‘ระย้า’ เด็กสาวแห่งวังอาชาไนย

‘ระย้า’ เด็กสาวแห่งวังอาชาไนย

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

“หลังม่าน” คอลัมน์ที่จะบอกเล่าถึงชีวิตของตัวละครเด่นๆ ในนวนิยายของ กฤษณา อโศกสิน เป็นเรื่องราวเบื้องลึกที่มีแต่นักเขียนเท่านั้นที่จะสามารถรู้ได้ และนำมาบอกเล่าให้ผู้อ่านชาวอ่านเอาได้เห็นชีวิตด้านหลังม่านของตัวละครเหล่านั้น

นวนิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นจากความบันดาลใจในบุคคลตระกูลหนึ่ง กับสัตว์เลี้ยงร่างงามนามว่าม้าที่ไม่จำกัดว่าพันธุ์ใด โดยมีชื่อนามเหมาะใจทันทีที่คิดขึ้นมาได้จากคำว่า ‘อาชาไนย’ อันหมายถึง กำเนิดดี ตระกูลดี ฝึกหัดมาดี ถ้าเป็นคนก็เรียกว่า บุรุษอาชาไนย ถ้าเป็นม้า ก็เรียกว่าม้าอาชาไนย

จะขาดไปก็ตรง ‘คนเลี้ยงม้า’ ผู้กลายเป็นคนสำคัญที่คอยก่อเหตุให้เกิดเภทภัยขึ้นมากับสตรีบางนางในวังนี้…ที่ยังมิรู้ว่าจะให้คำจำกัดความอย่างงามและดีว่ากระไร

ขณะที่ฉันกำลังกวาดสายตาไปยังตัวละครผู้กำลังยืนออรอฉันเรียก…ว่าครบทุกคนหรือไม่

ก็พลันแลเห็น ‘ระย้า’ วัย 2 ขวบ กำลังคลานออกมา

จึงถึงเวลาที่ต้องเท้าความก่อนเปิดฉากบงการให้ทุกคนต่างก็ทำตามคำสั่งผู้กำกับ

บุคคลแรกก็คือ บุรุษบรรดาศักดิ์ผู้เป็นทายาทเจ้าของวัง เรียกขานอย่างเป็นทางการว่า จมื่นซึ่งกลายมาจากคำว่าเจ้าหมื่นวงศ์วิชาชาญหรือหม่อมหลวงรุจ บุตรชายคนใหญ่ของเจ้าพระยาเทพบดีดำรงค์ หรือหม่อมราชวงศ์รง ผู้เป็นเจ้าของวังอาชาไนยแห่งนี้

เรื่องราวอันเข้มข้นทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ฉันเคี่ยวกรำผ่านตัวอักษร แต่ยังไม่ผ่านตัวละครตรงหน้า ชวนให้กังวลใจมากเหมือนกัน หากไม่ได้วิญญาณนักสู้ทุกรูปแบบละก็ ฉันคงวางปากกาไปก่อนหน้านี้แล้ว ไม่มายืนส่งเสียงแจ้วๆดีบ้างร้ายบ้างกับนางและนายที่แต่งกายเสร็จสรรพมายืนรับคำสั่งอย่างที่เห็น

แต่…เป็นไงเป็นกัน

ฉันจะต้องพาเด็กสองขวบออกมาตั้งแต่ฉากแรกของเธอไว้นิดหนึ่ง ก็ไม่ถึงกับเหลือเชื่อ แต่ก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่า ‘ระย่อม’ ผู้เป็น ‘อีหนู’ คนรองสุดท้ายของเจ้าพระยาเทพบดีฯ ที่บัดนี้ปลีกตัวไปสิงสู่อยู่กับเมียใหม่คนท้ายสุดพร้อมลูกสาวเพิ่งคลอดที่คฤหาสน์หลังใหม่ ซึ่งอยู่ไกลถึงนอกเมือง…จะอุ้มลูกสองขวบออกมายืนทำตาเล็กตาน้อยกับหนุ่มเลี้ยงม้าคนใหม่ที่เพิ่งมาทำงานโดยพักรวมอยู่กับคนเลี้ยงม้าทั้งแก่เก่าและหนุ่มฉกรรจ์รวมทั้งสิ้น 10 กว่าคนกับม้าพันธุ์ดี 10 กว่าตัวซึ่งเจ้าพระยาเลี้ยงไว้ใช้งานกับเพาะพันธุ์ขายฝรั่ง

ครั้นแล้ว เผลอแพล็บเดียว ระย่อมก็หนีตามหนุ่ม ‘หนาม’ หายไป

ทิ้งระย้าไว้ในคอกม้า ให้วิ่งเล่นอยู่กับลูกคนเลี้ยงม้าตั้งสองสามปี

จนกระทั่ง เจ้าพระยานึกขึ้นได้ในวันใดวันหนึ่ง จึงไปพาตัวกลับมา ซึ่งที่จริงคอกม้ากับตึกแถวที่พวกเขาอาศัยก็อยู่หลังวังนั่นเอง หากเมื่อมีกำแพงกั้น ก็เลยเหมือนกันผู้คนและเหตุการณ์บางอย่างออกจากการรู้เห็นของคนในตึกด้านหน้า

พาออกจากคอกม้าแล้วจึงนำไปฝากหม่อมจั่นดูแล

ใครไม่รู้ก็คงเหมาเอาเองว่าฉันโหด

แต่งเรื่องยังไงถึงได้ชวนเวทนาขนาดนี้

แต่ระย้าก็แอบพยักหน้า

“ตามสบายเลยนะเธอ ฉันเข้าใจ ถ้าไม่ถึงไส้พุงก็ไม่ใช่เรื่องบ้านนี้”

เจ้าหมื่นนั้นต่อมาก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์สูงขึ้นจนได้ครองยศตำแหน่งแทนบิดาผู้มิช้ามินานก็สิ้นชีพิตักษัย ทิ้งวังอาชาไนยกับสมบัติบรรดามีทั้งที่ดินในพระนครและหัวเมืองกับตึกแถวให้เช่าอีกหลายแห่งไว้เบื้องหลัง ภริยาหลวงคือคุณหญิงตาบ มีลูกสาว 2 คน นามว่ารุจีและรุจา ภริยาคนรองนามว่าหม่อมหลวงเหมหงส์ มีลูกชายคนโตนามว่าเรืองฤทธิ์ ชื่อเล่นอ๊อด ลูกสาวคนกลางนามระรวย ชื่อเล่นเอม ลูกคนสุดท้องเสียชีวิตโดยตกบันไดลงมาอย่างไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าใครทำ

ครั้นแล้ว ในงานเลี้ยงรับรองของกระทรวงวังครั้งหนึ่ง จึงได้พาวิถีชีวิตแห่งความรักครั้งใหม่มาเกาะกินหัวใจ

ในทันทีที่ตาพบตาหญิงสาวผู้เกาะควงมากับบิดาผู้เป็นแขกของกระทรวงนามว่า นายเดวิด เจ้าหน้าที่ชั้นสูงของโรงแรมโอเรียนเต็ล

