“จำหลักไว้ในแผ่นดิน” เจ้าหญิงโสคนเทียและสู

“จำหลักไว้ในแผ่นดิน” เจ้าหญิงโสคนเทียและสู

โดย : กฤษณา อโศกสิน

“หลังม่าน” คอลัมน์ที่จะบอกเล่าถึงชีวิตของตัวละครเด่นๆ ในนวนิยายของ กฤษณา อโศกสิน เป็นเรื่องราวเบื้องลึกที่มีแต่นักเขียนเท่านั้นที่จะสามารถรู้ได้ และนำมาบอกเล่าให้ผู้อ่านชาวอ่านเอาได้เห็นชีวิตด้านหลังม่านของตัวละครเหล่านั้น

นวนิยายเรื่องนี้คือเรื่องที่นับว่าสำคัญอย่างยิ่งเมื่อนำมาเปรียบกับนวนิยายจำนวนมากที่ฉันเขียนไว้ ด้วยว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในดินแดนกัมพูชาที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านอันสนิทสนมกันมากกับไทย ในฐานะประเทศอาเซียนด้วยกัน เพียงแต่ฉันเองได้นำเอาจินตนาการส่วนตนเข้าไปตกแต่งจนกลายเป็นความรักอันยิ่งใหญ่ระหว่างเจ้าหญิงกัมพูชาองค์หนึ่งกับนายทหารหนุ่มของไทย

เจ้าหญิงนามว่า โสคนเทีย นายทหารไทยนามว่าสรคม หรือนามแฝงว่า สู หรือ หัวหน้านิล

ฉากจึงเปิดขึ้นหลังจากกรุงพนมเปญถึงแก่กาลพินาศ เมื่อ 17 เมษายน 2518 ด้วยการกระทำย่ำยีโดย กองทัพเขมรแดง ภายใต้การนำของ พอล พต และ เอียง ซารี

พาเอาสถานการณ์บ้านแตกสาแหรกขาดมาสู่ชาวกัมพูชา จนต้องหอบลูกจูงหลานหนีตายเข้าสู่ชายแดนไทยที่มีกองกำลังของทหารเรียงรายอยู่

ดังนั้น ฉันจึงเปิดตัว ‘หัวหน้านิล’ ได้ทันทีทันใด

นายทหารหนุ่มวัย 33 ปี ยังโสด แต่โดดเดี่ยว ด้วยว่าชีวิตที่ผ่านมาแม้มีรัก หากก็ต้องมัวเคี่ยวกรำกับการป้องกันผู้ก่อการร้ายอันเต็มไปทั้งชายแดน รักนั้นจึงพลัดพรากจากไป

“เมื่อไหร่พี่จะมีเมีย” ร้อยเอกภวันดรผู้เป็นนายทหารรุ่นน้องก็เลยถาม ขณะนั่งอยู่ด้วยกันภายใต้แสงดาวหลังรู้ข่าวพนมเปญแตกดับ พร้อมกันนั้นก็กำลังรอผู้อพยพชาวกัมพูชาที่หนีตายข้ามมายังฝั่งไทย

เขามีหน้าที่ต้องสกัดกั้นไว้ ไม่ให้ไหลลามมาถึงเมืองชั้นใน

หากขณะนั้นเอง เด็กหนุ่มไทยเชื้อเขมรลูกชายนายสมผล เจ้าของไร่ที่เขาไปขอปลูกเพิงพักท่ามกลางร่มเงาของต้นตะแบกป่าก็ขี่จักรยานมาถึง มาบอกกล่าวให้รู้ว่า ณ บัดนี้ มีคนสามสี่คนมานอนระเนระนาดอยู่ปลายนา ไม่รู้ใคร…พ่อก็ไม่กล้าเข้าไปถาม

หัวหน้านิลผู้มีนามแฝงว่า ‘สู’ จึงขอตัวจากร้อยเอกภวันดรตามเด็กชายไปสู่นาและไร่ข้าวโพดของนายสมผล

