‘บนฟ้า’ และ ‘สมุทรไท’ ณ ขอบฟ้าจรดขอบน้ำ

‘บนฟ้า’ และ ‘สมุทรไท’ ณ ขอบฟ้าจรดขอบน้ำ

โดย : กฤษณา อโศกสิน

“หลังม่าน” คอลัมน์ที่จะบอกเล่าถึงชีวิตของตัวละครเด่นๆ ในนวนิยายของ กฤษณา อโศกสิน เป็นเรื่องราวเบื้องลึกที่มีแต่นักเขียนเท่านั้นที่จะสามารถรู้ได้ และนำมาบอกเล่าให้ผู้อ่านชาวอ่านเอาได้เห็นชีวิตด้านหลังม่านของตัวละครเหล่านั้น

ในที่สุด บุคคลสำคัญชุดที่แล้ว คือชุดที่มีปู่ประธาน ย่าใบบุญ หลานสุดท้องนามบนฟ้า กับ ชายหนุ่มงามสง่าที่ผู้อยู่ ‘หลังม่าน’ ปลุกปั้นแกมปลุกใจจนมาตกหลุมอันมีนามว่าขุมสวาทในสาวสวยผู้แต่แรกนำตัวเองสู่บทบาทไม่น่ารักแกมไม่ชอบมาพากลเมื่อควงหนุ่มนิสัยห่ามนามสามมุขติดมา

แต่ด้วยความชำนิชำนาญอันฝึกปรือไว้ตลอดกาลของผู้กำกับ…จึงช่วยให้ท่าทางไม่อยากนับญาติ กลายเป็นจับไม่ปล่อยของหญิงสาวผู้ที่ฉันตั้งฉายาให้ว่า ‘สาวสวยผู้งามยังไม่พร้อม’

ที่แต่แรกดูท่าว่าจะไม่ยอมทุกเรื่อง ขัดคอทุกถ้อยคำ ครั้นตัวเองค่อยๆเริ่มดูดดื่มในตัวเขา โดยเฉพาะตอนที่เขาเข้าไปทำความเข้าใจ ในห้องพักส่วนตัวสองต่อสอง กอดประคองไว้แนบแน่น ตามคำสั่งของคนหลังม่าน

เพียงแต่เขากลับออกไป น้องนางฟ้าของใครต่อใครก็ปล่อยใจให้โบยบินตามเขา…นับแต่นาทีนั้น ชั่วโมงนั้น คืนนั้นเป็นต้นมา

แต่ก็ใช่ว่าคนหลังม่านจะหมดหน้าที่เพียงแค่นั้น

เพราะเจ้าตัวก็เพิ่งไปเที่ยวอิตาลีกลับมา ตรึงตาตรึงใจในทุกสถานที่ที่ยังไม่เคยไปไม่เคยเห็น เว้นบางเมืองที่ไปกับครูซ ซึ่งก็ได้ขึ้นชมแค่ 3 เมือง คือ พาเลอร์โม เนเปิ้ล ฟลอเรนซ์ เท่านั้น

แต่ไปอิตาลีคราวนี้ เราไปด้วยกันแค่ 3 คน คือ ฉันกับลูกสาว ลูกชาย ลูกสาวเป็นผู้เช่ารถขับไป มีลูกชายเป็นไกด์

ผู้กำกับตัวแม่นั่งหลัง…กลายเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ ‘นำเรื่อง’ เพื่อหาทางเขียนภาคต่อจาก ‘ขอบน้ำจรดขอบฟ้า’ โดยตั้งชื่อเรื่องใหม่นี้ว่า ‘ขอบฟ้าจรดขอบน้ำ’

เพื่อเทใจให้พระเอกเป็นคนสำคัญยิ่งกว่า ‘ภาคแรก’

ทั้งๆมิใช่ตัวเดินเรื่อง

เพียงแต่ตั้งใจจะประเทืองปัญญาและอารมณ์ผสมโรงเปิดฉากให้ตัวละครชาวแหลมทองอีกคณะหนึ่งโดดผึงออกมา

อย่างน้อย ผู้อ่านก็อาจจะได้บุคคลใหม่ที่บางท่านอาจขวางหูขวางตา บางอายุก็อาจเขม่นหมั่นไส้ไม่ชอบหน้า…แต่อีกหลายเสียงที่ผ่านมาเข้าหู…ก็ยังมีที่ชอบใจ ชอบวาจา ชอบความสมัยใหม่บางแง่มุมของ ‘เจนแซด’ อีกนางหนึ่งซึ่งก็ไม่ถึงกับไร้จิตสำนึกมากมายกระไรนัก…จึงอยากให้ท่านเปิดใจลองตามไปดู

เพื่อให้รู้ให้เห็นว่าเด็กหน้าเป็น หน้าปังปัง…แบบนี้…ก็มีนะ

บางทีอาจมีมากเกินกว่าหลายท่านจะนึกได้

แต่นี่ก็คืออัชฌาสัยของคนหลังม่านอย่างฉันโดยแท้

คือแม้จะนึกขึ้นมาได้ว่า บางนิสัยของบางตัวละคร เมื่อป้อนปรนให้อ่านกัน นั่นนี่หรือโน่นก็อาจไม่เข้ากับความพอใจของแต่ละผู้อ่าน

หากสำหรับฉันแล้วละก็…ไม่เป็นไร

เปิดเวทีทั้งทีก็ต้องมีละ…ทั้งชิง ทั้งรัก ทั้งหัก ทั้งสวาท ทั้งโลดและโผน ทั้งตื่นและเต้น

