ตะวันตกดิน : วิธูและโสรวาร

ตะวันตกดิน : วิธูและโสรวาร

โดย : กฤษณา อโศกสิน

“หลังม่าน” คอลัมน์ที่จะบอกเล่าถึงชีวิตของตัวละครเด่นๆ ในนวนิยายของ กฤษณา อโศกสิน เป็นเรื่องราวเบื้องลึกที่มีแต่นักเขียนเท่านั้นที่จะสามารถรู้ได้ และนำมาบอกเล่าให้ผู้อ่านชาวอ่านเอาได้เห็นชีวิตด้านหลังม่านของตัวละครเหล่านั้น

เส้นทางที่ถูกความทะเยอทานพาไปนั้น บางเส้นทางที่มีอุดมคติคอยเชิดชู ผู้เป็นเจ้าของเส้นทางสามารถรู้ได้อย่างถ่องแท้ทีเดียวว่า…ช้า…นาน…แต่มั่นคง เนื่องด้วยเป็นเส้นทางอันสุจริต แม้อาจบิดเบือนไปจากที่ควรเป็น ก็ไม่เสี่ยงกับความอัปยศ

แต่เส้นทางที่ใช้ความคดเคี้ยวเป็นทางเอก ใช้เล่ห์กระเท่ห์เป็นทางโท ใช้โมหจริตเป็นทางตรี โดยมีปลายทางที่ขอให้ได้มา ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด

ผู้ที่ทำกรรมชนิดนั้นควรต้องตระหนักไว้ทุกขณะจิตเช่นกันว่า กรรมใดใดอันเป็นกรรมไม่ดี เป็นกรรมที่ชั่วร้าย ผลกรรมนั้นจักสนองตอบในชาตินี้ทีเดียว ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้า

 

ฉันเขียนคำนำให้ ‘ตะวันตกดิน’ ไว้ด้วยข้อความนี้ ตั้งแต่ พ.ศ.2515 ในการพิมพ์ครั้งแรก รวมทั้งครั้งต่อๆมาโดยไม่คิดจะเปลี่ยนผันเพิ่มเติมเป็นอย่างอื่น ด้วยว่ายืนหยัดยึดมั่นแทนตัวละครทุกตัวทั้งชั่วมากชั่วน้อย ดีมากดีน้อยตลอดมา

ครั้นถึงพ.ศ.2565 ได้เวลานำนวนิยายที่เขียนไว้ตั้งแต่ 50 กว่าปีที่แล้วออกมาเพื่อค้นหารายละเอียดที่มีทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังว่า ครั้งกระนั้น ฉันคิดอย่างไรจึงถ่ายทอดบทบาทชายและหญิงที่เป็นตัวเอกทั้งหลายออกมาในแนว ‘การเมือง’ ขนาดนั้น

เป็นการเมืองที่เกือบทุกชีวิตตั้งใจให้เป็น

ยกเว้นครอบครัวของหญิงสาวผู้ที่ฉันตั้งไว้ในฐานะ ‘นางเอก’ ผู้มีทั้งพ่อและแม่โดยเฉพาะพ่อที่เรียกได้เต็มปากว่าเรียบร้อยสมถะ โดยฝ่ายแม่ของนางเอกเป็นพี่สาวแท้ๆ ของ ‘วิธู’ ภรรยานายเวศม์ แมนสรวง ผู้อำนวยการองค์การรัฐวิสาหกิจมีชื่อเสียง

นายเวศม์มีเลขานุการหนุ่มผู้รู้ใจนาม ‘โสรวาร’

ฉันบรรยายถึงเขาว่า

‘โสรวารเบื่อหน่ายความตรากตรำ มนุษย์ที่ขยันและมีความใฝ่สูง มักต้องลำบากยากเข็ญ เหตุด้วยทำได้ทุกอย่างไม่ว่างานหนักงานเบา…เขาโชคดีในข้อนี้ กับพรสวรรค์อีกอย่างหนึ่งก็คือไม่ว่าจะเป็นลูกน้องใคร สังกัดหน่วยงานใด ผู้บังคับบัญชามักชื่นชมในมารยาทและการ ‘เข้าคน’ ได้อย่างดีเยี่ยมของเขาเสมอ

อาจเป็นเพราะเหตุนั้นก็ได้…ที่ทำให้น้ำใจของเขาถูกห่อหุ้มด้วยความลำพอง หนาแน่นด้วยความไฝ่ฝันที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด’

เรียกได้ว่า เพียงขึ้นบทแรก ผู้อ่านก็แลเห็นภาพของเขาเกือบหมดจดทั้งนอกใจและในใจ

ในภาค ‘หลังม่าน’ นี้ นางเอกอาจจะกลายเป็นตัวประกอบที่คล้ายไม่สำคัญแต่สำคัญ เนื่องด้วย ฉันจำเป็นต้องดึงเอา ‘วิธู’ และ ‘โสรวาร’ ออกมาโดดเด่น โดยนำนิสัยชอบเล่นแร่แปรธาตุของทั้งคู่มาเป็นจุดแข็งและจุดอ่อน แม้มีตัวละครอื่นที่อาจจะร้ายกว่าเข้ามาเป็นตัวประกอบหลายคน เป็นต้นว่า ‘นาย’ ไอยรา ‘คุณ’ ‘คุณหญิงศาวิกา’ ชนะ ซึ่งล้วนแล้วคือ มีดปลายแหลม ที่อาจต่างกันตรงที่เล็กใหญ่ไม่เท่ากัน

