รู้จักกับ ‘เทียนธารา’ ให้มากขึ้นใน “ควันเทียน”

รู้จักกับ ‘เทียนธารา’ ให้มากขึ้นใน “ควันเทียน”

โดย : กฤษณา อโศกสิน

“หลังม่าน” คอลัมน์ที่จะบอกเล่าถึงชีวิตของตัวละครเด่นๆ ในนวนิยายของ กฤษณา อโศกสิน เป็นเรื่องราวเบื้องลึกที่มีแต่นักเขียนเท่านั้นที่จะสามารถรู้ได้ และนำมาบอกเล่าให้ผู้อ่านชาวอ่านเอาได้เห็นชีวิตด้านหลังม่านของตัวละครเหล่านั้น

นวนิยายเรื่องนี้มีอายุยาวนานมากแล้ว นับเป็นเรื่องราวอันรันทดกำสรดโศกที่ปรากฏขึ้นเมื่อ พ.ศ.2512 ระหว่างลูกสาววัย 17 ปีกับแม่ผู้หย่ากับพ่อ ครั้นแล้วจึงแต่งงานใหม่กับชายอเมริกัน ต่อจากนั้นก็ราวกับตายจากกันนานนับ 12 ปี จนกระทั่งสามีใหม่วายชนม์ จึงย้อนกลับสู่มาตุภูมิดังก่อนเก่า แต่ตลอดเวลาอันยาวนานนี้ ดรุณีผู้เป็นบุตรสาวก็ได้แต่บันทึกความรู้สึกโหยหาไว้ระหว่างบรรทัด อันนำมาซึ่งความปวดร้าวเศร้าลึกเมื่อได้อ่าน

เทียนธารา เยาวนารถขึ้นต้นคำพรรณนาของหล่อนไว้ว่า

‘แม่จ๋า ลูกรักแม่ คิดถึงแม่เหลือเกิน แม่ล่ะจ๊ะ รักลูก คิดถึงลูกหรือเปล่า

ลูกตื่นแต่เช้าตรู่ ออกมาเดินที่สนามหญ้าหน้าบ้าน…พ่อไม่อยู่จ้ะแม่ ไปต่างจังหวัด ลูกอยู่กับแม่เมียดตามลำพัง

แม่อยู่ที่ไหน แม่จ๋า

กุหลาบที่ร่องมีน้ำค้างเกาะเต็ม ลูกไม่ยึดเอาชื่อเดิม หากแต่ตั้งใหม่ตามใจที่รักอิสระ ต้นนั้นชื่อ อรุโณทัย ต้นโน้นชื่อ ปัจจุสมัย อีกต้นชื่อจันทรุปราคา สีแดงเข้มราวกับสีเลือดนก ตั้งชื่อให้ว่าสุริยคราส

น้ำค้างสวยเหมือนเพชร…ลูกก็ได้แต่นั่งลงเพ่งพิศกุหลาบทีละดอก ตูมบ้าง บานบ้าง แต่ทุกดอกดูสด สะอาดสะอ้านด้วยเกล็ดน้ำค้าง ละไอแห่งความเปล่งปลั่งสดชื่นดูเหมือนจะระเหยขึ้นมาให้สัมผัสได้

พ่อบอกลูกว่า แม่เป็นผู้หญิงชาวนา ‘เราอยู่กันไม่ได้ ท้ายที่สุด แม่ก็หายสาบสูญไป แม่ทิ้งลูกหรือจ๊ะ แต่ลูกไม่เชื่อดอกว่า แม่ทิ้งลูก ลูกรู้ว่า แม่ก็คงรักลูกคิดถึงลูกอย่างที่ลูกรักแม่ คิดถึงแม่ แต่เหตุผลส่วนตัวของแม่ก็คงมี เหมือนทุกคนซึ่งต่างก็มีเหตุผลของตนเอง

เพราะเหตุที่ลูกรู้ว่า แม่เป็นผู้หญิงชาวนา ลูกจึงรักทุ่งนาเป็นชีวิตจิตใจ ลูกรบเร้าพ่อเสมอให้พาลูกไปที่นั่น ซึ่งพ่อก็ตามใจ ขับรถพาลูกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกบ่อยๆ ลูกชอบดูแมลงปอสีต่างๆที่โบยบินอยู่เหนือกอหญ้า ลูกอยากจับปีกของมัน แต่ความใสและบอบบางทำให้ลูกเวทนา ปีกของมันใสเป็นมันราวผ้าแก้ว ลูกอยากเขียนกวีนิพนธ์บรรยายความงามของแมลงปอและต้นหญ้าที่อ่อนเอนไปมาในสายลม ลูกปลาเล็กๆที่เกิดตามแอ่งน้ำข้างทาง ลูกกบตัวดำหัวโตมีหางเรียว

ลูกสัตว์พวกนี้มันรู้จักร้องหาแม่เหมือนลูกหรือเปล่าหนอ’

ฉันได้แต่มองเข้าไปในฉากที่มีแต่ธรรมชาติน่ารัก…พลางโบกมือจาก ‘หลังม่าน’…ด้วยรักและเอ็นดูผู้กำลังสวมใส่บทบาทของสาวน้อยกำพร้าแม่นี่กระไร

