“หลังลับแล” เบื้องหลังแสงสว่างมีความมืด…เบื้องหลังความมืดมีแสงสว่าง

“หลังลับแล” เบื้องหลังแสงสว่างมีความมืด…เบื้องหลังความมืดมีแสงสว่าง

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

“หลังม่าน” คอลัมน์ที่จะบอกเล่าถึงชีวิตของตัวละครเด่นๆ ในนวนิยายของ กฤษณา อโศกสิน เป็นเรื่องราวเบื้องลึกที่มีแต่นักเขียนเท่านั้นที่จะสามารถรู้ได้ และนำมาบอกเล่าให้ผู้อ่านชาวอ่านเอาได้เห็นชีวิตด้านหลังม่านของตัวละครเหล่านั้น

ใน พ.ศ.2530 เรื่องราวของเด็กสาวเยาว์วัยผู้หนึ่งซึ่งฉันบังเอิญล่วงรู้มา รวมทั้งบังเอิญค่ำมืดวันหนึ่ง ฉันมีโอกาสนั่งรถผ่านธนาคารใหญ่ที่ไฟภายในยังเปิดสว่าง จึงแลเห็นโต๊ะเก้าอี้ที่วางตั้งอยู่นั้นเต็มนัยน์ตา โดยพลัน แสงจากจินตนาการก็พุ่งขึ้นมาในมโน กลายเป็นภาพ ‘ตัวละครของฉัน’ กำลังแสดงบทบาทบางอย่างที่ตนเองนึกไม่ถึงว่าจะมีผู้คนจากห้องข้างนอกแลเห็น จึงเก็บมาเป็น ‘เบื้องหลัง’ ที่มีลับแลเป็นฉากกั้นบัง

ครั้นแล้วจึงตั้งชื่อว่า ‘หลังลับแล’

นำลงตีพิมพ์ในนิตยสารโด่งดัง ‘สตรีสาร’

ต่อมา เมื่อรวมเล่มแล้ว จึงปรากฏ ‘คำนำ’ ครั้งที่ 2 ดังนี้

‘เบื้องหลังแสงสว่างมีความมืด

เบื้องหลังความมืดมีแสงสว่าง

วิถีชีวิต มิว่าของใคร จึงมีโอกาสได้สัมผัสทั้งความสว่างและความมืดเท่าเทียมกัน เพียงแต่ใครจะใช้วิธีคิดของตนได้แยบยล แหลมคมจนสามารถพาตนเองก้าวเดินหลบความมืดไปสู่ความสว่างได้อย่างงามสง่ากว่ากันเท่านั้น บางคนใช้เวลายาวนาน อาจจะถึงครึ่งค่อนชีวิตหรือตลอดชีวิตก็ว่าได้ แต่บางรายก็หลบได้รวดเร็วยั่งยืน เป็นที่น่าชื่นใจของตนเองและผู้ใกล้ชิด

‘หลังลับแล’ จึงเป็นนวนิยายแห่งการตีแผ่และสะกิดให้ตรวจสอบทั้งตนเองและผู้อยู่ใกล้ก่อนก้าวออกไปสู่ความมืดหรือความสว่างที่แอบแฝงสิ่งไม่พึงประสงค์ไว้โดยไม่มีสัญญาณใดๆบอกให้รู้’

โดยเฉพาะหญิงผู้เยาว์ที่สิ้นไร้ทั้งพื้นฐานอันดีและพ่อแม่ญาติพี่น้องที่มีชีวิตตามมีตามเกิดซึ่งท้ายสุดก็อาจตกไปอยู่ในบ้านเช่าที่เสี่ยคนหนึ่งเช่าไว้นอนกับหญ้าอ่อนของเขา

‘เดียงสา’ นางเอกของฉันก็ตกอยู่ในสภาพนี้เช่นเดียวกับหญิงเคราะห์ร้ายรายอื่นๆพอกัน

ตอนที่เริ่มเรื่องนั้น เด็กสาวถึงกับบอกฉันก่อนเข้าฉาก

‘ไม่ทราบว่าหนูจะเล่นได้ ‘ถึง’ ไหมน่ะค่ะ’

‘ถึงซี ต้องถึง หนูท่าทางจะเป็นมือหนึ่งต่อไปนะ’ ฉันก็ได้แต่ปลอบโยนเอาใจขณะปล่อยให้หล่อนเดินเข้าสู่หน้าม่านที่ฝนฟ้ากำลังเทลงมา แล้วไฟในห้องก็ดับมืดจนเดียงสาต้องจุดเทียนขึ้นเล่มหนึ่ง

