“รำนำ” ฤทธิ์เดชจาก ‘กระเช้าสีดา’

“รำนำ” ฤทธิ์เดชจาก ‘กระเช้าสีดา’

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

“หลังม่าน” คอลัมน์ที่จะบอกเล่าถึงชีวิตของตัวละครเด่นๆ ในนวนิยายของ กฤษณา อโศกสิน เป็นเรื่องราวเบื้องลึกที่มีแต่นักเขียนเท่านั้นที่จะสามารถรู้ได้ และนำมาบอกเล่าให้ผู้อ่านชาวอ่านเอาได้เห็นชีวิตด้านหลังม่านของตัวละครเหล่านั้น

ผู้อ่านที่เคยอ่าน ‘ตัวละครของฉัน’ คงพอจะจำได้ถึงการนำตัวละครทั้งหมดรวม 33 เรื่องมาพูดคุยแจกแจงถึงที่มาที่ไปของบทบาทและความนัยซึ่งอาจจะเรียกว่า ‘ความในใจ’ ของทั้งผู้เขียนและนักแสดงก็ไม่ผิด ชวนให้ทั้งผู้เขียนและผู้แสดงที่เคยพิชิต ‘หน้าม่าน’ มาแล้ว กลับมาเกิด ‘หลังม่าน’ กันอีกหนหนึ่ง

นับเป็นความพึงพอใจอันหาค่ามิได้ของทั้งสองฝ่าย

ครั้นแล้ว จึงมาถึงปีนี้คือปี 2565 ที่ผู้เขียนได้รับโอกาสอันงามอีกครั้งให้กลับมาเปิด ‘หลังม่าน’ คุยเล่นเจรจากับเหล่าบรรดา ‘ตัวละครของฉัน’ อันเป็นปีที่ห่างจากจรดปากกาคุยกันเมื่อครั้งกระโน้น คือตั้งแต่พ.ศ.2551 ถึง 14 ปี

จึงขอขอบคุณ ‘อ่านเอา’ ที่เปิดพื้นที่ให้จับจูงนักแสดงเข้ามาโลดเล่น เจรจากันอย่างหมดจดว่าเหตุไฉนจึงรัก โลภ โกรธ หลง อย่างสุดขีดสุดมันกันได้ถึงเพียงนั้น

 

เริ่มลำดับแรกด้วย ‘กระเช้าสีดา’

นวนิยายเรื่องนี้ก่อกำเนิดขึ้นเมื่อพ.ศ. 2524 ครั้นมาถึงวันนี้ พ.ศ.2565 ก็อายุได้ 40 ปีเศษ ผู้อ่านรุ่นใหม่บางคนยังไม่เกิดเสียด้วยซ้ำ

แต่ ‘รำนำ’ ตัวเอกในเรื่องเกิดแล้ว เกิดได้ 21-22 ปี

นางเป็นลูกสาวคนเดียวของแม่บ้าน ชื่อนุ่ม ซัดเซพเนจรมาอาศัยอยู่ในบ้านพ่อแม่ของชายหนุ่มนามว่า ‘ลือ’ ผู้เป็นลูกชายคนเดียว จนกระทั่งนายจ้างทั้งคู่วายชนม์ ลือได้ครอบครองตึกเก่าหลังเล็กสืบมา ขณะที่ลูกของแม่นุ่มก็โตวันโตคืนขึ้นมาในบ้านหลังนี้ในฐานะที่ลดต่ำลงไปจากความเป็นลูกหลานเล็กน้อย เนื่องด้วยลือก็มิได้ ‘กดหัว’ เด็กคนนี้อย่างข้าทาสแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังอุปการะเป็นอย่างดี ให้เรียนหนังสือจนจบวิทยาลัย

เพียงแต่ต้อง ‘รับใช้’ ลือและ ‘น้ำพิงค์’ ผู้ก้าวเข้ามาเป็นภรรยา รวมทั้งต้องคอยดูแลลูกหญิงของทั้งคู่นาม ‘น้ำพราว’ วัย 6 ขวบ ที่ทั้งลือและน้ำพิงค์หลงรักสุดสวาทขาดใจ