หล่อนแสดงได้ดีจนไม่มีที่จะติได้ โดยเฉพาะงานถ่ายทอดความรู้สึกของรุ่นสาวที่แลเห็นตรงสายตา นางเอกช่างดึงเอาออกมาตีแผ่ได้ดีจนน้ำตาเต็มตาฉัน

‘พ่อของลูกเป็นคนที่ใครข้ดใจไม่ได้ พ่อพูดคำไหนทุกคนต้องทำตาม บางทีลูกก็แคลงใจเหลือเกินว่า ทำไม พ่อจะต้องเลี้ยงลูกอย่างพระเจ้าเลี้ยงสัตว์โลก สร้างกฎเกณฑ์อย่างเฉียบขาดและบังคับให้ทุกคนเข้าใจถี่ถ้วนทุกก้าวย่าง

ลูกเบื่อชีวิตจริงๆ แม่จ๋า ลูกคิดถึงแม่

กายของลูกอาจจะแบ่งบาน แต่ใจลูกนั้นอับเฉานักหนา คงต้องการเสพอะไรบางอย่างที่พิถีพิถัน ประณีตกว่าที่สามารถแลเห็นได้ด้วยตา ลูกบอกไม่ถูกว่ามันแบ่งเป็นชั้นๆอย่างละเอียดลออเพียงใด ลูกเคยเรียนเรื่องชั้นต่างๆของดิน อายุที่แตกต่างจะทำให้มันเป็นเพชร เป็นหิน เป็นถ่านเป็นดินลูกรัง…ก็ได้ทั้งนั้น

ชั้นของจิตใจก็เช่นกัน

ลูกคิดว่า มันแยกได้สลับซับซ้อนยิ่งกว่านั้นเป็นไหนๆ

ทำไมแม่ไม่มาหาลูก ลูกจะได้เลิกเก็บตัว ช่างคิดช่างเพ้อเจ้ออย่างพ่อว่าเสียที

ในบ้าน ไม่มีรูปแม่เลยไม่ว่าตรงไหน

ลูกรู้อยู่อย่างเดียวว่า แม่ชื่อน้ำทอง

แล้วแม่เล่า จะรู้จักชื่อ เทียนธารา เยาวนารถ ลูกคนเดียวของแม่ไหม

บางครั้ง ลูกก็อยากประกาศหนังสือพิมพ์ตามหาแม่อย่างที่ลูกคนอื่นเคยประกาศเหมือนกัน

แม่อยู่ไหนจ๊ะ มุมโลกไหน ถ้าลูกรู้ ลูกจะดั้นด้นไปที่นั่น ลูกจะแลกแม่กับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตลูก

ไม่ว่าแม่จะเป็นชาวนา กรรมกร แม่ค้าหรือยาจก

ไม่ว่าแม่จะเป็นคนชนิดไหนในสายตาคนอื่น

สำหรับลูกแล้ว แม่คือแม่

ครูบอกให้นักเรียนแต่งกลอนแปดตามถนัด จะบรรยายถึงอะไรก็ได้ ลูกจึงเขียนกลอนถึงแม่ด้วยอารมณ์คิดถึงแม่อย่างสุดซึ้ง

อ่านซิ แม่จ๋า

กลางโขดเขินเหินหาวที่ดาวอยู่

ยินเสียงกู่ ลูกจ๋า มาหาแม่

น้ำค้างย้อยหยาดระยับนอกลับแล

ลูกแลแลเหลียวไม่เห็นเข็ญใจจริง

 

แม่อยู่ไหน แม่จ๋า มาหาลูก

แม่ได้ผูกปมใจอันใหญ่ยิ่ง

ลูกว้าเหว่ทรวงหนักอยากพักพิง

ได้แอบอิงอกอุ่นเป็นบุญตัว

 

กลอนนี้ ฉันแต่งเองเขียนเอง ถ้านักกลอนขนานแท้ อ่านแล้ว แอบยิ้มให้กัน ‘นอกม่าน’ ก็ขออภัยด้วยน้าาา

ลูกเหงาจ้ะแม่ แม้จะอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูง ท่ามกลางความร่าเริง สนุกสนาน แต่ลูกก็รู้ว่าลูกยังขาดอะไรบางอย่างอยู่นั่นเอง

ลูกไม่เคยคิดว่า แม่เป็นเพียงสิ่งของที่ลูกอยากได้แล้วไม่ได้ และไม่มีวันจะได้ เพราะแม่ไม่ใช่สิ่งของ ถ้าจะเปรียบแม่เป็นจักรวาลก็คงไม่ผิดนัก

ไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ไหน มุมไหนของพิภพ ไม่ว่าสูงสุดหรือต่ำสุด ไม่ว่าจะแสนไกลถึงนอกฟ้าป่าหิมพานต์ หรือใกล้แค่มือเอื้อม ลูกไม่เคยได้จักรวาลนั้นมาเป็นของลูก

