‘มัลลิกา’ มารดายืนหนึ่งใน “กิ่งมัลลิกา”

‘มัลลิกา’ มารดายืนหนึ่งใน “กิ่งมัลลิกา”

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

“หลังม่าน” คอลัมน์ที่จะบอกเล่าถึงชีวิตของตัวละครเด่นๆ ในนวนิยายของ กฤษณา อโศกสิน เป็นเรื่องราวเบื้องลึกที่มีแต่นักเขียนเท่านั้นที่จะสามารถรู้ได้ และนำมาบอกเล่าให้ผู้อ่านชาวอ่านเอาได้เห็นชีวิตด้านหลังม่านของตัวละครเหล่านั้น

 

เนื้อแท้ของนวนิยายเรื่องนี้คือเนื้อหนังมังสา น้ำตา โลหิต ของครอบครัวหนึ่งที่มีสุภาพสตรีวัย 65 นามว่า มัลลิกา ผู้อาจนับว่าเป็นตัวเอกหรือนางเอกก็ว่าได้ แม้จะมีหนุ่มสาวรุ่นลูก และวัยเยาว์รุ่นหลานก้าวเข้ามาเป็นตัวประกอบที่สำคัญ แต่ ‘คุณมัลลิกา’ ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวก็ยังเป็นตัวละครหลักยืนหยัดระมัดระวังดุจไม้ใหญ่ ให้ความร่มเย็นเท่าที่จะเป็นไปได้แก่ลูกและหลานถ้วนหน้าสืบไป

ใน พ.ศ.2526 อันเป็นปีที่ ‘กิ่งมัลลิกา’ ปรากฏกายในนิตยสารลลนา…39 ปีเต็มมาแล้ว ฉันจำได้ค่อนข้างติดตาว่า ตนเองเกิดความประทับใจในสุภาพสตรีม่ายผู้หนึ่ง คุณหลวงผู้สามีวายชนม์ไปนานมาก ตั้งแต่ลูกชายคนเล็กยังไม่สำเร็จการศึกษา เธอมีลูก 3 คน ลดามาลย์ วัลลียา อาคม ทุกคนสมรสแล้ว หากก็ยังพักพิงอยู่ภายในตึกหลังเล็กคนละหลังที่มารดาสร้างให้ภายในที่ดินที่มีตึกหลังใหญ่ของเธอเป็นศูนย์กลาง ดังเช่นตระกูลใหญ่เก่าแก่ทั้งหลายที่ไม่ยินดีให้ลูกแยกตัวไป ครั้นแล้ว คุณมัลลิกาก็เลี้ยงตนเองเลี้ยงลูกมาด้วยความราบรื่น

ลูกๆอันเปรียบเสมือนไม้เล็กที่ขึ้นอยู่โดยรอบต้นโพธิ์ต้นไทรอายุยาวนาน

หากผู้อ่านเพียงแต่อ่านไม่กี่หน้าแรกก็จะล่วงรู้ทันทีว่า นวนิยายเรื่องนี้มิใช่ง่าย

แม้จะเป็นอุทาหรณ์สอนใจอันมีค่า ช่วยให้แลเห็นความยากลำบากในการเลี้ยงดูบุตรธิดาให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีสติและปัญญาก็ตาม

ฉะนั้น…ขณะที่ผู้กำกับต้องมายืนอยู่ ‘หลังม่าน’ เพื่อประคับประคองสานต่อ จึงเปี่ยมด้วยอาการระวังตน

ตัวละครแต่ละคนก็ดูจะเข้มข้นด้วยสีสันแห่งการตามใจตนเองกันอย่างมากทั้งหมดทั้งสิ้น

ยกเว้น คุณมัลลิกา ผู้เป็นมารดายืนหนึ่ง

 

ฉากเปิดขึ้นด้วยความเดือดร้อนของลดามาลย์ ผู้กำลังโศกเศร้าด้วยเรื่องราวของสามีและลูกชายคนโต จึงต้องมารบกวนขอ ‘เช็ค’ จากมารดาห้าหมื่นบาท คงราวห้าแสนสมัยนี้ นั่นก็เนื่องด้วยวัยรุ่นชายอายุ 17 นามว่า เทพนม หรือตั้ม ขับรถที่พ่อตามใจซื้อให้ขับออกไปชนคนตาย คุณมัลลิกาเองก็ต้องนำเงินสดไปประกันตัวออกมา พร้อมกับตั้งทนายสู้คดี แม้ศาลจะตัดสินปล่อย แต่ลดามาลย์ก็ต้องจ่ายเงินจำนวนมากให้แก่ครอบครัวผู้ตายจนแทบจะเรียกได้ว่าหมดตัว

แค่เรื่องหลานชายจากลูกสาวคนโตก็นับว่าหนักหนาอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องของวัลลียา ลูกสาวคนรองตามมาอีก

คราวนี้เป็นเรื่องชู้สาวระหว่างปริวรรต สามี…กับสตรีนอกบ้าน ชวนให้ตลอดหกเดือนที่เริ่มรู้เรื่อง วัลลียามีอาการเหมือนสติพัง ปัญญาเสื่อมสูญ เนื่องด้วยเอาแต่อาดูรพูนเทวษสลับกับสูงด้วยโทสะ จนคุณมัลลิกาเองก็สุดแสนจะเหน็ดเหนื่อย สังเวชใจในอารมณ์ที่ลูกเธอข่มไว้ไม่อยู่