โดยมิรู้เลยว่า แสงจากดวงเทียนเล่มเดียวนี้ช่วยสลายความเข้มของกระจกหน้าต่าง จนใครคนนั้นจากในห้องหับบ้านตรงกันข้าม แค่มีกำแพงไม่สูงนักขวางกั้น…สามารถมองเข้ามาจนกระทั่งแลเห็นความเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถของหล่อนได้นานเท่านาน

เดียงสา ณ บัดนี้อยู่ในชุดนอนอันรัดกุม แต่ก็อยู่ในท่าแหงนหงาย ทอดแขนตามสบายไว้บนเก้าอี้ ลำคอทั้งช่วงจึงดูตึงขึ้นอีก ปลายคางบางไฉไลไล่ขึ้นถึงปลายจมูกโด่งที่มีคางเรียว ผมยาวรวบไว้ เปิดให้เห็นใบหูและข้างแก้ม

หล่อนแหงนคอนิ่ง นิ่งทีเดียว…หล่อนกำลังคิดถึงอะไรหนอ…

คงคิดถึงชายวัย 40 ผู้นำหล่อนมาเก็บไว้อย่างเงียบเชียบ…ดังที่ชายในสังคมนี้นิยมประพฤติจนติดเป็นนิสัยประจำชาติ

ครั้นแล้ว ตัวหล่อนเองก็เลยมีพฤติกรรมแบบ ‘เสื้อโหล’ ที่ไม่ต่างไปจากหญิงอื่น

คือสามารถต้อนรับชะตาชีวิตเยี่ยงนี้ได้ทั้งๆอยู่ในเครื่องแบบนักศึกษา

หรือว่า หล่อนกำลังเสียใจ เสียดายความเป็นหล่อน เสียดายวัยอันผ่องผุดซึ่งหากจะหลีกไปทำอย่างอื่นที่น่าชมกว่านี้ก็ย่อมได้

หรือว่ากำลังดีใจในโชควาสนาที่ตนเองไม่ต้องเหนื่อยยากฝ่าฟัน ขันแข่งกับผู้คนอีกหลากหลายบนหนทางอันแออัดด้วยคู่ต่อสู้

ยิ้มหยันจึงผุดขึ้นบนแนวปากของผู้มอง

ใช่…มีชายหนึ่งกำลังจับจ้องทุกการขยับกายและอาจเลยไปถึงใจที่กำลังล่องลอยของเดียงสา

เขาคือ พระเอกของฉัน นามว่าคุณเจ หรือชื่อจริงว่า ‘จานเชิง’

เป็นลูกชายคนเล็กของบิดามารดาผู้มีฐานะอันดี ถัดออกไปจากกำแพงกั้นคือ ‘สตูดิโอถ่ายภาพ’ ของบุรุษหนุ่มมือชุ่มผู้นี้…ผู้ที่กำลังแง้มบานเกล็ดอลูมิเนียมที่รูดปิดหน้าต่างห้องของเขา แล้วจึงสอดกล้องส่องทางไกลเข้าไปในช่องว่างที่เขารูดเกล็ดขึ้นหน่อยหนึ่ง

โธ่เอ๋ย…เขาได้แต่นึกในใจ…หล่อนยังเยาว์อยู่นักหนาเลยจริงๆ…หล่อนภายในวงกลมนี้ช่างแจ่มชัด นัยน์ตาใหญ่ จมูกแหลม ปากบางแต่เต็ม เหมาะเป็นดาราหน้ากล้อง เป็นสาวสวยเด่นดังมากกว่าจะเป็นเพียงเมียเก็บ แอบอยู่แอบนอนกับผู้ชายมีเงินอย่างไอ้หมอนั่น ไอ้คนที่มารถเบนซ์ปิดฟิลม์สีเข้มคนนั้น

แต่มันก็มาไม่เป็นสูตร

บางทีอาจจะเป็นยามดึกดื่นหรือวันธรรมดาหรือแม้แต่วันหยุด…หากก็มาดึกทีเดียว…มาแล้วจะปิดประตูห้อง นอนกกกันอยู่สักชั่วโมงสองชั่วโมง ทิ้งไฟสว่างไว้ข้างนอก จนกระทั่งกลับออกมาด้วยกัน

ครั้นแล้วฝ่ายสาวน้อยก็จะลงไปส่งเขาขึ้นรถขับออกไป ไม่เคยค้างคืนเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ช่างบัดซบเสียจริงๆ

แต่ที่จานเชิงโกรธเกรี้ยวมิใช่เพราะอิจฉาหรอกนะ ไม่ใช่แน่ๆ…ฉันบอกบทให้เขารู้ตัวว่า…ไม่ใช่…