“แต่คุณก็ชอบใช่ไหมล่ะ” เสียงใดเสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆแถว ‘หลังม่าน’ นี่เอง

ฉันหันไปก็พบวิธูยืนยิ้ม…ความงามของเธอมักจะมีเลศเล่ห์กริ่มๆเจืออยู่ อันทำให้ฉันติดใจตลอดมา ที่สามารถคัดตัวละครเอกผู้ซ่อนความองอาจจัดจ้านไว้ภายในกิริยาท่าทีที่เจ้าตัวควบคุมได้อย่างที่ต้องยกนิ้วให้แทบทุกฉาก

“ชอบมากเลย…ชอบแอคชั่นของเธอมาก” ฉันชมเชยด้วยใจจริง “แต่จะว่าไปแล้ว ฉันเองก็ตั้งอกตั้งใจคัดเธอไว้เป็นตัวละครพิเศษอยู่แล้วไง…เพราะอีกไม่ช้า เธอก็จะกลายเป็นแม่ม่ายเนื้อหอมตัวจริง”

“สงสารคุณเวศม์จังเลยนะคะ…ไม่น่าตายเร็วเลย”

คราวนี้ นักเขียนยิ้มๆอยู่ในหน้า

ครั้นวิธูแลเห็นอาการของฉัน ก็ตบท้ายทันใด

“มีแต่คนใจร้ายเท่านั้นแหละที่อยากให้เขาตาย”

“แต่เธอก็ชอบไม่ใช่หรือ…แอบชอบอยู่ลึกๆไง กะจะเป็นแม่ม่ายเนื้อหอม” ฉันทำเป็นไม่เข้าใจในวาจาของอีกฝ่าย

“ก็คุณทั้งนั้นใช่ไหมที่คอยเสกสรรปั้นแต่งให้ใครต่อใคร…”

พอดีโสรวารแวบเข้ามา

“กำลังซ้อมบทไหนกันอยู่ครับ”

“มาแล้ว นักปีนกระได”

แต่อีกฝ่ายฟังแล้วกลับรื่นรมย์

“ว่าเข้านั่น”

“ถึงเวลาเข้าฉากแล้วจ้า-า-า” เสียงใครอีกคนดังผ่านมา

ฉันก็เลยได้แต่พยักพเยิด

“ไปได้แล้ว…เช็ดหัวเราะบนสีหน้าเธอให้หมดโดยด่วน…อย่าให้หลงอยู่” ผู้กำกับออกคำสั่ง

 

ที่จริง ฉันเองก็ยังเหนื่อยแทนตัวละครทุกตัวใน ‘ตะวันตกดิน’ เนื่องด้วยได้กลิ่นความทะเยอทะยานของพวกเขากรุ่นอยู่รอบตัวตลอดมา นับแต่เริ่มจรดปากกาเขียนบทแรกเมื่อราว พ.ศ.2513 กว่าจะจบก็เกือบ 2 ปี…เพราะผูกเรื่องไว้ยาวเหยียด…เนื่องด้วยถ้าไม่ยาว ก็จะสาวไม่ถึงก้นบึ้งของแต่ละมนุษย์ซึ่งไม่ใช่คนเดียว…แต่ราวๆ 7-8 คนหรือกว่านั้น กันสามพ่อแม่ลูกที่เป็นครอบครัวพิเศษไว้ต่างหาก ทั้งๆที่คิดไปแล้ว ทั้งทินกร วจี ฑัณฑิกา ก็มิได้มีความวิเศษเกินกว่าครอบครัวธรรมดาทั่วไป ด้วยว่าคนไทยสมัยนั้นยังไม่คุ้นเคยกับความพิศดารนานาที่ยุคสมัยเคลื่อนเข้ามาหยิบยื่น แทบทั้งนั้นจึงมักอยู่เป็นอยู่ดี มีความสุขไปตามอัตภาพ หาความโลดแล่นโลดโผนแทบไม่เจอ

ฉะนั้น เมื่อมีตัวละครอย่างชนะผู้นำเมียทั้งคนไปสังเวย ‘นาย’ เพื่อความผึ่งผายในยศถาของตนเอง ด้วยคำขวัญที่ว่า

‘ผัวได้ดี เมียก็ได้ด้วย’

จึงทำให้เรื่องราวดูน่าเกลียดน่ากลัว…แม้แต่ตัวผู้กำกับเองก็ยังเกือบออกคำสั่งไม่ไหวตั้งหลายครั้ง

แต่…สิ่งใดที่เราไม่ได้เห็นกับตา ก็ใช่ว่าไม่มี

ฉันจึงจำเป็นจำใจต้องส่งสิ่งที่ไม่เห็นออกมาให้ใครต่อใครได้รู้ได้ดู…ว่า…มีอยู่จริง มิได้เสแสร้งแกล้งส่ง

โดยให้นายเวศม์เป็นคนเอ่ยกับวิธู

‘ถ้าฉันตาย ถามจริงๆเถอะ เธอจะแต่งงานใหม่หรืออยู่กับลูก’