แม้ว่าลูกจะอยู่ภายใต้จักรวาล

ความรู้สึกที่ลูกมีต่อแม่ มิได้ตื้นอย่างที่พ่อว่า

แต่ทุกคนก็ชมเชยพ่อให้ลูกได้ปลาบปลื้มอยู่เสมอ

‘คุณพ่อน่ะรักหนูมากนะ อุตส่าห์เสียสละทุกอย่างเพื่อความสุขของหนูเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น หนูต้องรักคุณพ่อให้มากๆ…แล้วก็อยู่ในโอวาท’

ลูกก็รู้ว่าพ่อรักลูกมาก แต่ลูกก็ยังรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า

ความรักของพ่อเหลือช่องว่างไว้มากพอที่ลูกจะรู้สึกว้าเหว่’

ครั้นแล้ว จึงมาถึงวันใดวันนั้น

 

ลูกมีเพื่อนสนิทชื่อพวงเงิน เขามีพี่ชายชื่อ ธงเงิน แม่ของทั้งคู่รับราชการเป็นครู เธอไม่สวย แต่ใจดี อบรมลูกของเธออย่างสุขุม เธอเผื่อแผ่ความรู้สึกที่ดีมาถึงลูกด้วย เธอสงสารลูก จึงมักสั่งให้ลูกไปหาเธอบ้างในวันหยุด ถ้าลูกไม่ไป เธอก็อนุญาตให้พวงเงินมาหา

ครั้นแล้ววันนี้ คุณอาศานติ พ่อของพวงเงินก็มาพาลูกไปกับครอบครัวเขา ไปรับใครสักคนที่สนามบินดอนเมือง

ลูกได้ยินอธิบดีที่กรมคุณอาศานติบอกกล่าว

‘คุณภาวาส เพิ่งเรียนสำเร็จ จากบ้านไปห้าหกปีเต็ม แล้วนี่ก็คุณแนท กลับบ้านอีกเหมือนกันเพราะมิสเตอร์อาร์โนลด์ สามีถึงแก่กรรม’

ลูกก็เลยมองดูสตรีวัยสี่สิบเศษที่ชื่อคุณแนทอย่างทึ่ง

เธอช่างเป็นสตรีสูงวัยที่งดงาม ภาคภูมิ สง่าที่สุดเท่าที่ลูกเคยเห็น

เมื่อตาของเราพบกัน…เธอชะงักไปนิดหนึ่ง คิ้วยาวขมวดเข้าหากันเชิงทบทวนความจำ

“ลาก่อนนะหนู”

เราพนมมือไหว้เธอ ครั้นแล้วเธอก็หันหลังกลับ แต่เมื่อก้าวไปสองสามก้าว เธอก็เหลียวมามองลูก

“รักผู้หญิงคนนั้นจัง” ลูกพูดออกมาลอยๆ

พวงเงินพยักหน้าเห็นด้วย

“ท่าทางโก้จังนะ”

ภาพคุณแนทวันนี้จึงติดตาลูกอย่างประหลาด

หากท้ายที่สุด เราก็ได้พบกันอีกตอนเย็นที่อธิบดีและภรรยาตกลงใจโทรศัพท์ไปเชิญเธอมาร่วมโต๊ะอาหารเย็นด้วยกัน

เธอนั่งลงใกล้ๆลูก วางมือลงบนขาของลูก ลูกเพียงแต่ก้มลงมองนิ้วของเธอที่มีเพียงแหวนทองเกลี้ยงเพียงวงเดียวในนิ้วนางซ้าย

“หนูชื่ออะไร อายังไม่ทราบชื่อเลย”

“ชื่อเทียนธาราค่ะ”

ลูกเห็นเธอเบิกตากว้างอย่างตกใจ พลางถามเร็วๆ

“นามสกุลอะไรคะ”

“เยาวนารถค่ะ”

“เยาวนารถ” ลูกเห็นริมฝีปากคู่นั้นสั่นระริก มือที่จับช้อนส้อมคลายออกจากกัน

“คุณอาเคยรู้จักใครที่นามสกุลเยาวนารถหรือคะ”

“เปล่าค่ะหนู…ไม่รู้จัก…แต่ฟังคล้ายเคยรู้จักแค่นั้น”

คล้ายเคยรู้จัก

น้ำเสียงของเธอค่อนข้างแปร่งเมื่อถึงตรงนี้

“ตระกูลเราไม่ใหญ่โต” ลูกบอกตรงไปตรงมา…แต่…ขณะนั้นนั่นเอง…ลูกคิดว่าลูกแลเห็นหน่วยตาคู่งามเอ่อล้นด้วยหยาดน้ำจางๆ “หนูเป็นลูกคนเดียวของคุณพ่อค่ะ…เอ้อ…หนูไม่มีคุณแม่”

“โธ่” เธอครางเบาๆ สีหน้าสลดพอกับแววตา “อาเสียใจด้วยนะ ท่านเสียนานแล้วหรือคะ”

“เปล่าค่ะ ท่านไม่ได้เสีย…แต่ท่าน…” ลูกพูดถึงตรงนี้ก็หยุด เพราะไม่สามารถอธิบายให้เธอฟังได้อย่างฉาดฉานโดยตนเองไม่สะเทือนใจ