ตัวละครที่ฉันพาออกไปสู่หน้าม่านในคราวนี้ล้วนแล้วมีฝีมือ มิฉะนั้นก็คงไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์คลั่ง ปานั่นเขวี้ยงนี่ได้อย่างพอดิบพอดีมีสีสันอย่างที่ผู้กำกับพอใจ

แม้ว่าจะกำกับไปหน้ามืดไปเป็นพักๆ ก็ยังหักความกลัดกลุ้มแทนคุณมัลลิกาจนสามารถยืนหน้านิ่งอยู่ ‘หลังม่าน’ ได้หลายชั่วโมง

นั่นก็เพราะเตรียมตัวไว้พร้อมพรักมาก่อนหน้านี้หลายต่อหลายสัปดาห์

ได้ยินเสียงคุณมัลลิกาผู้กำลังเตือนสติลูกคนรองอยู่หน้าฉาก

“แม่วัลก็ต้องนึกเผื่อไว้ด้วยนะว่า ถ้าเราไปทำอะไรรุนแรงกับเขามากๆ เขาเกิดทนไม่ไหว ขนของไปเลยเราจะทำยังไง…”

“ไปก็ไปซี คุณแม่ หนูน่ะหมดเยื่อไยแล้วจริงๆ”

คุณมัลลิกาก็เลยต้องปราม

“อย่าพูดเพราะแค้นเลยลูก ถ้าเรายังรักเขาก็อย่าทำร้ายตัวเอง”

ที่จริง นี่ก็นับว่าเป็นปัญหาที่ผู้คนมิว่าจนหรือรวยพบเห็นมาแล้วทั้งสิ้น ผู้ที่ยังไม่เคยหรือไม่มีวันจะได้สัมผัส ก็นับว่าเป็นกุศลของผู้นั้น

แต่ฉันก็บรรยายไว้แล้วถึงสาเหตุที่เป็นไป

‘วัลลียาเป็นคนวางตัวสูง ด้วยถือว่าตนเองก็ลูกผู้ดีมีตระกูลมีฐานะเป็นปึกแผ่นมั่นคง แม้ปริวรรตจะไม่ด้อยกว่ามากมาย แต่หล่อนก็เอาอำนาจและสิทธิ์ของความเป็นภรรยารูปงาม พรั่งพร้อมด้วยคุณสมบัติหลายอย่างเข้าตีวงล้อมกรอบเขา นับตั้งแต่เขาย่างก้าวเข้ามาเป็นของบ้านนี้’

เพราะนี่คือจุดอ่อนของสตรีผู้มีทุกสิ่งเพียบพร้อม แต่มีคู่ครองที่ย่อมเยากว่า

‘จะว่าไปแล้ว เขาก็เป็นสามีที่อยู่ในโอวาทมาก รักลูกสาวเธอมาก แต่เมื่อสิบสองปีผ่านไป เขาก็ถึงจุดจุดหนึ่ง’ คุณมัลลิกาแน่ใจที่สุดว่าคือจุดสุดท้ายของความคับข้องกดดันอันวัลลียาก็รู้ดีว่า ‘เขาพร้อมจะไป’

เฮ้อ…ถึงอย่างไรก็ไม่แคล้วเรื่องผัวเมีย

แล้วนี่จะทำยังไงกันดี

เมื่อถึงตอนวัลลียากินยานอนหลับเกินขนาด ‘เพื่อประท้วง’ สามีนั้น ฉันก็แทบเซไปซบกับม่านเช่นกัน

แล้วก็ใคร…รู้ไหม…ใครที่อุ้มหญิงวัย 38 ไปขึ้นรถ ส่งโรงพยาบาล

ก็คุณมัลลิกาอีกนั่นเอง มีมาลัยรายลูกสาวคนโตวัย 16 ของคนเจ็บช่วยอุ้ม

ครั้นแล้วปริวรรตก็ขนของจากไปโดยไม่มีวันกลับมาอีก นอกจากมารับลูกไปโรงเรียน

 

ฝ่ายครอบครัวของอาคม ลูกชายคนสุดท้อง มีภรรยานามว่าชดช้อย…ก็…เฮ้อ…แสนจะชวนให้ขมใจ

นั่นก็เนื่องด้วยบัดนี้ ชายวัยสามสิบห้า บุตรชายคนเดียวของคุณมัลลิกาก็ได้กลายเป็นชายหนุ่มใหญ่ผู้ขมขื่นไปโดยเรียบร้อยสิ้นเชิง

ไม่มีทางกลับไปเป็นลูกผู้แจ่มใสร่าเริงของคุณมัลลิกาได้อีก

นั่นก็คือ ภายหลังการแต่งงาน อาคมจึงพบว่า เงินเดือนทุกบาททุกสตางค์ที่เขานำมามอบให้หล่อนใช้จ่ายนั้น ถูกเจียดถูกปันไปอุปการะ แม่ หลาน น้อง และบรรดาใครต่อใครที่หล่อนอ้างว่าจำเป็นต้องเอื้อเฟื้ออุปถัมภ์ค้ำจุน

ครั้นเขาสอบถาม อีกฝ่ายก็โกรธขึ้งเคียดแค้นหาว่าเขา ‘เค็ม’ รังแครังคัดกับญาติจนๆของหล่อน

