตเขา ส่วนเธอก็ยกให้เขาเป็นคนพิเศษในใจเธอ

ไขศิลป์เร่งเครื่องจีบเธอในทันที ทั้งช่วงค่ำเกือบทุกวัน เขามักจะมาหากันถึงบ้านของเธอเพื่อใช้เวลานั่งคุยกันพอให้หายคิดถึงก็ขอตัวกลับ ยังมีโทรศัพท์ถึงกันบ้างยามที่เธอไปทำงานอยู่ที่คลินิก และข้อความก่อนนอนในทุกค่ำคืนจากเขาส่งถึงเธอ

ปรียานุชแนะนำให้ไขศิลป์เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือรุ่นที่ทันสมัยกว่าเครื่องที่เขาใช้เป็นประจำเพื่อให้มีแอปพลิเคชันที่จะสนทนากันโดยไม่ต้องเสียเงิน แต่เขายืนยันจะใช้โทรศัพท์มือถือเครื่องเดิม ยอมเสียค่าบริการ ทั้งการโทรศัพท์พูดคุยกับเธอหลายนาทีและส่งข้อความให้เธอได้อ่านสามถึงสี่ข้อความต่อวัน หรือแม้แต่ในคอมพิวเตอร์ที่เขาใช้ทำงานก็ยังไม่ยอมติดตั้งโปรแกรมสำหรับการติดต่อถึงกันง่ายๆ โดยเขาอ้างว่าถ้ามีโปรแกรมเหล่านั้นในคอมพิวเตอร์ก็จะไม่เป็นอันทำการทำงานเพราะมัวสนใจแต่เธอ

‘ค่าของเงินที่เสียไปอาจจะน้อยมากๆ ถ้าเทียบกับค่าของสิ่งที่ได้มา’ ไขศิลป์เคยให้เหตุผลกับเธอ

เขาไม่ได้อธิบายต่อว่าสิ่งที่ได้มาคืออะไร จนเธอค้นพบคำตอบซึ่งคาดเดาเองว่าอาจเป็นเธอ หรือความรักจากเธอก็เป็นได้

‘ถ้าคิดถึงกันตอนไหน ผมก็เดินมาหาพี่ปรีได้ทุกเมื่อ’ ไขศิลป์เคยบอกกับเธอ เมื่อพูดคุยถึงข้อดีที่อยู่บ้านชิดติดกันและยังหยอดคำหวานให้เธอที่นั่งฟังอยู่นั้นได้รู้สึกหวามในอกตามไปด้วย ‘ผมอยากมาหาพี่ปรีทุกวันทั้งเช้าทั้งเย็น ตอนหัวค่ำและก่อนเข้านอน’

แม้แต่ละคำหรือการกระทำของเขานั้นจะเรียกคะแนนได้เต็มเปี่ยมจนพิชิตใจได้สำเร็จ หากเธอยังสงวนท่าทีเพื่อไม่ให้เขาหลงระเริงว่าจีบเธอติดโดยใช้เวลาไม่นาน

ปรียานุชแค่อยากให้แน่ใจว่าที่เขายกให้เธอเป็นคนสำคัญซึ่งทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปก็แค่ช่วงเวลาที่ยังเปรมปรีดิ์กับการออกไปดีลงานได้ด้วยตัวเอง หรืออยากให้เธอเป็นคนสำคัญในชีวิตเขาจากใจจริง เพราะยังไม่เชื่อมั่นกับหัวใจผู้ชายที่จะรักและมั่นคงต่อกัน

บางทีพอหมดจากความลุ่มหลง ความรักที่มากล้นอาจจะลดระดับลงไปได้

เย็นวันนั้นที่เธอได้ชี้แจงความจริงให้เขาเข้าใจถูกต้อง ปรียานุชก็พบศศิซึ่งมาพร้อมกับคำถาม

‘ศิลป์ถามน้าว่าหนูปรีจะแต่งงานแล้วใช่ไหม น้าเพิ่งนึกได้ก็เลยถามให้แน่ใจ’

‘ไม่ใช่หรอกค่ะ ศิลป์อาจคิดไปเอง’ เธอต้องแก้ตัวเป็นพัลวันและบอกไปตามความจริง

‘น้าก็คิดไว้แล้วเชียว อยู่ดีๆ หนูปรีจะแต่งงานได้ยังไง คนบ้านใกล้เรือนเคียงกันแท้ๆ ต้องได้ยินข่าวคราวบ้างแล้ว เรื่องมงคลอย่างนั้น’ ศศิทิ้งท้ายไว้ ก่อนจะผละห่างออกไป ‘มีคนจะแต่งงานด้วยเมื่อไหร่ อย่าลืมบอกน้านะ หรือจะพามาให้เจอตัวกันบ้าง จะได้ช่วยดูๆ ให้ หนูปรีก็เหมือนลูกเหมือนหลานของน้า’