ครั้นทุกคนลงมือรับประทานอาหาร ก็ดูราวคุณแนทจะลืมทุกสิ่งและทุกคนในโต๊ะนั้นโดยสิ้นเชิง

หลังอาหาร อาศานติ บิดาของพวงเงินจึงบอกกล่าวเจ้าของบ้านผู้เป็นหัวหน้างานของเขา

“ผมเห็นจะต้องกลับแล้วละครับ จะต้องเอาลูกคุณชวาลไปส่ง

ลูกก็เลยลาทุกคนและคุณแนท

เธอจึงรวบมือพนมของลูกไว้ รั้งตัวเข้าไปกอดพร้อมกับจูบแก้มทั้งสองของลูกอย่างรวดเร็ว

ลูกรู้สึกแปลก อบอุ่น ซาบซ่านอย่างบอกไม่ถูก เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ลูกถูกจูบโดยผู้ที่จูบนั้นไม่ใช่พ่อ

แต่จะว่าไป พ่อก็เคยจูบลูกครั้งสุดท้ายเมื่อหลายปีมาแล้วเช่นกัน

ลูกยืนงง แม้เมื่อคุณแนทปล่อยมือลูกแล้ว เธอก็ยังยืนโบกมือให้ลูก

“แล้วอาจะติดต่อหนูไปอีก หนูล่ะคะ จะมาหาอาได้อีกไหม”

“ได้ค่ะ” ลูกตอบ เป็นการยืนยันค่อนข้างเลื่อนลอย แต่ลูกก็รู้สึกว่ามีความมั่นใจแอบแฝงอยู่ในนั้น

อาศานติถึงกับล้อลูกว่า

“คุณแนทดูจะรักหนูเป็นพิเศษเลยนะ”

พ่ออาบน้ำแล้ว กำลังนอนดูโทรทัศน์ เมื่ออาศานติกับอางามพิศไปถึง ก็เลยบอก

“เอาลูกสาวมาส่งค่ะ ชวนไปเที่ยวจนมืดค่ำ”

“ไม่เป็นไรครับ ให้เขาไปสนุกมั่ง อยู่บ้านมากไปก็เหงา”

พ่อแม่เพื่อนกลับไปแล้ว พ่อจึงหันมาถาม

“สนุกไหมลูก ไปถึงไหนมา”

“พ่อคะ” ลูกก็เลยเอ่ยขึ้น “วันนี้ลูกพบผู้หญิงคนนึง สวยชะมัดเลยพ่อ”

“สวยแค่ไหน” พ่อถามเรื่อยๆอย่างไม่สนใจ

ลูกเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมพ่อจึงไม่ใคร่สนใจผู้หญิงเอาเสียเลย อาศานติเคยตั้งข้อสงสัยกับลูกสองสามครั้ง เป็นคำถามคล้ายๆกันทุกครั้ง

สรุปแล้วก็คือ พ่ออยู่มาได้อย่างไรโดยไม่มีภรรยาใหม่

พ่อของดวงตะวันเพื่อนลูกยังแต่งงานใหม่ หลังจากภรรยาตายเพียงปีครึ่ง

ส่วนพ่อของเทียมเนตรนั้นน่าสงสาร เนื่องด้วยเทียมเนตรเป็นเด็กร้ายกาจ หล่อนมักจะขว้างปาสิ่งของหรือกระทืบเท้าใส่หน้าผู้หญิงทุกคนที่พ่อหล่อนพาเข้าบ้านจนพ่อทนไม่ไหว ต้องแอบไปมีภรรยาซุกซ่อนไว้ข้างนอก

“สวยค่ะ…อาจไม่มาก แต่พี่ธงบอกว่าเธอสวยแบบคลาสสิก”

พ่อหัวเราะ

“เป็นยังไง สวยคลาสสิก”

“ก็สวยผู้ดี สวยชั้นสูงน่ะซีคะ”

“ถึงยังไง พ่อก็ยังนึกภาพไม่ออกอยู่ดี…ไปอาบน้ำซะไป๊”

แต่ลูกยังติดใจเรื่องคุณแนท จึงเอ่ยต่อ

“เธอถามเรื่องแม่ของลูก”

สีหน้าพ่อเปลี่ยนไปเป็นบึ้งนิดๆทันที

“ถามทำไม…ลูกไปนำทางยังไงให้เขาถามได้”

“ก็เขาพูดถึงคุณพ่อคุณแม่ ลูกก็เลยบอกน่ะซีคะว่าลูกมีแต่พ่อ ไม่มีแม่”

พ่อก็เลยนิ่ง

ลูกรู้ดีว่า พ่อไม่ชอบให้ลูกเอ่ยถึงแม่ พ่อจะเงียบกริบทุกครั้ง แล้วจะเปลี่ยนเรื่องพูดทันที

“พ่อคะ ลูกอยากให้พ่อรู้จักคุณแนทค่ะ ลูกถูกชะตากับเธอเหลือเกิน”