ก็เพราะผู้กำกับยัดเยียดให้เขาหยิ่งไงล่ะ

เอาเป็นว่า…แค่เสียดาย ‘วัยรุ่น’ ของเด็กสาวแค่นั้น

ครือว่า…ครือว้าาา…เขารักดอกไม้กับผู้หญิงไงจ๊ะ…ก็เลยนำความดื่มด่ำสอดใส่ไว้ในความงามเยาว์วัยของบุปผาและนารี…จนกระทั่งต้องคอยเฝ้าบันทึกภาพดอกโบตั๋นยามคลี่คลายขยายกลีบจากทุ่มตรงจนกระทั่งดึกดื่น ถ่ายไว้ทุกระยะ แทบทุกบทบาทที่กลีบของมันขยับ เผลอนิดเดียว เพียงแต่หันไปสนใจพูดคุยกับคนข้างๆ หันกลับมาอีกที มันบานไกลไปกว่าเมื่อกี้หลายขยับ ราวกับจะล่อหลอกให้พะวงหลงระเริงไปกับชีวิตชีวาของมันกระนั้น

แล้วเลือดเนื้อของสาวน้อยๆเช่นนี้เล่า

ห้าขวบ แปดขวบ สิบสองขวบ กระทั่งสิบห้าปี สิบแปดปี

นับเป็นวัยวิวัฒน์พัฒนาน่าทะนุถนอมนี่กระไร

เหตุไฉนจึงใจกล้า ทำร้ายตนเอง…ด่วนทอดร่างให้ชายเชยชมเหมือนหาราคาค่างวดมิได้

เขาเศร้าใจเสมอจริงๆ จึงมักโกรธเลยไปถึงอีนางแม่อีนางป้าของหล่อนผู้ไร้สิ้นซึ่งหัวคิด ส่งหล่อนมาปรนเปรอ ‘ไอ้เปรต’ ตัวนี้ได้อย่างไร ในเมื่อลูกตัวเองเพิ่งอายุสิบแปด

เดียงสา…หล่อนชื่อเดียงสา แปลว่ารู้การควรและไม่ควร

เขาจะโทรศัพท์บอกให้หล่อนเปลี่ยนชื่อเสียทีดีไหม

ป้าหยด…ป้าของหล่อนเดินขึ้นมา นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้าม ร่างอ้วนของแกจึงบดบังเนื้อตัวบอบบางของหล่อนจนเขามิอาจแลเห็นได้อีก

‘พระเอกของฉัน’ จึงได้แต่ปลดมู่ลี่ลง เก็บกล่องส่องทางไกล

ผู้กำกับได้แต่สงสารเขาจังเลย…จนต้องถอยมานั่ง ‘หลังม่าน’ ไม่มีแม้แต่แรงจะยกมือขึ้นโบกเป็นกำลังใจ

 

ในสตูดิโอของพระเอกยังมีหนุ่มวัยใกล้กันมารับจ้างช่วยงาน ชื่อเวียงชัยคนหนึ่ง ตันอีกหนึ่งคน ตันนั้นเพิ่งมาใหม่โดยเวียงชัยเป็นคนรับรอง

จานเชิงก็เลยต้องท่องคาถาประจำชีพของเขาให้ผู้ช่วยมาใหม่ได้รับรู้ว่า ‘สำนักงาน เจ. แอนด์ วี’ ของตนเองมีอุดมการณ์กำกับงานอาชีพไว้อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘อย่านำความจนมาอ้างเพื่อการทุจริตใดๆในสำนักงาน’

นั่นก็คือ ต้องซื่อสัตย์ต่อทุกชีวิตที่ก้าวเข้ามาเกี่ยวข้อง มิว่าผู้จ้างหรือผู้ใดใครอื่น

ตันก็เลยถาม

“พี่รับจ้างถ่ายภาพนู้ดด้วยไม่ใช่หรือ”

“ถ่ายทุกภาพที่โลกนี้มี” ชายหนุ่มตอบทันใด แม้อาจยังคงฟุ้งซ่านไม่เสร็จอยู่บ้างจาก ‘หล่อน’ ผู้แวบผ่านเข้ามาราวสายฟ้าแลบเมื่อครู่ “เพียงแต่…จะไม่ทำการคดในข้องอในกระดูกตลบหลังนางแบบด้วยประการใดๆทั้งสิ้น…ตันก็รู้…อาชีพช่างภาพมีโอกาสผิดได้มาก ศิลปะการถ่ายทำกับตัดต่อพาคนฉิบหายมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่ ฉะนั้นผมถึงได้บอกไว้ทันทีที่เราพบหน้ากันไงล่ะว่า เจ แอนด์ วี ต้องการผู้ร่วมงานมือสะอาด”