จึงแลเห็นคน 4 คนนอนกองเรียงกันอยู่บนดินปลายนา ชาย 2 หญิง 2

ชายหนึ่งชราแล้วนอนเคียงกับเด็กหนุ่ม ส่วนหญิงกลางคน เบียดกายอยู่กับหญิงสาวผู้นอนตะแคง หนุนศีรษะด้วยห่อผ้าขนาดย่อม

ก่อนอื่น สูลองยื่นมือเข้าไปแตะแขนชายชรา แต่ร่างบางผอมผมเกรียนก็ไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นตื่น

เขาจึงฉายไฟกราดไปตามร่างอื่นที่นอนกองด้วยสลดรันทดใจ

เมื่อไฟส่องไปยังร่างหญิงสาว ก็แลเห็นมุ่นผมแตกกระจาย ปรกลงมาปิดเสี้ยวหน้าครึ่งหนึ่ง แลเห็นขนตาดำเป็นแผงแน่นทาบอยู่บนโหนกแก้มสองสีเนียนละเอียด นิ้วงามเรียวแต่ว่างเปล่า มีเพียงรอยด่างโดยรอบ…บ่งบอกว่าครั้งหนึ่งทั้งนิ้วกลางและนิ้วนางเคยสวมแหวน

แต่ก่อนที่สูจะตัดสินใจปลุกทุกคน เปลือกตาคู่นั้นก็ค่อยๆเปิด เปิดขึ้นมาอย่างงวยงง พร้อมกับเจ้าตัวยันกายนั่งตรง เสียงที่ส่งออกมาเป็นภาษาเขมร ความว่า

“นี่ที่ไหน เขาเรียกอะไร” นายสมผลช่วยแปลเพราะรู้ภาษาเขมรเป็นอย่างดี

“ที่นี่ประเทศไทย” ชายหนุ่มตอบ

ยังไม่ทันไร ฉันเอง…ก็ยังขนลุกแล้วเห็นไหม

“ประเตียซไท” หญิงสาวจึงผุดลุกขึ้นยืน หากก็ซวนเซ ดังนั้นสูจึงยื่นแขนให้หล่อนเกาะ หากเจ้าตัวก็ครางขึ้นมาอีกครั้ง แกมสะอื้นด้วยแรงสะท้อนสะท้านจากภายใน พร้อมด้วยแรงแห่งความตื่นเต้นปราโมทย์

“เขาบอกว่า แม่เขาตายแล้ว” นายสมผลถ่ายทอด

สูได้แต่พยักหน้าอย่างไม่แปลกใจ

แผ่นดินกัมพูชากำลังเดือด ไหนเลยสมรภูมิจะไม่ถูกสังเวยด้วยเลือดเนื้อ

จากวันที่ 17 เมษายน วันที่กรุงพนมเปญแตกจนถึงคืนนี้ 6 วันเต็ม…เพียงหกวันนั้นสั้นนัก สั้นเกินกว่าจะเดินเท้ามาถึง…พนมเปญสู่เขตไทย…อย่างน้อยก็ต้องสองสัปดาห์ แต่นางกับคณะดั้นด้นมาอย่างไรจึงมานอนสิ้นแรงอยู่ภายใต้แสงดาวแห่งพระบรมโพธิสมภารภายในไม่เกินหนึ่งสัปดาห์

หากเขากับนายสมผลและลูกชายต่างก็ช่วยกันพยุงคนทั้งสี่ให้ลุกขึ้น ทั้งคนและผ้าส่งกลิ่นสาบด้วยเหงื่อไคลปนกลิ่นดินหญ้าอันหมักหมมมาหลายวัน

“เราจะพาคุณไปพักที่เรือนโน้น ถ้ายังง่วงก็นอนต่อ ถ้าไม่ง่วงก็อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่”

สตรีสาวชาวกัมพูชาก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย

“คุณยังไม่ได้เล่าเลยว่าข้ามเขตมายังไง คุณทราบไหมว่า คุณเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย รัฐบาลไทยอาจประกาศในเร็วๆนี้ก็ได้ว่าไม่พึงประสงค์ให้บุคคลต่างด้าวไม่ว่าสัญชาติใด อพยพหนีภัยเข้ามาในราชอาณาจักร” ชายหนุ่มก็เลยพูดอย่างจริงจัง