ครั้นเขานำเรื่องที่ปรารภกับวิธู มากรอกหูโสรวาร เลขานุการจึงตอบว่า

‘คุณวิธูไม่ใช่คนโง่นี่ฮะ และเธอก็รักลูกมาก’

ฉันก็เลยนำประโยคนี้ใส่ปากนายเวศม์

‘ใครจะไปรู้ล่ะ คนเรามีเวลาโง่สิบห้านาทีต่อหนึ่งชั่วโมงเสมอแหละ’

สมัยนั้น ประโยคนี้คงจะคมคายพอใช้ได้…แต่เมื่อมาถึงสมัยนี้…คงต้องชิดซ้ายไปนั่งแอบอยู่ ‘หลังเขา’

เพราะถึงอย่างไรนายเวศม์ก็มิได้เล่าต่อไปอีกว่า เขาเองได้หยอดประโยคนี้ไว้กับวิธู

‘ยังไงๆก็อย่าตกที่นั่งอย่างคุณหญิงศาวิกาก็แล้วกัน’

ในที่สุด นายเวศม์ก็วายชนม์ไปอย่างง่ายๆ ลาลับดับขันธ์ไปเหมือนฝนที่พรูลงมาโดยไม่มีเมฆตั้งเค้าให้เห็น

ทิ้งภรรยาผู้ยังสวยสดงดงาม ผู้กำลังลืมตาฝันเต็มที่ถึงเกียรติยศเกียรติคุณให้ลืมตาค้างด้วยความตกใจสุดขีด

ชวนให้ทินกรเอ่ยกับภริยา

‘เห็นไหมแม่ คนเรามันก็ไอ้แค่นี้แหละน่า กิน นอน ถ่าย แล้วก็ตาย มันก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรนักหนา’

ก็นั่นน่ะซี…ฉันคิดในใจอยู่ในม่าน

ชีวิตก็ได้พิสูจน์ตัวมันเองถึงความเป็นอนิจจังของสิ่งทั้งหลายในโลกแล้วใช่หรือไม่

นี่ก็คือจุดมุ่งหมายที่ฉันอยากเขียนเรื่องพวกนี้อย่างไรเล่า…เพียงแต่ฉันยังไม่มีโอกาสจะบอกกล่าวถึงความในใจตนเองกับตัวละครเท่านั้น

ปล่อยให้เขาแสดงความเป็นปุถุชนของแต่ละคนจนสุดฝีไม้ลายมือไปพลาง

ถึงเวลาว่างเมื่อใด ฉันก็ตั้งใจจะเล่าให้พวกเขาฟัง…พวกเขาที่เปรียบเสมือนเพื่อนพ้องลูกหลานนี่ละ

แต่เวลานี้ยังไม่ใช่

ยังเป็นเวลาที่แต่ละคนรับบทหนัก

แม้แต่ยั่วเย้าเอามัน ก็ยังไม่กล้า ไม่เหมือนเรื่องรักล้นปรี่ที่มีวี๊ดมีกรี๊ด ถ้าอย่างนั้นละก็ ฉันถึงจะจัดแรงจัดเต็ม

ลองไล่ดูแต่ละคนก็ย่อมได้ โดยเฉพาะวิธูขณะนี้ ร่างทั้งร่างกำลังสั่นเทา เฝ้าแต่คร่ำครวญกับคุณวจี

‘อย่าทิ้งธูไปนะ ค้างกับธูนะ ค้างทุกคนเลยค่ะ ธูจัดที่ให้ได้’

ที่จริง เธอก็รักนายเวศม์มาก เนื่องด้วยสามีเธอมิใช่ชายมากชู้หลายเมีย ที่แน่ๆก็คือมีศูนย์กลางความรักรวมอยู่ ณ ที่แห่งเดียวคือลูกชาย 3 คน ผู้บัดนี้กำลังศึกษาอยู่ต่างประเทศ

แต่ถึงอย่างไร นายเวศม์ก็เป็นสุขไปแล้ว

ดังนั้น ขณะที่ทัณทิกากับบิดามารดาสวดศพเสร็จ ขับรถกลับบ้าน จึงถามทินกรว่า

“คุณพ่อคะ คุณพ่อไม่เคยนึกชอบน้าธูแม้แต่นิดเดียวจริงๆหรือคะ”

“ไม่…พ่อไม่ชอบผู้หญิงเจ้าบทบาท”

ฉันคงยังมิได้ปูพื้นไว้ให้ทราบซีนะว่า…วิธูเคยรักชอบทินกรมาพร้อมวจีพี่สาว แต่ทินกรเลือกหญิงซื่อคือวจี เป็นเหตุให้วิธูชอกช้ำกำสรดจนโชคดี ได้มาแต่งงานกับนายเวศม์ แม้กระนั้นก็ยังคลางแคลงแหนงหน่ายในพี่ร่วมท้อง ไม่เป็นน้องผู้ใกล้ชิดเหมือนเคยมา จนกระทั่งบัดนี้

แต่ถ้านอกหน้าละก็ดูเหมือนดี ด้วยวิธีของเธอ ตรงกับที่ทินกรให้คำจำกัดความว่า ‘เจ้าบทบาท’