“พี่จะไม่มันก็ตรงนี้แหละ ทำไมพี่พูดเรื่องสัจธรรมคุณธรรมบ่อยจัง ผมเซ็งทุกครั้งที่มีใครพูดอะไรพรรค์นี้”

จานเชิงก็เลยพยักหน้า

ถูกของตัน มุมของเขากับมุมของตันเป็นคนละมุม

“มุมของพี่ แลเห็นพระอาทิตย์ขึ้น แต่มุมของผมแลเห็นพระอาทิตย์ตก เพราะงั้นมุมผมเลยเป็นมุมค่อนข้างเศร้า”

“มุมหลายมุมของคนเราเป็นมุมลับน่ะตัน” จานเชิงบอกกล่าว “มันแอบผู้ในที่กำบัง ใครเข้าถึงคนนั้นได้กำไร”

ตันจึงเพิ่งรู้ในบัดนี้ว่า

เจ้าของสำนักงานมิใช่ชายหนุ่มสามัญ

ไม่ใช่ผู้แสวงหาเงิน

ไม่ใช่นักเสพกาม

ไม่ใช่แม้แต่มือกล้องที่สักแต่ทำภาพสีขาว-ดำ ให้ออกมา ‘ขายได้’

“พี่…พี่เวียงเคยยกย่องพี่มาก แต่บอกจริงๆว่า ผมก็ฟังงั้นๆแหละ…ไหนพี่เวียงบอกว่าพี่เป็นคนเบิกบานมากไง แต่นี่…ผมยังไม่ได้เห็นพี่หัวเราะเต็มเสียงเลยนะตั้งแต่มานั่งตรงนี้”

“คืออารมณ์ผมมันเกิดอับเฉาขึ้นมาดื้อๆงั้นเอง เมื่อกี้เอง ตอนหม้อแปลงไฟแถวนี้ถูกฟ้าผ่าน่ะ ผมซึ้งตรงที่ว่าแม้แต่แสงเทียนก็ช่วยเราได้ แสงเล็กๆสายเดียวในความมืดนี่ก็พาเราทะลุไปสู่ทางที่ยิ่งใหญ่ได้”

อีกฝ่ายฟังแล้วก็ต้องลอบระบายลมหายใจยาว-ว-ว

แต่ผู้กำกับไม่ใช่…เนื่องด้วยเข้าใจอย่างลึกล้ำในถ้อยคำของเขา

ที่คน ‘หลังม่าน’ หยิบยื่นให้

 

ลองคิดดูก็ได้ว่า จากนั้นเป็นต้นมา ถ้าว่างยามใด พระเอกเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัวโดยเสียบกล้องเข้ากับช่องมู่ลี่ เพื่อจะดูบทบาทตอนนางเอกทำหน้าที่ ‘นางโลม’ ให้ชายสูงวัยอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

เป็นต้นว่า เช็ดตัวให้ โรยแป้งฝุ่นให้ ลูบไล้โคโลญจน์ไปทั่วสรรพางค์กายของเขา ราวกับเขาเป็นเด็กอ่อน

อียายป้านั่นเองเป็นคนสอน จานเชิงคิด

ทีท่าที่หล่อนบิดเบียดกายตัวเข้ากับเนื้อหนังของเขา อาจไม่ถึงกับเป็นนางเจ้าเล่ห์ในละคร…จานเชิงคิดว่าไม่ใช่ เพราะริมฝีปากที่แย้มผายออกหัวเราะนิดๆ เห็นไรฟันสะอาด ยังดูบริสุทธิ์ผ่องใส อันเป็นความเปล่งปลั่งตามธรรมชาติของหล่อนเอง

ราวกุหลาบหนูดอกนิดๆน่ารักที่มีฝอยชื่นของน้ำค้างคืนก่อนเกาะติด

น้ำค้างหน้าหนาวที่ยังไม่ละลายจากไออุ่นของแสงตะวัน

ครั้นแล้ว พระเอกก็เอาแต่หมกมุ่นครุ่นคะนึงถึงนางผู้อยู่หลังลับแลสืบไป

ฉันก็ได้แต่ชื่นใจในอาการของเขาที่เพียบหนักขึ้นทุกวันเนื่องด้วยผกผันไปตามบทที่ส่งจากหลังม่านสู่หน้าม่าน