“อย่า…อย่าได้ไหม…อย่าส่งฉันกลับกัมปูเจีย…อย่าส่ง…ฉันไม่อยากกลับบ้านอีกแล้ว…แม่ตายแล้ว…พ่อก็” หล่อนพูดไทยได้ค่อนข้างดี แม้จะมีสำเนียงแปร่งอยู่บ้าง “ถ้าจะส่ง ขอให้ช่วยส่งฉันไปฝรั่งเศสจะขอบคุณมาก…พี่สาวฉันหนีไปก่อน หนีไปฝรั่งเศสก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน”

ฝรั่งเศส ประเทศนี้สะดุดทั้งหูสะดุดทั้งใจ

ฝรั่งเศสที่มีมณฑาทอง

เขาจึงได้แต่เงียบงันจนหล่อนหันมามองหน้า

 

ผู้หญิงคนนี้ควรจะเป็นใคร เป็นเขมรระดับใด ชวนให้สงสัยยิ่งนัก

ห่อผ้ายังคงวางอยู่บนตัก มีมือหล่อนทับไว้ นางคำพวนจึงตักน้ำจากโอ่งมุมเรือนมาส่งให้ หล่อนจึงบอกให้ตาดื่มก่อน ครั้นแล้วจึงหันมาทางสู

‘เหมือนนางอัปสราบนผนังนครวัดไม่มีผิด’ ชายหนุ่มนึกในใจ

เขายังคงยืนอยู่ตรงหน้า ท่ามกลางแสงตะเกียงและท้องฟ้าที่เริ่มตราตรู ภูเขาอันทอดยาวต่อกันเสมือนคลื่นแรงแห่งท้องทะเลยังคงมืดเข้ม ขณะที่เบื้องหลังไกลออกไป รัศมีเรื่อรำไรผ่านขึ้นมา…แสนบางประหนึ่งป่านแก้วสีทับทิมจางกำลังแผ่ออกคลุมสันเขา เงาไม้บนนั้นดำเด่น กระหนาบหินสูงซับซ้อน ต้อนรับตะวันเรือง

ฉันก็เลยขอประเทืองอารมณ์ผู้ชมด้วยฉากธรรมชาติในยามนั้นว่ามีทั้งสวยแกมเศร้าเพียงไร

“นครวัดยังดีอยู่หรือเปล่า ถ้านครวัดเป็นอะไรไป ผมคงเสียดายสุดซึ้ง”

“คุณเคยไปนครวัดมาแล้วหรือ” หญิงสาวถาม

“เคย…เคยครั้งเดียว…ตอนที่ผม” ชายร่างสูงตอบ ขณะคิดหาประโยคที่เหมาะสม “ผมเคยตามพ่อไปเขมร”

“สมัยนายพล ลอนนอลปกครองหรือเปล่า”

“ใช่…สมัยลอนนอล ผมไปเมื่อปี 2516” สูบอกเรียบๆ “ว่าแต่ว่าคุณจะให้ผมเรียกคุณว่ายังไง…ยังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามกันเลย”

“เอ้อ…ฉันชื่อเทีย”

“เทีย” เขาก็เลยทวนคำ เก็บความสงสัยไว้มิดชิด “แล้วนี่คุณมากันยังไง พนมเปญแตกเมื่อหกวันก่อน แต่วันนี้คุณก็มาถึงบ้านเรา เร็วจริงๆ”

“นั่งรถมา แต่พอถึงกลางทาง รถถูกกับระเบิด ก็เลยต้องมาทางลัด พอดีน้องชายรู้ทาง” หล่อนหันไปมองหน้าเด็กหนุ่ม “เขาเป็นลูกของน้า ทั้งตระกูลรอดมาแค่นี้”

“คุณพูดไทยได้ชัด รู้เรื่องดี”