“แปลว่า คุณพ่อจะไม่สงสารเขาเกินกว่านี้นะคะ” ฑัณฑิกา-นางเอกของฉันเร้าถาม

“พ่อไม่มีนิสัยปราดเปรียว ชอบเปลี่ยนเลยนะลูก” เขาตอบอย่างมั่นใจ “คือใจที่จะปรับได้ ต้องหมั่นปรับตั้งแต่มันยังอ่อน สมมุติว่าเราจะปราบคอรัปชั่น เราก็ต้องปราบมาตั้งแต่มันเพิ่งเริ่ม หรือมีรากอ่อนแค่สองสามเส้น ไม่ใช่มาคิดปราบเอาเมื่อมันแก่แล้ว…โค่นต้นไม้ไม่กำจัดราก อีกหน่อยมันก็แตกใบอ่อนงอกขึ้นมาอีก”

 

เชื่อหรือไม่ว่า ขณะที่ฉันเข้มข้นกับตัวละคร…ตัวละครนั่นเองก็ช่วยสอนฉันให้เติบใหญ่ไปด้วยกัน

นั่นก็เนื่องด้วย สิ่งใดที่เราสอนเขามิให้ทำ เราก็ต้องไม่ทำสิ่งนั้นด้วย

ฉันจึงคิดว่า การเขียนหนังสือหรือบทละคร มิว่าเนื้อหาหรือขั้นตอนชนิดใด ประโยชน์ที่เราสอนเขาได้สะท้อนย้อนกลับมาสู่เราด้วยโดยมิคาดฝัน ที่กล่าวมานี้ ก็ใช่ฉันจะเพ้อเจ้อมากไป แต่ทุกย่างก้าวที่เราเดินมาพร้อมความจริงบวกจินตนาการ ได้พิสูจน์ด้วยกาลเวลายาวนานจนแจ้งประจักษ์

เช่นเดียวกับการปฏิบัติธรรมมิผิดไป

โดยเฉพาะกับเรื่องที่ต้องชักใยกับกิเลสตัณหาอันแรงร้ายของมนุษย์ ช้างร้อยเชือกยังฉุดไม่อยู่นี้ ไม่มีสิ่งใดดีกว่าธรรมะอันสูงค่าของพระพุทธองค์

เสียแต่ตัวละครของฉันแต่ละคนมักจะนึกขึ้นได้เพียงแวบเดียว เดี๋ยวก็กลายกลับเป็นใจมารอีกจนได้

แต่ก็ไม่เป็นไรสำหรับเรื่องนี้ นั่นก็เนื่องด้วยฉันตั้งใจ

จะได้ฝึกปรือตนเองให้ตามทันตัวมาร

น่าสนุกน้อยเมื่อไหร่

หลังจากนายเวศน์ลาไปแล้ว วิธูเป็นแม่ม่ายไปเมื่อยังสาว ก็ราวกับกระดังงาลนไฟ

ก็แล้วยังไงกันล่ะ

เหมือนพระอาทิตย์ขึ้นแล้วตก

สูงเด่นตอนเที่ยงวัน ต่อจากนั้นจึงคล้อยต่ำ จนกระทั่งลับฟ้าไปในที่สุด

ครั้นแล้ว วิธูก็เหลือเพียงโสรวาร

ใครอื่นๆนอกนั้นจึงเป็นอันว่าเป็นแค่องค์ประกอบ แม้แต่ครอบครัวของวจี

จะไม่เป็นเพียงแค่นี้ก็ด้วยมีหญิงสาวคนนั้นเพิ่มเข้ามาเมื่อทั้งทินกร วจีและทัณฑิกาจำเป็นจะต้องมาค้างคืนเป็นเพื่อนวิธูผู้กำลังว้าเหว่อาลัยรักสามีที่ความตายมาพรากไป ช่วยให้มีโอกาสสนทนากับเลขานุการชายผู้มาพักค้างปลอบใจเมียนายด้วยเช่นกัน

รุ่งขึ้นอีกวัน ‘นาย’ ก็มาเยี่ยมถึงบ้าน

ชวนวิธูพูดคุยโดยไม่มีกิเลสตัณหาข้องเกี่ยว

นั่นก็เนื่องด้วยฉันกำชับไว้

‘คุณต้องทำท่าเป็นผู้ดีให้ได้นะ…อย่าเผลอใส่ดาวโจรเข้าไปในแอคชั่นนี้เป็นอันขาด…เพราะคุณจะต้องล่อหลอกให้วิธูมาติดกับคุณอีกคนไงล่ะ…จำได้ไหม…ความจำคุณก็ยังแม่นอยู่นี่นา’

‘นาย’ หรือ นายนั่นหันขวับมาทำตาขวางกับผู้กำกับการแสดงทันใด โพล่งประโยคที่ถูกใจฉันออกมา

“ขอให้รู้ไว้ด้วยนะว่า…ไอ้เรื่องหน้าไหว้หลังหลอกนี่ผมเก่งกว่าคุณ” ครั้นแล้วเขาก็ได้แต่เน้นปากกัดฟัน

ฉันก็เลยตบบ่าเขาเบาๆ

“น่า…ไอ้น้องน่า…ยั่วเล่นหน่อยก็ไม่ได้ นี่รู้ไหม…ว่าตั้งแต่มากำกับเรื่องนี้ พี่อึดอัดคับใจที่ซูดด”