รอจนกระทั่งมีเสียงสตาร์ทรถ แล้วเพียงอึดใจ หมอนั่นก็จากจรไปสู่โลกอีกใบของเขา

จานเชิงจึงรีบเข้าไปกดโทรศัพท์ตามเลขหมายที่เขาได้มาพร้อมฮัลโหล

หล่อนรับสายพอดี

“สวัสดีตอนเที่ยงคืนครับ” ฮั่นแน่…เอางั้นเลยเหรอ “ผมเป็นเพื่อนบ้านของคุณไงฮะ”

“ชื่ออะไรหรือคะ” เดียงสาถาม

“เจฮะ”

“อ๋อ” หล่อนลากเสียง แสดงว่ารู้จัก

แต่ก็อย่างว่า…เนื่องจากเขาเกิดอารมณ์พาลขึ้นมาทันด่วน ก็เลยกระแนะกระแหนกระทบกระเทียบจนหล่อนวางหูไปอย่างโกรธจัด

“คุณเป็นคนคิดสั้นสิ้นคิดที่สุดเลยนะ ขอให้รู้ไว้ด้วย”

ฉันบอกให้เขาทิ้งท้ายไว้เช่นนี้

 

หากในที่สุด ‘นางเอกของฉัน’ ก็ใช้วัยอยากรู้อยากเห็น ปีนกำแพงดูความเป็นไปในสตูดิโอของพระเอกจนได้โดยเหยียบม้านั่งซักผ้าของป้าขึ้นไปอย่างระวังระไวมิให้คนที่มาชุมนุมกันในห้องถ่ายภาพรู้สึกตัว

เดียงสากำลังอยู่ในอารมณ์ตื่นเต้นต่อเสียงจากสายเมื่อคืน พอๆกับตื่นตัวเมื่อมีโอกาสรู้จักเพื่อนชายที่มหาวิทยาลัย

ได้รู้สึกอย่างชัดเจนว่ายังมีเพศชายอีกมากบนถนนชีวิตอันเหยียดยาว

ทั้งหมดกำลังสรวลเฮฮากันดังทีเดียว

เขาเหล่านี้อยู่ในวัยหนุ่มสาว หล่อนคิดว่าส่วนมากคงยังไม่แต่งงาน

ครั้นแล้ว…จากเหยียบม้านั่งป้าปีนดูก็รู้ว่าไม่ง่าย จึงวิ่งปรู้ดขึ้นข้างบน ฟังเสียงจานชามกระทบกัน ขณะที่มีรถแล่นเข้ามาอีกคัน ก็เลยเพิ่มจำนวนคนจนมีแต่เสียงวี๊ดว้ายจี๊ดจ๊าดเซ็งแซ่ ไม่มีใครห้ามใคร

ป้าขึ้นบันไดมาโผล่ดู

นางเพ่งพิศอาการของหลานสาวซึ่งดูคล้ายจะซึม เหงา จึงเดินเลยมานั่งด้วย แลดูผิวสีน้ำตาลรำของหล่อนโดยละเอียด จมูกโด่ง เสี้ยวหน้าคมชัด หากแต่นาทีที่ไม่แย้มยิ้ม แววนัยน์ตาเด็กสาวค่อนข้างเลื่อนลอย

คราวที่นายรอบไปถึงบ้าน ไปขอหล่อนอย่างไม่มีพิธีรีตอง พร้อมกับให้เงินไว้ใช้ 1 หมื่นบาท เขาตอบรับเสียงคาดคั้นของแม่หล่อนว่า

‘ผมจะเลี้ยงดูเดียงอย่างดีเลยแหละ ให้เรียนต่อด้วย จบมหาวิทยาลัยด้วยนะ’

แม่หล่อนเพียงแต่คาดคั้นขอให้เขาส่งเรียนจริงๆ

ต่อจากนั้น หล่อนก็หิ้วกระเป๋าขึ้นรถมากับเขาพร้อมป้า

จะเป็นเพราะความฝืดเคืองหรืออย่างไรไม่รู้ ทำให้ป้ากับแม่เห็นพ้องกันเป็นอันดีว่า วิธีนี้ดีที่สุดสำหรับหล่อน มิหนำซ้ำยังยกตัวอย่างหญิงอื่นที่ตกอยู่ในสภาพตะเกียกตะกายดิ้นรนให้ฟังเสียอีก

‘ลูกแม่ม่อมไงล่ะ ไปเป็นเมียเก็บใครก็ไม่รู้ ใหญ่โตเชียว เค้าก็ใจดี ส่งมันจนสำเร็จปริญญา ให้บินไปเรียนต่อนอกซะด้วย เลยไปได้ผัวที่โน่น ผัวใหม่ก็ดี๊ดี’