“นี่อลิศ ลูกสาวคนเดียวของกระผม” ชายชาวอังกฤษแนะนำ

ท่านพระยาก็พลันตกหลุมรักอีกครั้ง

แต่ฉันจะทำเป็นเหนื่อยย่อมไม่ได้ ก็เพศชาย โดยเฉพาะสมัยโบราณ ใครจะมีภรรยากี่คนก็ย่อมได้ จำเพาะผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่…ก็ไม่ต้องยกตัวอย่างใคร แค่ยกเจ้าพระยาผู้ล่วงลับก็นับนิ้วไม่ถ้วนอยู่แล้ว

แต่นี่เพิ่งมีแค่สามคนเอง…ยังเหลือโควต้าให้ได้บรรเลงอีกมาก…มิหนำซ้ำตัวละครเอกคือระย้าก็มิได้ทัดทานแต่อย่างใด บอกไว้แต่เพียงว่า

“อย่าเอาแต่หาเรื่องฉันแค่นั้นก็พอ”

ฉันก็เลยไม่ต้องขออนุญาตใครต่อใครให้มากเรื่องดังที่เคยเกรงใจ

เจ้าคุณรุจบัดนี้…ที่กำลังจะออกมาเข้าฉาก มีอายุได้ 35 นับเป็นหนุ่มใหญ่ หน้าตาท่าทางแพรวพราย ไม่มีวันแพ้ชายใดที่ว่าเท่ เก๋ มั่งคั่ง

ฉันก็เลยเกณฑ์ให้นั่งรถเทียมม้าคู่เป็นประจำ เนื่องด้วยฉันนั้นก็ชอบม้ารักม้ามาแต่อ้อนแต่ออกเหมือนกัน ได้กำกับบทบาทคราวนี้ที่พระเอกมีวังใหญ่ มีม้าเทียมรถทั้งคู่และเดี่ยวพร้อมสรรพ ฉันหรือจะไม่ถูกใจหาใดเหมือน ถ้าผู้ชมคอยสังเกตก็คงจะแลเห็นว่าฉันไม่เคยเว้นนำม้ามาเข้าฉาก

แม้ในกาลต่อมา มีรถยุโรปหลายชนิดทยอยกันเป็นสินค้าเข้าให้เจ้าคุณซื้อไว้ แต่ฉันก็ไม่ยอมให้นั่งซะงั้น

ในจำนวนม้าทั้ง 12 ที่มีทั้งม้าสยาม ม้าอาหรับ ม้าออสเตรเลีย ฉันก็ตั้งชื่อให้ม้าด้วยความรักอย่างเต็มรัก โดยตั้งชื่อม้าสยามว่า

สีหมอก พยับเมฆ เอกตะวัน จันทน์เทศ

ส่วนเดชพระพาย ลายทอง ล่องเวหา วายุภักษ์เป็นม้าอาหรับ

กับเทพพนม ลมลำพอง ท่องปฐพีเป็นม้าออสเตรเลีย

ตัวไหนเป็นพันธุ์เดียวกัน ท่านเจ้าคุณก็จะผสมไว้ขายในฐานะม้าแข่ง

“ลองทักมันซิ อลิศ” เจ้าของวังบอกพลางพูดกับเดชพระพาย ลายทอง “ว่ายังไร เอ็งพอจะรู้จักคุณคนนี้รึไม่ ช่างสวยน่ารักจริงไหม”

ว่าอย่างไรเจ้าคะ ท่านผู้ชม…นี่ฉันนึกเอาเองทั้งนั้นนะว่าพระยาหนุ่มใหญ่จะต้องเกี้ยวสาวแบบนี้

แต่ถ้าในความจริง โลดโผนกว่านี้ก็ขออภัย

เนื่องด้วย ฉันกักบทบาทดีๆไว้ปล่อยน่ะค่ะ…ค่อยๆปล่อย ค่อยๆอ่อย ไม่ผลีผลามเทออกมาใช้จนหมดหน้าตัก ไม่งั้นใกล้จบก็จะไม่มีเชื้อไฟให้ไปต่อ

แต่ถึงอย่างไร เจ้าคุณผู้ยังใช้หญิงหมดเปลืองก็ได้อลิศมาแนบข้าง

ขณะนั้นระย้ายังคงเป็นนักเรียนประจำอยู่โรงเรียนแหม่มโคล ปลายเดือนทีก็กลับวังที

เจ้าคุณก็เลยมีโอกาสไต่ถามถึงการเรียน

“น้องได้แปดสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ทุกวิชาเจ้าค่ะ”

แต่ที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น ที่ ‘คุณพี่’ ไม่ล่วงรู้ก็คือ

‘แม้เอนตัวลงบนฟูกบางๆ…ระย้าก็ได้แต่ลืมตามองเพดานมุ้ง ครั้นแล้วจึงรู้สึกว่าน้ำจากปลายตาไหลรินลงมา…แล้วกลายเป็นเสียงสะอื้นที่แม้เจ้าตัวก็นึกไม่ออกว่าเกิดจากเหตุผลกลใด’

แต่ผู้กำกับนึกออก

อย่าให้ต้องบอกเลยว่า ระย้าหลงรัก ‘คุณพี่เจ้าคุณ’

 

เขียนมาถึงตรงนี้ ผู้ชมก็คงพอจะแจ้งแก่ใจถึงสายสนกลในอับซับซ้อนซ่อนชายของเด็กหญิงผู้มีนามว่าระย้า น้องสาวต่างมารดาของพระยาเทพบดีดำรงค์ได้แจ่มกระจ่าง

แต่มิว่าฉันจะกำกับอย่างไร…อย่างเป็นใจหรือกีดกัน ก็ไม่พ้นต้องรับผิดชอบพฤติกรรมของตัวละคร มิให้แปรผันไปจากเนื้อหาและเป้าหมาย

ขณะที่ลูกชายลูกสาวของเจ้าคุณต่างก็เติบใหญ่ เรืองฤทธิ์เดินทางไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ

แต่ผู้ชมคงส่งเสียงกรี๊ดทีเดียวเมื่อถึงตอนที่รุจีหายไปในวันใดวันหนึ่ง

ฉันเอง…แม้นึกถึง…เพราะรู้มาก่อนกำกับอย่างที่ตนเองก็ตกตะลึงมาแล้ว หากก็ไม่แคล้วอ้ำอึ้งไปทั้งรุจีและฉัน

“หนูคิดดีแล้วนะ หนูจี ที่หนูมารักคนเลี้ยงม้านี่น่ะ” ฉันคาดคั้นเอาความจริงใจจากลูกสาวพระยา

แต่ฉันจำเป็นต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อน

ขอขยายทีละบททีละตอนมิให้อ่อนใจเกินควร

นั่นก็คือ จะขอให้อลิศจองหน้าจอไปพลางหลังจากเข้ามาอยู่ในวังอย่างภริยาคนใหม่ที่เจ้าคุณทำท่าหลงใหลได้ปลื้มราวกับลืมคุณหญิงตาบ เหมหงส์ รวมทั้งลูกๆไปโดยปริยาย จึงชวนสาวงามลูกครึ่งอังกฤษ-พม่าไปไหว้พระบาท นั่งช้างไปด้วยกัน มีระย้าตามติดไปบนหลังคชา ไปค้างแรมที่บ้านผู้ใหญ่บ้านผู้มีลูกสาวนามว่าปรุง

ถึงแก่ถามไถ่สาวน้อยอย่างกันเอง

“เคยขึ้นช้างหรือไม่ปรุง” แถมยังเรียกชื่อสนิทสนม จนแม้แต่ผู้กำกับก็ยังรู้สึกกระดาก