“รู้พี่รู้…ผมก็เลยยั่วพี่ซะไง” อีกฝ่ายหัวเราะหัวใคร่ “โธ่ ผมเห็นใจพี่ยังกะอะไร เรื่องหนักเครียดขนาดนี้ พี่ก็ยังอุตส่าห์เขียนออกมาด้าย-ย-ย…เออ…แต่ว่าไปแล้วผมก็ชอบนะ…ชอบที่พี่ขยายกิเลสมนุษย์ออกมาจนสุดลิ่มทิ่มประตู…อ่านแล้วถึงกึ๋นดีพิลึก ตะละคนหอบเอาความบ้ามากระสอบใหญ่ ขนาดคนดี๊ดีที่พี่ทะนุถนอมก็ยังคารมคมคายไม่แพ้ใคร”

“เพื่อให้สมกับตัวละครยอดนิยมไงล่ะเธอ”

“ดีพี่…เรื่องต่อไปพี่ให้ผมเล่นอีกก็ได้นะ”

“แน่นอน…ฉันก็หมายตาเธอไว้แล้วไง ก็เธอมันคนแก่เบอร์หนึ่งไม่ใช่เหรอ”

‘นาย’ ก็เลยปลดความไว้วางตัวออกทันใด ยกมือไหว้ผู้กำกับ

“สาธุครับ”

“เธอนี่ก็แก่พอๆกับฉันแล้วนะ ยังสาธุได้นี่ ก็คือว่าเป็นพวกเดียวกัน”

“ก็ผมชาวพุทธไงฮะ…”

“เอา…เข้าฉากได้แล้ว จะเอาเล่ห์กระเท่ห์อะไรออกมาต้อนวิธูก็เอาออกมา…แต่ขอไว้คนละกัน”

“ใครหรือครับ” เขาทำเป็นแกล้งนึกไม่ออก

“เธอรู้อยู่แก่ใจ”

“คุณนี่ก็…” เขายกนิ้วหัวแม่มือ “กระบวนดักคอตัวละครละก็ยกไว้”

“ไม่งั้นฉันจะเขียนให้เธอเป็นไปตามฉันได้ขนาดนี้เหรอ ถามคำ ถ้าฉันตามไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมพวกกะล่อน…เอ๊ย…พวกซับซ้อนละก็”

“คุณน้าคุณ…ฝากไว้ก่อนละกัน”

ว่าแล้วเขาจึงผละไปเข้าฉาก

เพราะฉันให้เขานั่งคุยอยู่กับวิธูจนถึงตี 2  ขับรถคันเล็กแต่แพงระยับมาเอง ขับกลับเองยังกะหนุ่มๆ

ฉันเองยังกลุ้มแทน

เลยแกล้งส่งเสียง

“เท่จังเลยเพ่”

ได้สัพยอกหยอกเย้าตัวละครสักนิดสักหน่อยช่วยให้รู้สึกค่อยยังชั่ว

เพราะนับตั้งแต่เปิดเรื่องเรื่อยมา ฉันไม่เคยมีโอกาสสนทนาพาทีกับพวกเขาอย่างกันเองเลยสักหน ก็อย่างที่เล่าแล้วว่า เหตุเพราะแต่ละคนรับบทหนัก ฉันเลยต้องพักอารมณ์สนุกไว้ก่อน

หันมาต้อนพวกเขาให้เคร่งครัด มิให้หลุดหรือหล่นร่วงจากดวงปัญญาที่จะทุ่มเทให้การขึ้นและตกของดวงอาทิตย์

 

ไอยราก็กำลังฟ้องหญิงสูงวัยผู้อุปถัมภ์รายการจนเขาเองได้มี ‘วันนี้’

คนคนนั้น คือ ‘คุณ’ ที่ฉันเอ่ยไว้ตั้งแต่ต้น

‘คุณ’ เป็นคนเดียวที่ชายผู้นี้ ผู้เป็นเจ้าของอู่รถใหญ่ ต้องพึ่งพาผู้มีเงินและมีชื่อเสียงทั้งหลายรอบตัว…จึงจำเป็นต้องมีที่นับถือแกมที่พึ่งเป็นหญิงสูงวัยผู้คบหากันมาช้านาน โดยไอยราไม่เคยคิดจะนับอายุของเธอว่าสูงกว่าเขาเพียงไหน รู้เพียงว่า ‘คุณ’ คือสิ่งชดเชยที่ยิ่งใหญ่…ด้วยว่าเธอเป็นสตรีที่เข้าใจพูดเข้าใจคิด สอนให้เขาพูดตามคิดตาม จนเขาอดปฏิเสธมิได้ว่า มันสมองของเขาเติบโตขึ้นเพราะเธอ

ตัวละครในเรื่องนี้ของฉันทุกตัวจึงมีคนสำคัญซ่อนอยู่ข้างหลัง

เรียกง่ายๆว่า ‘เกาะ’

คนเหล่านี้เกาะอยู่เบื้องหลังเขาและเธอ

จึงทำให้กำกับยากขึ้นอีกขั้น

ดังนั้น ‘หลังม่าน’ จึงอึงอลด้วยคนเจ้าบทบาท ต่างยืนบ้างนั่งบ้าง รอเปิดการแสดง

ทีแรก ฉันก็ยืนอยู่ ครั้นเดี๋ยวพูดเดี๋ยวส่งเสียงดัง เดี๋ยวร้องเรียกคนนั้นคนนี้ หนักเข้าก็เลยตาลายบ่นออกมาเสียงไม่เบา