ลือขณะนี้เป็นหนุ่มใหญ่วัย 38 ปี มีสีสันทั้งผิวเผินและลึกซึ้ง จึงมักแหนงหน่ายในชีวิตจำเจ ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านโลกมาอย่างรอบด้าน พรักพร้อมด้วยอัชฌาสัยอ่อนโยน จึงเป็นที่ปรารถนาของเพศหญิงทั้งสาวใหญ่และสาวน้อย

ฝ่ายน้ำพิงค์เป็นคนใจเย็นใจดี เป็นผู้ที่เก็บความรู้สึก แม้เมื่อรำนำคอยบอกเล่าถึงสามีเธอกับผู้หญิงคนนั้นคนนี้ที่เด็กสาวพบเจอโดยบังเอิญในวันหนึ่งวันใด แล้วนำภาพบาดตามาคอยกรอกใส่หูสม่ำเสมอ เธอจึงถามเขาตรงไปตรงมา

ลือก็มักจะตอบให้ทุกข์ใจ

‘ของเล่นน่ะ ผมเป็นคนที่ต้องมีของเล่น’

ครั้นแล้วน้ำพิงค์ก็ต้องจำยอมรับ ‘ของเล่น’ ของลือ ตามแบบฉบับของ ‘เมียตัวอย่าง’

เฮอะ…เมียตัวอย่าง…นักเขียนเขียนไปก็หัวเราะเยาะไป

หากก็ได้ยินใครคนหนึ่งสวนมา

“นั่นคุณกำลังใส่ไฟหนูใช่ป่าว”

โถ…แม่เจ้าประคุณรำนำนั่นเอง

นี่ฉันก็นั่งเขียนอยู่ ‘หลังม่าน’ แท้ๆ นะ ยังไม่ได้ปริปากให้ใครได้ยินแม้สักคำ ไหงเด็กคนนี้ทายถูก

ฉันก็เลยวางปากกา หันไป

ใช่จริงๆ รำนำจริงๆ เด็กช่างเสี้ยมให้ผัวเมียเขาแตกกัน ยืนยิ้มฟันขาว ตัดกับผิวสีทองแดงละเอียดเนียนโผล่หน้าอยู่ข้างหลืบ

“ใช่…” ฉันก็เลยตอบไปอย่างลองดี “เธอจะทำไมฉันฮะ…จะทำไม…”

“โถ…หนูจะไปทำอะไรคุณด้าย-ย…หนูมันคนไม่มี…ไม่มีเงิน…ไม่มีบ้าน…ไม่มีเกียรติ แถมยังไม่มีปาก-กา-า…ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

ยังไม่ทันขาดคำ เด็กบ้าก็ผลุบหายไปจากหลืบ

ฉันก็เลยหันมาสืบสาวเอาเรื่องกับตัวละครต่อไป

เฮ้อ…ไม่มีอะไรจะสนุกเท่าเลยละ…

ก็คิดดู…ทุกวันนี้…ฉันก็ยังต้องตามพวกเขาไปไปมามาอยู่นั่นเอง

ก็โธ่…พวกตัวละคร…ผู้อ่านก็คงทราบดีว่าเขาอยู่นิ่งไม่เป็น…อิอิ

เลยพลอยให้นักเขียนไม่เป็นอันทำอย่างอื่นนอกจากจับพวกเขามาเข้าฉากเปิดตัว

ขณะเดียวกัน ฉันก็ออกมาเปิดหน้าหาได้ไม่

ซึ่งนั่นฉันก็พอใจอย่างที่สุดตลอดมา

“อย่านึกนะว่ารำจะเป็นขี้ข้าใครไปจนตาย…คอยดู รำจะปลดความเป็นขี้ข้าออกไปให้พ้นตัวในวันนึงให้จงได้” ฉันได้ยินรำนำแผดเสียงแว่วๆ ก็เลยลุกไปแอบดู

ตายแล้ว-ว-ว-

ตัวเอกของฉันกำลังเถียงแม่นุ่มคอเป็นเอ็นเลยเชียว นางกลัวใครซะที่ไหน กับแม่ตัวเองยิ่งแย่หนัก ฉันนี่ละก็มักจะฮึ่มฮั่มบ่อยๆ กับฤทธิ์เดชของเด็กนี่