“รู้จักทำไม…ผู้หญิง” พ่อทำสีหน้าหยามหยัน “มันก็เหมือนกันทั้งนั้น พ่อไม่สนใจหรอก ผู้หญิงสำหรับพ่อน่ะนะ มันก็แค่ของซื้อขายพอๆกับสินค้าทั่วไปนั่นแหละ ไม่จำเป็นอะไรสำหรับชีวิต พ่อไม่ต้องการห่วงผูกพันอะไรอีกแล้ว พ่อเที่ยว กิน ใช้เงินให้หมดไปวันๆเดือนๆ พ่อไม่ทุกข์ร้อนอะไรหรอกลูก”

พ่อพูดเหมือนคนไม่มีหัวใจ แต่ก็เป็นความจริง พ่อไม่เคยอยู่อย่างคนมีหัวใจ ลูกรู้ดี

นางเอกผู้แสดงเป็นเด็กสาวกำพร้า กำลังสวมใส่วิญญาณของลูกผู้ร่ำร้องหาแม่ได้สุดยอด จนเมื่อฉากปิดลงตอนแรก ฉันก็ได้แต่สวมกอดหล่อนด้วยรักและเอ็นดู

ขณะที่หล่อนเองก็ยังปาดน้ำตา พลางพึมพำ

“ถึงนอกม่านหนูจะมีพ่อแม่พร้อมหน้า แต่ก็เข้าใจเทียนธาราสุดซึ้งเลยค่ะ”

 

พ่อเองยังรำคาญที่ลูกพูดถึงคุณแนทจนกระทั่งเข้านอน

หรือเป็นเพราะอารมณ์ของลูก ขาดความเต็มอิ่มจากการุณยธรรมจากสตรีที่เรียกว่าแม่

ความหิวของลูก มีลักษณะเดียวกับคนขาดอาหารโดยแท้

ลูกผอมโซ ทรุดโทรม พยายามตะเกียกตะกายไขว่คว้าเพื่อจะเข้าไปอิงแอบอยู่ใกล้ ภายในอ้อมแขนของแม่อย่างที่ลูกไฝ่ฝันมานานนักหนา

แต่ถึงอย่างไร ลูกก็ภาวนาให้ถึงวันสิ้นสุดของสัปดาห์

เช้าวันนี้ ดูพ่อจะตื่นขึ้นอย่างหงุดหงิด ถึงกับบอกอย่างเปิดเผย

“ไม่รู้เป็นไง หมู่นี้อารมณ์ไม่ดีเลย”

ขณะที่แววตามีร่องรอยครุ่นคิด

ลูกก็เลยถาม

“พ่อคะ วันหยุดนี่ พ่อจะอนุญาตให้ลูกไปหาคุณแนทไหมคะ”

“คุณแนทอีกแล้ว” พ่อถอนใจดังอย่างเหนื่อยหน่าย หากก็ถามต่อคล้ายประชด “เอามาเป็นแม่เลี้ยงเสียเลยดีไหม”

“ดีค่ะ พ่อ” ลูกตอบอย่างจริงจังจนพ่อมองหน้า

“แต่ไม่ใช่คุณแนทอะไรนั่นหรอกนะ ถ้าลูกอยากมีแม่สักคนมาอยู่เป็นเพื่อนลูก พ่อก็พอจะหาให้ได้”

พ่อทิ้งท้ายไว้เพียงนั้น

ระหว่างวันอันจะว่าทุกข์ก็ไม่เชิงสุขก็ไม่ใช่ คุณแนทกับภาวาสก็พากันมาปรากฏกายให้ลูกได้สดชื่นโดยแวะมารับทั้งลูก และพวงเงินไปกินอาหาร ไปรู้จักโรงแรมมีชื่อเสียงที่คุณแนทไปสมัครงานไว้เนื่องจากเธอเรียนจบวิชาการโรงแรม รวมทั้งไปชมภาพยนตร์

ครั้นหนังเลิกแล้ว เธอก็พาไปหาอาหารรับประทาน พลางถามภาวาสผู้เป็นคนขับรถ

“วาส คุณคงไม่เมื่อยก่อนหรอกนะ”

“ไม่เมื่อยแน่” คราวนี้เขาตอบพลางมองเลยมาสบตากับลูกด้วยกระแสหวานฉ่ำ หากก็กล้าแข็งจนลูกต้องรีบเมินหลบ

คุณแนทเกาะแขนลูกตลอดเวลา ดูเธอร่าเริงขึ้น มีชีวิตจิตใจเมื่อก้าวเข้าไปในห้องอาหารอันมีเครื่องตกแต่งทันสมัยหรูหรา

“อาดีใจที่วันนี้ได้รู้จักบ้านหนู วันหลังอาจะไปเยี่ยมอีกนะคะ”

“หนูอยากให้คุณอารู้จักคุณพ่อเหมือนกัน”

“หนูไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับคุณพ่อหรอกค่ะ เมื่อไหร่ก็ได้ เราคงต้องพบกันวันยังค่ำน่ะแหละ เพียงแต่อาอยากไปเยี่ยมไปคุยแล้วรับออกมาทานอะไรด้วยกันอย่างวันนี้”