“มันอะไรกันนักหนานะ ฉากนี้”

นั่นก็คือ มาถึงฉากที่พวกเขาต้องมารวมกันอยู่ในงานที่บ้าน ‘นาย’ อันคับคั่งด้วยผู้มีเกียรติ

ฉันก็เลยต้องสั่งทิวลิปแดงเข้ม แกลดิโอลัส สตาร์คริสแซนธีมั่มมาโดยเครื่องบินเที่ยวล่าสุดพร้อมแกะสามขาใหญ่ๆ เนื้อลูกวัวทำสเต๊กหนักสี่ปอนด์ ผลไม้ต่างประเทศคือพีชและสตรอร์เบอร์รี่สดอีกจำนวนหนึ่งเหินฟ้ามาบ้านช่วยงาน ‘นาย’

เห็นหรือไม่ว่า ไม่ใช่ย่อย เหนื่อยน้อยหรือนั่น ถึงผู้ซื้อจะชื่อ ไอยราก็ตาม

มัน…เอ๊ย…เขาก็ช่างสอพลอตอเต่านัมเบอร์วัน

เพียงแค่แกะจำนวน 3 ขา (สมัยนั้น) ก็นับว่าเป็นบรรณาการเลอเลิศแล้วละ เพราะแสนแปลกแหวกแนวกว่าของกำนัลจากใครอื่น ด้วยว่าความชื่นชมอยู่กับการเหาะเหินเดินอากาศจากนอกประเทศด้วยราคาค่างวดสูงลิบ ด้วยความเร็วของเครื่องบินไอพ่น จนทันอกทันใจผู้สั่ง

เล่นเอาฉันยืนไม่อยู่ จู่ๆก็ทรุดฮวบลงนั่งพิงฝา ไม่นึกเลยว่ากำกับเรื่องนี้จะเกิดอาการพอๆกับตะวันตกดิน

แต่มือชั้นนี้มีหรือจะยอมถูกติฉิน นึกแล้วก็เลยดึงกล่องยาดมกับยาหอมออกมาดมมาอม จนของขมของหอมกล่อมประสาทได้เข้าที่ ขมีขมันลุกขึ้นสู้กันอีกครา

อะฮ้า…มาเลย…พวกนายๆคุณๆทั้งหลาย ทั้งชายและหญิง มาเข้าฉาก…ให้บ้าน ‘นาย’ คึกคักครึกครื้นสมจริง

ในที่สุดก็หมดไปอีกวัน

เล่นเอาบั้นเอวของอิฉันปวดหนึบ

แต่โดยพลัน ฉันก็นึกขึ้นได้ถึงถ้อยคำของนางเอกที่ฉันป้อนเธอไว้

‘ถ้าเราอยู่กับความเงียบมากๆ ความเงียบก็ฆ่าเรา ถ้าเราอยู่กับความมืดมากๆ ความมืดก็ฆ่าเรา’

ฉะนั้น ถ้าเราอยู่กับตัวละครมากๆ เราก็อาจหมดแรงได้ในชั่วโมงใดชั่วโมงหนึ่ง

ดังเช่นชั่วโมงนี้ที่ฉันกำลังขับเคี่ยวกับทีท่า พาความในใจของพวกเขาที่ต่างก็มี ‘เบื้องหลัง’ อันซับซ้อนซ่อนเร้น ออกมาตีแผ่ให้ผู้ชมเห็นชัดราวกับใช้แว่นขยายกำลังสูง

แล้วเช่นนี้หรือ ฑัณฑิกาที่ฉันลองจูงเข้าไปในฉากของผู้มีอำนาจจนถูก ‘นาย’ หมายตา จะไม่กลายเป็นของแปลกของมีค่าในสายตาใครหลายคนโดยเฉพาะเจ้าของงาน

ขณะเดียวกัน ความในใจอันแท้จริงของวิธูก็ปรากฏอยู่ในความรู้สึกคล้ายไฟกะพริบ

นั่นก็คือ ความระแวงแกมหึงหวงที่มีต่อโสรวารและฑัณฑิกา เลือดเนื้อเชื้อไขของชายผู้ครั้งหนึ่งตนเองเคยหลงรัก หากแต่แม่ของหญิงสาวผู้นี้กลับได้หัวใจของเขาไป

เมื่อมาถึงรุ่นใหม่คือรุ่นลูก ก็เอาอีกแล้ว

ฉันละก็กลุ้มไม่หาย

แต่จะโทษใครได้นอกจากตัวเอง

เพราะฉันก็เพิ่งแนะแนวให้ ‘นาย’ เรียกโสรวารไปบอกข่าวตำแหน่งใหม่ที่นายเองเป็นผู้สั่งย้ายเขาไปแทนคนเก่าที่เอาไปกินตำแหน่งลอย เป็นตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจในการคุมคนรวมทั้งไม่มีทางทำผลงาน

นอกจากนั้น จึงแถมด้วยถ้อยคำส่วนตัวหน่อยหนึ่ง

นั่นก็คือ ‘นาย’เอ่ยขึ้นว่า

“คุณเริ่มประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วละ หนึ่ง…ได้งานใหม่ที่ดี สอง ได้เมียสวย รวย คุณก็เลยแทบจะไม่ต้องเหนื่อยอะไร”