ก็คู่ควรกันดีอยู่เหมือนกัน…ลือกับรำนำนี่น่ะนะ

ลือเป็นคนเอาแต่ใจตน เช่นเดียวกับผู้ชายที่ทะนงในความสามารถของตนเองทั่วไป

รูปโฉมของเขาไม่ถึงกับหล่อ น่าจะให้คำจำกัดความว่ามีเสน่ห์มากกว่า แม้แต่น้ำพิงค์ก็ยังเคยเอ่ยกับรำนำบ่อยๆว่า ‘ลือเป็นผู้ชายไทยสมบูรณ์แบบเชียวละรำ’

โธ่ โธ่ โธ่ อะไรจะขนาดนั้นหนอ น้ำพิงค์

มิน่าล่ะ…เธอถึงได้เอาใจเขาในทุกบรรยากาศออกปานนั้น

เอาใจจนวันใดวันหนึ่งจึงพบตัวเองว่ากำลังแห้งแล้งขนาดหนัก

แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่าเพราะเหตุใด

จะเพราะเหตุใด ถ้าไม่ใช่ข่าวคราวที่เขาควงหญิงนั้นหญิงนี้ออกจากปากเด็กในบ้านแทบทุกวี่ทุกวัน

“นี่…จะบอกให้นะว่า นิสัยอย่างนี้เขาเรียกว่ายุให้รำตำให้รั่ว”

“ก็คุณอยากตั้งชื่อหนูว่า รำนำทำไมล่ะ…หนูก๊อรำน่ะเซ่” เด็กเปรตเถียงยิ้มๆ ด้วยแววตาหวานเยิ้มแกมเจ้าเล่ห์

ผู้อ่านคงอยากถามละมังว่า ฉันไปเฟ้นหาตัวละครรสแซ่บ ซ่า แบบนี้มาแต่ใด เคยเห็นคาตาว่าเปิดการแสดงอยู่ที่ไหนหรือไม่

ขอไม่ตอบจะได้ไหมคะ…เดี๋ยวทั้งคณะจะมารุมกินโต๊ะดิฉันเข้าให้…กลัวใจจริงๆ…เจ้าประคุณ

ขอแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นคงพอ

ครั้นแล้ว วันสิ้นสุดของชีวิตคู่ระหว่างลือและน้ำพิงค์ก็มาถึง

แหมนี่…แค่เขียนก็ยังเศร้าใจแทนเลย…เนื่องด้วยวิญญาณของผู้เขียนกับวิญญาณตัวละครนี่มักจะผูกพันกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดกาล แม้กระทั่งจบเรื่องแล้ว บางทีก็ยังคะนึงถึง…แปลกจริงๆ แปลกมากๆ

ที่สิ้นสุดลงก็เพราะพฤติกรรมของอีกฝ่าย กับถูกทิ่มแทงทางอ้อมจากรำนำ

ทีนี้ผู้อ่านคงนึกออกแล้วกระมังว่า…ชีวิตคู่ที่ค่อยๆแตกสลายของทั้งสองที่ทำให้น้ำพิงค์หดหู่แห้งผากเกิดจากเหตุใด

คือมันก็ไม่ไกลไปจากเพรียงที่ค่อยๆพอกพูนขึ้นตามเสาที่ปักอยู่ในน้ำเค็มสักเท่าไหร่

คงมิใช่เพราะข่าวลือควงกับศศีที่รำนำนำมากรอกใส่หูอย่างเดียว

เนื่องด้วยรำนำยังก้าวก่ายล่วงเกินไปถึงลืออีกต่างหาก ประหนึ่งนางเป็น ‘เจ้าของ’เขาเอาเลยละ

รตีเพื่อนสนิทผู้มีน้องชายชื่ออำพนเป็นผู้รู้เห็นความเป็นมาเป็นไปของสามีภรรยาคู่นี้

อำพนมีเพื่อนสนิทนามเวไนย เป็นครีเอทีฟที่มีแม่ร่ำรวย อำพนกับเวไนยเข้ามาติดใจรำนำ แต่ติดใจคนละแบบอย่าง อำพนเป็นคนชอบ ‘ลอง’ แต่เวไนยเอาจริง