มีเรื่องราวละเอียดละออที่กล่าวถึงภาวาส ชายคนสนิทของคุณแนทที่พวงเงินสงสัยว่าคนทั้งคู่ ‘น่าจะมีอะไรกัน’ แต่ลูกไม่สงสัย ก็เลยไม่มีแก่ใจเอ่ยถึงในที่นี้

เนื่องจากมีเรื่องอื่นเร็วรี่กว่า

นั่นก็คือ พ่อกลับจากต่างจังหวัดคราวนี้ กลับมาพร้อมบอกข่าวลูกว่า พ่อจะแต่งงานใหม่ จะพาภรรยาใหม่มาอยู่ด้วยเดือนหน้า

ทันทีที่ได้ฟัง…น้ำตาลูกก็ไหลซึมออกมาอย่างหงุดหงิดขัดแค้น แม้จะพยายามบังคับไว้เพื่อเห็นแก่พ่อ แต่ความผิดหวังที่มากมายก็ได้ช่วยให้มันหลั่งไหลออกมาจนไม่สามารถจะหักห้ามได้

“ลูกเกลียดผู้หญิงคนนั้น ลูกบอกได้คำเดียวว่า ลูกเกลียด”

พ่อหน้าซีดลง พลางมองลูกอย่างโกรธจัด

“แกนี่เห็นแก่ตัวมาก…แกเคยคิดมั่งไหมว่า ฉันเลี้ยงแกมาอย่างดีแสนดีแค่ไหน อุตส่าห์เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อความสุขของแกทุกอย่าง แต่พอฉันจะมีความสุขมั่ง แกก็กลับมีแต่ข้อโต้แย้งนั่นนี่ มันก็น่าประหลาดที่ทำไมแกจะต้องมากะเกณฑ์ให้ฉันชอบคนคนเดียวกับที่แกชอบ”

ผู้กำกับก็เลยแอบตบมือแบบไม่มีเสียงให้ตาพ่อผู้กำลังร้องทุกข์

ฮ้าไฮ้ เจี๊ยบๆ

มันก็ลงเอยแบบนี้ทั้งนั้นละเจ้าค่ะ พ่อคุณเอ๊ย…คุณพ่อ

ก็คนที่พ่อชอบ กับลูกชอบเป็นคนละคนกันนี่เจ้าคะ คนนึงเมียใหม่ อีกคนเมียเก่า จะตรงกันได้ไง

ลูกเองยังลงบันทึกไว้ว่า

แม่คิดดูซิจ๊ะว่า ลูกมีสิทธิ์จะร้อนรนหรือไม่ อิจฉาผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งจะก้าวเข้ามาแบ่งปันเอาความใส่ใจของพ่อที่มีต่อลูกหรือไม่

แม้ว่าลูกจะเพียรต่อสู้กับความรู้สึกนี้เพียงใด

แต่ลูกก็ยังพ่ายแพ้อยู่ดี

เหตุผล? ธรรมประจำใจ หรืออื่นใดก็ไม่มีอำนาจเกินสัญชาตญาณของมนุษย์ สัญชาตญาณอันมีทั้งมืดและสว่าง เห็นแก่ตัวและปรานี เผื่อแผ่และยื้อแย่ง

ในความรู้สึกส่วนตื้น ลูกบอกตัวเองว่า ลูกจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อมีความสุข

แต่ในส่วนลึก ลูกแอบบาดใจและชิงชังรังเกียจการมาของหล่อนอย่างยิ่ง

ลูกไม่อาจระงับความวิปโยคเมื่อเห็นรอยยิ้มแช่มชื่นของพ่อเมื่อได้ยินลูกตอบคล้ายกับว่าต้อนรับหล่อน

“ฉันไปบอกพี่ธงแล้วละว่าพ่อเธอจะแต่งงานใหม่ พี่ธงสงสารเธอนะ เขาอยากฝากของมาแต่ไม่กล้า” พวงเงินรีบส่งข่าวทันทีที่พบหน้ากัน

น้ำตาลูกก็เลยไหลออกมา

วันเสาร์นั้นเอง ธงเงินก็ขับรถมารับลูกตามที่ส่งนัดมาทางพวงเงิน พาลูกไปที่บ้านเขา เนื่องด้วยอางามพิศจะทำหมูชมสวนให้รับประทาน

ขณะที่มีโอกาสนั่งอยู่ด้วยกันตามลำพัง ธงเงินก็เอ่ยขึ้น

“พอรู้เรื่องนั้น พี่อยากพบเทียนเหลือเกิน อยากปลอบใจให้เข้มแข็ง พี่เชื่อว่าคุณพ่อของเทียนรักเทียนมาก…เพียงแต่ว่า…คุณพ่อก็จำเป็นต้องหาความสุขของท่านบ้างเท่านั้น”

ธงเงินเป็นเด็กหนุ่มที่สุภาพ เอาใจใส่การเรียน สมกับเป็นพี่ชายคนโต

หากก็มีเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ในอารมณ์ ดังนั้น เขาจึงเปรย

“คุณภาวาสนี่เท่นะ เทียนว่าเขาเท่ไหม”

“เท่ค่ะ”