“ฉันเรียนภาษาไทย คนขะแมร์มีการศึกษาหน่อยจะเริ่มเรียนภาษาไทยกันมากขึ้น”

นัยน์ตากว้างแต่ลึก หน้าผากกลมนูน โหนกแก้มค่อนข้างสูง หน้าแป้น ผมดกดำเส้นใหญ่ที่ปรากฏตรงนัยน์ตาค่อยๆแจ่มจ้าขึ้นในความสังเกตของชายหนุ่ม

สตรีชาวกัมพูชาผู้นี้คงมิใช่สามัญ

คลิปทองเหลืองที่เหน็บผมดำงามยาวกึ่งกลางหลังวาววาบกระทบตา

ยามเมื่อผสมจากแสงแห่งรุ่งเช้า รูปพรรณสัณฐานนั้นดู ‘คลาสสิค’ จนสูรู้สึกระลึกได้ว่าเคยเห็นเคยเพ่งพิศชื่นชอบมาก่อน หากก็นึกไม่ออกว่าเมื่อไร

“ตาล่ะชื่อไร” เขาเริ่มซักไซ้ไล่เลียงอีกหนหลังจากทุกคนกินอาหารเช้าที่นางคำพวนเมียนายสมผลหุงหามาให้ กินจนอิ่มด้วยกันถ้วนหน้า

ชายหนุ่มยังคงนั่งอยู่บนอานจักรยาน จับตามองอิริยาบถของหญิงสาวและญาติของหล่อน

ท้ายที่สุด เขาจึงบอกเจ้าของบ้าน

“ขอไปตลาดเดี๋ยวนะลุง เดี๋ยวมา”

นั่นเอง เทียจึงขอไปด้วย สูก็ยินดีให้หล่อนนั่งเกาะขอบอานไปกับเขา

ได้กลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายกลิ่นดอกไม้ปนกลิ่นเครื่องเทศกรุ่นจากเผ้าผมของหญิงสาวมาสัมผัสจมูก ก็เลยเอ่ย

“ถามจริงๆเถอะเทีย คุณคือใคร”

“ก็แล้วคุณล่ะคือใคร เป็นชาวไร่หรือชาวบ้านหรือทหารปลอมตัวมา”

สูได้ยินแล้วมิวายสะดุ้ง หากก็แก้ว่า

“ทหารน่ะเขาไม่เหม็นสาบพะรุงพะรังเหมือนผมแน่นอน”

มีเสียงหล่อนหัวเราะ…ขณะที่ภาพอลหม่านของฝูงชนที่ถูกไล่ต้อนใส่รถบรรทุกใหญ่ให้ออกจากพนมเปญภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงยังคงติดตรึงในม่านตา ถ้าไม่ได้บริวารของรัฐมนตรีช่วยพาขึ้นรถมาส่งถึงนอกเมือง ป่านฉะนี้ชีวิตหล่อนก็คงไม่เหลือ

หล่อนจึงเล่าให้เขาฟังถึงพอลพตกับเอียง ซารี คอมมิวนิสต์ใหญ่ของขะแมร์

“ผมเคยได้ยินแต่พคท. พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” สูก็เลยเสแสร้งแกล้งกล่าวไปเสียอย่างนั้น หากก็ออกคำสั่งกับหญิงสาว “บอกมานะว่าคุณคือใคร…ถ้าไม่บอก ผมจะพาคุณกับญาติออกไปส่งที่ชายแดนเดี๋ยวนี้”

ในที่สุด จักรยานก็พุ่งไปตามทางดินที่เป็นได้ทั้งทางเดินและทางเกวียนจนลุเพิงน้อยท่ามกลางร่มเงาตะแบกป่า…ที่พักของเขา ณ ยามนี้

“จะได้เห็นที่ซุกหัวนอนของผม”

แต่หญิงที่มาด้วยก็ยังบ่ายเบี่ยงเลี่ยงตอบ จนกระทั่งเขาเอื้อมไปถึงคลิปเหน็บผมทองเหลืองลวดลายโบราณ ลายพรรณพฤกษาที่เขาเคยเห็นบนหน้าบันปราสาท ณ ‘เมืองพระนคร’ อย่างลองใจเพื่อดึงเอาความจริงออกมาให้จงได้