ดังนั้น ลือจึงเขม่นเข่นเขี้ยวสองหนุ่มเป็นนักหนา

หารู้ใจรำนำไม่ว่า ใจของนางอยู่ที่ใคร

“นี่เธอคิดจะตกเบ็ดอีกสองหนุ่มละมัง” ฉันก็เลยดักคอนางขึ้นมาวันใดวันหนึ่ง

“โอย…คุณเข้าใจรำผิดไปตั้งล้านกิโลได้ไง อย่าลืมนะว่าคุณเองก็คอยพยักพเยิดอยู่ในหลืบให้รำทำนั่นทำนี่ ให้เลวร้ายยังงั้นยังงี้นะคะ…หรือว่าแต่งเรื่องเพลิน…”

เออจริง จริงของรำ

ฉันเองต่างหากที่ปั้นแต่งนางขึ้นมา พอนางเป็นตัวเองได้ที่ ฉันจะหันไปวี๊ดกับตัวละครของฉันได้ไฉน

แต่ด้วยทิฐิมานะของนักแต่ง ฉันก็เลยแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้

“เหรอ…ถ้างั้น รำก็เก่งเองละซี เก่งจนฉันไม่ผิดหวังการแสดงของเธอแม้แต่ฉากเดียว”

“คุณเพิ่งรู้เหรอคะว่าหนูเก่ง” เด็กเจ้าเล่ห์ย้อนถาม “แต่ถึงเก่งยังไง คุณก็เก่งกว่าวันยังค่ำ”

“เก่งยังไงเหรอยะ” ฉันก็เลยแกล้งสงสัย หากก็ยิ้มในหน้า

“ทำมั้ยจะไม่เก่ง…เขียนจนคนเกลียดหนูได้ทั้งเมือง” นางทำท่าก๋ากั่นคอเป็นเอ็น “คอยดูนะ วันดีคืนร้าย หนูแอบเจี๋ยนคุณซะอย่าหาว่าไม่เตือน”

ครั้นแล้ว เด็กแก่ลมแก่ไฟก็รีบหลบวูบหายไปในหลืบ

ฉันลืมบอกไปว่า เวไนยมีญาติสนิทคนหนึ่งชื่อพาที

พาทีเป็นเจ้าของคลับ ‘เดอะ คลิฟฟ์’

มีลูกค้าเป็นเศรษฐีคนหนึ่งนามว่าจรินทร์

 

‘ตัวละครของฉัน’ เรื่องนี้แต่ละตัวมีสีสันอันตรายไปคนละแบบ

ในที่สุด น้ำพิงค์ก็ทนความอึดอัดกับการเป็นแม่บ้านอย่างเดียวไม่ได้ จึงไปชวนรตีตั้งร้านขายสินค้าสตรี ทำให้ได้ออกจากบ้านไปเปิดหูเปิดตาทุกวัน มีอำพนมาช่วยขายและดูแลร้านให้ขายดิบขายดีไม่แพ้ร้านเก่าแก่บางร้าน ฝ่ายรำนำก็เสนอหน้าเข้ามาช่วยขายบ้างเหมือนในใจขาวสะอาด

แต่แท้จริงแล้ว หวังจะเกาะติดชิดขอบเวทีเท่านั้น

“จำไว้นะ รำ” โธ่เอ๋ย น้ำพิงค์ ถึงอย่างไรก็ยังอุตส่าห์สอนจนได้ หารู้ไม่ว่าเด็กนี่น่ะเขาไม่ใช่จืดๆเหมือนเธอหรอกนะจ๊ะ “ทำดีต้องทำพอดี ทำเก่งก็ต้องเก่งพอดี ได้แก่ฉันเป็นตัวอย่าง…เมื่อก่อนละก็…ปลื้มบ้าปลื้มบอไปเรื่อยๆ…ทำอะไรสักสองสามอย่างก็ตีออกมาเป็นผลลัพท์สวยสดงดงามตลอดเวลา แต่เดี๋ยวนี้ เลิกแล้ว คิดแต่ว่า อะไรที่เป็นความสุขความพอใจก็จะทำอย่างนั้นทันที”

รำนำยิ้มในความมืด แม้น้ำพิงค์จะยังไม่แถลงออกมาว่าความสุขความพอใจของหล่อนกินความหมายกว้างขวางขนาดไหน นางก็พอจะนึกรู้…รำนำสามารถจะบีบตัวแทรกความเจ็บปวดของผู้หญิงคนนี้ลงไปได้ลึกเท่าลึกเกินกว่าใครจะตามทัน

หล่อนคลำพบเนื้อร้ายก้อนนั้นงอกอยู่คับหัวใจ ความงอกงามของมันเพียงพอที่จะทำลายทุกสิ่ง