ถ้าฉันเฟ้นมาได้ ฉันเป็นต้องนำมาเปิดม่านส่งพวกเขาออกมาทันใด

ให้ผู้อ่านเลือกอ่าน เลือกติ เลือกชม

ถ้าชม ฉันก็ถึงกับเก็บเอาไปฝัน ถ้าสั่นหน้า ฉันก็ได้แต่ใจฝ่อ…ก็เท่านั้นจริงๆ

เพราะถึงอย่างไร ฉันก็ตั้งใจจะส่งลายมือของฉันที่ขยันส่งมาตั้งแต่ยังไม่ประสาจนถึงวันปลายทาง แต่ยังคงอยากส่งต่อไปโดยไม่มีใครหรือแม้แต่ตัวฉันเองคอยบังคับ…ไปจนกว่าจะหมดแรง ส่งไม่ไหว

ดังนั้น ใน ‘ขอบฟ้าจรดขอบน้ำ’ ยามนี้ จึงอาจมี ‘นางรอง’ ที่ไม่เชิงนางร้าย หากเป็นแค่รุ่นใหม่ที่อาจจะใหม่ ตาใหม่ใจสำหรับใครหลายคน แต่ไม่ถึงกับสับสนสำหรับคนอีกมากหน้า

ฉากแรกจึงเปิดขึ้น ณ โรงแรมที่คณะของปู่ย่าหลานและพระเอกของฉันมาพักนั่นเอง

คือ ที่พักบนถนนลา รัมบลา ที่ทุกคนเพิ่งกลับจากซื้อของจากเอาท์เล็ตนอกเมือง โดยไม่มีสามมุขเพราะทนเป็นผู้แพ้ไม่ไหวเลยแยกทางไป

ฉันจึงถือเป็นฤกษ์ดี ส่งชายหญิงชุดใหม่ออกมา

ครั้นแลเห็นปรายผู้เพิ่งบินแป๊บๆมารับปู่ย่า และน้องสาวกลับกรุงเทพฯ ต่างก็โผผวาเข้าหากัน

 

ชายนามว่า ยงยุทธ เป็นบิดาของโยธีและยาเยีย

โยธีเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทกับสมุทรไทและปราย เรียนประถมมัธยมมาด้วยกัน

ลูกชายลูกสาวจึงพาพ่อมาเที่ยวฉลองเกษียณอายุ ดังนั้นโดยกรรมสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงชักพาให้มาพักโรงแรมเดียวกับคณะของปู่ย่า

ต่างก็ดีอกดีใจ ทักทายกันครึกครื้นโดยปรายแนะนำให้เพื่อนรู้จักปู่ย่ากับบนฟ้า โยธีก็แนะนำพ่อกับยาเยียให้รู้จักปู่ย่าและเพื่อนของเขา

ครั้นแล้ว จึงเดินทางกลับพร้อมกันโดยสายการบินเดียวกัน ชั้นธุรกิจด้วยกัน

อะไรจะพอดิบพอดีราวจับวางถึงเช่นนี้

แต่มีอะไรไหมที่ ‘หลังม่าน’ ทำไม่ได้

ไม่มี…ขอบอก

หากจะมี…ก็นี่เอง…นี่…นี่…นี่เอง

นั่นก็คือ บัดนี้ปู่ประธานเริ่ม ‘ติด’ สมุทรไท จนถึงแก่ออกปากชวนเขาไปทำงานที่บริษัทพงษ์เทวฤทธิ์อันเป็นบริษัทของตระกูล แต่สมุทรไทบ่ายเบี่ยง เพราะไม่พึงปรารถนาจะพาชีวิตที่มีทางเลือกของตนเองเข้าไปสู่ลู่บังคับขนาดนั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามนี้…ที่เขาเริ่มมีสัมพนธ์กับน้องของเพื่อน ก็ยิ่งต้องคอยเตือนตนเองมิให้มักง่าย

ด้วยว่า อาจเสี่ยงกับสายตาคนทั้งหลายที่แลเห็นหล่อนเป็นฟ้า

น้ำเช่นเขาที่ราวต่ำต้อยกว่า จะถูกนินทาว่าร้ายเพียงไหนยังไม่รู้

ถ้าผู้มองดู ใช้คำว่า ‘ตกถังข้าวสาร’ เขาจะรับได้หรือไม่

ฉันคนละที่รับไม่ได้ คนหลังม่านก็เลยบอก

พระเอกก็รีบตอบรับว่าใช่…นั่นก็คือ เรารู้ใจกัน ดังที่ฉันเคยบอกไว้แล้ว

บนเครื่องบินที่ทุกคนต่างก็มีที่นั่งที่ปรายเป็นผู้จอง โดยจงใจจองที่ให้เพื่อนกับน้องได้นั่งติดกันสองต่อสอง…เชิงให้ฉันเริ่มงานตามทำนองที่ปรายคงนึกไว้แล้วเช่นกัน นั่นก็คือ เริ่มส่ง ‘ยาเยีย’ มาข้างฉากอย่างเห็นได้ชัดว่า สาวหน้ากลมวัย 19 ค่อยๆเข้ามาประชิดติดใจพระเอกของฉันผู้บัดนี้คือทะเลลึกของน้องบนที่หล่อนกำลังเตรียมกายเตรียมใจว่าต้องลงไปโต้คลื่นให้จงได้

ดูซิว่าจะฝ่าความลึกและความกว้างออกไปเคว้งคว้างได้นานสักเพียงไหน จะมีหาดทรายชายทะเลให้ได้นั่งนอนผ่อนพัก หัวหนุนตักใครบางคนโดยเขายอมให้หนุนตลอดชีวิตหรือไม่

เข้าใจคิดจังเลยหนูน้อย ฉันก็เลยสอยคางวัยยี่สิบสามเพียงเบาๆ เล่นเอาเจ้าตัวหันมาตาเขียว