ฉันละก็นะ…ครั้งที่เขียนมาถึงตรงนี้ก็ยังอดคิดถึงความรู้สึกของตนเองขึ้นมามิได้ นั่นก็คือ ข่าวใหญ่ข่าวดังบางข่าวที่กล่าวถึงใครสักคนที่ก้าวขึ้นบันไดความสำเร็จมาจนถึงขั้น ‘ช้างเผือก’ จากป่าเพียงเชือกเดียวของทั้งโขลง ครั้นดังขึ้นมาแล้ว เหงื่อทุกหยดที่ไหลออกมากลับต้องรองมาไว้รับใช้พ่อแม่ญาติพี่น้องอีกกองใหญ่ จนเหนื่อยยากมากมาย แม้มีครอบครัวแล้วก็ยังต้องแจกจ่ายวงศาคณาญาติตัวเป็นเกลียว…จนฉันเอง…แม้เป็นคนนอก…ก็ยังอดน้ำไหลออกตาแทนมิได้ ด้วยว่า สงสารจับใจจริงจัง

นี่อย่างไร…กรรมเวรของคุณมัลลิกา

แต่อาศัยที่เธอมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ จึงมักจะปลอบใจลูกทุกคน มิใช่ยุส่งจนเขาแตกร้าวกันหนักขึ้น

ดังเช่นเธอปลอบอาคมว่า

‘ความผิดไม่ได้อยู่ที่ญาติเขาหรอกคม คนเรานี่แบ่งได้นะจ๊ะ ถึงญาติมากก็ต้องรู้ว่า เมื่อไหร่ให้เมื่อไหร่หยุด แม่เองก็เป็นคนมีญาติ แต่แม่จัดได้ จัดลูกผัวไว้ที่นึง จัดญาติไว้อีกที่ ไม่ให้เขาทั้งหลายเกิดความรำคาญกันหรือรู้สึกว่า ก้าวก่ายล่วงล้ำสิทธิ์ส่วนตัวกันเกินไป’

เห็นหรือยังว่า ผู้ใหญ่อย่างคุณมัลลิกาสมควรอยู่ในตำแหน่ง ‘นางเอก’

ในเรื่องนี้ แม้เธอจะอายุ 65

แต่ฉันก็ยกเธอไว้บนพาน

เพื่อให้ทั้งผู้อ่านผู้ชมแลเห็นได้ชัดขึ้น พร้อมด้วยลูก 3 คนของเธอ

ลดามาลย์เป็นคนอ่อนหวาน ช่างเจรจาให้ผู้คนหายโกรธ เอาประโยชน์ใส่ตนจึงได้ดีด้วยปาก และยิ่งกับสามีด้วยแล้ว หล่อนจะรู้จักผ่อนปรน ทำตัวเป็นผู้ตาม จนแม้ในกรณีที่ไม่เหมาะคือการที่เทอมสามีตามใจลูกด้วยการซื้อรถให้ หล่อนก็ไม่คิดจะขัดคอ

ส่วนวัลลียามีทิฐิสูง ไว้ตัวจัด ด้วยสำนึกแน่ในฐานะและรูปโฉมมาแต่อ้อนแต่ออก ฝ่ายปริวรรตเป็นลูกรักและลูกชายคนเดียวของมารดา มีน้องสาวสี่คน

ครั้นแต่งงานกับวัลลียาแล้ว หล่อนก็จัดแม่เขาเป็น ‘เมียหลวง’ พลางหล่อนก็สวมบทบาท ‘นางขี้หึง’ เพราะรู้ว่าผู้หญิงคนเดียวที่เขารักและเทิดทูนที่สุดคือมารดา

ก็เป็นกันซะยังงี้ละเจ้าค่ะ

เรื่องไม่ควรเกิดก็เลยเกิดตามกันขึ้นมา

“วัลข่มเหงน้ำใจพี่ทุกเรื่อง” หากท้ายที่สุดเขาก็ต้องย้อนกลับมาถามทุกข์สุขลูก ก็เลยพบกับคุณมัลลิกาและอาคมพลางบอกน้องภรรยา

เขาพูดตรงจนคุณมัลลิกาใจสั่น เกิดความชาและแสบดังหนึ่งเขาปราดเข้ามาตบหน้าเธอซ้อนๆกันหลายที

“เริ่มตั้งแต่หึงกระทั่งแม่เลยไปถึงน้องคนเล็ก จะพาลูกไปหาย่ามั่งก็คอยเกรี้ยวคอยกรี๊ดลั่นกันทุกเรื่อง น้อยอกน้อยใจหาว่าพี่น่ะรักเขาไม่เท่ารักแม่ มีอะไรก็นึกถึงแต่แม่ ขนเอาไปให้แม่ ทีกับคุณแม่ละก็ ไม่นึกถึง…โธ่…”

ผู้ร้องทุกข์จบคำด้วยเสียงคราง

“วัลเป็นคนเจ้าอารมณ์ วรรตก็รู้” ฉันได้ยินเสียงสุขุมของคุณมัลลิกาแว่วมาจากหน้าม่าน

“นั่นซีฮะ…เขาเอาอารมณ์ใส่ผมตั้งเท่าไหร่ ตั้งแต่ลูกยังเล็กจนโตป่านนี้”

คุณมัลลิกานิ่งฟัง หากก็ไม่หวังให้มาลัยรายได้ยินถ้อยคำกล่าวโทษมารดาตนเอง จึงแสร้งใช้ให้โทรศัพท์ไปถามอาการวัลลียาที่โรงพยาบาลว่า ที่กินยาหวังให้ตายเล่นน่ะถึงไหนแล้ว