นี่ไง…เห็นไหม…ก็ถ้าไม่ใช่นักเขียนแล้วจะเป็นใคร ที่สามารถทะลุทะลวงเข้าไปจนพบธาตุแท้ในใจมนุษย์

ในที่สุด…เด็กตัวร้ายก็ได้แต่กลั้นเสียงหัวเราะไว้ในลำคออย่างเงียบกริบ…พร้อมกับนึกในใจ…วันแห่งความแตกสลายใกล้เข้ามา

จนลือรู้สึกถึงความเปลี่ยนไปของน้ำพิงค์

รู้สึกว่าผู้หญิงที่ไม่พูดไม่แสดงอารมณ์ร้ายกาจใดๆออกมาเลยนั้น น่ากลัวอย่างยิ่ง

เขาชะล่าใจมานานเต็มทน ปลื้มกับความว่าง่ายของหล่อน ไม่ทันแลเหลียวที่จะดึงลิ้นชักหัวใจหล่อนออกมาดูว่า มันรกเรื้อเพียงใด

‘ฉันอาจมีผู้ชายอื่น’ หล่อนเคยบอกเขาคืนก่อน

แต่ตอนที่ฉันแอบยิ้มหยันความชะล่าใจของลือนั้น เขาเข้ามายืนข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ จู่ๆเขาก็กัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน คำรามใส่นักเขียนผู้ที่ปั้นเขาขึ้นมา

“เธ่อเอ๊ย…นึกว่าผมไม่รู้งั้นเหรอว่าก็คุณเธอนี่เองที่คอยมาโหมไฟให้พิงค์โกรธ แล้วก็คุณนั่นเองที่ทำให้เขามาลั่นวาจาว่าจะมีผู้ชายอื่น…ทั้งๆ เขาก็เคยเป็นกุลสตรีไท้ไทย”

ฉันก็เลยเอ็ดเสียงดัง

“นี่ลือ…หยุดหาเรื่องนักเขียนได้ไหม…ห้ามเลยนะ…ก็นี่มันสิทธิของใคร…ของฉันใช่ไหม ฉันเป็นทั้งเจ้าของทั้งผู้กำกับการแสดง…ฉันจะเชิดเธอให้ออกท่าขนาดมหึมาพาฝันยังไงก็ย่อมได้ ละครคณะนี้ ฉันใช่ไหม…ฉันต้องลำบากหอบหิ้วพวกเธอพาทั้งวงขึ้นไปโหมโรงบนยอดเขา ยากแค่ไหน เธอเองก็ต้องรู้”

“สู้สู้สู้…สู้โว้ย” นายลือออกอาการเหมือนน้องนักกีฬาขึ้นมาทันใด ยังไม่รู่ซึ่กอีกแน่ะว่าตัวเองก็ร้ายสิ้นดี

เมียกำลังจะทิ้งอยู่รอมร่อ…ฮิฮิ

 

ครั้นแล้ว น้ำพิงค์ก็มาขนของไป

สะปอดแล้วใช่ไหม พ่อคุณ ฉันกระซิบข้างหูนายลือ พระเอกของฉัน

นั่นก็เพราะนายคนนี้ทีเดียวกับเด็กในบ้านผู้ ‘น้ำใจเชือดคอ’ คือทำดีต่อหน้า กะแย่งผัวเขาลับหลัง

ฉันก็เลยตัดสินใจนั่งลับมีดคอยท่าอย่างไรเล่า

มาเลย…เอ็ง…เอ๊ย…เธอมาเลย ถ้ากะจะสู้กับนักเขียนละก็ มาได้ทุกเมื่อเลยนะ

ฉันได้ยินอำพนห้ามเสียงหลง

“อย่าเลยคร้าบ…ขอที…ไงๆ คุณก็อายุตั้งป่านนี้แล้ว ขอเถอะคับ อย่าเจี๋ยนใครเลย โดยเฉพาะพี่พิงค์”

ฉันก็เลยหัวเราะก้าก วางมีด

สู้กับตัวละครนี่ ถ้าไม่สุขก็ทุกข์สนัด

“โธ่เอ๊ย…ฉันจะทำพิงค์ได้ไง้ สงสารแทบตาย”