“เริ่มอีกแล้วใช่ไหม เริ่มเขม่นเข่นเขี้ยวตัวละครอีกแล้ว” สาวสวยผู้ยังงามไม่พร้อมส่งเสียงอย่างรู้ไส้ผู้กำกับตัวดี แต่ฉันก็ทำไม่รู้ชี้เหมือนทุกครั้ง นั่นก็คือ ถึงอย่างไร ฉันก็ต้องใจเย็น อยู่เป็น คิดเป็น ทำเป็น…ก็ไม่เห็นจะยากกระไรนัก…เหนื่อยก็พักเอนหลัง ตื่นขึ้นมาก็ถือไม้หน้าสามสู้รบกับพวกมัน…เอ๊ย…พวกเขาเรื่อยไป

รู้ไว้เสียด้วยว่า…พวกตัวละครนี่ยังฉลาดน้อยนัก

เออ…เอ่อ…เอ้อ…พอดีฉันได้ยินใครสักคนส่งเสียงสำลักแว่วมา

อ้อ…ยาเยียนั่นเอง

แต่รุ่นใหม่วัยละอ่อนกลับทำทีหาญกล้าท้าทาย เสมือนไม่เกรงไม่กลัวใครทั้งสิ้น

ฉันก็เลยถามหน้าเคร่ง

“เธออยากไปอิตาลีไหม”

“อยากไป” อีกฝ่ายตอบห้วนๆเหมือนกำลังลองของ

“ถ้าไปละก็ ขอให้สุภาพกว่านี้นะ ฉันไม่รับรองว่าเธอจะไม่เจอดี”

“เจอดี” อีหนูทำตาระยิบขึ้นมาจนฉันอยากเทน้ำรดหน้า อวดเก่งละก็ยกไว้ ตั้งแต่เห็นหน้าครั้งแรกแล้วนั่นไง เล่นเอาน้องบนนอนแทบไม่หลับ เอาแต่กุมมือเพื่อนพี่ไว้แน่นจนผู้กำกับต้องสะกิด…หลวมหน่อยก็ยังได้นะน้องนะ…นั่นเอง…อีหนูน้องบนจึงยอมคลาย

เห็นหรือไม่ว่า ฉันงานหนัก

แล้วนี่…พักแค่ไม่นาน ก็เริ่มกองคาราวานกันอีก

ไปอิตาลีคราวนี้ โยธีจะเป็นไกด์ มีปรายเป็นเจ้าของทัวร์ สมุทรไทเป็นคนขับ ดังนั้น พอถึงสนามบิน โยธีก็จะเป็นผู้ไปเช่ารถเอง เนื่องด้วยมีบริษัทรถเช่าที่เขารู้จักและจองมาแล้วอยู่ใกล้ๆ เพียงแต่ลากกระเป๋าออกจากสนามบินไม่กี่นาทีก็ได้ส่งสัมภาระขึ้นรถตู้ 9 ที่นั่งแบรนด์ดังเด่น คุณภาพแข็งแรงถึงไหนถึงกัน

 

ต้นเดือนพฤศจิกายนอยู่ระหว่างฤดูใบไม้ร่วง อากาศค่อนข้างหนาว ดอกดวงหมู่ไม้ราวคลายสีที่เทพเทวีเนรมิตใหม่ มาแตะแต้มโลมไล้ให้แผ่นดินกลายเป็นอุทยานแห่งสรรพลายที่ภูผาป่าไม้สองข้างทางจากสนามบินมิลานสู่ใจกลางเมืองมีให้

โยธีนั่งข้างขวาเพื่อนของเขา หลังจากเป็นผู้รับรถเช่าที่จองไว้ก่อนเดินทาง…เพื่อคอยกำกับเส้นทางให้สมุทรไท

ฉันก็เลยขึ้นต้นเรื่องไว้ดังนี้

ครั้นแล้ว จึงให้โยธีอรรถาธิบายถึงเส้นทางของประเทศ

“มึงคงรู้แล้วมังว่า ถนนในเมืองทุกเมืองของอิตาลีนี่มันขับยาก” ผู้กำกับเอ่ยขณะเพื่อนผู้ชำนาญพวงมาลัยซ้ายพอๆกับพวงมาลัยขวาพารถหรูแข็งแรงออกสู่ตัวเมืองที่เขาติดต่อเช่าอพาร์ตเมนต์ไว้เรียบร้อย “จากนี่ไปก็ไม่มีอะไรต้องระวังจนกว่าอีกสามชั่วโมงจะถึงเมือง…ตอนนั้นมันก็ค่อนข้างจะปวดกบาลอยู่สักหน่อยหรอก…แต่ก็ไม่เป็นไร…กูมีกูเกิ้ลนำทางก็ใจชื้นแล้ว ขออย่างเดียว อย่าเชื่อมันมากจนพาไปถึงป่าช้าแล้วถึงรู้”

นี่ไม่ใช่ฉันหรอกนะที่สั่งให้เขาพูด

เขาพูดของเขาเอง…คงเห็นตัวอย่างมาแล้วจากเมืองไทย

ปู่กับย่าหมดกำลังจะส่งเสียง…ด้วยว่า…เมื่อคืนเครื่องบินออกจากสุวรรณภูมิตอน 4 ทุ่ม ล่าช้ากว่ากำหนดชั่วโมงครึ่ง ถึงโดฮาเที่ยงคืน แวะที่นั่นราวหนึ่งชั่วโมง รถเข็นเข็นปู่กับย่าถึงประตูเครื่องบินพอดิบพอดี ครั้นแล้ว เครื่องก็ออกตี 01.25 น. ถึงมิลาน 06.35 น. จึงเป็นเหตุให้สองผู้อาวุโสหลับไม่พอ

แต่หลานสองคนนั่งหลังบอกกล่าว

“ปู่ย่าหลับไปเลยละกันน้าา ถึงเมื่อไหร่หนูปลุก”