“แม่ไม่อยากให้หลานเกิดความรู้สึกเสียกับแม่ของแก” เธอก็เลยบอกกล่าวให้ลูกเขยเข้าใจ

“ผมเสียใจนะครับ ไม่ได้ตั้งใจจะทำเรื่องเดือดร้อนขึ้นในบ้านเลยคุณแม่”

“แต่มันก็เดือดร้อนไปแล้วละ พ่อวรรต ถ้าพ่อวรรตไม่มี ‘คนอื่น’ แม่ก็เชื่อว่า แม่จะเป็นฝ่ายพ่อวรรตร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะรู้ดีว่ายายวัลนิสัยเสียกับไอ้เรื่องเอาแต่ใจตัวเอง ตั้งแต่เล็กแล้ว ปราบยังไงก็ไม่หาย มันเป็นสันดาน”

ปริวรรตก็เลยนิ่ง เพราะที่จริงก็เกรงใจคุณมัลลิกามาก…ก็ในความฉลาดของเธอนั่นเอง

เขานับถือเธอในความเป็นผู้ใหญ่ที่ถึงธรรม

 

บ้านที่คุณมัลลิกาต้องแวะเยี่ยมเยียนทุกครั้งคราวที่เกิดขุ่นข้องหมองไหม้ก็ได้แก่บ้านคุณโพยมศรีเพื่อนสนิท แต่คุณโพยมศรีผู้นี้มักทำตัวเหมือนยาจกทั้งๆที่รวยล้นฟ้า เพื่อนของเธอผู้นี้มีหลานชายเพิ่งกลับจากเรียนจบต่างประเทศผู้หนึ่ง นามว่า ว่าน อายุ 25 ปี คุณโพยมศรีจึงหมายตาจะคว้ามาลัยรายหลานคุณมัลลิกามาไว้เป็นสะใภ้

ค่ำวันที่ว่านมาเยี่ยมป้าของเขา เป็นวันที่พอดีกับคุณมัลลิกามาหาเพื่อนของเธอ เลยชวนกันไปกินอาหารค่ำที่ร้านเจ้าประจำแห่งหนึ่ง ได้กินไปคุยไปด้วยใจอันเบิกบานมากขึ้น ก็ถึงกับแจกแจงจาระไนปัญหาที่ก่อเกิดภายในบ้านให้ว่านฟัง ต่างคนต่างก็เพลิดเพลินมีความสุข

ครั้นกลับถึงบ้าน ก็กลับมีความทุกข์ทันใด

นั่นก็เนื่องจาก เทพนม หรือตั้มลูกชายคนโตของลดามาลย์ออกจากบ้านแล้วหายไปทั้งคืนจนถึงรุ่งขึ้นก็ยังไม่กลับ คุณมัลลิกาจึงโทรศัพท์ไปหาคุณโพยมศรี ขอแรงหลานชายของอีกฝ่ายที่เป็นร้อยตำรวจให้ช่วยตาม

“มันวัยรุ่น อายุสิบหกสิบเจ็ดนะ”

หากเมื่อใช้ความคิดอีกสักครู่ ก็ตอบตัวเองได้ว่า

‘ตั้มมันเป็นเด็กคนแรกที่หนีออกจากบ้านเมื่อไหร่กัน…ปริวรรตก็ไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่มีเมียน้อย’

ฉันจำเป็นต้องคอยกำกับให้คุณมัลลิกานึกออกว่า ชีวิตจริงคือฉันใด

ผู้แสดงเป็น คุณมัลลิกาจะได้ใส่บทบาทความเป็นสุภาพสตรีวัยหกสิบห้าผู้สุขุมคัมภีรภาพได้แนบเนียน

ครั้นแล้ว จึงได้ข่าวว่า เทพนมคงออกไปต่างจังหวัดแล้วเพราะได้ข่าวจากเพื่อนของเขาว่า เจ้าตัวบ่นเบื่อกรุงเทพฯ

แต่แล้วก็ได้ข่าวว่า มีคนเห็นเทพนมขึ้นรถทัวร์ไปขอนแก่นกับหญิงวัยรุ่นคนหนึ่ง ซึ่งมะลิลา น้องสาวของเขาคิดว่าคือเด็กที่ชื่อ มะแม

“อยู่ชั้นเดียวกับพี่ตั้ม ไม่เอาถ่านเหมือนกัน” อีกฝ่ายลงความเห็นอย่างแน่ใจ

เหตุไฉนครอบครัวนี้จึงมีแต่เรื่องชวนปวดศีรษะ…ฉันเองก็ยังตอบไม่ได้

หรืออาจเป็นเพราะถึงเวลา

ถึงเวลาของสามีภรรยาที่อยู่ร่วมกันมาจนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายเกิดอาการเหลืออด…ด้วยเหตุแห่งการหมดกำลังใจจนขาดไร้ชีวิตชีวาที่จะพาชีวิตคู่ไปกับเขาหรือกับเธอจนถึงแก่เฒ่าได้

ถึงเวลาที่ลูกทุกคนอยู่ในวัยรุ่น ก็อาจจะก่อเหตุวุ่นวายคาดไม่ทันด้วยอารมณ์อันหุนหันพลันแล่นได้ทุกเมื่อ