“คือผมรักพี่พิงค์ไงฮะ ตั้งใจว่าจะอยู่เป็นคู่จิ้นไปจนตาย”

“ว่าแต่เขาจะเอา…เอ๊ย…ชอบเธอหรือเปล่า อย่าเที่ยวได้เพ้อพกไปคนเดียวนาคะ ท่าทางน้ำพิงค์ไม่ใช่คนเหลาะแหละ”

“เถอะน่า…ไว้ใจผมละกัน”

 

ครั้นแล้ว ฉันก็เดินเรื่องร้ายๆต่อไป เพื่อให้สะใจคนที่มาเล่าให้ฟัง เพราะพี่แกตามอ่านตามซักไม่รู้แล้ว ‘นี่…ขอร้องเลยนะว่า…ไงๆ รำนำต้องตกม้าตายตอนจบ’ ฉันก็เลยพยักหน้าแรงๆ แกมโอ้อวด ‘มือชั้นนี้…ถ้าไม่แรงไม่ใช่เรา…’

ในที่สุด น้ำพิงค์ก็ขอหย่าลือได้สำเร็จออกมาอยู่ในห้องเช่าเล็กๆใกล้ศูนย์การค้า

มีรตีเป็นหุ้นส่วน อำพนเป็นเพื่อนคอยช่วยงาน

รำนำจึงมีบ้านที่อยู่กับลือเพียงลำพังเป็นวิมาน

“หมู่นี้ดูแกสนุกจริงนะ ไม่ค่อยกระฟัดกระเฟียดเลย”

“รำมีความสุขค่ะ” หล่อนตอบด้วยประกายตาที่ระบายความในใจออกมาจนหมดสิ้น “มีความสุขมาก”

แววตาหล่อนตามติดลือไปจนถึงที่นอน…ความจริงเขาเองก็เคยเห็นสีหน้าแววตาเช่นนี้มานานนัก หากแต่มองข้ามไป ด้วยว่าไม่มีเวลาใส่ใจเพียงพอ หรือมิฉะนั้นก็แปลความหมายไปในแง่ที่เด็กรักและบูชาเขาอย่างผู้อุปการะ

แต่เมื่อสักครู่ วิธีพูดวิธีมองทำให้เขาเฉลียวใจขึ้นมาเป็นครั้งแรก

ก็เลยโดดผลุงลงจากเตียงทั้งๆดึกดื่นค่อนคืน โทรศัพท์ไปหาน้ำพิงค์

“ผมมีอะไรจะถามคุณ”

ปัทเธ่อ…นายลือ…เดี๋ยวฉันทุบหัวแตก

แต่ก็แอบฟังต่อไป

ได้ยินนายนั่นกระหืดกระหอบถามเมียเก่า

“คุณเคยสงสัยอะไรไหม…เด็กของเรา…รำนำน่ะ”

“เขารักคุณ” น้ำพิงค์ตอบทันทีอย่างรำคาญใจ แล้ววางหู

โธ่เอ๊ย…โธ่ โธ่ โธ่ นักเขียนครึมคราง

ดูเหมือนเขาจะแอบได้ยิน เพราะมีเสียงจากข้างม่าน

“คุณก็ดีแต่คอยซ้ำเติมเวลาผมพลาดท่าผู้หญิงเท่านั้นแหละ…คอยดูนะ…คอยดู๊…”

“เธอจะทำไม…อย่าลืมว่าฉันมีปากกานะเฟ้ย แล้วก็เป็นผู้กำกับ บังคับเธอได้ เข้าใจคำว่า ‘กำกับ’ ไหม”

นายลือก็เลยต้องยิ้มจืดๆ รีบหลบหน้าไปแต่งตัว เตรียมเข้าฉากต่อไป

ฉากที่ฉันบอกบทให้เขาแสดง

ลือมองดูหล่อน…ค่อยๆมองดูอย่างจงใจ มองตั้งแต่หน้าผากที่หล่อนหวีผมเปิดไว้ แลเห็นความนวลของน้ำตาลทรายแดงเต็มตา เนื้อสาวนั้นผุดขึ้นมาเปล่ง อิ่มเหมือนผลไม้ที่เจ้าของห่อไว้อย่างประจง และบัดนี้ มันสุกจัด…ดูแต่ผิวก็รู้ว่า มีทั้งหวานทั้งหอมพร้อมเพียบอยู่ในนั้น รสชาติคงจัดจ้านอย่างยิ่งเมื่อสัมผัสลิ้น…