“คุณลุงเป็นยังไงมั่งไหมฮะ ง่วงมากไหม” ปรายหันไปด้านหลังที่มียงยุทธสมัครใจนั่งกับลูกสาวผู้บ่ายเบี่ยงเลี่ยงไม่นั่งกับน้องสาวคนถาม

เห็นหรือยังว่า…แค่เริ่มก็ออกอาการลุกลามกันแล้ว

แต่เด็กสิบเก้าก็ทนง่วงไม่ไหวเช่นกัน ตรงข้ามกับน้องบนผู้นั่งเยื้องกับคนขับ เพื่อว่าจะได้มองเห็นเขาตลอดทุกกิริยา

เสียงปรายถามไถ่โยธีเรื่องงาน

“ว่าแต่ว่า มึงลาได้ลาเอาแล้วเขาจะไม่ไล่มึงออกแน่นะเว้ย”

“อยากให้มันไล่” เพื่อนของเขาตอบมา “ยิ่งไล่กูยิ่งชอบ ใช่ไหมพ่อ จะได้ออกมาทำอะไรกันตามอำเภอใจ พ่อเองก็มีโครงการหลายอย่างในสมอง”

“มาทำกับกูไหมล่ะ ลักซูรี่ทัวร์”

นี่ฉันกำลังบอกบทให้สองพ่อลูกเปิดฉากเอง เล่าเองถึงฐานะของเขา…ผู้อ่านจะได้รู้จักได้เข้าใจผู้มาใหม่ทั้งคู่ไปพลางว่าโยธีมีนิสัยกร่างหน่อยๆอยู่เหมือนกัน

ทั้งรถจึงมีแต่เสียงปรายกับโยธี

ขณะที่สมุทรไทต้องระวังระไวกับการพายานคันใหญ่ไปข้างหน้าในภูมิประเทศที่เขาไม่คุ้นเคย ก็เลยหมดโอกาสเจรจาความใดกับใครทั้งสิ้น

จนกระทั่งถึงอพาร์ตเม้นต์ที่จองไว้ อันมีประตูเก่าแก่ที่ทั้งสูงและกว้างจนยาเยียออกอุทาน

“โอ้โฮ…นี่พี่โยนึกยังไงถึงมาเช่าอะไรพรรค์นี้อยู่ เหมือนโกดังร้าง”

แต่ครั้นกดลิฟต์ขึ้นไป พบห้องชุดกว้างใหญ่สะดวกสบาย ฉันก็เลยบอกบนฟ้าให้ส่งเสียง

“อุ๊ยตาย สบายมากเลยย่าขา”

สามพ่อลูกมาใหม่ก็ได้ห้องชุดน่าอยู่เช่นกัน แต่แยกขึ้นไปชั้นบน

“ไปไปซะได้ ค่อยยังชั่ว” น้องบนบ่นเบาๆ

ฉันเอง…ที่ส่งประโยคนี้เข้าปาก

แต่ก็ให้ปรายช่วยปราม

“ไม่เอานะน้อง…ไม่เอา…เราเป็นพี่เขานะ เป็นเจ้าของทัวร์ เรื่องผัวเมียต้องปล่อยให้อยู่แต่บนจอ”

ฉันก็เลยต้องดึงคอเสื้อปรายมาถาม

“เธอกระทบถึงใคร บอกมา”

“เอ้อ…เอ้อ…อึ้ม…ปละ…เปล่านะคร้าบบบ”

“แล้วไป” ฉันก็เลยพยักหน้า ปล่อยคอเขาเป็นอิสระ

เฮอะ…เล่นกะใครไม่เล่น เล่นกะผู้กำกับ

ตอนค่ำ ชวนกันออกไปกินอาหารแล้วเลยไปชมทางรถไฟที่พรุ่งนี้ทั้งคณะจะโดยสารไปยัง 5 หมู่บ้านมรดกโลก ยาเยียก็เอาอีกแล้ว…นั่นก็คือคอยแต่จะเข้ามาสูสีอยู่กับสมุทรไท

ชายหนุ่มนั้นไม่กล้าจะพูดจากับนวลน้องที่เพิ่งรู้จักใหม่สักเท่าใด ด้วยเกรงสายตาน้องบนผู้ยังคงคล้องแขนอยู่กับย่าเชิงระวังมิให้ผู้อาวุโสสะดุดหรือหกล้ม ก็เลยเป็นที่สมคะเนของเด็กสาวมาใหม่ในเรื่องที่คอยกระซี้กระแซะสมุทรไท

ขณะที่ปู่นึกในใจว่า

‘มันก็น้องๆละครทีวี’

ฉันเองยังขำปู่ แต่ไม่กล้าเอิ๊กอ๊ากออกมา

เดี๋ยวยาเยียจะเอาฤทธิ์เดชมาสาดเข้าให้ ในเมื่อตลอดทางที่เดินมา นางยังคงเคลียคลออยู่กับไหล่ของชายหนุ่มอย่างไม่เกรงใจใคร จนผู้สูงวัยรำพึงรำพัน

มาเที่ยวคราวนี้ หลานรักน่าจะได้บทเรียนใหม่มีราคา

โธ่เอ๊ย คุณปู่…ฉันได้แต่ครางในใจด้วยสงสารผู้มีอายุเป็นล้นพ้น

แต่จะทำอย่างไรได้ ไม่เช่นนั้นก็ไม่มันน่ะซีคะ คุณปู่ขา

คนเขียนก็อุตส่าห์ไม่ให้สมุทรไทคิกคักด้วยแล้วนี่คะ

เขาเงียบจนผิดปกติไปแล้วนั่นไง

แต่ก็อย่างว่า…เขาเป็นพระเอกนี่นะ คุณปู่ขา…มาดของเขาก็ต้องชวนให้หญิงชื่นชอบอยู่ดี หนีแบบไหนล่ะคะจึงจะพ้น