ในตอนนั้นเธอยิ้มน้อยๆ ให้กับคำกล่าวที่ได้ยิน แต่ตอนนี้เธออยากบอกกับศศิว่า ถ้าจะแต่งงานกับลูกชายของน้าศิก็คงไม่ต้องเสียเวลาช่วยพิจารณากัน

ความคิดคำนึงหยุดลงเพียงเท่านั้น เมื่อปรียานุชมองเห็นผู้มาเยือนสองคนที่เดินเข้ามาในบ้าน ซึ่งมาถึงก่อนเวลานัดหมาย วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่เธอจัดกิจกรรมการละเล่นไทย แต่ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องไปตระเตรียมสถานที่ จึงขอนั่งทอดอารมณ์อยู่ในบ้านเพียงลำพัง เพราะพ่อแม่ออกไปทำธุระตั้งแต่เช้า

“น้าปรี สวัสดีค่ะ” ดาราพรวิ่งปรี่ตรงมาหาเธอ โอบกอดเธอไว้ราวกับไม่ได้เจอหน้ากันมานาน “วันนี้จะเล่นอะไรกันหรือคะ”

“รอให้ทุกคนมาพร้อมกันก่อนนะจ๊ะ” ปรียานุชตอบหลานสาว พลางมองไปยังคนที่มาด้วยกัน

ฉัตรพงษ์ยิ้มให้เธอเช่นเคย ค้อมศีรษะเล็กน้อยเป็นการทักทาย

หากเทียบจากหลายครั้งหลายคราวที่เคยได้เจอหน้ากัน สิ่งที่พอจะสัมผัสได้คือความลุ่มหลงในตัวเธอที่แสดงออกจากแววตาหรือสีหน้าของฉัตรพงษ์จางหายไปแทบไม่หลงเหลือให้ได้เห็นอีกเลย ทำให้เธอเรียกขานอีกฝ่ายได้อย่างสบายใจกว่าเดิม

“พี่ฉัตรมาเร็วจังเลยนะคะ อีกตั้งหลายชั่วโมง กว่าจะเริ่มกิจกรรม”

“คนที่เร่งให้มาที่นี่ไวๆ คือคนนู้น” ฉัตรพงษ์มองไปทางเด็กผู้หญิงที่ยังกอดเธอไว้

“พี่เปรมกับพี่รามไปไหน รับปากกันแล้วว่าครั้งนี้จะมาเล่นด้วยกัน” เธอถามถึงพี่สาวกับพี่เขย

“สองคนนั้นขอไปทำธุระก่อน คงจะมาแน่ๆ ฝากพี่ให้บอกน้องปรีด้วย”

เมื่อได้พูดคุยกันให้เข้าใจถ่องแท้ ฉัตรพงษ์รู้สึกว่าเธอไม่ได้ตั้งกำแพงให้เข้าไปพูดคุยหรือสนิทสนมกันเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว

“น้าปรีไม่ชอบลุงฉัตรหรือคะ น้องดรีมได้ยินพ่อรามกับแม่เปรมพูดกันว่าน่าเสียดาย แต่น้องดรีมชอบลุงฉัตรนะคะ ลุงฉัตรใจดีกับน้องดรีม” ดาราพรถามเธอ พอพูดจบก็ผละจากเธอไปนั่งเคียงข้างฉัตรพงษ์ “ลุงฉัตรก็ต้องใจดีกับน้าปรีด้วยนะคะ น้าปรีจะได้ชอบลุงฉัตร”

ฉัตรพงษ์หัวเราะออกมาเบาๆ “น้องดรีมโตมากกว่านี้เมื่อไหร่ก็จะรู้เองว่าคนเราต่อให้ใจดีต่อกันมากแค่ไหน ถ้าคนไม่ชอบก็คงไม่ชอบหรอกนะคะ อย่าไปบังคับใจของคนอื่นเลย”

ปรียานุชพอจะเข้าใจคำกล่าวของฉัตรพงษ์ เชื่อว่าสักวันอีกฝ่ายจะตัดใจจากเธอได้สำเร็จ

“น้าก็ชอบลุงฉัตรเหมือนน้องดรีมนะจ๊ะ เพียงแค่ความชอบของน้าคงเป็นพี่ๆ น้องๆ กันเรื่อยไป”