แล้วชายอย่างลือน่ะหรือจะหยุดอยู่แค่มอง น้อยไปละซี

ถ้างั้นดูฉันบรรยายตอนนี้ก็ได้

อยากรู้นักว่าทั้งสองชาย…ลือกับอำพนที่กำลังอลวนกับสองหญิง จะว่าอย่างไร ถ้าฉันส่ง ‘บท’ ไปให้แสดง…ดังนี้

ลือกอดหล่อนไว้ ร่างบางๆทรวงอกน้อยนิดที่มีความยั่วยวนอยู่ในตัวของมันเองแนบอยู่กับลำตัวเขา…ทุกสิ่งค่อยๆระอุขึ้น อารมณ์เยือกเย็นลังเลเมื่อครู่ของลือถูกปลุกเร้าให้ลุกขึ้นทำงานตามกลไกที่ธรรมชาติจัดสรรไว้อย่างตายตัวแน่นอน

รำนำเป็นฝ่ายจูบเขาทั่วใบหน้า…ริมฝีปากบางเต็มอิ่มนุ่มนวล ผนึกเข้ากับลำตัวเขาราวกับจะทำให้ร่างสองร่างกลืนกันเป็นร่างเดียว…

พอแค่นี้ดีกว่า เดี๋ยวผู้อ่านจะขนลุกขนพองไปตามกัน

เนื้อต่อเนื้อที่นาบกันนั้น ดูราวกับจะทำให้ห้องทั้งห้องมอดไหม้

อื้อฮือ…หวาดเสียวจังเลยค้าบบบ

เสียงนายตัวดีเยาะหยันแกมสั่นสะท้าน

คุณเธอไปเอาคำบรรยายมาจากไหนกันล่ะเนี่ย ลอกใครเค้ามาอ๊ะป่าว

เดี๋ยวทุบหัวแตกเลย นายลือ ฉันก็ทำเป็นเอ็ดออกไป แต่แอบยิ้มกับม่านนิดหนึ่ง

ครั้นแล้วจึงพาตัวละครวิ่งต่อ

เพราะยังมีอีกหลายบทหลายบาทที่รำนำจะต้องผจญ เมื่อเสพสุขกันไปแล้วพักหนึ่ง

ก็ถึงตาทวงถาม…นั่นคือการแต่งงาน

คุณอาตัวดีจึงตอบว่า

“ใจฉันยังไม่พร้อมจะตั้งครอบครัวไง…คือมันอ่อนเพลีย เหนื่อยหน่ายกับความผิดหวังครั้งที่แล้วมาก มากจริงๆ เพราะงั้นก็ต้องการเวลาตั้งสติตั้งตัวอีกสักพัก”

ด้วยคำตอบอันแสนเจ็บปวดนี้…ชีวิตของ ‘กระเช้าสีดา’ หรือกาฝากชนิดหนึ่งบนคาคบของไม้ใหญ่ ได้อาศัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากไม้นั้น มีหรือจะไร้ชีวิตวิญญาณด้วยเหตุง่ายๆ…ไม่มี…

ถึงอย่างไร ‘กระเช้าสีดา’ กอนี้ก็จักต้องยืนยงคงอยู่บนคาคบสืบไป แม้จะผ่านมือเจ้าของ มือแล้วมือเล่า ด้วยเลศเล่ห์พลิกแพลงตะแคงกายอย่างไรก็ช่างมัน

แม้แต่ลือก็ยังครวญครางบอกฉันเช่นกัน กับบอกแม่นุ่มว่า

“พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสไว้ถูกไง…กาเมสุมิจฉาจาร…มันทำให้ชีวิตโกลาหล คนฆ่ากันได้จริง”

นักเขียนก็ได้แต่ถอนใจอย่างโล่งอกอีกครั้ง หลังจากหลงเหลือเรื่องราวและคำพรรณนาอันโลดโผนตื่นเต้นไว้เป็นความพิศวงและพิศวาสสืบไป

ด้วยว่ามากมายจนมิอาจบันทึกไว้ ณ ที่นี้

นั่นก็คือ ฤทธิ์เดชจาก ‘กระเช้าสีดา’ ล้วนๆ 

Don`t copy text!