แต่เข้าฉากแล้วเช่นนี้ ก็ต้องแสดงให้สมศักดิ์ศรีตัวละครชั้นนำ

“เคยเจ้าค่ะ ม้าก็เลยขี่เจ้าค่ะ”

ฉันเกือบจะยินดีปรีดาเกินกว่าเหตุไปแล้วละซี แต่ขืนถามว่า เคยได้ยินวัวเคยขาม้าเคยขี่หรือไม่

ก็จะเสียผู้ใหญ่ทันใดนั้น

‘ขณะนี้อลิศนึกฉุนอยู่เหมือนกันที่ระย้าเจ้าจี้เจ้าการชวนปรุงขึ้นมานั่งหลังชนหลังกับคุณพี่ของหล่อน หากก็มิรู้จะว่าอย่างไร เพียงแต่คิดไว้ว่าต่อไปนี้ จะไม่พูดจาไต่ถามน้องต่างมารดาของสามีมิว่าเรื่องใดทั้งสิ้น จะได้รู้ว่าอลิศไม่พอใจให้ระย้าทำเช่นนี้

หากถามว่า เพราะหึงใช่ไหม ก็ใช่น่ะสิ ทั้งหึงทั้งหวงแหน แสนจะไม่หวังให้หญิงใดเข้ามาใกล้ชายผู้เป็นดวงใจ’

ฉันเริ่มใส่ไฟไปมา แถมกระพือพัดให้ลุกลามยิ่งกว่าเก่า

“ปรุงเป็นยังไงมั่ง ช้างเหวี่ยงมากไหม”

ปรุงจึงเอี้ยวกายหันมา

“เหวี่ยงเหมือนกันเจ้าค่ะ” อีกฝ่ายตอบขณะที่ตาสบตาแวบหนึ่ง เป็นแวบซึ้งๆที่ทำให้ปรุงเสียวปลาบวาบขึ้นโดยมิรู้หนเหนือหนใต้ว่าไปอย่างไรมาอย่างไร จึงมีโอกาสได้ระเห็จขึ้นมานั่งหลังชนหลังกับเจ้านายท้าวพระยาผู้ที่บิดากระชิบเมื่อคืน

‘ถ้าไปกับข้าพรุ่งนี้ เอ็งไม่ต้องเข้าไปใกล้ท่านนะ ได้ข่าวว่าท่านเจ้าชู้ไม่มีใครเกิน”

ก็ยังดีที่พ่อไม่ใช้คำหยาบกว่านั้น

หล่อนก็เลยรับคำให้พ่อมั่นใจ

แต่แล้ว ท้ายที่สุดก็ต้องขึ้นมานั่งอยู่บนนี้จนได้

ผู้กำกับนั่นเองที่นำรายละเอียดพวกนี้เข้ามาใส่ ผู้ชมจะได้รู้ว่าพระยาผู้นี้ ‘ขนาดไหน’

คิดดูก็ได้ว่า เมียนั่งอยู่ด้วยแท้ๆยังมีแก่ใจจีบหญิง

ไม่ต้องให้ทาย ก็รู้แล้วว่า ท้ายที่สุดพระยาหนุ่มก็ได้แก้ความกลัดกลุ้มที่อลิศเกิดเป็นไข้จับสั่นเมื่อคืน หิ้วปรุงกับพ่อแม่ของนางกลับพระนครด้วยกัน ครั้นแล้วจึงมอบเงิน 3 ชั่งเชิงซื้อปรุงไว้เป็นคนที่ 4

มอบหมายให้ระย้าช่วยดูแลจัดหาผ้าผ่อนมาให้หญิงสาวคนใหม่นุ่งห่ม

ส่วนฉันก็ได้แต่จัดให้อลิศนอนซมด้วยไข้มาลาเรียขึ้นสมอง จนต้องขอแยกตัวกลับเคหาที่มีพ่อแม่รออยู่

เพียงไม่นาน ฉันก็จัดการให้อลิศลาโลก

เนื่องด้วย ฉันเอง…ก็ชักจะไม่ไหว…สงสารหัวใจตัวละคร

“รีบหมดลมเร็วๆละกัน อลิศ” ฉันได้แต่บอกบทเบาๆ “มีอย่างที่ไหน เธอเล่นไม่กินข้าวไม่กินยา แถมยังเพ้ออีกแน่ะ รู้ไหมว่าฉันกลัว…”

อลิศก็เลยพยักหน้า รีบหอบสังขารจากไปสู่แดนสนธยา

ฉันก็เลยไหว้ร่างไร้วิญญาณของหล่อนพลางทอดถอนใจ ‘หมดไปอีกคน’

ปล่อยเจ้าคุณให้คลุกเคล้ากับสาวหน้าใหม่ไปพลางๆ

อยู่นานอีกนิด ปรุงก็จับได้ว่าคุณระย้าไม่ชอบพี่สะใภ้ ไม่ว่าคนไหนทั้งนั้น

แต่จะอย่างไรก็ตาม ในที่สุดปรุงก็คลอดลูกหญิงนามว่าโปรยออกมาอีกหนึ่ง

ฉันก็ได้แต่ยืนนับนิ้วอยู่หลังม่าน

หนึ่ง สอง สาม สี่ บวกอีก 1 เป็น 5

ขืนไม่คอยจดจำ กว่าจะปิดม่านอาจถึงแก่ปล่อยไก่ในเล้าออกมาวิ่งเล่น

ดึกวันเสาร์ปลายเดือนทีเดียวที่เจ้าคุณจึงจะพบหน้าน้องคนละแม่

ดังเช่นเสาร์นี้

ระย้ากลายเป็น ‘เด็กสาววัยสิบสี่ปีเต็มย่างสิบห้า ผู้วันนี้ดูสูงผอม…หากใบหน้าก็นวลผ่อง ดวงตาดำกลมผุดเด่นจับจ้องที่เจ้าคุณ’ ครั้นแล้วจึงกล้าเอ่ย

“คุณพี่ยังดูเหงาๆอยู่เลยเจ้าค่ะ”

“ยังเหงา” พี่ของหล่อนตอบเสียงเศร้า “คิดถึงลูกอั้ม…เสียลูกไปแล้วยังไม่พอ ยังมาเสียเมียอีกคนก็เลยทุกวันนี้ เหมือนยังไม่ฟื้นจากเสียใจ”

ฉันบอกบทให้เจ้าคุณรำพึงรำพันอย่างจริงใจ

เพื่อเปิดโอกาสให้ระย้าแอบผิวปากดังวิ้ว

ก็คนสมัยก่อน เขานิยมผิวปากทั้งหญิงและชาย ฉันยังเคยได้ยินกับหู ทั้งผิวปาก ทั้งเป่าหีบเพลง

อันหมายถึงความครึ้มใจ

‘เหตุไฉนคุณพี่จึงเบื่อนางปรุงเร็วเช่นนี้’ ระย้ายิ้มหัวเปรมปรีดิ์อยู่ในใจ

‘ไม่ต้องมัวเยาะเย้ยไยไพเขาดอกหนู’ ฉันบอกเบาๆอย่างรู้สึกผิด…แม้แท้จริงแล้ว คนผิดไม่ใช่ฉัน หากเมื่อต้องกำกับการแสดง ผิดก็ต้องมาลงที่ฉันวันยังค่ำ เพื่อความสมจริงอย่างไรเล่า