มิใช่ว่าผู้กำกับจะเชื่อเอาเองเมื่อไรเล่า

เคยเห็นมานักต่อนักว่าทุกเรื่องราวมักดำเนินไปตามเหตุผลต้นปลายที่ไม่ใครก็ใครเพาะพันธุ์ไว้ อาจเป็นปู่ย่าตายายพ่อแม่พี่ป้าน้าอา…ครูอาจารย์ รวมทั้งผองเพื่อนที่มีการเลียนแบบกันและกัน โดยตัดแบบแผนดีออกไป รับแบบแผนเสียเข้ามา

เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องแปลกใจที่เทอมและลดามาลย์จะต้องลางานไปตามลูกชาย เพราะคุณมัลลิกาเองก็แสนจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ

ฉันละก็เห็นใจตัวละครเรื่องนี้เป็นที่สุด

เพราะตอนที่ฉันบอกให้เทอมพูดว่า

“เราไม่ได้ห่วงเรื่องผู้หญิง แต่ห่วงว่ามันจะอยู่กินยังไง เงินทองมีพอใช้หรือเปล่า…ลูกเราเป็นผู้ชาย ได้เปรียบอยู่แล้ว”

เขาได้แต่มองหน้าผู้กำกับขึงเข้ม

“เทผมเต็มๆเลยเหรอคุณ…”

ผู้กำกับตัวร้ายก็เลยได้แต่ยิ้มปลอบใจ

“น่าา-นะ…มันก็ต้องมียังงี้แกมมั่งไง ไม่งั้นมันก็จืดน่ะซี น้องชาย”

อีกฝ่ายก็เลยสะบัดหน้า เม้มปากแน่น เดินห่างไป

อะฮ้า…แต่พี่แกก็เล่นได้เนี้ยบจนฉันแอบยกนิ้วโป้งชูให้ โดยพลันเขาก็หันมาเห็นพอดี

แม้กระนั้นก็ยังแอบทำตาขวางนิดๆเข้าใส่

คุณมัลลิกาเองก็ยังหมั่นไส้ลูกเขยขึ้นมา

“พ่อเทอม พูดยังงั้นมันก็ไม่ถูกนะลองกลับกันเอาไหม ลองนึกว่า ถ้าเด็กคนนั้นเป็นยายมุ่นลูกตัวเองมั่ง จะว่ายังไง” เธอหมายถึงมะลิลา น้องสาวของเทพนม

ลูกเขยก็เลยนิ่งเงียบ

“ไอ้ลูกเขาเป็นผู้หญิงนั่นซี ทำให้เราร้อนใจ เราถนอมลูกหลานผู้หญิงแค่ไหน คนอื่นเขาก็หวงลูกสาว หลานสาวของเขาแค่นั้น”

“สมมุติมันเกิดเป็นอะไรกันล่ะคุณแม่” ลดามาลย์ตั้งคำถาม

“เราก็ต้องรับผิดชอบซี” เธอตอบทันควัน

“โอ๊ย คุณแม่” เทอมร้องเสียงหลง “เกินไปแล้วครับ คุณแม่ใจดีเกินไปแล้ว คุณแม่ไม่คิดมั่งหรอกหรือว่า ถ้ายอมรับมัน ก็เท่ากับตัดอนาคตเจ้าตั้ม”

“ตัดเติ้ดอะไร้ เด็กชาย ใครจะไปรู้ว่ามันเป็นผัวใคร ไอ้ผู้หญิงน่ะซี มันท้องได้ ท้องป่องออกมาก็เสร็จแล้ว กว่าจะหลบซ่อนตัวจนท้องแก่แอบคลอดลูกน่ะ พ่อเทอมคิดว่า มันน้อยๆวันอยู่หรอกหรือ แล้วถ้าจะให้มันเลิกท้อง ก็ต้องพามันไปทำแท้ง ตะละเรื่องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ พ่อแม่ข้างโน้นเขาควรจะเป็นทุกข์มากกว่าเราแยะนะ เราน่ะยังไม่เท่าไหร่ ถ้าตาตั้มไม่ไปสูบกัญชาติดเฮโรอีนหรือไปปล้นใครเขามันก็ไม่กระไรนักหรอก”

ทั้งลูกและลูกเขยก็เลยนิ่ง เพราะถึงอย่างไร ถ้อยคำคุณมัลลิกาย่อมศักดิ์สิทธิ์ยอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว

เนื่องด้วยเป็นที่พึ่งของทุกคนในบ้าน

แต่ท้ายที่สุด เขาก็อดรนทนไม่ไหว จึงเปล่งเสียงออกมาอีก

“อย่าลืมว่ามันเป็นลูกชาย มันจะต้องสืบตระกูล ถ้าไม่พยายามปลุกปล้ำให้ได้ดี ก็เท่ากับสูญเปล่า”

คุณมัลลิกาฟังแล้ว ไม่อยากจะแย้งถ้อยคำของลูกเขย

แต่ในความรู้สึกของเธอ คิดว่าผู้หญิงก็สืบตระกูลได้ เพียงแต่สืบอย่างเงียบๆ เพราะแม้จะถูกกลืนไปอยู่ในสกุลอื่น แต่หากเลือดเนื้อของหญิงนั้นคือมนุษย์ผู้มีค่าของแผ่นดิน