“บอกมานะว่าคุณคือใคร คุณไม่ใช่ผู้หญิงชาวบ้านธรรมดา ไม่ได้ชื่อเทีย…คุณเป็นใคร เป็นลูกสาวรัฐมนตรี ลูกสาวจอมทัพ ลูกสาวพระราชา…”

“แล้ว…แล้วคุณจะทำอะไรฉัน”

สูกับหล่อนต่างก็ยืนประจันหน้ากันท่ามกลางสายแดดบางๆที่เริ่มจัดจ้า

“ผมจะ…”

“อย่านะ ขอได้โปรด อย่าส่งฉันกลับ ไว้ชีวิตฉันด้วย ไว้ชีวิต…ฉันจะบอก จะสารภาพ”

“ดีแล้ว ผมจะได้จัดถูก”

“ฉัน…เจ้าหญิงโสคนเทีย…สมเด็จเจ้า” เมื่อถึงตรงนี้ พระนามแห่งพระบิดาก็ขาดหายลงลำคอ “แม่ฉันเป็นลูกคหบดีเมืองพนมเปญ เป็นชายาคนหนึ่งของ…”

ในที่สุด ทหารหนุ่มและเจ้าหญิงก็คุยกันได้

ฉันกำกับการแสดงไปก็เอิบอาบซาบซ่านใจไปพร้อมกันที่มีโอกาสได้มาสัมผัสกับเรื่องยาวอันแสนขลังด้วยการเมือง การทหารและความรักใคร่ผูกพันระหว่างชนชั้นที่ควบกล้ำไปกับสามัญสำนึกของบุรุษและสตรี

ไม่มีพระเอกนางเอกเรื่องใดจะพาเอาความยุ่งยากใจมาให้ฉันถึงเพียงนี้

จึงขอบอกกล่าวผู้ชมไว้ล่วงหน้าเลยก็ได้ว่า ฉันต้องเสียน้ำตามากมายเพียงใด…กว่าจะพาความเป็นความตายของชาวกัมพูชาที่มาอยู่ในความคุ้มครองดูแลของทหารไทยไปจนถึงจุดอวสาน ซึ่งนั่นก็คือส่งผู้อพยพกลับบ้านเมืองของเขาเพื่อนำเอาชีวิตแต่หนหลังครั้งที่ยังปกติสุขคืนมา

ทันใดนั้น ก็รู้เลยว่า น้ำตาของมนุษย์เรานี้มิใช่จะมีให้เพียงรักใคร่ ได้ เสีย เชิงชู้สาวเท่านั้น หากยังลามเลยไปจนถึงรักชาติ รักแผ่นดิน รักถิ่นกำเนิด รักผู้บังเกิดเกล้าที่มิใช่เพียงพ่อแม่ แต่ยังรักเลยไปถึงผู้บังเกิดเกล้าแห่งปฐพี

นั่นก็คือ ผู้พลีชีวิตเลือดเนื้อทั้งเข้มข้นและเจือจางให้แก่ผองผู้สืบเผ่าต่อพันธุ์อันคืออนุชนรุ่นหลังตั้งแต่ลูก หลาน เหลน ลื้อ…ซึ่งก็คือสายจากโลหิตสีเดียวกัน

มีเพื่อนบ้าน คือ เขมร ญวน ลาว พม่า ซึ่งพันตรีสรคมตระหนักดี

‘สู’ หรือหัวหน้านิล นามจริงว่าสรคม ขณะนี้ จึงกำลังยืนประจันหน้ากับโสคนเทีย เจ้าหญิงผู้พเนจรมาจากราชอาณาจักรกัมพูชา

ขณะนี้ เขากับหล่อนจึงต่างก็ลงนั่งสนทนากันที่ปลายแคร่คนละข้าง หน้าเพิงพักของเขา

ต่างก็มีความหลังและความผิดหวังจากชีวิตที่ผ่านมาพอๆกัน เพียงแต่เขาผิดหวังทางโลกย์ ส่วนหล่อนผิดหวังทางการเมือง