ถ้าไม่เชื่อก็ลองคิดดู

จู่ๆเจ้าคุณผู้สูงด้วยยศศักดิ์ก็ไปรับเอาหญิงหัวเมืองมาเป็นเมีย ทั้งก็รู้ดีว่าหญิงระดับนั้น เขาก็ใช้ชีวิตอย่างของเขา คือคลุกคลีอยู่กับดินทรายไร่นา มิหนำซ้ำสถานที่ที่เข้ามาอยู่มิใช่อยู่ในครอบครัวสามัญ หากแต่อยู่ในวังเจ้า

ทันทีทันใดก็มีลูก ให้นมลูก แค่เจ้าคุณได้กลิ่นคาวน้ำนม ท่านก็แทบเผ่นแล้วละจ้ะ

ระย้าฟังแล้วได้แต่หัวเราะเยาะเริงร่า

ชอบใจคำบรรยายของผู้กำกับ

 

ในที่สุด หัวหน้าคนเลี้ยงม้าก็นำหลานมาฝากฝัง เพื่อแทนที่คนเก่าที่เป็นลมชักแล้วกลับบ้านไป

คุณสมบัติที่มีในตัวก็คือเคยเป็นคนเลี้ยงม้าที่คอกม้าของฝรั่งแถวถนนวิทยุมาก่อน พอดีน้าชายขาดคนก็เลยไปเรียกเขามาแทน

“ชื่ออะไร เอ็งน่ะ” เจ้าคุณถาม

“ชื่อแขมขอรับ”

ทันใดนั้น เสียงของใครคนหนึ่งก็วาบเข้ามาในความทรงจำของเจ้าคุณว่า ‘หนามขอรับ’ ที่ยังจับแน่นอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งไม่ลึกเกินไป

“แขม” เจ้าของวังก็เลยทวนคำ “ไม่ใช่แขนขาของเอ็งนะ”

“ไม่ใช่ขอรับ แขมขอรับ ม.ม้าสะกดขอรับ”

“เอ็งก็รู้หนังสือเหมือนกันรึ”

“รู้ขอรับ จบประถมสี่ขอรับ”

พอดีระย้ายังไม่กลับโรงเรียน แลเห็นหน้านายแขมไวๆจึงเมินไปเสียทันที

‘เกลียดคนพวกนี้ยิ่งกว่ากิ้งกือไส้เดือน’ หล่อนนึกในใจ

แต่ที่เกลียดสุดขีดก็คือคนเลี้ยงม้าหนุ่มๆซึ่งสุมหัวกันอยู่ที่ตึกแถวท้ายวัง ‘มันคนชั้นต่ำยิ่งกว่าต่ำ’

ความเคียดแค้นของระย้าที่มีต่อเรื่องราวของมารดาไม่เคยจางหาย ตรงกันข้าม ยิ่งหล่อนเติบใหญ่ขึ้นมา ก็ยิ่งต้องกล้ำกลืนความเจ็บช้ำกำสรดที่ไม่มีสิ่งใดในโลกจะชดเชยได้

คุณหญิงคนที่หนึ่งจึงเอ่ยยิ้มๆ ปรายนัยน์ตามาทางระย้า เพื่อสะกิดสะเกาเด็กสาวผู้บัดนี้สรีระเปลี่ยนไปกลายเป็นสาวขาวสวยสูงโปร่ง นัยน์ตากลมดำ คิ้วยาว จมูกมีดั้ง

“นายแขมนี่มันก็ท่าทางดีนะคะ”

“ท่าทางมันดี จบตั้ง ป.4” เจ้าคุณเห็นด้วย เมื่อนึกเลยไปถึงปรุงผู้ไม่รู้หนังสือ หากก็ต้องนึกเพียงในใจ ‘เมียเราเองยังสู้มันไม่ได้’

ถ้อยคำของคุณพี่คราวนี้จึงทำให้ระย้าหันไปเพ่งพิศ ก็เห็นจริงดังอีกฝ่ายว่า

นายแขมเป็นชายหนุ่มวัยราวยี่สิบ…ผิวคล้ำ ค่อนข้างล่ำด้วยมัดกล้ามกำลังดี นัยน์ตาที่มองมามีรอยยิ้มจางๆ ขณะลงนั่งยองๆพนมมือท่วมหัวไหว้เจ้าคุณ

แต่ไม่มีใครเห็นปรุงผู้ยืนฟังอยู่หลังหน้าต่าง กำลังมองมาที่คนทั้งสามซึ่งกำลังโต้ตอบกัน

ผู้ชมคงกำลังนึกในใจ…มันยังไงกันซะนักหนา…เพราะดูท่าทีว่าเจ้าของเรื่องนี้พา ‘คนเลี้ยงม้า’ มาเข้าฉากอีกจนได้ น่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นแน่ๆ

จะให้ฉันตอบว่ากระไร ก็ยังมิอาจตอบได้ นอกจากขอให้รอดูฉากต่อไป

เพราะทุกเรื่องราวใหญ่โตที่ตามมา หาใช่ความผิดของผู้กำกับแม้แต่น้อย

แต่เป็นความผิดของกรรมที่พวกเขาก่อขึ้นมาเอง

 

ต่อจากนั้น ฉันจึงมีดำริพาตัวละครอันพรั่งพร้อมด้วยเมียและลูกของเจ้าคุณพ่วงด้วยบ่าวทั้งหญิงชายไปนครชัยศรี เว้นแต่คุณหญิงตาบกับเหมหงส์…คนแรกยังคงโกรธแค้นเมียน้อยของเจ้าคุณเข้าไส้ ก็เลยยังด่าไม่จบ รวมทั้งไม่คบด้วย ตั้งแต่มีอลิศนั่นแล้ว

‘อีพวกผมแดงมันแสนจะดัดจริต อย่าเข้ามาเฉียดเชียวนะ เดี๋ยวได้ถีบยอดอกเข้าให้’

ครั้นแล้วจึงสั่งสอนรุจี

‘ลูกจำไว้ก็แล้วกันนะว่า ผู้ชายเจ้าชู้อย่าได้เลือกเอามาเป็นคู่ จะได้ไม่ทุกข์ระทมเหมือนแม่ไงล่ะ…ลูกก็เห็นๆอยู่ว่าคุณพ่อเป็นยังไร…ใคร้จะไปนึกว่า…อีบ้านนอกคอกนาดำเป็นตอตะโกขนาดนั้น ก็เอามาเป็นเมียได้…”

เมื่อถึงตรงนี้ ฉันชักจะสงสารปรุงขึ้นมาจนอดไม่ไหว ต้องส่งสัญญาณบอกกล่าวหญิง ‘หน้าม่าน’ ว่า

‘เบาๆหน่อยคุณหญิง เบา…บาว…หน่อยเจ้าค่ะ’

แต่คุณหญิงพกเอาไว้แต่ความเจ็บใจเลยเร่งเกียร์สี่ไม่มีลดละ ไม่ทำท่าว่าฟังคนบอกบท

‘คราวที่แล้วมีอีฝรั่ง คราวนี้มีอีปรุง’