ก็ย่อมสมควรกล่าวได้เต็มปากว่า

หญิงนั้นสืบตระกูลแล้วอย่างเพียบพร้อม

หากในที่สุด พ่อกับแม่เลี้ยงของมะแมก็มาตามถึงบ้านคุณมัลลิกา

 

จึงได้ความว่า

มะแมเป็นลูกคนเดียวของเขากับภรรยาเก่าซึ่งก็แต่งงานใหม่ไปนานแล้ว มีลูกชายกับสามีใหม่สองคน ส่วนตนเองก็แต่งงานใหม่กับผู้หญิงที่มาด้วยกันนี้ มีลูกชายหนึ่งคน

มะแมไม่ชอบน้องผู้ชาย ก็เลยเหงา หันไปติดเพื่อน ฝ่ายพ่อฟ้องคุณมัลลิกา

“เพื่อนตะละคนของแกก็เหมือนแกน่ะครับ ชอบชวนกันเหลวไหล ผมเองก็การงานรัดตัว เวล่ำเวลาจะพูดคุยกับแกก็แทบไม่มี”

เจ้าของบ้านก็เลยถามหญิงสาวผู้เป็นแม่เลี้ยง

“กับคุณล่ะคะ”

“เราก็…ดีกันค่ะ แต่แกก็ไม่ค่อยคลุกคลีเท่าไหร่ เช้าขึ้นแกก็ไปโรงเรียน ดิฉันไปทำงาน คือเราก็ไปรถคันเดียวกันน่ะแหละ สี่คน พ่อแม่ลูก แต่ขากลับต่างคนต่างกลับเพราะพ่อเขาเอาแน่ไม่ค่อยได้ คืองานพ่อเลิกเย็นมาก ดิฉันก็ต้องไปรับลูกเล็กแล้วขึ้นรถเมล์กลับเอง แกก็ขึ้นรถเมล์กลับของแก ถึงบ้านก็พลบแล้วนะคะ แกทานข้าวเสร็จก็เข้าห้องปิดประตู เราเลยต่างก็ไม่ทราบอะไรกันและกัน”

แม่เลี้ยงเล่าเรื่อยๆยิ้มๆ ดูท่าทางไม่มีพิษมีภัย แต่ก็ไม่ใช่ท่าทางที่อบอุ่น

คุณมัลลิกาฟังแล้วไม่แปลกใจ

โลกกรุงเทพฯปัจจุบัน (พ.ศ.2526) ส่วนใหญ่จะลงเอยอย่างนี้

ทุกคนไม่มีเวลาพอสำหรับเรื่องอื่น

ภาระในท้องถนนและการทำมาหากินมาพรากเอาทุกคนไปจากครอบครัว

พรากพ่อแม่จากลูก

พรากลูกจากความอบอุ่นไยดี

เว้นไว้แต่บางคนที่มีสติพอ ก็สามารถจัดเวลาได้พอควร

แต่ถ้าเป็นครอบครัวบ้านแตกสาแหรกขาด การที่สายเลือดจะโยงกันได้แนบสนิทนั้น เป็นเรื่องยากลำบากที่สุด

ดูแต่ครอบครัวใหญ่ของเธอนี้ก็ได้

แม้จะมีเธอเป็นหลักอยู่ทั้งคน มรสุมก็ยังพัดกระหน่ำเอารุนแรงจนหักโค่น

“แกเป็นเด็กเลี้ยงยากครับ พูดอะไรไม่ค่อยยอมเข้าใจ” พ่อของมะแมรวบรัด “ผมก็เลยอยากฝากตามให้ด้วย ถ้าพบตั้มก็ต้องเจอมะแม”

“แล้วนี่คุณแม่แกทราบหรือยัง”

“ยังครับ ผมยังไม่ได้บอกไป” พลางก็เบ้ปากนิดๆ “ถ้าบอกก็ต้องโวยละ หาว่าไม่ดูแลไม่เอาใจใส่ แล้วก็อีกร้อยแปด ผมขี้เกียจฟัง”

สุ้มเสียงของเขาชวนให้บรรยากาศเศร้าหมอง

โดยพลัน แม่เลี้ยงก็บอกกล่าว

“มะแมออกจะเป็นทอมค่ะ”

คุณมัลลิกาฟังแล้วจึงค่อยโล่งอกขึ้นมาหน่อยหนึ่ง

ระหว่างนั้น เธอก็เดินมาต่อว่าผู้กำกับ

“นี่จ้ะคุณจ๊ะ…เมื่อไหร่จะให้ฉันไปเที่ยวสบายๆ ไม่มีปัญหาลูกหลานมามะรุมมะตุ้มซะทีล่ะ”

ผู้กำกับใจร้ายก็เลยเสแสร้งปลอบใจ

“อีกหน่อยเดียวน่า คุณยาย…เอ๊ย…คุณมัลลิกาก็อยากเกิดมาเป็นไม้ใหญ่ทำไมล่ะ นกกามันก็แวะเวียนมาอาศัยน่ะเซ่ อาศัยเฉยๆน่ะจะพอไหม…คิดดู…มันก็ต้องมีคู่ สืบพันธุ์ ออกลูกมาเต็มรัง…กว่าจะสอนลูกบิน กว่าจะสอนให้หากินเองน่ะ มันเหนื่อยขนาดไหน…”