คุณปู่เองก็ยังถือว่าหลานน่าจะได้บทเรียนมีราคาไงคะ…ซึ่งฉันก็ว่าคุณปู่คิดถูกแล้ว ถูกที่สุดจริงๆ

แต่ก็น่าเห็นใจน้องบนที่มิอาจทนภาพบาดตานั้นได้ ทั้งๆที่ฉันก็ส่งบทอย่างโหดร้ายน้อยที่สุดแล้วนาน้อง

หากเพียงแต่กลับถึงห้องนอนเท่านั้น น้องก็หลบเข้าไปนอนร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียพอแรง

เลยพลอยให้คนบอกบทสะอื้นตาม

แต่ปรายเอ่ยกับปู่

“ขอไว้เลยนะฮะว่า อย่าเข้าข้างน้องบน อย่าบีบเพื่อนปรายมาชอบน้องเป็นอันขาด…คือ…ก็ใช่…ปรายเป็นคนวางแผนให้มันมาเจอกัน…แต่…ถ้า…มันดูแล้ว…เห็นว่าไปกันไม่ได้ มันก็มีสิทธิ์เขียนชีวิตมันด้วยตัวมันเอง”

“ใช่ซี” ปู่ก็นักเลงพอตัว จึงตอบ แม้กระนั้นหน้าตาก็ดูเผือดไป “แต่ถ้าเขาเบื่อหลานเราจริง…ปู่ก็…ก็นะ คงเสียดายมาก”

โธ่เอ๊ย…อย่าว่าแต่ปู่เลย คนที่อยู่หลังม่านเสียดายกว่า

ครั้นถึงวันรุ่งขึ้น ต้องโดยสารรถไฟไปสู่หมู่บ้านทั้งห้า ยาเยียก็จัดแจงเข้ามาพยุงปู่เพื่อจะเดินขนาบข้างไปกับพระเอก แม้ปู่จะห้าม แต่รุ่นสาวจะหยุดฟังก็หาไม่…ยังคงดื้อตาใสเคียงข้างปู่พาลงจากรถไฟทันทีที่รถจอด

หมู่บ้านใหญ่แห่งแรกมีชื่อว่า ‘มอนเตรอสโซ อัล มาเร’ หมู่บ้านที่ 2 ชื่อ ‘แวร์นาซ ซา’ หมู่บ้านที่ 3 คือ ‘กอร์นิลยา’ หมู่บ้านที่ 4 นามว่า ‘ริโอมัจจอเร’ หมู่บ้านที่ 5 ‘มานารอลา’ ทั้งห้าหมู่บ้านนี้ รวมเรียกกันว่า ‘ชิงเคว แตร์เร’

‘ชิงเคว’ แปลว่า ห้า แตร์เร แปลว่า แผ่นดิน สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 11

ปู่ ณ บัดนี้ ติด ‘คนขับรถ’ จนฉันเองยังอดเอ็นดูมิได้

ฝ่ายสาวรุ่นเยาว์วัยก็ไม่สนใจใครอื่น ยังคงชื่นมื่นอยู่เคียงข้างพลางประจ๋อประแจ๋

“พี่ไทขา เห็นบ้านขวามือนั่นไหมคะ น่ารักจุงเบย”

พอไปกันได้กับ ‘น้องบน’ ผู้วันนี้เดินพ้นปู่และย่าขึ้นไปเคียงข้างพี่ชายของสาวที่ตนเองเขม่น หมั่นไส้ พลางชี้ชวนถามไถ่ ด้วยแน่ใจว่า ‘มีคนมอง’

โยธีก็เลยตอบสนองความต้องการของนางเอกซะงั้น

สลับกันดีกับยาเยียผู้กำลังฉะอ้อนพระเอก

“หาดที่นี่ดีนะพี่ไทขา ยาวด้วย กว้างด้วย พี่อยากถ่ายรูปก็ถ่ายได้นี่คะ”

ใครไม่มาเป็นฉันก็คงไม่รู้ว่าฉากนี้…ฉากที่ชวนให้คนตีกันนี่แสนมันแค่ไหน พอกันเลยกับฉากที่ช่วยให้คนดีกัน

“พี่ไทอยากมีบ้านบนนั้นสักหลังไหมคะ” พี่ไทของฉันเริ่มสนองความต้องการเพื่อ ‘แก้ลำ’

“ก็น้องล่ะ อยากมีไหม” คราวนี้พระเอกเริ่มปริปาก

ที่เขานิ่งเงียบจนผู้คนชวนกันกังขาเกือบตลอดทางก่อนหน้านี้ ก็เนื่องด้วย หนึ่ง เขากำลังขับรถ สอง เขากำลังไตร่ตรองถึงบทบาทที่ควรมิควรจะแสดงกับสองหญิงผู้กำลังชิงไหวชิงพริบเชิงแข่งกันเอาชนะ สาม นอกจากน้องบนแล้ว ยังมีคนที่เขาต้องเกรงใจอีกสี่คน

แต่พอน้องบนเริ่มแสดงละครซ้อนเข้ามา เขาก็เลยขยับตัวตามไป เพื่อให้คนบนฟ้าเห็นว่า คนบนน้ำ…โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำที่แสนลึกและกว้างขวางราวโลกทั้งโลกนั้นมีหรือจะยอมให้ใครมาย่ำยี

“พี่โยมาอยู่อิตาลีกี่ปีเจ้าคะ” ฉันก็เลยปล่อยเสียงสาวสวยรวยเมฆหมอกลงมา

“หกปีขอรับ”