ฝ่ายหม่อมหลวงเหมหงส์มาเหนือเมฆยิ่งกว่า นั่นก็คือ หาหนุ่มคนใหม่ไว้ควงคู่ กิน ดื่ม เที่ยวกัน ไม่นึกถึงวันเวลา เมามายจนพีระต้องอุ้มขึ้นรถไปส่งไว้ที่วังท่านยาย

เฮ้อ…ฉันละก็เหนื่อยหน่ายกับเรื่องผัวเมียเป็นนักหนา

หาทางเลี่ยงไม่เขียนถึงก็หาได้ไม่ เพราะมองไปมองมา…ในครอบครัวของมนุษย์ มากเรื่องที่สุดก็ผัวกับเมีย พ่อแม่ กับลูกๆ

ฉันก็เลยจำเป็นจำใจต้องยืนค้างเติ่งอยู่ ‘หลังม่าน’

เฝ้าแต่จับคนนั้นมาเป็นผัวคนนี้ จับคนนี้ไปเป็นเมียคนนั้น เหนื่อยยากจนแม้แต่กลืนน้ำลายยังไม่มีเวลา

‘อย่าหาว่างั้นงี้เลยนะ เธอปากอย่างใจอย่างอ๊ะป่าว’

เสียงเหมหงส์อ้อแอ้มาจากหลืบทั้งๆยังหลับตา

ฉันก็เลยเลี่ยงไปทางอื่น ไปอ่านเอาเรื่องกับคนเลี้ยงม้าคนใหม่ นามว่าแขมคนนั้นที่เจ้าคุณให้นำทางมาเพราะเจ้าตัวเป็นคนแถวนั้น

ครั้นแล้ว เรื่องที่ฉันไม่ได้ผูกเองก็ตามมารังควานทันทีที่เรือกลไฟบรรทุกครอบครัวบริวารของเจ้าคุณเคลื่อนเข้าเทียบท่าพร้อมกับเรือสำปั้นอีกลำ มีคนพายหัวพายท้ายพาชายหญิงสูงวัยกับหญิงรุ่นสาวเข้ามาจอดเทียบข้างท่าน้ำ นำส้มโอทองดีกับทองขาวน้ำผึ้ง กล้วยหอมเขียว มะม่วงอกร่องอันเป็นผลไม้ยอดนิยมของนครชัยศรีมากำนัน ‘เจ้าคุณเทศาฯ’

ทีนี้ ก็เกิดปัญหาขึ้นมาทันใดที่สายตาของเจ้าคุณเหลือบแลมาประสบพบพักตราสาวงาม ผมยาวประบ่า ตาดำ ริมฝีปากบางระเรื่อเจือสีโลหิต สองแก้มนวลสนิทหมดจด ผู้มีนามว่า ‘น้ำนวล’ อายุอานามแค่ 16 ย่าง 17 ปี

นายคำ นางน้อมผู้เป็นพ่อแม่มีสวนส้มโอพันธุ์ดี จึงร่ำรวยขึ้นมาด้วยการค้าขายผลไม้

ดังนั้น เมื่อค่ำคืนมาถึง ฉันก็ได้เห็นภาพพระเอกของฉันเอาแต่นั่งกระสับกระส่าย ขุมขนผะผ่าวร้าวเยียบเป็นระยะ จนแทบจะไม่รู้สรรพรสอาหารที่ทั้งเจ้าคุณและคุณหญิงเจ้าของบ้านนำมาบำเรอเรียงราย

จนกระทั่งรุ่งขึ้นได้ไปกราบพระปฐมเจดีย์พร้อมสามพ่อแม่ลูกเมื่อวาน นั่นเอง อาการของเจ้าคุณจึงกลับมารื่นเริงมันหยดอีกหนหนึ่ง

ฉันละก็ซึ้งใจจังกับพระเอกคนนี้

แล้วไหนเลยจะล่วงรู้ว่า…นายแขมคนเลี้ยงม้ากับปรุงและโปรยในห่อผ้า โดนระย้า ‘วางแผน’ ไว้อย่างไร

ก็แม้แต่หม่อมหลวงเหมหงส์ยังรู้นี่นาว่าระย้ากำลังเดินเรื่อง

‘นางนี่แหละตัวดี…เจ้ากี้เจ้าการทอดสะพานให้พี่ชายกับนางปรุงวิธีไหน…หารู้ไม่ว่าที่เห็นนางระย้ายิ้มแย้มเหมือนยินดี แท้ที่จริงก็ภาพปลอมๆที่นางนี่มันย้อมหน้ามันไว้’

เจ็บจี๊ดไปถึงไหนๆ

หากฉันก็จำเป็นจำใจต้องทำให้เจ็บ

ถึงแผลเหวอะหวะหมอไม่รับเย็บก็ต้องทำ

ลองอ่านบทที่ฉันแทรกไว้ก็ย่อมได้

ฉันเขียนไว้ด้วยใจจริง

‘แต่ปรุงในยามนี้เปลี่ยนไป นั่นก็คือคอยเหลือบแลไปทางท้ายเรือเพราะอยากรู้ว่าแขมนั่งอยู่ตรงไหนที่ชั้นล่าง’

จะไม่อยากรู้ได้อย่างไรในเมื่อเคยเห็นแขมส่งสายตามาถึงแล้วยิ้มๆ

ขณะที่เจ้าคุณย่างสามขุมสืบไปโดยขอซื้อที่ของพ่อแม่นวลน้องที่พบใหม่

ฉันละก็ยกนิ้วให้ในความสมองไวประมาณว่าตอบได้แคล่วคล่องทั้ง 108 คำถามเอาเลยละ

ระย้าขณะนี้จึงกลายเป็นที่ปรึกษาของพี่ชายโดยตั้งใจใคร่เป็นสมปรารถนา

ทันทีที่กลับจากนครชัยศรี ม้านามจันทน์เทศก็คลอดลูกออกมาเป็นตัวเมีย

ฉันเลยให้ชื่อว่า สลาทิพย์

ครั้นแล้วเจ้าคุณจึงเรียกแขมมาสั่งให้ดูแลลูกม้าเกิดใหม่ให้ดี เพราะตนเองจะต้องไปนครชัยศรีอีกครั้ง

‘เจ้าคุณชักจะยังไงๆกับลูกเจ้าของสวน’ บ่าวเคยซุบซิบกันให้เขาได้ยิน

ชวนให้สงสารแม่ปรุงจับใจ

ครั้นแล้วเรือกลไฟลำเดิมก็พาเจ้าคุณกลับไปนครชัยศรี นัยว่าเพื่อต่อรองเรื่องซื้อที่ดิน

ธ่อเอ๊ย…ใครๆเขาก็โจษกันให้อื้ออึงขนาดที่เจ้าคุณเทศาฯกับภริยาก็ยังรู้ท่า

 

ปรุงอยู่ทางนี้ก็เอาละ…เดี๋ยวๆก็ขออนุญาตหม่อมจั่น ‘ไปซื้อของสักประเดี๋ยว’

แต่ที่ไหนได้…น้องนางบ้านนาผู้บัดนี้ปรุงแต่งเนื้อตัวจนเอี่ยมอ่อง ดวงหน้าผุดผ่องสีคล้ำเอิบอาบด้วยน้ำนวล เดินเรื่อยๆพร้อมกับเหลียวซ้ายแลขวาจนพานพบชายเลี้ยงม้าชื่อแขมยืนคอย เนื่องด้วยวันนี้ฤกษ์ดี แขมมีแผนจะพานางไปเลี้ยงอาหาร แล้วเลยไปกินลมชมเขาเล่นว่าวที่สนามหลวง กลับให้ถึงคอกม้าราวหกโมงเย็น