หล่อนได้แต่มองไปรอบๆ ณ โคนต้นตะแบกป่า มีโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กตั้งอยู่ตัวหนึ่งกับม้านั่งอีกสี่ตัว เตาของเขาเป็นเตาก่อสำเร็จรูป สูงพอจะยืนทำอาหารได้สะดวก

สูก็เลยลุกขึ้นไปติดไฟหลังจากเติมเศษไม้ลงไปสี่ห้าอัน แล้วพัดแรงๆด้วยพัดใบตาล ขณะที่หล่อนกวาดตามองจานชามหม้อเคลือบขนาดย่อมมีดอกลาย ช้อนสังกะสีเคลือบฉูดฉาดบาดตา จึงทักว่า

“ของพวกนี้ดูเหมือน…”

“ใช่…ผมซื้อจากตลาดเสียมราฐ” เมื่อถึงตรงนี้ เขาหันมายิ้มให้

เป็นยิ้มที่น่าดู

ไม่กี่นาทีต่อมา น้ำก็เดือด เขาจึงล้างถ้วยเคลือบมีหู ลักษณะเหมือนขันโอสีเหลืองและสีเขียวปลอดสองใบมาใส่กาแฟสำหรับหล่อนและตนเอง

“ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณเป็นเจ้าหญิง” ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ เมื่อต่างก็ลงนั่งคนละฟากโต๊ะ พลางจิบกาแฟท่ามกลางบรรยากาศรวยรื่นชื่นสบาย

“ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร” อีกฝ่ายตอบ “ถ้าไม่เป็นเจ้าหญิง ก็เป็นแค่โสคนเทียหรือเป็นแค่เทีย…ถ้าเป็นแค่นี้ได้ ฉันจะยิ่งดีใจ..คุณอย่าพาฉันไปส่งเจ้าหน้าที่เท่านั้นแหละ ฉันกลัวแค่นั้น”

ผู้อพยพระลอกแรกกำลังเดินทาง ชายหนุ่มคำนึงในใจ…อีกไม่ช้า…บริเวณนี้จะเนืองแน่นไปด้วยปวงประชาชาวเขมร

รัฐบาลไทย ทหาร ทั้งทหารหลัก และทหารข่าว ตำรวจตระเวนชายแดนและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายคงจะต้องทำงานหนักกว่าที่หนักอยู่แล้ว

นั่นก็คือ ต้องปราบปรามคอมมิวนิสต์ ด้วยสงครามจิตวิทยา ควบคู่ไปกับแบกรับผู้อพยพชาวกัมพูชา

 

“แต่ถึงยังไงผมก็ต้องส่งคุณกลับ”

“สู” หล่อนวิงวอนพลางเหยียดแขนข้ามโต๊ะออกมา ทำท่าจะแตะมือเขา หากเมื่อรู้สึกตัวจึงถอนกลับไป “ขอร้อง…อย่าส่งฉัน…ไม่ว่าจะส่งกลับบ้านหรือส่งเจ้าหน้าที่ไทย…ว่าแต่ว่า…คุณอยากได้ค่าตอบแทนสักนิดนึงไหม”

ฉันได้ทีจึงพาบรรยากาศอันมักจะหนีกันไม่พ้นระหว่างคนผิดกฎหมายกับผู้รักษากฎหมาย

หากยิ้มก็แวบผ่านดวงตาคมอย่างสมใจ สูจึงเอ่ยตอบ

“ผมต้องกินต้องใช้ ก็ต้องอยากได้ตอบแทนอยู่ดี”

“ฉันจะให้”

“เงินเรียลน่ะหรือ”

“ทอง…ฉันจะจ้างสูเป็นทอง…ฉันมีทองให้สู…ไม่มาก…ถ้าสูสัญญาว่าจะให้เราสี่คนอยู่กับสูที่นี่”

“ถ้างั้นก็เอามา…ทอง…” ชายหนุ่มวางถ้วยกาแฟพลางแบมือ สีหน้าขึงขัง

“อยู่ในห่อผ้า อยู่กับน้าฉันโน่น”