คราวนี้ เขาทำหน้าบึ้ง พลางเอ่ยต่อ

“ตอนที่เขามองเทียนน่ะ พี่โกรธจัง”

“คุณภาวาสก็คุณภาวาสซีคะ เขาก็เป็นเพียงคนรู้จักแค่นั้น”

“อาจจะเข้ามาสนิทในวันข้างหน้า” ธงเงินไม่ยอมลดละ

 

ลูกรู้สึกว่า วันนี้ ธงเงินมีบางสิ่งผิดไป ตั้งแต่ท่าทาง แววตา ถ้อยคำ

“แต่มันก็เป็นเพียง ‘วันข้างหน้า’ เท่านั้นนี่คะ พี่ธง อาจเดาผิดก็ได้”

แต่เขาก็ยังคงมองลูกอย่างเคร่งขรึม

“เทียน ถามจริงๆเถอะว่า…ถ้า…เอ้อ…มีผู้ชายสักคนรักเธอ เธอจะว่ายังไง”

สีหน้าของเขาเขินแกมกระดากกระเดื่องทีเดียวเมื่อพูดถึงตรงนี้

แต่ลูกยิ่งอาการหนักกว่าเขา ไม่กล้ามองตาเขาเลย ตัวเย็นวาบไปหมด ตั้งแต่โคนผมจนปลายเท้า ลูกรู้สึกแปลก ทั้งๆที่ยังไม่เข้าใจดีนักว่าอะไรเป็นอะไร แต่สัญชาตญาณบ่างอย่างเตือนลูกว่า ลูกกำลังเดินใกล้ความวิจิตรพิศดารของสิ่งมหัศจรรย์เข้าไปทุกขณะ

“เอ้อ…ไม่ทราบซีคะ”

“ถ้าสมมุติว่า มีคนคนหนึ่งรักเธอ เธอจะปลื้มใจมากไหม”

ลูกมองเห็นพื้นหญ้าที่อยู่ใต้เท้ากลายเป็นภาพซ้อน เหงื่อซึมผุดขึ้นเต็มอุ้งมือ ร่างทั้งร่างยังคงเย็น หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีบุรุษเพศมานั่งพูดเรื่องประหลาดอยู่ตรงหน้า โดยลูกไม่ทันตั้งสติ

บรรยากาศรอบตัวที่แจ่มใสก็ดูราวไม่เพียงพอสำหรับหายใจ

“เอาเถอะ…พี่จะขอพูดอย่างรวบรัดว่า พี่รักเทียน”

ลูกชาไปหมดทั้งตัวเมื่อเสียงอันสะท้านของเขาขาดหาย

เขาทำท่าเหมือนยกภูเขาออกจากอก

แต่ภูเขาลูกนั้นกลับกลิ้งเข้าไปทับอยู่กลางหัวใจของลูกแทน

ลูกไม่ทราบว่า ลูกรู้สึกอย่างไร สะบัดร้อนสะบัดหนาว ตัวสั่น มือเย็น หวิววับดังหนึ่งจะจับไข้

“เมื่อรักมากก็หวงมาก แล้วก็ไม่สบายใจที่ได้เห็นผู้ชายคนนั้นมาทำท่าวอแวกับเธอ” ธงเงินลงเสียง “พี่อิจฉาผู้ชายทุกคนที่เข้ามาสนิทกับเธอ”

มีความรู้สึกอย่างหนึ่งแล่นเข้าสู่หัวใจลูกเมื่อได้ฟังคำสารภาพของธงเงิน ความรู้สึกนั้นคล้ายกับโอสถวิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งที่ช่วยเยียวยาความว้าเหว่ในอารมณ์ ซึ่งเคยเข้มข้นขมขื่น ให้เหลือน้อยจนแทบจะเรียกได้ว่าเจือจาง

ลูกล่วงรู้ในกาลต่อมาว่า ความรู้สึกชนิดนี้เรียกง่ายๆว่าการชดเชย

เป็นการชดเชยที่ผ่านมาในจังหวะพอเหมาะพอดี ที่ลูกกำลังตกอยู่ในอารมณ์ขาดวิ่นไม่เป็นส่ำ

ลูกไม่เคยรู้จักความรักชนิดนี้มาก่อน รวมทั้งไม่เคยคิดจะรู้เร็วกว่าเวลาอันควร แต่ขณะที่ธงเงินบอกลูกว่ารักลูก ถ้อยคำของเขาเหมือนเศษไม้เล็กๆที่ลอยมาถึงตัว ขณะที่ลูกกำลังเคว้งคว้างว่ายเวียนอยู่ในทะเล

แน่ละ…โดยไม่ต้องเสียเวลาคิดแม้นาทีเดียว ลูกเกิดความปลาบปลื้ม ภูมิใจ จึงเอื้อมมือออกไปคว้าไว้ในบัดดล ตามสัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอดของมนุษย์

ก็พ่อกำลังจะจากลูกไปแล้วนี่แม่จ๋า จากไปมีรักกับผู้หญิงอีกคนที่ไม่ใช่แม่

ถึงอย่างไร หัวใจของพ่อก็จะต้องถูกแบ่ง ความรักที่เคยมีให้ลูกอย่างเต็มเปี่ยมและห่วงใยคลายความเข้มข้น