คนเลี้ยงม้าหนุ่มเห็นใจเมียอันดับสี่ของเจ้าคุณ จึงได้แต่นึกชังความไม่เท่าเทียม

ชายผู้พ้นวัยรุ่นมาไม่นาน ดูเชี่ยวชาญหาญกล้า สมตำแหน่งคนเคยเลี้ยงม้าแข่งของนายเก่า

ขณะที่เจ้าคุณก็กำลังเดินงานของตนเอง ณ ริมน้ำนครชัยศรี ท่ามกลางเสียงมโหรีนินทา

‘ลือกันให้แซ่ดว่าเจ้าคุณตาหวานเวลามองหนูนวล’

นอกจากตาหวานแล้วยังกำลังเกณฑ์ช่างให้ปลูกเรือนขึ้นหลังหนึ่ง บนเนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน ซึ่งนายคำนางน้อมแบ่งขายให้

ทีนี้ก็นะ…ก็ใกล้นี๊ดเดียวกับสาวเจ้า

ครั้นถึงขากลับกรุงเทพฯเที่ยวนี้ จึงมีพ่อแม่ลูกสาวเจ้าของสวนติดมา

แต่แล้วจึงพบว่า ทั้งเหมหงส์และปรุงไม่อยู่บ้าน

เฮ้อ…ผู้กำกับถอนหายใจดังยังกะเสียงใต้ฝุ่น ไม่รู้จะยืดเยื้อกันไปถึงไหน

ดังนั้น จึงกวักมือเรียกระย้า

‘แม่คนเจ้าอุบายจ๋า เมื่อไหร่จะยอมอวสาน’

แต่น้องต่างมารดาของคุณพี่ส่ายหน้า

‘ไม่มีวันเสียละ เธอ เพ้อไปละกัน…เพื่อให้มันเข้าท่า แล้วฉันจะตบรางวัล’

ฉันก็เลยต่อกลอน

‘เรื่องของหญิงเจ้าเล่ห์ยากตายชัก’

คนฟังก็เลยเงียบไป หากก็สะดุ้งนิดๆ

‘ยากหรือง่าย แล้วค่อยรู้กัน’ ระย้าทำเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอ

เพียงขาดคำไม่นาน ข่าวใหม่ก็เข้ามาแทนข่าวเก่า เมื่อพบว่า ทั้งปรุงและแขมขนเสื้อผ้าไปหมด รวมทั้งพาโปรยไปด้วย

ฉันก็เลยบอกบทท่านเจ้าคุณ

“พระเอกโกรธจนเนื้อเต้นน่ะ…ทำเป็นไหม ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

 

นวนิยายเรื่องนี้กินเวลายาวนาน ข้ามสงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

ทั้งทุกข์หนักและสุขที่สุดผ่านมาแล้วผ่านไป  ขณะที่คนหลังม่านยังคงทำงานตัวเป็นเกลียว แค่เหลียวหาตัวละครว่าครบหรือไม่ จะออกไปหน้าฉากแล้วทำท่าสมจริงได้เพียงใด ก็แทบตายวันต่อวันเอาทีเดียว

แม้กระนั้น ฉันก็ยังเพียรทำหน้าที่ตั้งแต่เช้ายันค่ำยันดึก คึกเป็นบางชั่วโมง ห่อเหี่ยวเป็นบางวัน

แต่ที่สำคัญ ตัวละครก็ยังพบฉันยืนบอกบทอยู่ ‘หลังม่าน’ คุมงานในวังให้ผ่านไป

ระยะหลังๆมานี้ จึงค่อยๆเหลือเพียงระย้าที่โดดเด่นเป็นนางเอก

ขณะที่ลูกชายลูกสาวของเจ้าคุณเริ่มเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาว สืบสานเรื่องราวข้นเข้มขมขื่นต่อมาจนคนบอกบทก็แทบจะยืนตัวตรงไม่ไหว บางครั้งคราวจึงต้องทรุดลงนั่งพิงฝา รำพึงรำพันไปพลางเพื่อจะได้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง พาตัวละครทั้งหลายเดินทางต่อไป

ในภาคแรก ฉันได้แต่จบบทบาทของทั้งเจ้าคุณ น้ำนวล และผู้ซ่อนตัวอยู่หลังม่านคือน้องต่างมารดาไว้ให้ผู้อ่านตกอยู่ในความฉงนฉงายสุดแสนจะสงสัย ไม่เข้าใจ

หากก็จำเป็นต้องปล่อยให้งุนงงไปพลางๆ หันมาเริ่มสร้างงานถักทอต่อเนื่อง

แม้จะเป็นงานหมดเปลืองอารมณ์ แกมยุ่งยากลำบากนัก ค่อยๆหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเก่า หากก็ต้องเข้าใจ

ระย้านั้น…ทำอย่างไรเสียก็ไม่มีวันตกอับ ตรงกันข้าม หลังจากอ๊อดหรือเรืองฤทธิ์ หลานคนใหญ่เรียนสำเร็จกลับจากประเทศอังกฤษ มาเข้ารับราชการ อาหลานฝ่ายหญิงคือระย้า รุจี รุจา เรียนจบโรงเรียนแหม่มโคล..ระย้าก็ยิ่งเติบโตในอำนาจที่เจ้าคุณมอบหมายไว้พร้อมแผนการที่หมายตาอย่างลับๆ

แม้เจ้าคุณเองก็ตามไม่ทัน ไม่มีวันรู้ความนัย

ได้แต่รู้สึกเงียบเหงาเมื่อเมียแต่ละคนจากไป

น้ำนวลนั้น แม้ไม่จากก็เหมือนจาก

เพราะบัดนี้ หล่อนอยู่ในสภาพคนเคยช็อกจนสิ้นสติสมประดี

ทิ้งเสียงกรีดแหลมในเช้าตรู่วันหนึ่งที่หล่อมอุ้มลูกตัวน้อยผู้เพิ่งเปล่งเสียงเรียก ‘พ่อ’ ได้ชัดไปถึงห้องนอนของท่านพระยา หมายใจจะอวดเสียงลูกคนแรกที่เพิ่งพูดได้

แต่คุณพระคุณเจ้าช่วย เพียงแต่เปิดประตูเข้าไป ได้เห็นภาพภาพหนึ่งขึงตรึงอยู่เต็มตา จึงตกใจจนเป็นลมหมดสติ

ครั้นแล้ว จากนั้นเป็นต้นมา น้ำนวลก็กลายเป็นใบ้ ไม่พูดจากับใครอีกเลย แม้ว่าเจ้าคุณจะพามาอยู่ด้วยที่เรือนเล็กสร้างใหม่ ก็ไม่เยื่อใยใครทั้งสิ้นแม้แต่กับอินทนิลลูกสาวคนแรกที่เคยรักสุดสวาท

 

เจ้ากรรมจริงๆที่คนหลังม่านจำใจต้องพาคนเลี้ยงม้ามาเข้าฉากอีกครั้ง นั่นก็เนื่องด้วยมีคนเลี้ยงม้าแข่งกันป่วยถึงสองคน หัวหน้าคอกม้าจึงจำต้องพาหลานชายมาทำแทน