“อะไรจะมากขนาดนั้นคะ” น้องบนทำเสียงคิกคักสดใส เอียงใบหน้าเข้าไปใกล้โยธี

ฉันเลยบอกบทให้ปู่กระตุกมือสมุทรไทนิดหนึ่งเชิงปลอบใจ

“ดูมันไปพลางๆ”

หากแต่ชายหนุ่มเริ่มขวางนัยน์ตา

เลยใช้เวลาที่มี ถ่ายภาพต่อจากเมื่อครู่ที่หมู่บ้านแรกจนยาเยียเข้ามาแทรกกลาง

“พี่ต้องเซลฟี่กับน้องนะคะ”

เขาก็เลยตามใจ วงเล็บ ‘แก้ลำ’ โดยไม่หันไปมองสตรีผู้มีนามว่าบนฟ้า

เอากะฉันซี…สู้กะใครสู้ได้นะน้องบน แต่อย่าคิดสู้กับคนออกแบบ

ขณะที่ปรายยืนมือซุกกระเป๋ามองไปในน้ำกว้าง พลางเอ่ยกับพ่อของยาเยีย

“คุณลุงไม่คิดจะส่งน้องเยียไปเรียนเมืองนอกหรอกหรือฮะ”

พอดีนางรุ่นใหม่ได้ยิน จึงหันมา

“ถึงไงน้องก็ไม่ไป จะอยู่กับพ่อก็พ่อไม่มีใครนี่นา ถึงมีน้องก็ไม่อนุมัติ” เด็กแก่นคงหมายถึงแม่เลี้ยง

“น้องเยียร้าย”

“ใช่…น้องร้าย” อีกฝ่ายประกาศตัว

ปู่กับย่ามองแล้วอ่อนเพลียในใจ

แค่น้องบนคนเดียวก็จะแย่อยู่แล้ว

แต่…ขอบอก…ฉันส่งเสียงจาก ‘หลังม่าน’ แต่ข้าพเจ้ารับไหว ไม่ต้องห่วง

เพียงแต่ผู้ชมอาจจะต้องทนรำคาญน้ำตาน้องบนมากสักหน่อย…ก็เท่านั้น

หากถ้ารับได้แล้ว ก็แล้วกันไป

ฉันเอง…ก็ต้องรับหน้าที่ ‘เสี้ยม’ ให้ได้ผล

ฉะนั้น เพียงแต่พบหน้ากันเช้าวันรุ่งขึ้น

ฉันก็เลยให้ยาเยียส่งบทบาทของนางออกมาฟาดฟันน้องบน ชนิดเจาะจงให้ต่อกันไปเป็นระลอก

เพียงแค่ทักทายง่ายๆ

“พี่ไทขา…เมื่อคืนน้องฝันถึงพี่ด้วยละค่ะ”

จึงถึงแก่สะดุ้งสุดตัวไปตามกันแล้ว เห็นหรือยัง

 

ใน ‘รักระหว่างท่องเที่ยว’ เรื่องนี้ ฉันต้องจัดสรรที่ที่ต้องบรรยายไว้หลายแห่ง มีนามเรียงกันไปเป็นลำดับ หลังจากชมหมู่บ้านทั้งห้าจบสิ้น

จึงต่อด้วยเมือง ‘ปาร์มา’ หรือที่คนไทยเรียกแฮมของเขาว่า พาร์มาแฮม

จากนั้น จึงถึง ‘โบโลญญา” เมืองแห่งสถาปัตยกรรมยุคโบราณนับแต่สมัยหนึ่งพันปีก่อนคริสตกาลเรื่อยลงมา นามเดิมว่า ‘เฟลสินา’ ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็น ‘โบโนเนีย’ แล้วกลายเป็น ‘โบโลญญา’ เคยมีชาวโรมันเป็นผู้ปกครอง หากก็ถูกรุกรานโดยชนเผ่าต่างๆ จนกระทั่งท้ายที่สุด เมื่อถึงศตวรรษที่ 11 โบโลญญาก็สามารถปกครองตนเองได้สำเร็จ ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งแรกของยุโรปขึ้นมาเมื่อค.ศ.1088 (พ.ศ.1631) จึงเป็นเมืองที่มีนักศึกษาจำนวนมากเดินทางมาเล่าเรียนกันไม่ขาดสาย จนต้องก่อสร้างอาคารและหอคอยสูงใหญ่ทั่วเมือง

ที่ฉันเล่ายาวหน่อยก็เพราะชอบเมืองนี้มากมาก

ขณะที่เสียงยาเยียยังคงยั่วกิเลสไม่ขาดปาก

“พี่ไทขา พี่ว่าทางที่เราเดินอยู่นี่เหมือนที่ไหนในบ้านเราไหมคะ”

เห็นหรือยัง…ว่านางก็มีความรู้ไม่ใช่ย่อย

แต่พี่ไทของน้องบนวิ้วกว่า ตอบได้ทันควัน

“ก็ถนนบำรุงเมืองสมัยก่อนไงน้อง”

น้องก็เลยชูนิ้วชี้

“ใช่เลย…เขาเรียก Portico นะเจ้าคะ”

ฉันเลยปล่อยให้นางเหยาะน้ำตาลทรายแดงช้อนเล็กไว้นิดหนึ่ง

ถ้าเป็นกีฬาสู้วัว ก็คงทั้งล่อทั้งชน

เผลอยามใด น้องวัยรุ่นจะต้องถลาเข้ามาแทรก

ฉันก็เพียรเจาะยางหญิงทั้งคู่ กับชายอีกหนึ่งตลอดทางให้บรรยากาศพรายพร่างด้วยความหึง

‘กูละเบื่อเรื่องพระเอกนางเอกงอนกัน’ ปรายครึมครางแค่ในใจ

ฝ่ายปู่กับย่าแม้ใจคอไม่ดี หากก็รู้ทีท่าหลานคนงาม

‘เขาเองก็มีผู้หญิงอยากได้ เห็นไหม ตัวแพงอยู่คนเดียวหรือไง’