นี่ฉันก็แค่เขียนไปตามยุคสมัยกระโน้นแค่นั้น

ไม่เกี่ยวกันกับยุคใหม่ที่ใช้ดิจิทัลไปโลดชนิดตั้งโจทย์ไม่ทัน ให้คำตอบก็ไม่ถูก

ย้อนกลับมาที่เดียงสา ป้าเห็นหล่อนแอบมองคนในห้องที่บ้านถัดไปอย่างเหงาเศร้าขึ้นมา นางจึงเตือน

“เดียงเอ๊ย ถ้าเรายังอยากคบผู้ชายก็ไม่ควรมาอยู่แบบนี้”

“แต่เดียงไม่รู้จักเหงาหรือป้า” เด็กสาวถาม

เล่นเอาผู้กำกับตื้นตันจนแทบจะฉวยม่านมาซับน้ำที่เผลอซึมเต็มตา

แต่บางวัน ห้องข้างบ้านก็เงียบกริบ

เดียงสาแอบเห็นรถคุณเจแล่นจากไปตั้งแต่โมงเช้า

“โฮ้ย พวกถ่ายรูป” ป้าว่า “ดีเหรอ พวกนี้น่ะ”

 

แต่อีกวันหนึ่ง หล่อนกับคุณเจก็ได้เจอกันโดยมิได้ตั้งใจตอนไปกดเงินจากเครื่อง เอทีเอ็ม

“ผม…เจนะฮะ…เราอยู่บ้านติดกันนิดเดียวเอง” คุณเจแนะนำตนเอง เขาไม่ใช่หนุ่มรูปหล่อ หากก็ดูกลมกลืนคล่องตัว “นี่ผมก็เพิ่งกลับจากต่างจังหวัด ไปกับขบวนแฟชั่นน่ะฮะ ไปสามวันเลย”

“สนุกไหมคะ” เดียงสาก็เลยถาม

“ถึงไม่สนุกก็ต้องไป…คุณเข้าไปดูสำนักงานผมหน่อยไหม  กล้าเข้าไปไหม”

“ไปซีคะ” หล่อนหัวเราะ ฟันเรียบรับกับแนวปาก

วันนั้นเอง จานเชิงก็มีโอกาสได้วาดภาพของเดียงสาไว้อย่างหมดจดลึกล้ำ

แต่ยิ่งได้เข้าใกล้ ได้เห็นผิวพรรณเกลี้ยงเกลาราวเพิ่งสิ้นกลิ่นน้ำนมมาใหม่ๆหมาดๆก็ยิ่งสลดใจ

พร้อมกับนึกโกรธขึ้นมาอีก…หลังจากทาบทามหล่อนให้ถ่าย ‘นู้ด’ แต่เดียงสาไม่กล้า กลัวอีกคนไม่อนุญาต

จานเชิงได้แต่นึกเสียดายเนื้อตัวของหล่อน

แต่แล้ว เขาก็เกลี้ยกล่อมจนหล่อนกล้าถ่ายเพื่อหารายได้เพิ่ม

หากถึงอย่างไร เรื่องราวก็มิได้ง่ายเท่าไรนักในเมื่อในสตูดิโอนี้ ยังมีคนอื่นๆอีกเช่นเวียงชัย ตัน ผู้เป็นผู้ช่วยงาน กินเงินเดือน กับหญิงสาว-เพื่อนผู้รู้ใจแต่ขี้หึงอีกหนึ่ง นามว่า วลี เข้ามาชวนทะเลาะขณะที่แลเห็นเดียงสาเพิ่งลับตัวไป

จานเชิงก็เลยรู้แล้ว ณ บัดนี้ว่า เขายอมรับวลีมิได้อีกต่อไป ไม่ว่าในฐานะคู่รักหรือคู่นอน

ยิ่งนานวัน เขาก็ยิ่งไม่เลื่อมใสการแต่งงาน

คนที่เขาชอบคุยด้วยมักจะคือบิดาขณะที่คุณบุญชัยเข้าใจสิ่งต่างๆที่เขาทำได้อย่างเข้าถึงกว่ามารดาคือคุณพัตราและพี่ชายนามว่าจัตุรัส

พ่อของเขาล่วงรู้ถึงกับเอ่ยว่า

“เจคลุกคลีอยู่กับสี เห็นแล้วนี่นาว่าสีแดงมันต่างจากสีน้ำเงิน น้ำเงินก็ต่างกับสีขาว ผู้หญิงที่เป็นผู้หญิงจริงๆ มีอารมณ์ผู้หญิงร้อยเปอร์เซ็นต์เขาไม่เข้าใจผู้ชายที่มีความเป็นผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก”