ท่านพระยาจึงตรวจสอบหน้าตาชายหนุ่มผิวคล้ำ ตาคม คิ้วดำ ท่าทางล่ำสันแข็งแรงผู้นั่งยองๆอยู่ตรงหน้า

“มันผสมพันธุ์ม้าได้ ขับรถม้าได้ ดูแลม้ามาแล้วหลายตัวขอรับ…อยู่โปโลคลับมาสามปีขอรับ” หัวหน้าคอกม้ารายงาน

“ก็เอาซี” เจ้าของวังสะดุดหูตรงคำว่าผสมพันธุ์ม้าได้ด้วย จึงถามต่อ “ขี่ม้าแข่งด้วยไหม”

“ขี่ขอรับ”

“ว่าแต่ว่าชื่ออะไร”

“สักขอรับ”

“เรียนหนังสือด้วยหรือไม่”

“เรียนถึงม.สองก็เลิกเรียนขอรับ”

“อยู่กรุงเทพฯหรือหัวเมือง”

“หัวเมืองขอรับ…อยู่เมืองนนท์นี่เอง อ้อ…ภาษาอังกิดกระผมก็พูดพอได้ขอรับ”

ฉันงี้…บอกบทไปก็ขำก้ากไปพร้อมกัน ฉากนี้…ก็ฉันทั้งนั้นคิดขึ้น เนื่องด้วยเคยรำคาญ แม้คนมีปริญญาบางคนก็ออกเสียงว่า ‘อังกิด’

ก็เลยให้เจ้าคุณติงไว้นิดๆ

“เอ็งต้องออกเสียงให้ถูกว่า…ภาษาอังกริด…มิฉะนั้นภาษาที่เอ็งเรียนมาถึง ม.สองก็จะดูไม่มีความหมาย”

ในที่สุด สักก็ได้เข้ามารับงานคนเลี้ยงม้าแทนคนที่ลาไป

แต่คงไม่ใช่ฉันแน่นอนที่หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ โดยพาคนเลี้ยงม้าคนแล้วคนเล่าเข้ามาบ่อนทำลาย แต่ทุกเหตุการณ์เป็นไปตามกรรมลิขิตที่มีความไม่เป็นมิตรอยู่เบื้องหลัง

แม้เจ้าของวังเองก็ยังไม่รู้ตัว

ดังนั้น เพียงเวลาผ่านไปไม่นาน ฟ้าดินก็มีงานให้เริ่มใหม่

นั่นก็คืออ๊อด…เรืองฤทธิ์ ลูกคนใหญ่เริ่มเถียงทะเลาะกับบิดาเพราะกลับมาก็จะมาแปลงวังให้เป็นโรงแรม

พอเจ้าคุณไม่ยอม ลูกชายก็พูดจาพิโยกพิเกนยั่วโทสะ

“แต่นี่มันบ้านกู บ้านของพ่อของปู่กู กูจะไม่ยอมให้ใครมาล้างผลาญของเก่าที่สะสมกันมานานเกือบร้อยปีนี้ได้…ไม่มีวันยอม” เจ้าคุณก็เลยแผดเสียงเข้าใส่

พ่อกับลูกชายก็เลยไม่มองหน้ากัน ท้ายที่สุดเรืองฤทธิ์ก็เลยไปสิงสู่อยู่ที่วังท่านยาย…ต่อจากนั้นก็ถึงกับหมั้นหมายกะจะแต่งงานกับหญิงหนึ่ง

แต่ยังไม่ทันไร ก็ไปทำแม่ครัวของว่าที่เจ้าสาวท้องขึ้นมาจนตัวเองต้องหลบลี้หนีหน้าไปอยู่หัวเมือง

ระย้าทำตัวเป็นเพียงผู้ฟัง จึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นยิ้มบางๆอย่างสาแก่ใจผุดขึ้นมา

 

จนกระทั่งถึงอีกราย คือรุจี ลูกคนโตคุณหญิงตาบ

ขณะนี้ ก็แทบจะเรียกได้ว่า หายใจเป็นสัก คนเลี้ยงม้า

สักโดดเด่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร ฉันเองก็แทบจะไม่รู้สึก

รู้แต่ว่าเย็นวันหนึ่ง ระย้าเอ่ยชวนรุจีไปตรวจตราคอกม้า เจอสักยืนปะปนอยู่กับคนอื่นๆ

เมื่อถึงตรงนี้ ฉันบรรยายภาพของหนุ่มนี่ไว้ว่า

‘โดยพลันที่เห็นคุณระย้ากับคุณหนูรุจี ทุกคน ณ ที่นั้นก็ลงนั่งยองๆ ยกมือพนมท่วมหัว

ยกเว้นชายหนุ่มผิวคล้ำตาคมที่เพิ่งมาใหม่ยังคงยืนอยู่ พลางก้มตัวลงโค้งน้อยๆ

ดูขับกับเรือนกายคล้ำเป็นมันด้วยเม็ดเหงื่อ เนื้อหนังแน่นหนั่นตึงเขม็งด้วยมัดกล้าม เปลือยท่อนบน พันท่อนล่างด้วยผ้าเนื้อบางสีเทาหม่นแค่ตอนบนตะโพก เป็นผ้าเตี่ยวถกเขมรผืนสั้นที่ดูราวประหยัดผ้า’

เห็นไหมว่า ดูถูกไม่ได้หรอกนะ ชายที่ว่าต่ำต้อยบางราย ก็อาจได้กระเถิบขึ้นไปเป็นพระรองหรือน้องๆพระเอกเช่นกัน มิฉะนั้น จะเป็นไปไม่ได้หรือไรที่เจ้าหญิงจะทิ้งเวียงชัยไปอยู่กินกับองครักษ์หนุ่ม

ก็ฉันรู้ดีนี่นาว่า ระย้ากำลังซุ่มเงียบดำเนินการอย่างไร จึงเข้าใจทีท่าที่หลอกล่อเลือดเนื้อของพี่สะใภ้ที่หล่อนชิงชังเข้าไส้อย่างใจเย็น

เห็นธาตุแท้กันแน่นอนในคราวนี้

ฉันก็เลยเขียนบทไว้ว่า

‘ครั้นโรงเรียนเปิดเทอมใหม่ เวลาแห่งความใกล้ชิดก็ได้พัดพาเอาหญิงและชายต่างชั้นดั้นด้นไปบนหลังม้า ซึ่งต่อๆมา เมื่อจูงม้าลับจากสายตาผู้คนท้ายวัง บางครั้งหนุ่มนักขี่ม้าก็ถึงแก่โดดขึ้นหลัง นั่งถือบังเหียน มีรุจีผู้บัดนี้สลัดความเจียมกาย ปลดสร้อยเหล็กที่ร้อยรัดให้ติดอยู่กับที่โลดแล่นตามเขาไป…ด้วยหัวใจอันเบิกบานเริงร่า’

ฝ่ายอาระย้าก็ทำเป็นนั่งรอ ไม่สนใจในอาการกู่ไม่กลับของหลานหญิง

รุจาก็เลยเอาแต่ขำขันเพราะตนเองนั้นปลีกตัวออกมาตั้งแต่แรก

“พี่จีเขาใกล้จะไปสมัครเป็นจ๊อกกี้แล้วละคุณแม่”