เปรมยุดาคงรับรู้เรื่องราวระหว่างเธอกับฉัตรพงษ์เป็นที่เรียบร้อย หลังจากวันนั้นที่กดรับสายโทรศัพท์จากพี่สาว เปรมยุดาถามหาเหตุผลที่เธอปฏิเสธคนอย่างฉัตรพงษ์ พร้อมทั้งบ่นให้ได้ยินอีกว่าเธอพลาดคนดีๆ ไปในชีวิต

แต่เธอก็ยังเชื่อว่าฉัตรพงษ์ยังคงอยู่ในชีวิตของเธอในฐานะพี่ชายตลอดไป

“ทุกคนมีความชอบไม่เหมือนกันเหรอคะ น้าปรี” ดาราพรถามเธอ

“ใช่น่ะสิจ๊ะ บางคนชอบอย่างหนึ่ง บางคนชอบอีกอย่าง หรือแม้แต่เป็นสิ่งเดียวกัน บางคนชอบมาก บางคนชอบน้อย ทำให้ความชอบของคนเราที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งอาจมีระดับไม่เท่ากัน” ปรียานุชตอบหลานสาวพร้อมทั้งทำมือประกอบคำพูดที่ยังเอ่ยต่อ “น้องดรีมอาจชอบลุงฉัตรเท่าบ้านหลังใหญ่ แต่น้าชอบลุงฉัตรเท่าหนังสือนิทานหนึ่งเล่ม เข้าใจไหมจ๊ะ”

“น้องดรีมจะไปบอกกพ่อกับแม่ว่าน้าปรีชอบลุงฉัตรเหมือนน้องดรีม”

“อย่าดีกว่านะจ๊ะ” ปรียานุชรีบเอ่ยปากขัดหลานสาว

“ไม่ต้องห่วงหรอกน้องปรี สบายใจได้ ตอนนี้รามกับเปรมเข้าใจดีแล้วว่าเราสองคนคงไม่มีโอกาสเป็นได้มากกว่านี้” ฉัตรพงษ์พูดให้เธอเบาใจ

หลังจากนั่งคุยกันสักพักหนึ่ง เธอก็เดินนำคนทั้งสองไปบ้านของไขศิลป์

เพียงแค่เปิดประตูหน้าบ้านให้กว้างพอสมควรเพื่อให้คนที่ไม่เคยมาได้รู้ว่าบ้านหลังนี้มีกิจกรรมการละเล่นไทย ปรียานุชเห็นเขานั่งที่โต๊ะหินอ่อนก็ส่งยิ้มทักทายกัน หากเขามีสีหน้าบึ้งตึงฉับพลัน ยามเห็นผู้ที่เดินตามหลังเธอมาและหยุดยืนใกล้ๆ กัน

“ทำไมถึงมาพร้อมกันล่ะพี่ปรี” เขาพูดเสียงเบาแต่ก็ดังพอให้ชายหนุ่มอีกคนได้ยิน

“พี่ฉัตรมาส่งน้องดรีม แล้วก็จะอยู่เล่นด้วยกันจนจบเลย” เธอตอบออกไปโดยไม่คิดอะไร

ไขศิลป์ถามออกมา ขณะจ้องมองฉัตรพงษ์ “พี่ยังสนใจพี่ปรีอยู่ใช่ไหม ถึงทำตัวติดขนาดนี้”

“อย่าทำเป็นหวงหน่อยเลย” ฉัตรพงษ์เอ่ยอย่างหน้าตาเฉย “คนเราต้องเชื่อใจกัน อย่าระแวงจนเกินไป อาจจะพลาดขึ้นมาก็ได้”

ไขศิลป์พอจะทราบถึงคำพูดเตือนสติจากชายตรงหน้าที่ไม่ได้มองกันเป็นคู่อริ

หลายอย่างที่ผ่านมานั้นก็เกือบจะพังจากการคิดไปเองใหญ่โต โดยเฉพาะเรื่องที่เขาไม่กล้าออกไปไหนเพราะกลัว หากเพียงแค่ไม่คิดกลัวจนเกินเหตุก็ไม่มีสิ่งใดมาหลอกหลอนจนไม่กล้าได้อีก

ดังนั้นเขาควรเชื่อคำของเธอ อย่าตื่นตูมคิดอะไรไปก่อน

ไม่นานนักครอบครัวของธารทิพย์ซึ่งไม่เคยพลาดเลยสักครั้งก็มานั่งรวมกลุ่มด้วยกัน

พวกเด็กๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้น เมื่อผู้ปกครองทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าทยอยกันมาถึง จนกีตาร์ก็มาพร้อมบิดามารดาเหมือนเช่นเคย