ฉันละก็…แทบจะตบมือดังๆให้ย่าเอาทีเดียว

 

ครั้นแล้ว ฉันก็พาตัวละครของฉันไปจนถึงเวนิส

ที่นี่ก็อีกนั่นแหละ งดงามอลังการจนฉันเองยังนึกว่าตัวเองฝันไปเมื่อสายตาพลันพบกับแผ่นดินใหญ่ริมทะเลสาบของฝั่งทะเลอาเดรียติกแห่งแคว้นเวนาโต ท่ามกลางลำคลองที่นับแทบไม่ถ้วน ล้วนแล้วเชื่อมด้วยสะพานน้อยใหญ่ เรือโดยสาร เรือกอนโคลา แล่นกันฉิวฉิว พาผู้โดยสารลัดเลาะไปตามคลองเล็กคลองใหญ่ที่ผ่านกลางใจเมืองอันเรียกกันว่า แกรนด์ คาแนล

แต่คราวนี้ สมุทรไทจับแขนปู่ไว้ข้าง บนฟ้าคล้องอีกข้าง

ไงๆ…ฉันก็ต้องยุติธรรมนิดหน่อย คอยวิ่งผลัดไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะขาด

รีบส่งอีกฝ่ายขึ้นมาผงาด แล้วฉันจะเหลืออันใดไว้ส่งท้ายเพื่อขมวดปลายให้น่าสนใจ เพราะเราจะต้องเดินทางร่วมกันไปอีกไกลพอสมควร

ทุกคนในคณะของปรายไม่เคยมาอิตาลี แต่ยงยุทธและยาเยียเคยมาหนหนึ่ง หากก็มาไม่ถึงเวนิส จึงพลอยตื่นใจตื่นตาเมื่อขึ้นจากท่าแล้วพากันเดินเลียบร้านค้าหลากหลายอันรายเรียงกันอยู่ในซอย พาไปสู่จัตุรัสซานมาร์โค ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น ‘ห้องรับแขกที่สวยที่สุดของโลก’

ต่อจากนั้น ก็ถึงคราวฉันพรรณนาความงามของสถาปัตยกรรมชั้นเยี่ยม พร้อมเพรียงด้วยพิพิธภัณฑ์ที่มีท้องพระโรงหรูหราสองสามพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันนั้น จนเอิบอิ่มทั้งตาและใจไปตามกัน

เพียงแต่หญิงกับชายยัง ‘คุมเชิง’ กันมิได้คลาด ครั้นแล้ว ฉันก็ได้เวลาพาเขาและเธอกลับที่พัก

ได้ยินเสียงสมุทรไทผู้พาปู่ย่าส่งถึงประตูห้องนอน พลางหันไปทางเด็กขี้อ้อนของเขา ขณะเอ่ยยิ้มๆกับผู้อาวุโส

“วันนี้น้องบนดีจังครับ ไม่ทราบว่าคุณปู่คุณย่าเปิดคอร์สอะไร  ถึงได้ยืนหนึ่งขนาดนี้”

เรื่องคอร์สที่เปิดนั้น ฉันเขียนไว้แล้ว เพียงแต่อุบไว้ไม่แจกแจง ด้วยเกรงว่าถ้ายาวเกินไป ฉันอาจหมดแรงเสียก่อน

ต่อจากเวนิสก็ถึง ‘เวโรนา’

มาคราวนี้ ต้องแวะให้คุ้ม

สมุทรไทถ่ายรูปให้บนฟ้าต่อหน้ายาเยียหลายต่อหลายท่า…ฉันก็แกล้งซะงั้น แกล้งให้เด็กสาวจืดลงไป หากก็หันมาทำปากเบะใส่ฉัน ราวจะเอ่ย ‘หนูก็ไม่เห็นแคร์เลยนี่ หนูซะอย่าง…คอยดูไปละกัน”

เออ…เธอก็คอยดูไป…

แต่บอกได้คำเดียวว่าระวังนะ…เพราะถึงไงฉันก็เอาเธออยู่

ครั้นแล้ว ฉันจึงพาทั้งคณะไปเยี่ยมบ้าน ‘จูเลียต’ จากบทประพันธ์บันลือโลกของวิลเลี่ยม เชคสเปียร์

ขณะเดินไปด้วยกัน ยาเยียยังอดแขวะบนฟ้าไม่ได้ “ท่าทางพี่บนเกาะแขนพี่ไทยังกะกลัวหายงั้นละ”

“ใช่ กลัว” ฉันบอกบนฟ้าให้สวนกลับ “หายไปแล้ว หาอีกยาก”

มีบางคนแอบชี้โบ๊ชี้เบ๊อยู่ไม่ห่างเชิงถาม ‘ให้ท้ายพระเอกแบบนี้ เขาก็หลงตัวเองแย่เลยซี’

“ไม่หลง” ฉันบุ้ยใบ้บอกกล่าว

ต่อจาก เวโรนา ก็คือทะเลสาบโคโมที่พระเอกมือทองต้องขับรถลอดอุโมงค์ใต้ภูเขานับไม่ถ้วนอุโมงค์ แต่ก็คุ้มมากมายที่จะดั้นด้นไปให้ถึง โดยจองที่พักไว้ ณ เมืองวาเรนนาอันเป็น 1 ใน 4 เมืองริมทะเลสาบที่ไปง่ายทั้งในการล่องเรือชมความงามหรือแค่ข้ามฟากไปมา…โยธีบรรยายอย่างซึ้งในความเป็นหนึ่งแห่งกลุ่มทะเลสาบทางภาคเหนือของเมืองมิลาน อันอุดมด้วยเทือกเขาใหญ่ที่เชื่อมต่อกับแนวเทือกเขาแอลป์ในเขตประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นับเป็นทะเลสาบใหญ่อันดับ 3 ของอิตาลี ลึกที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป

ครั้นแล้ว ฉันก็พาคณะทั้งสองเข้าที่พักที่โยธีจองไว้ ที่มี ‘ซินญอรา’ กลางคนเป็นเจ้าของผู้ใจดีจนทุกคนติดใจ ต่างก็ได้ห้องพักใหญ่กว้างขวางสุขสบายเป็นที่คลายเหนื่อย โดยคณะของปู่ย่า มีสมุทรไทพ่วงข้าง ได้อยู่ห้องใหญ่ชุดหนึ่ง ส่วนพ่อลูกทั้งสามอยู่อีกปีกหนึ่ง แยกกัน

เลยขาดความมันระหว่างบนฟ้าและยาเยียชั่วคราว

แต่ไม่ทันให้ผู้ชมได้ตะครั่นตะครอรอนาน ฉันก็เลยรีบเร่งพาทุกคนลงเรือข้ามทะเลสาบไปเทียบท่าเมืองเบลลาโจ อันเป็นหนึ่งในสี่ที่มีอีก 2 เมือง คือเมืองโคโม กับเลนโน ซึ่งกระจายกันอยู่ตามชายฝั่ง

บนแผ่นดินของเมืองเบลลาโจนี้ ฉันก็ยินดีพาตัวละคร ทั้งผ่อนพัก ทั้งเดินชม ตลอดจนซื้อหาของใช้สวยงามอันเป็นอิตาเลียนขนานแท้ที่ไม่ต้องคำนึงถึงราคา

ครั้นถึงร้านขายถาดไม้เขียนสีสวยหยด ฉันก็เลยบอกบทให้นางเอกออเซาะ

“พี่ไทขา ช่วยเลือกให้หนูด้วยได้ไหมพี่” หล่อนเอ่ยกับเขาอย่างอ่อนโยน เป็นอีกทีท่าหนึ่งที่ไม่เหมือนและไม่คล้ายเด็กขี้อ้อนวันวาน

ยาเยียฟังแล้วคันปากยุบยิบ ท้ายที่สุดก็อดไม่ไหวเลยเหน็บเข้าให้

“แหม…วันนี้สงสัยผู้กำกับส่งบทใหม่มาให้พี่บนทดลองความสามารถแน่เลย…แล้วน้องก็ว่า…พี่แสดงได้ดีแล้วละค่ะ แต่อาจต้องแก้ตรงที่คนตาแหลมเขาคงจับได้เหมือนกันแค่นั้น”

“น้องเยีย” ไยธีก็เลยหันมาถลึงตา

“ช่างน้องเถอะ พี่โย น้องเยียคุ้นกับลับฝีปาก” บนฟ้าพูดเรียบๆ แต่แววตาเฉียบเอาเรื่อง

ในที่สุดก็มาถึงตอนขากลับ บนฟ้าขึ้นบันไดเรือเพื่อจะเดินตามหลังสมุทรไทไปนั่งบนเก้าอี้แถวหน้า ก็พลันสะดุดสันเหล็กที่กั้นขั้นบันไดล้มลง มีผลให้สะโพกข้างซ้ายครูดกับขอบเก้าอี้ข้างทางเดินจนหน้าคว่ำลงไป พร้อมหัวเข่ากระแทกกับพื้นโดยแรงถึงแก่ทรุดคุดคู้อยู่กลางทางเดิน

คราวนี้จึงเป็นทีของยาเยียที่จะโส-น้า-หน้า เมื่อได้ยินสมุทรไทผู้รีบคว้าเอานางเอกเข้ามากอดไว้กับอก จึงเสแสร้งแกล้งห่วงใย

“พี่บนเจ็บมากไหมคะ” แต่แอบยิ้มนิดๆ

สมุทรไทจึงปลอบเบาๆ

“ไม่เป็นไร พี่มียาอย่างชะงัด”

ก็ด้วยเหตุนี้เอง การเดินทางสู่มิลานเมืองที่โยธีจองห้องบนอพาร์ตเมนต์ไว้ให้แล้วทั้งสองครอบครัวก็เลยเพิ่มหน้าที่ให้พระเอกของฉันอีกหน้าที่หนึ่ง

นั่นก็คือ…หน้าที่นวดและคลึงให้นางเอกด้วยยาดับความบวมความปวดความระบมที่พระเอกมี…ที่ต้องหมดเวลานาทีทุกเช้าเย็น พร้อมกับ…บางคืน น้องบนก็อ้อนให้อุ้มไปวางบนเตียง

ฉันละก็นะ…

“น้องบน เห็นท่าทางพี่เขาไหมล่ะ” ปู่ว่า “เขาแก่กว่าหนูแค่สามสี่ปี แต่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าหนูสักสิบปี”

“โธ่โธ่โธ่ ปู่ขา ก็พี่ไทเขาเรียนโบราณคดีนี่ปู่ ก้อ…หนูว่านะ…วิชาที่เรียนนี่ก็สำคัญ ของโบราณที่เป็นศิลปวัฒนธรรมนี่ทำให้คนเราเติบโตทางปัญญานะปู่ขา…”

ฉันขอทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นี้ดีกว่า

เนื่องด้วยยาเยียขออนุญาตฉันไว้ว่า ขอให้นางเป็นคนส่งท้ายปลายเรื่องอย่างประเทืองอารมณ์จะได้ไหม

ฉันหรือจะไม่รีบพยักหน้า

นั่นก็เพราะอยากออกจาก ‘หลังม่าน’ เต็มทน พอให้พ้นงานกินเลี้ยงส่งท้ายของยาเยีย

Don`t copy text!