“เหมือนภาพซ้อนของเจนั่นแหละ” เขาพยักหน้าไปที่ภาพใหญ่บนผนัง “ปรัชญาการถ่ายรูปเปรียบได้กับปรัชญาชีวิตเหมือนกัน ศิลปะในการซ้อนภาพซ้อนสีมีให้เห็นไหมล่ะ อยู่แต่ว่ามือเขาถึงไหมที่จะทำให้ภาพซ้อนๆสวยขึ้นมาได้น่ะ”

“พ่อเคยทำภาพซ้อนเสียหายน่าเกลียดมาแล้ว” ชายสูงวัยคุยเรื่อยๆกับลูกชาย ด้วยว่ามีเรื่องราวติดค้างอยู่ในใจทั้งลูกและเขา

นั่นได้แก่ชีวิตที่ ‘ลับ’ และ ‘ลึก’ ลงไปของชายผู้ยังไม่พ้นวัยแสวงหา

อันว่าด้วย ‘หญิงอีกคน’ ที่พ้นไปจากหญิงในความสว่าง…ซึ่งบัดนี้จานเชิงจำเป็นต้องลองถาม ‘เสียเงินมากไหมพ่อ’

“ไม่หรอก อย่างมากก็…สองพัน มันเองก็มีเงินเดือน” พ่อเรียกคนในความมืดว่า ‘มัน’ ทุกคราวไป

“เขาเคยคิดมั่งไหมฮะว่า ทำแบบนี้มันตัดอนาคตตัวเอง” จานเชิงกำลังรวดร้าวยิ่งกับชีวิตลับๆของเดียงสา จึงคุยกับบิดาผู้ช่ำชองการนี้มาแล้วอย่างสลดใจ

“โฮ้ย” บิดาร้องหัวเราะๆ “เด็กเดี๋ยวนี้มันวัตถุนิยมกันหมดแล้ว มันไม่มัวมาคิดอะไรเป็นอุดมคติอย่างแกหรอก เจ เสียตัวนี่ดูเหมือนจะเรื่องเล็กแล้วมั้ง…”

นี่คือตัวละครสมัยเมื่อ 35-36 ปีมาแล้ว

เฮ้อ…แต่ถึงอย่างไรก็ยังสงสารนางเอกจับใจ

 

แม้ว่า นับแต่นั้นเป็นต้นมา เพื่อนฝูงผู้ร่วมงานก็มักต้องเห็นอาการแปลกปร่าเกิดขึ้นกับเจ้าของห้องถ่ายภาพหนุ่ม นั่นก็คือ เขาเปลี่ยนไปจากก่อนเก่าค่อนข้างมาก

เป็นต้นว่า ยามยกกองถ่ายไปถ่ายทำปกนอกปกในที่ต้องเดินทางรอนแรมไปยังต่างถิ่นซึ่งต้องพานพบความเหน็ดเหนื่อยถ้วนหน้า เนื่องด้วยทั้งสัมภาระกองพะเนินของคณะช่างภาพ นางแบบและทีมงาน ก็แสนจะมากมายราวกับย้ายบ้าน…ซึ่งเขาเองเคยพร้อมพรักดูแลอย่างออกรสไร้รำคาญ หากแต่มาคราวนี้ ทุกคนก็ได้สัมผัสอารมณ์อันราวตกอยู่ในหล่มลึกของเขา นั่นก็คือความเงียบงันอันน่าแปลกใจ

“คงมีฟามในใจมั้ง เที่ยวนี้” บางคนเปล่งเสียงคาดเดา

แต่พี่เจของทุกคนกลับเงียบกริบ เสร็จธุระแล้วมักปิดเปลือกตานอนนิ่ง

ขณะที่เดียงสาก็ใช้เวลาที่เสี่ยไม่มา ไปกับเพื่อนฐานะดีบางคนที่มีสระน้ำในบ้านให้หล่อนแหวกว่าย…พร้อมใจก็รอคอย

มิใช่รอคอยเจ้าของเงินหมื่นผู้เป็นเจ้าของร่างกาย หากคอยเสียงจากบ้านข้างๆที่เริ่มเอะอะเอิกเกริก เพราะสำนักงานเปิดแล้ว

แต่หล่อนกลับต้องรับใช้ชายอีกคนโดยปล่อยให้เขาพาไปหาเตียงนอนชั่วคราวแถวชายทะเล เท่ากับเปลี่ยนที่ทางดื่มน้ำผึ้งขวดเก่าให้หวานแหลมแช่มชื่นขึ้นมา