ปรียานุชมองเด็กชายซึ่งมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด กีตาร์ยกมือไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ทุกคนโดยที่ไม่ต้องมีคนบอกให้ทำและดูนิ่งสงบ พอรู้ว่ามีเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันเล่นอยู่ในบ้าน กีตาร์จึงเอ่ยปากขอมารดาไปเล่นกับเพื่อน สิตางค์จึงพาลูกชายเข้าไปในบ้านและนั่งพูดคุยกับศศิ

เก่งกาจที่นั่งรวมกลุ่มกับผู้ปกครองท่านอื่นก็ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์หนึ่งซึ่งเหมือนจะทำผิดมหันต์กับการเลี้ยงดูลูกชายจนกลายเป็นเด็กติดจอ พร้อมทั้งวิธีแก้ไขเพื่อให้กลับมาเป็นเด็กที่เติบโตสมวัยได้ดังเดิม เธอจึงอดชื่นชมความตั้งใจจริงของพ่อแม่ไม่ได้ ที่พอรู้ตัวว่าผิดพลั้งไปก็พร้อมร่วมมือกันเพื่อให้ลูกมีชีวิตที่ดีขึ้น และไม่ยอมสั่งสมปัญหาที่เกิดขึ้นไว้กับตัวเด็กจนปล่อยให้เติบโตไปตามยถากรรมเหมือนบางครอบครัวที่ไม่เคยสนใจ ปล่อยเด็กให้อยู่กับหน้าจอจนกระทั่งเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาว

เธอขอไปเตรียมสถานที่พร้อมกับธารทิพย์ที่ขอเป็นผู้ช่วยอยู่เคียงข้าง เก่งกาจก็เดินเข้ามาคุยกับเธอและเข้าเรื่องทันที

“คุณปรีครับ เอกกลับไปอยู่บ้าน คงไม่ได้มาเล่นด้วยกันอีกแล้วนะครับ”

ปรียานุชรู้ดีว่าเหตุใดเอกลักษณ์จึงยังไม่มาพบหน้ากันได้ “เราสองคนพูดให้เข้าใจกันดีแล้วค่ะ คงไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”

“ผมรู้เรื่องเอกกับคุณปรีมาตั้งแต่แรกก็ได้แต่แอบเอาใจช่วย พอผลสุดท้ายเป็นแบบนี้ ผมก็พอเข้าใจ เอกฝากผมมาบอกคุณปรีด้วยว่าขอให้โชคดีกับคนที่คุณปรีเลือกจะใช้ชีวิตด้วยกัน และอย่าลืมเพื่อนอย่างมัน ยังมีอีกเรื่องที่มันฝากมา แต่ไม่รู้ว่าจะบอกดีไหม”

“บอกมาเถอะค่ะ จะได้ไม่ต้องมีอะไรให้ค้างคาใจกันอีก”

“มันฝากผมมาบอกอีกว่าถ้าคุณปรีแต่งงานเมื่อไหร่ อย่าลืมส่งการ์ดไปเชิญมันด้วย มันอยากมาร่วมงานแต่งของคุณปรีในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง” เก่งกาจเอ่ยขึ้น

“ฝากบอกเอกนะคะ ปรีจะไม่ลืมค่ะ ยินดีให้มาร่วมงานของปรี หรือว่างๆ ก็มาเล่นด้วยกันได้เสมอ”

เก่งกาจขอตัวไปหาภรรยากับลูกชายที่ยังอยู่ในบ้าน ก่อนจะเดินห่างออกไปก็พูดกับเธอ “ผมยินดีด้วยนะครับ กับคนที่คุณปรีตัดสินใจเลือกได้แล้ว”

ผู้ที่ได้ยินคำกล่าวของเก่งกาจพร้อมๆ กันก็หันมองหน้าเธอคล้ายขอคำอธิบายให้กระจ่างใจ

“ตกลงปรีเลือกได้แล้วเหรอว่าใคร จะใช้พี่ฉัตรที่ฉันเชียร์หรือเปล่า แล้วที่ปรีบอกไปอย่างนั้น เหมือนจะแต่งงานอีกเดือนสองเดือนเลยนะ หรือว่าเลือกเจ้าบ่าวได้แล้วจริงๆ” ธารทิพย์ถามตรงๆ

“ฉันยังไม่ได้เลือกใครหรอก คุณเก่งคงจะยินดีกับฉันไว้ก่อนแค่นั้นเอง” เธอยังไม่ได้บอกเพื่อนในเรื่องที่ไขศิลป์ขอจีบเธอ