ใจลูกจะทนต่อความเจือจางนี้ได้อย่างไร

อื้อฮือ…ฉันเองเขียนเอง กำกับการแสดงเองยังต้องแอบครางกับตัวเองเลยนี่

เด็กสาวผู้นี้คิดมาก คิดถี่ คิดถ้วนล้วนแล้วใกล้กันกับความคิดของผู้ใหญ่ได้อย่างไร

ผู้อ่านและผู้ชมจะนึกว่าผิดความจริงไปบ้างหรือไม่

แต่ฉันคิดว่า คงไม่

เพราะเด็กบางคนยังคิดมากมายยิ่งกว่า

บางรายอาจถึงขนาดร้ายแรงจนคาดไม่ถึงก็เคยเห็นมาแล้วว่าเป็นไปได้

ครั้นแล้ว คุณแนทก็ได้รับรู้ว่าลูกกำลังจะมีแม่เลี้ยงเข้ามาอยู่ในบ้าน

เธอจึงโอบบ่าลูกไว้ พลางแตะคางเบาๆ

“โธ่…แม่คุณ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเวทนาสุดซึ้ง จนลูกซ่าไปทั้งตัวเมื่อได้ยินคำอุทาน

แม่คุณ…

เสียงเธออ่อนโยนเอ็นดู ลูกไม่เคยได้ยินคำนี้จากใคร ด้วยว่าเป็นคำอุทานแบบโบราณนานมา หากก็ยังคงความไพเราะไว้ในสำเนียงอย่างครบครัน

“นี่ถ้าอารับหนูไปอยู่ด้วยได้ อาจะรับไปทันที”

“หนูก็อยากไปอยู่กับคุณอาค่ะ” ลูกก็เลยตอบเธออย่างจริงใจ

“ต้องตกลงกับคุณพ่อเสียก่อน” เธอบอกทีเล่นทีจริง

“อย่าเพิ่งคิดมากเลยเทียน เธอเองก็ยังไม่เห็นผู้หญิงคนนั้น เขาอาจจะดีจนเธอชอบก็ได้” ธงเงินติงเตือน

“เทียนเขาอยากได้อาแนท อยากให้อาแนทเป็นแม่เลี้ยงเขา” พวงเงินโพล่งขึ้น

น้ำตาเทียนที่ลูกสะสมไว้จากที่บูชาพระ…บัดนี้…พอกพูนขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นก้อนใหญ่ ดูเหลืองใสปนด้วยควันสีดำเป็นบางแห่ง

ควันแห่งเปลวเทียนที่เปรียบปานประหนึ่งทุกข์สุขในชีวิตจริงของลูก

สักวัน…ลูกจะแกะเกลาให้เป็นรูปกายของแม่ที่รักของลูกให้จงได้

รูปแม่ที่ลูกวาดไว้ในความฝัน บัดนี้จากภาพที่รางเลือน ประดุจแอบแฝงอยู่เบื้องหลังเมฆหมอกนั้น กลายเป็นภาพที่เด่นชัดขึ้นอย่างประหลาด

แม่ต้องอภัยให้ลูกนะจ๊ะ แม่ต้องให้อภัยในเมื่อลูกจำแม่ไม่ได้เลย ตอนที่แม่จากลูกไปนั้น ลูกยังเล็กเหลือเกินนี่แม่จ๋า ทั้งพ่อก็เดียดฉันท์แม่จนไม่พึงประสงค์จะเอ่ยถึงไม่ว่ามุมมองไหน

แต่ในที่สุด พ่อก็พาแม่เลี้ยงมาอยู่ร่วมชายคากับลูก

ขณะที่คุณแนทสารภาพกับลูกว่า เธอเองคือมารดาตัวจริงของลูก

คุณแนท…นามจริงว่า น้ำทอง มิใช่นัตตินาที่เธอเปลี่ยนใหม่

เธอบอกลูกวันใดวันหนึ่งที่พ่อกำลังมีความสุขอยู่กับแม่เลี้ยงที่ลูกไม่ชอบเอาเสียเลยคนนั้น

จนกระทั่งถึงวันที่แม่ตัดสินใจเด็ดขาดจะพาลูกไปอยู่ด้วย จึงไปหาพ่อ ขอพ่อ ขอพาลูกสาวคนเดียวที่มีในชีวิตไปเริ่มต้นความเป็นแม่-ลูกที่พลัดพรายหายห่างกันไปถึงสิบสองปีเต็ม

คืนนั้น จึงเป็นคืนแรกที่ลูกนอนหลับฝันดีอยู่ในอ้อมกอดของแม่

ลมหายใจของเราพรูเข้าหากัน ดวงดาวแผ่ความสุกใสอยู่ตรงช่องหน้าต่าง

รอยดำบนความเหลืองของก้อนน้ำตาเทียน ดูคล้ายจะเจือจางลงไป…ทุกขณะ

ฉันเองยังต้องยืนปาดน้ำตาอยู่ ‘หลังม่าน’ ทันทีที่ฉากรูดปิดลง

 

Don`t copy text!