ครั้นกลับถึงเคหา มีป้ารอถาม หล่อนก็ได้แต่ตอบตรงกับความจริงใจ

“สนุกนิดเดียวตรงได้ว่ายน้ำเท่านั้นละป้า ทะเลมหาสมุทรอะไรก็ไม่มีความหมายเลย ไม่มีจริงๆ” หลานของนางบอกด้วยน้ำเสียงแค่นขม “เสื้อชุดเดียวยังไม่ยอมซื้อให้ นับประสาจะซื้ออย่างอื่น เดียงเบื่อจังป้า เบื่อชีวิตติดคุกเต็มทีแล้ว…เดี๋ยว…แม่ก็เตลิดไปไหนต่อไหนซะเลยนี่”

“มันก็สบายดีเหมือนกันน่า” ป้าคอยปลอบใจ “ไม่ซื้อก็ไม่ซื้อซี เขาให้อย่างอื่นแล้วนี่นา”

“ไม่รู้ละ” หล่อนว่าพลางลุกเดินไปเกาะขอบหน้าต่าง

คืนนี้ บ้านนั้นเงียบอีกตามเคย

“เค้าไปไหนกันหมดหรือป้า” ขณะที่มีอีกคนเปิดประตูย่องเข้ามา

ที่แท้ก็คือ น้องชายติดยาของหล่อนนั่นเอง

กรรมเวรของนางเอกจริงๆ

พร้อมกันนั้น ก็เป็นกรรมของผู้กำกับด้วยเช่นกันที่จะต้องรวบรวมเรื่องร้ายๆมาให้นางเอกวัยสิบแปดแบกไปเข้าฉาก

ผู้อ่านและผู้ชมคงเห็นแล้วใช่หรือไม่ว่า ชีวิตของบางคนราวถูกสาปเป็นที่สุด มิว่าจะเดินไปหยุดอยู่ตรงไหน ก็ให้แต่ความโทมนัสจนบางขณะก็เกินกำลังจะแบกไว้ได้

แม้กระนั้นก็จำเป็นจำใจต้องแบกไปเดินไป

ผู้กำกับเองก็ใกล้จะทรุดตัวลงนั่งดึงม่าน ด้วยว่าทรมานแทนตัวละครเต็มทน

ดังนั้น ฉันก็เลยจะย่นย่อให้ฟังเพียงคร่าวๆว่า ท้ายที่สุดจานเชิงกับเดียงสาก็ลักลอบมามีสัมพันธ์กันลับๆจนเสี่ยจับได้ นำหล่อนไปขังไว้ในห้องร้างที่โรงงานของเขา

รับรองว่า ถ้าได้อ่านทุกตัวอักษรในหนังสือก็จะเข้มข้นจนได้ใจหาไหนเหมือนเลยทีเดียว

จึงลงเอยได้ว่า

จานเชิงเองก็ไม่สามารถแต่งงานกับหล่อนได้ ด้วยฐานะหน้าตาของพ่อแม่ยิ่งใหญ่กว่า

เสี่ยก็ไล่หล่อนเตลิดเปิดเปิงไปตายเอาดาบหน้าอย่างสิ้นไร้ความเอ็นดูปรานีใดๆ ส่วนดำก็ถูกจับเข้าคุกไป

‘คุณเจ’ ทำได้แค่ส่งหล่อนขึ้นแท็กซี่พาออกจากหน้าบ้านเช่า ครั้นแล้วจึงหันกลับ  หลังจากมองตามรถและคน…เด็กสาวที่เขาหลงรักหลงคะนึงถึงทั้งหลับและตื่น…กำลังเดินทางจากลา กลายเป็นจุดมืดๆจุดหนึ่งบนทางหลวงอันสว่างไสวยามราตรี

ครั้นแล้ว จึงหันหลัง ก้าวกลับไปสู่สำนักงานของเขาเมื่อรถคันนั้นเลี้ยวสี่แยก ลับหายไป

ด้วยดวงหน้าอันมีหยาดน้ำไหลลงมา

ในหัวใจส่วนลึกราวติดด้วยกล้องที่มีกำลังขยายสี่สิบเท่า

แลเห็นสาวน้อยนางหนึ่งนวยนาดเข้ามาสู่อาณาจักรเลนส์และอาณาจักรใจ

คงอีกนานแสนนานทีเดียว…กว่าเขาจะปรับกำลังขยายของเลนส์ให้แคบเข้า…แคบเข้า แล้ววางมันลงอย่างจำใจ

 

จบ

 

 

Don`t copy text!