“เลือกใครก็ได้ แต่ดีแล้วที่ไม่ใช่มัน ได้ยินที่คุณเก่งพูด ฉันก็โล่งใจ กลัวมันจะเป็นคนที่พูดจาไม่ค่อยจะรู้ความ นี่ก็มองๆ อยู่ว่าวันนี้มันจะเสนอหน้ามาอีกไหม”

“ธารอย่าไปว่าเอกเลย เพื่อนกันทั้งนั้น”

“เพื่อนปรี ไม่ใช่เพื่อนฉันสักหน่อย ที่มันอยากจะมางานแต่งปรี คงมายินดีนะ ไม่ใช่จะมาแสดงตัวว่าเป็นแฟนกงแฟนเก่าที่ยังทำใจไม่ได้” ธารทิพย์ยังมีอคติกับเอกลักษณ์ไม่เคยเปลี่ยน

ปรียานุชยังจำคำกล่าวของเอกลักษณ์ได้ดีและเชื่อว่าในวันที่เอกลักษณ์หยุดตรงคำว่าเพื่อนกับเธอได้ คงจะมาพบหน้ากันอีกแน่นอน

สองสาวต่างพร้อมใจมองไปยังไขศิลป์ที่ก้าวขาไปที่หน้าประตูบ้านเพื่อรอให้ฐานินซึ่งมาพร้อมกับแฟนสาวเดินตรงมาหาเขา

“วันนี้ฉันคงฟินได้ไม่เต็มที่ ดูนั่นสิ หนึ่งในคู่จิ้นของฉันพาแฟนมาด้วย” ธารทิพย์หันหน้าพูดกับเธอ

“ไม่เป็นไรนะธาร คู่จิ้นของธารคงมีเยอะแยะ ไม่ใช่แค่สองคนนั้นหรอก” เธอไม่รู้จะปลอบใจเพื่อนอย่างไรดี

“ปรีดูสิ ตบบ่า ตบไหล่ แล้วก็กอดกัน โอ๊ย! ฟิน” ธารทิพย์บอกด้วยความตื่นเต้น ขณะสายตายังมองไปที่ชายหนุ่มสองคน

เธอยังไม่ละสายตาไปจากสองคนนั้นจึงเห็นฐานินยกมือขึ้นจับบ่าและไหล่ของไขศิลป์ จากนั้นก็โผเข้ากอดหลวมๆ โดยที่ไขศิลป์ยังยืนนิ่งเฉย

“ธารก็ฟินได้เหมือนเดิม จะบ่นทำไมอีกล่ะ” ปรียานุชมองเห็นเพื่อนสาวยืนใช้มือสองข้างบิดชายเสื้อ

“ก็ฟินได้อยู่ ถ้ามองแค่สองคน แต่พอมองไปอีกทีก็เจอแฟนของนินยืนอยู่ด้วย มันก็ฟินได้ไม่ตลอด เหมือนนั่งดูฉากที่พระเอกนายเอกกอดกันอยู่แล้วมีโฆษณามาคั่น อะไรทำนองนั้น”

“ถ้าวันหนึ่งศิลป์มีแฟนขึ้นมา ธารยังจะฟินได้อยู่ใช่ไหมกับสองคนนั้น” เธอลองถามให้แน่ใจ

“ฉันว่ามันไม่เกี่ยวกันหรอก ต่อให้ใครคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนมีแฟนเป็นตัวเป็นตน หรือจะเดินควงมาให้เห็นจะจะ ฉันก็ยังฟินของฉันได้ ปรีถามอย่างนั้นทำไมเหรอ ศิลป์กำลังจะคบใครเป็นแฟนอยู่หรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรหรอก ศิลป์กับนินกำลังเดินมาหาพวกเรา” ปรียานุชรีบเฉไฉไปเรื่องอื่น

ทั้งสองคนทักทายผู้ที่เพิ่งมาถึงด้วยความเป็นกันเอง เธอพยายามดูท่าทีของฐานินว่าพอจะทราบบ้างหรือยังที่ไขศิลป์จีบเธออยู่ แต่เท่าที่สังเกตเห็น เหมือนฐานินจะยังไม่รู้เรื่องใดๆ ระหว่างไขศิลป์กับเธอเลย

เขาอาจจะเหมือนเธอที่ยังไม่บอกเพื่อนสนิทให้รับรู้ว่ากำลังอยู่ในช่วงพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทั้งที่เธอก็แน่ใจในความชัดเจนของหัวใจตัวเอง แต่ขอให้เขาทำคะแนนอีกสักหน่อย เผื่อบางทีความทุ่มเททำให้เขารู้คุณค่าเมื่อได้ครอบครอง

แล้วจะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเธอกับเขากำลังคบกันเป็นแฟน

 



Don`t copy text!