“อือ…จริงของเธอ” คุณมัลลิกา ‘นางเอกของฉัน’ ก็เลยทำท่าปลงตก หันกลับไปเข้าฉาก

ลงมือทำกับข้าวเองแก้กลุ้ม คอยลูกสาวลูกเขยสองบ้าน รวมทั้งหลานชายคนโต

จนกระทั่งกลับมาด้วยอาการซีดเผือดโผเผ แต่ก็เล่าให้ฟังว่าไม่พบเพราะสวนทางกัน เนื่องจากตั้มกับมะแมกลับมาแล้ว

ฝ่ายเทอม พ่อของเทพนมย่อความจนได้ใจความที่ดีเยี่ยมกับฝ่ายตนเองเหมือนทุกครั้งว่า

“ถ้าบ้านมันเป็นยังงั้นละก็ มันก็มาชวนลูกเราหนีอีกน่ะแหละ ไอ้พวกบ้านแตกนี่ มันก็คือมารสังคมเราดีๆนี่เอง” ฉันค่อยๆนำประโยคนี้ใส่ปากเขา “จะว่าไปแล้ว เด็กบ้านแตกคือตัวการใช่ไหม ลองคิดดูดีๆ เด็กพวกนี้เองที่มาจูงเด็กดีๆอย่างลูกเราเสียคน”

ภรรยาออกปากห้ามลงโทษแต่ลูกคนอื่นเพียงไรก็ไม่ยอมฟัง

แต่คือถูกฉันเองแท้ๆ…ฉันเองคนเดียวที่ปั้นแต่งเทอม สามีของลดามาลย์ เขยใหญ่ของคุณมัลลิกาให้เป็นเช่นนี้

หากแท้จริงแล้ว เทพนมก็ยังคงอยู่ที่ขอนแก่น เงินเหลือแค่สิบบาทสุดท้าย เลยต้องโทรศัพท์มาหาคุณยาย

“ให้ค่าโทร.แล้วยังไม่มีเงินจะกินข้าว”

เฮ้อ…แต่ฉันจะไม่เล่าถึงครอบครัวอาคมเสริมเข้ามาให้ผู้ชมเหน็ดเหนื่อยกับปัญหาของบ้านนี้หรอกนะ…ไม่เล่าแน่นอน แม้ว่าชดช้อยจะพาความเดือดร้อนเรื่องหลานมาให้คุณมัลลิกาด้วยก็ตาม

ลูกสาวคนโตก็หาเรื่องมาลุกลาม บางโมงยามถึงแก่กินน้ำตาพออยู่แล้ว ยังเมียของลูกคนเล็กอีกนี่

ผู้กำกับเองก็เหลือจะรับไหว

เพราะตั้งแต่เขียนด้วยกำกับด้วยตั้งแต่ต้นจนค่อนเรื่อง ฉันก็ยังไม่มีโอกาสให้คุณมัลลิกามีความสุขเหมือนหญิงสูงวัยอื่นๆที่แม้จะไม่ชื่นใจในความมั่งมี แต่ชีวิตก็ไม่ถึงกับมีปัญหาจากลูกหลานที่ทยอยกันเข้ามาให้ช่วยแก้

แม่ค้าบางคนยังคงนั่งสบายๆ ประแป้งลายพร้อย ขายข้าวแกง ขายส้มตำ เนื้อย่าง หมูปิ้ง เจรจาพาทีกับลูกค้าหน้าตาชื่นบาน

แต่คุณมัลลิกาอยู่ในตึกมโหฬาร กลับมีอันต้องน้ำตาตกมิวายเว้น

หากก็เอาเถอะนะ…ไหนๆก็มีชื่อว่า ‘กิ่งมัลลิกา’ แล้วนี่ ก็หมายถึงกิ่งใช่ไหมที่แตกดอกออกช่อมาจากมัลลิกาต้นใหญ่

เป็น ‘ต้นแม่’ ต้นน้ำ

มิฉะนั้นก็เป็น ‘ต้นขั้ว’

แม้ฉีกใบเสร็จออกไป ต้นขั้วก็ยังอยู่ ยังยืนยันราคาที่ต้องนำมารวบรวมไว้มิให้สูญหาย ยังมิรู้ว่าจะกำไรหรือขาดทุน

 

แต่ในที่สุด เทอมและลดามาลย์ก็พาเทพนมกลับมาจนได้ พร้อมด้วยมะแม เนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้ายู่ยี่ มีรอยเปื้อนกระดำกระด่างมานั่งลงตรงหน้าคุณมัลลิกา ขณะที่เทอมก็ยังพูดพร่ำเข้าข้างลูกไม่ขาดปาก จนผู้เป็นประมุขต้องขัดคอ

“นี่ละน้า เคราะห์กรรมก็เลยตกมาอยู่กับเด็กทั้งๆเด็กก็ไม่ได้เป็นฝ่ายก่อซักนิดเดียว ทีนี้พอไปเข้าบ้านใคร บ้านนั้นก็เกิดรังเกียจ กลัวจะเอาเชื้อเกเรมาติดลูกตัว” เธอก็เลยพูดกับเทอมตรงๆ

แต่ลูกเขยจะหยุดรู้เรื่องก็หาไม่

นิสัยเช่นนี้ ฉันเองนำไปฝากไว้กับเขา

คนแสดงเป็นเทอมถึงกับถามฉันว่า

“คุณคิดยังไงถึงเลือกให้ผมเอาแต่เข้าข้างลูกตัว ไม่เห็นใจลูกคนอื่น”