ชวนให้โสรวารรู้สึกหน้าชาขึ้นมาอีกครั้ง

ใช่…เป็นฉัน ฉันก็หน้าชา

ก็พระเอกที่ฉันคัดมาแล้วผู้นี้ หาใช่คนด้านหนาจนไม่รู้สึกรู้สาใดๆไม่

เขาก็มีใจเป็นผู้คนที่ตั้งต้นมาดีเช่นกัน เพียงแต่เมื่อเดินทางไปนานๆ กิเลสแห่งความอยากได้ใคร่ดีก็เริ่มพอกหนาขึ้นเป็นลำดับโดยเขาเองก็แทบจะไม่รู้สึก รู้แต่เพียงลึกๆว่าอยากรุ่งเรืองจำเริญสืบไปจนถึงตำแหน่งสูงแค่นั้น

แต่การที่จะไปฮุบเมียนายมาครอบครองละก็ ไม่เคยคิด

ฉันเองก็ไม่ติดใจ…

ในที่สุด ผู้กำกับก็บอกให้เขาตอบ ‘นาย’

“งานน่ะ ผมกำลังจะได้ครับ แต่เมีย…ผมไม่แน่ใจ”

เขาหารู้ไม่ว่า ชายสูงวัยเริ่มอาการกีดกันด้วยเริ่มเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งกับฑัณฑิกา ใคร่จะได้หล่อนมาแนบข้าง หากก็แลเห็นแล้วว่า ก้างขวางคอชิ้นใหญ่ใกล้ทิ่มแทงอยู่ตรงหน้า จึงเรียกมาห้ำหั่นให้มันกระเด็นกระดอนออกไป โดยทำตัวเป็นผู้ไขปัญหาชีวิตว่าอีกฝ่ายควรพิชิตเมียนายเสียด้วย นายก็ตายไปแล้ว แถมยังรวยล้นเหลือ

แต่เชื่อหรือไม่ว่า แม้ปากไม่เอา หากท้ายที่สุด โสรวารก็ได้สมสู่เป็นคู่เคียงกับวิธูอย่างลับๆเรียบร้อยโรงเรียนนวนิยาย

หมดเรื่องไปเปลาะหนึ่ง

ขณะที่เสียงของ  ‘นาย’ คล้ายผ่านเข้ามา

‘ถ้าผมได้ทำสิ่งที่ชอบ นั่นแหละ คือผมได้พักผ่อน ถ้าผมชอบเล่นไพ่ แล้วผมก็เล่นไพ่ นั่นก็แปลว่าผมได้พักผ่อน ถ้าผมชอบผู้หญิงคนไหน แล้วผมได้พูดคุยหลับนอนกับผู้หญิงคนนั้น ก็เท่ากับเป็นการพักผ่อนอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน’

ประโยคเหล่านี้ เขาเคยพูดกับไอยรา

แล้วถ้าฉันไม่เอ่ยไว้ในที่นี้ว่า ที่จริงเขาก็ยังมีถ้อยคำอื่นที่เอ่ยถึงวิธูให้คุณหญิงศาวิกาฟัง ก็ถือว่ายังไม่ครบความรู้สึกที่เขาสามารถดิ่งลึกเข้าไปในแต่ละบุคคล

‘ก็อยู่กับผัวโง่ๆมานานนี่นา นายเวศม์น่ะเหมือนควาย เมียจูงได้จูงเอา’

สุดท้ายแล้ว ฉันก็ให้เขาปลอบใจตัวเอง

‘ผมมีถนนสองสายสำหรับเดิน บาปกับบุญ ความชั่วกับความดี ความดีของผมส่งไปสู่ประเทศ ส่วนความชั่วของผมไม่ได้เดือดร้อนประเทศ ผมพอใจ แต่ถ้าความชั่วของผมทำให้เดือดร้อนกับสาธารณะ แล้วความดีทำให้ดีแต่ส่วนตัวนั่นซี ผมกระวนกระวาย’

ขอให้ฉันได้ปรบมือให้ตัวละครตัวนี้สักหน่อยก็แล้วกัน เนื่องด้วยตลอดกาลที่ผ่านมา ‘นาย’ แสดงได้เนี้ยบอย่างน่าพอใจ ไม่แพ้พระนางและคนสำคัญอื่นใดในทุกฉาก

ขณะที่โสรวารยังคงโลดแล่นต่อไป เพียรก้าวขึ้นบันไดดาราโดยได้เมียนายเป็นเมียโดยราบรื่น ไร้ปัญหา เนื่องด้วย พฤติกรรมทั้งปวงอยู่ในที่ลับตา แม้มีมนุษย์มนาล่วงรู้แล้วซุบซิบ ก็ไม่เห็นจะน่าครั่นคร้ามอันใด ด้วยถือว่าอยู่ในโลกีย์วิสัยธรรมดาของสัตว์โลก

แต่จะโศกเศร้าก็ตรงที่เวลากำลังเคลื่อนไปจนวิธูล่วงรู้ว่า มีความลี้ลับบางอย่างรินไหลอย่างเงียบๆอยู่ภายในใจของคู่นอน เธอก็เลยวิงวอนเขาว่า