“ฝึกไปถึงไหนแล้วล่ะ” ฉันบอกบทให้คุณหญิงพาซื่อ หากก็ไม่ห้ามปราม “ขึ้นม้าลงม้าได้หรือยัง”

ว่าเข้านั่น…ฉันละก็ขันจนต้องหันไปหัวเราะเบาๆกับม่าน

คนเรา…บทจะโง่…เอ๊ย…นึกอะไรไม่ออกก็เช่นนี้ บอกบทกี่หนกี่ครั้งก็ยังไม่เข้าใจ

คุณหญิงเจ้าขา…นี่ก็เกือบได้เวลาลูกสาวคุณหญิงหนีตามคนเลี้ยงม้าไปอีกคนแล้วเจ้าค่ะ

แต่ที่จริง คุณหญิงตาบก็ใช่จะสบายใจนัก เพราะอีกใจหนึ่งก็ยังรู้สึกพรั่นๆแกมครั่นเนื้อครั่นตัวที่เขาเรียกว่าสังหรณ์นั่นกระมัง

จนกระทั่งวันหนึ่ง จึงถึงเวลาของตัวละครพ่อลูกอีกสองราย พ่อชื่อเผ่า เป็นญาติข้างมารดาของเจ้าคุณ กับลูกชายนามว่าพิภพ เพิ่งกลับจากค้าขายที่สิงคโปร์ หลังจากทิ้งบ้านไปนานหลายปี จนพิภพเรียนจบไฮสกูลที่นั่น แล้วนี่ก็เพิ่งกลับมาสอบเข้าจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยจนได้ผ่าน ก็เลยแวะมากราบกรานท่านเจ้าคุณ

คราวนี้ เจ้าของบ้านก็เลยยกครอบครัวพาน้าเผ่ากับพิภพไปรับประทานอาหารแถวเยาวราช

ไหนเลย สัก คนขับรถม้าจะไม่ออกอาการหึงสาจนหน้าตาบึ้งตึง จนเขาแทบจะกระชากเจ้าสีหมอกออกจากที่เสียทีเดียวเมื่อแลเห็นพิภพ หนุ่มสูงโปร่ง หน้าตาดี เพิ่งพบหน้ากันวันแรก ก็มาทำท่าสนิทชิดเชื้อกับธิดาสาวของเจ้าคุณ

เฮ้อ…เหตุไฉนจึงสุดแสนจะวุ่นวายถึงเพียงนี้

นี่ฉันก็ตาลายจนแทบจะทรงกายให้ยืนตัวตรงไม่ได้

ตัวละครตรงหน้าก็รวมกลุ่มกันขึ้นรถม้ามาเป็นขบวน

แต่แม้จะชวนให้ล้มตึงเพียงไร ฉันก็ต้องใจแข็งวันยังค่ำ พาเรื่อง ‘วังๆ’ ให้ผ่านพ้นไปให้ได้ ไหนๆก็หลวมตัวมารับรู้จนกู่ไม่กลับขนาดนี้แล้ว

เพราะคนขับรถม้าหนึ่งในสองกำลังพุ้ยข้าวสวยกับผัดเกี้ยมฉ่ายในชามที่มีคนจีนมาวางหาบขายริมทางอย่างซังกะตาย จนเพื่อนคนขับรถถาม

“มึงเป็นอะไรไป ไอ้สัก ยังกะจะลุกไปเตะใครงั้นแหละ”

“ถ้าเตะได้ก็จะเตะ” สักว่าเข้านั่น

“มึงจะเตะเขาหรือเขาจะเตะมึงกันแน่” ฉันก็เลยบอกอีกคนให้ย้อนกลับไป

หนอยแน่…กำเริบแล้วไหมล่ะ ผู้กำกับข่มขวัญ

แต่อาการของสักก็บอกกล่าวว่าไม่ยักกะพรั่น เอาแต่เม้มปากกัดฟัน สั่นสะท้านไปทั้งกายคล้ายหัวใจจะภินท์พัง นัยน์ตาคู่ที่เมื่อวันศุกร์ยังคมสันด้วยแววระยับขณะจับจ้องมองทั้งร่างของคุณจียามเมื่อหล่อนขึ้นหลังเจ้าพยับเมฆ แล้วเขาเดินขนาบ เคียงข้าง คุยกันไป…คิดแล้ว…น้ำใสๆก็ไหลเป็นทางลงมาตามร่องแก้มสีคล้ำของชายหนุ่มนักขี่ม้า…ข้าทาสต่ำศักดิ์

ถึงอย่างไร ผู้กำกับก็ต้องให้ความเห็นใจไม่หยามหมิ่น มิว่าตัวละครจะมีฐานะแค่ไหน

ถือหลักการใหญ่ที่ว่าเขาก็คนเราก็คน

ดังนั้น ในวันต่อมา สักก็พาตัวเองไปหาเหล้ากิน แม้นายฝรั่งจะเคยเตือน

‘ในการพนันทั้งหลาย ให้เมาได้ 1 อย่าง ถ้าเมาม้าแล้วอย่าเมาเหล้า ถ้าเมาลูกเต๋าแล้วอย่าเมาผู้หญิง’

แต่ในวันต่อมา รุจีก็ถามอาของหล่อน

“คุณอาคะ ถ้าจีไม่ชอบใครสักคนที่คุณแม่หาให้ ไพล่ไปชอบคนที่ไม่ได้หา คนที่ไม่อยู่ในสายตาใครๆจะเป็นไรไหมคะ”

ระย้าฟังแล้วได้แต่ยิ้มในหน้า

ในที่สุด รุจีก็ระบายความในใจให้อาสาวได้รับรู้

แต่คำตอบที่ได้รับก็คือ

“หนูจี หนูเรียนผูกแล้ว ก็ต้องเรียนแก้เอาเองนะ อาน่ะไม่มีปัญญาจริงๆ”

ระย้าตอบอย่างไม่เหลือแม้แต่เยื่อใยบางๆ

ฉันเองยังอยากร้องไห้ สงสารรุจี

แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องกลั้นใจฟังเสียงระย้าคำราม

‘ก็มันถึงวันของฉันแล้ว จริงไหม’

ครั้นแล้ว รุจีก็หนีตามสัก คนเลี้ยงม้าไป

เจ้าคุณในยามนี้ก็เลยเสมือนหุ่นเดินได้

ฉันเขียนงานมาก็มากมาย แต่ไม่เคยรู้สึกทรมานหัวใจเหมือนเรื่องนี้

แม้แต่พระยาเทพบดีดำรงค์เอง ก็ยังต้องเปล่งเสียงออกมากับน้าเผ่า

“เชื่อไหมว่า พอมาถึงตอนนี้ มันไม่อยากมีอีกแล้วละนะ เมียน่ะ ลูกก็ไม่อยากมี”

ครั้นข้ามวันเดือนปีไปอีกไม่นาน ก็ถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงการอพยพหลบภัยจากการโจมตีทางอากาศอันเป็นบั้นปลายชีวิตของพระยาเทพบดีดำรงค์ รวมทั้งบั้นปลายของความรุ่งเรืองแห่งวังอาชาไนยที่ฉันขอละไว้ไม่เล่าขาน จึงได้แต่ขออวสานเพียงเท่านี้ 

 

Don`t copy text!