“จะคิดยังไง…ก็คิดว่าคุณจะแสดงบทพ่อแม่รังแกฉันได้ดีกว่าใครน่ะซีจ๊ะ”

นักแสดงก็เลยทำปากบิดนิดๆ เหมือนจะย้อนตอบ

‘ฝากไว้ก่อนละกัน ผู้กำกับ’

ตรงกันข้ามกับ มาลัยราย ลูกคนโตของวัลลียา ที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมะแมมาก จึงรีบหาเสื้อผ้าของตัวเองมาให้เพื่อนของลูกผู้พี่สวมใส่ พลางก็เกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายอาบน้ำสระผม เดี๋ยวพ่อมารับ จะได้กลับบ้านอย่างเรียบร้อยหน่อยหนึ่ง

แต่มะแมก็ไม่อยากกลับบ้าน

แม่ของมาลัยรายคือวัลลียาก็ไม่อยากให้เด็กสาวอยู่บ้านนี้ตามที่ลูกสาวเธอปรารถนา เนื่องด้วยเดียดฉันท์เรื่องความประพฤติ

ขณะที่มะแมเข้ามาขออนุญาตซักเสื้อผ้าชุดเก่าที่แสนสกปรก เพื่อว่าตนเองจะได้ใส่ชุดนั้นกลับบ้าน ส่งคืนเสื้อผ้าที่มาลัยรายให้ยืมอย่างเรียบร้อย

วัลลียาจึงอนุญาต

มะแมก็ซักเสื้อกางเกงนำไปตาก แห้งแล้วก็รีดเอง ครั้นอารมณ์ดีขึ้นมาจึงเล่าเรื่องการไปขอนแก่นให้ฟัง

“ต่างจังหวัดนี่ดีนะคะ หนูชอบ…เราก็ซื้อข้าวเหนียวไก่ย่าง มีน้ำกระติกนึงสะพายไป”

ขณะที่ผู้ฟังแสนจะอ่อนแรง จึงปรามว่า

“ไม่มีที่ไหนดีหรอก มะแม ทีหลังหนูอย่าคิดยังงี้อีก พอออกนอกบ้านแล้วมีอันตรายรออยู่แทบทุกแห่งเลยนะ”

ถูกของวัลลียา

แต่เด็กวัยรุ่นน่ะหรือจะรู้เรื่องใดมิว่าดีหรือร้าย

วัยรุ่นจึงมักถูกทำร้ายโดยไม่รู้ตัวจากผู้ใหญ่และเด็กด้วยกันตลอดมา

ครั้นแล้ว คุณมัลลิกาจึงช่วยขริบผมเผ้ารุงรังของมะแมให้เข้าที่ จนวัลลียาท้วงติงไม่ให้เมตตาเด็กจนเด็กอยากอยู่บ้านนี้ เกรงจะมา ‘กลืน’ ลูกๆของพวกหล่อน

คุณมัลลิกาก็เลยถามว่า

“มันมีอยู่สองอย่าง คือให้มะแมมันจูงลูกเราออกไป หรือให้ลูกเราจูงมะแมเข้ามา อย่างไหนดีกว่ากัน…ผู้ใหญ่ถูกทอดทิ้ง ยังเจ็บปวดรวดร้าวดิ้นพราดๆ แล้วเด็กถูกทิ้งนี่จะขนาดไหน”

อีกฝ่ายก็เลยสะเทือนใจขึ้นมาอีก หลังจากสามีขนของจากไป…สดๆร้อนๆเลยทีเดียว

แล้วก็จริงดังคาด พอเห็นรถของบิดาแล่นเข้ามา มะแมก็รีบวิ่งไปแอบข้างพุ่มไม้ จนกระทั่งเทพนมเดินไปเรียกให้ออกมาพูดจากับพ่อให้รู้เรื่อง ถึงได้ออกมา

ซักไซ้ไต่ถามกันสักครู่โดยเด็กสาวบอกดื้อๆว่า

“แมไม่อยากเรียน”

เท่านั้นเอง ทั้งพ่อและแม่เลี้ยงก็อดโทสะไว้ไม่ได้

ผู้เป็นพ่อถึงแก่เสียงเกรี้ยว

“แกนี่มันไฝ่ต่ำจริงๆ”

เฮ้อ…ฉันฟังไปกำกับไปก็ยังเหนื่อยใจกับเด็กและผู้ใหญ่ในเรื่องนี้…

ยังดีนะ…ที่ไม่ถึงกับกระชากม่านข้างๆลงมาเพราะข่มใจไว้มิได้

ปัญหาครอบครัวนี่ช่างแสนจะไม่ชื่นอุราที่ตรงไหนเลยจริงๆ

โดยเฉพาะ ‘กิ่งมัลลิกา’

ในที่สุด มะแมก็จำต้องตัดสินใจไปกับพ่อ

ฝ่ายเทอมก็เอ่ยขึ้น

“ตั้ม พ่อขอบอกไว้นะว่า ต่อไปนี้อย่าได้ติดต่อกับนังมะมงมะแมนี่อีก”

คุณมัลลิกาฟังเงียบๆ แม้เธอไม่รู้รายละเอียดมากนัก หากก็นึกออก

เด็กคนนั้นต้องการ ‘ผ้าห่มมีชีวิต’ สักผืนหนึ่ง…ที่อุ่นพอ

แต่ไม่มีผู้ใดสามารถให้ได้

 

– จบ –

 

 

 

Don`t copy text!