“ฉันอยากได้ความรักค่ะ โส เมื่อคุณเวศม์ยังอยู่ เขารักฉันมากจนทำให้ฉันเคยตัวกับการที่ต้องมีคนรักฉันอยู่ตลอดเวลา เมื่อฉันสูญเสียเขาไป ได้คุณมาแทน ก็ต้องการให้คุณแทนเขาให้ได้ ทุ่มเทเพื่อคุณทุกวิถีทางโดยไม่คำนึงถึงว่าฉันจะเป็นอะไรในสายตาคนอื่น…อย่าลืมว่าฉันอยากแต่งงานอยู่กับคุณอย่างเปิดเผย”

เอิงเงิงเงย…แล้วนี่จะทำอย่างไรดี

ฉันเองก็ไม่เคยมีวิธีที่จะให้เขากับเธอแต่งงานอยู่กินกันเสียด้วย

แค่คิดยังยากแล้วเลย วิธู

ยิ่งไปอำเภอด้วยกันก็ยิ่งยาก

เธอว่ายากไหม…ใช่…เธอพยักหน้า…แต่ยิ่งยากยิ่งอยากได้กระดาษแผ่นนั้น

โธ่เอ๋ย…ฉันงี้อยากให้เธอมาเกิดในสมัยใหม่จริงจริ๊ง

แล้วนี่เธอรู้หรือเปล่าว่า

โสรวารเริ่มทอดถอนใจเข้าให้แล้ว

นั่นก็เพราะ ความสุขของเขากับของเธอเริ่มสวนทางกัน ก็ฉันบรรยายไว้เช่นนี้อย่างไรเล่า

‘ทุกๆคืนที่เอนตัวลงนอน เขาเดือดร้อนด่าวดิ้นด้วยความทรมานชนิดหนึ่ง วาจาทุกประโยคที่เปล่งออกไปกับ ‘หล่อน’ ยังคงก้องอยู่ในความทรงจำไม่เสื่อมคลาย เขารู้ดีว่า เขาไม่อาจถอนคำพูดเหล่านั้นคืนมาได้ เช่นเดียวกับไม่สามารถถอนจิตใจให้หลุดจากความผูกพันอันแน่นแฟ้น ความผูกพันที่เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่า จะมีอยู่ในโลกนี้…โดยเฉพาะโลกของคนอย่างเขา’

เอาละซี แล้วที่ขอให้รวบรวมถ้อยคำที่โสรวารกับฑัณฑิกาโต้ตอบกันนั่นน่ะ ฉันไม่รวบไม่รวมหรอกจ้ะ…เพราะตัวปัญหาไม่ใช่นางเอก แต่เป็นตัวเอง หญิง-ชายผู้มีนามว่าวิธูกับโสรวาร

ดังนั้น เธอจำเป็นต้องกัดฟันทรมานละนะคราวนี้

ก็เธออยากได้เขาเองนี่นา จริงไหม

ถ้าไม่เชื่อ ลองย้อนไปถึงวันที่นายเวศน์ตายใหม่ๆ ฉันเองผิดเองที่ให้เธอยอมนอนกับเขาตั้งแต่ยังไม่ออกทุกข์นั่นละมัง

คือฉันก็อยากทดสอบตัวละครของฉันด้วยนั่นละ

แต่เธอก็รีบรับปากทันที

แล้วนี่…คงนึกรู้ขึ้นมาแล้วละซีว่า ในหัวใจเขานั้น บรรจุเต็มด้วยใคร

ถ้าไม่ใช่หลานแท้ๆของเธอเอง

แต่ก็เจ้ากรรมนะ เจ้ากรรม ในเมื่อเธอจำเป็นจำใจต้องไปส่งลูกชายสามคนกลับอเมริกา

แล้วเธอก็ยังจู่โจมเขาด้วยคำถาม

‘ปีหน้า เราจะแต่งงานกันได้ไหมคะ’

โธ่เอ๋ย วิธู อุตส่าห์หลอกเขาว่าจะไปสองเดือน แต่แล้วก็บอกความจริงว่าจะไปแค่สองอาทิตย์

อย่างนี้ ผู้ชายก็ใจตกวูบละซีจ๊ะ

‘คุณใช่ไหม คนวางแผน’ วิธูก็เลยหันมาเน้นปากเน้นฟัน แถมชี้หน้าอารมณ์เสียขึ้นมาทันใด

ฉันเลยหัวเราะฮ่าฮ่าส่งท้าย หัวเราะให้น้ำตากับสะอื้นของเธอที่กลั้นไม่อยู่

แล้วขอกระซิบข้างหูเธอสักหน่อย

‘อย่าลืมนะว่า ฑัณฑิกาไม่ใช่หมูๆ เขามีสติสัมปชัญญะในการตัดสินใจอย่างผู้ที่ถึงพร้อมด้วยวุฒิภาวะเกินกว่าที่เธอคาดคิดมากมายนัก

เขาอาจจะรักโสรวารจริง แต่เขาก็ถี่ถ้วนต่อการเลือกชายคนหนึ่งมาอยู่ด้วย เพราะเขามีทินกร พ่อผู้ซื่อสัตย์สุจริตเที่ยงตรงเป็นต้นแบบอย่างไรล่ะ

เธอคิดว่า ‘ต้นแบบ’ นี่สำคัญไหม

สำคัญแค่ไหน อย่างไร

ตอบมาให้ชัดๆ แล้วฉันจะจัดให้’

 

– จบ –

 

 

Don`t copy text!