“ไม่เชื่อ” เขาส่ายหน้าพร้อมยิ้มละไม นัยน์ตาฉายชัดว่ารู้ทัน “ถ้างั้นก็…ลุกขึ้นยืน คุณซ่อนอะไรไว้ที่เอว”

อู้ฮู…รู้ไปถึงขนาดนั้น

ยกนิ้วให้เลยนาพระเอกนา

แม้หล่อนจะมิได้ยืนขึ้นตามคำสั่ง หากก็ค่อยๆแก้เชือกใต้เข็มขัดเงินขึ้นมากองลงบนตัก สักอึดใจเต็ม โสคนเทียก็วางแผ่นทองขนาดเท่าแสตมป์ลงตรงหน้าเขาหลายแผ่น

เป็นแผ่นทองที่รีดแล้วจนบางเฉียบ

 

สูจึงเอื้อมไปหยิบแสตมป์ทองขึ้นพิจารณา

แต่ละแผ่นนั้นประณีต ยามกระทบแสงอาทิตย์ตอนแปดนาฬิกา เนื้อสุวรรณอันเยียรยงสะท้อนวับรับความสว่างอย่างเปี่ยมอานุภาพ

ชวนใจให้กระหวัดถึงปราสาทแห่งเมืองพระนครที่เขาเคยเดินชมเชื่องช้า พลางพินิจศิลาแต่ละก้อนอันมีรูพร้อยทั่วผนังและเพดาน เกิดจินตนาการไปไกลถึงปางบรรพ์ บางห้องหับในปราสาทอาจใช้ประกอบพิธีกรรม ขับลำนำร่ายโศลกท่ามกลางเปลวเทียนวามวาว บนผนังบางห้องคงสุกปลั่งด้วยแผ่นทองและแผ่นเงิน งามสกาวพราวพร่าง ประกายทองและเปลวเทียนคงวับแวมวูบวาบ เพิ่มความมลังเมลืองทวีคูณ

“คุณอย่าหลอกผมได้ไหม…ในเอวคุณนั่น นอกจากทองก็มีเงิน ในห่อผ้ามีเพชรพลอย เพราะฉะนั้นก็ต้องขอเตือนให้ระวัง ทุกตารางนิ้วแถวนี้ มีคนหลายกลุ่ม อาจเป็นคอมมิวนิสต์ อาจเป็นชาวบ้านที่ฝักไฝ่กับพวกนั้น หรืออาจเป็นชาวไร่ชาวนา เป็นตำรวจทหารนอกเครื่องแบบ เป็นสายลับเขมรแดงที่ซุ่มซ่อนอยู่ตามป่าเขาฟากโน้น…” เขาก็เลยสาธยายให้หล่อนได้รับรู้

โสคนเทียฟังพลางทอดถอนใจ ขณะประจงสอดแผ่นทองลงในไถ้ผ้าฝ้ายสีดำที่มีเชือกยาวร้อยไว้คาดเอวแล้วผูกเงื่อนตาย จนในที่สุดทั้งไถ้และปลายเชือกก็หายเข้าไปในผ้าซิ่นที่คาดเข็มขัด

“ขอบคุณสู ฉันจะไม่ลืมบุญคุณคุณเลย”

“ถ้างั้นคุณต้องพักอยู่กับลุงผลก่อน รอดูเหตุการณ์สักระยะ” เขาเองก็กระสับกระส่าย

แม้ทั้งสี่จะหนีร้อนมาพึ่งเย็น หากก็ย่อมชอบที่จะต้องรายงานไปยัง ‘หน่วยเหนือ’ และ ‘หน่วยแม่’ โดยด่วน

“หรือไม่ก็…ผมจะหาทางช่วยคุณให้ได้ไปสบทบกับพี่สาวที่ฝรั่งเศส”

“จะถือว่าเป็นบุญคุณสูงสุด” หล่อนละล่ำละลัก “ประเทศเดียวที่อยากไปคือฝรั่งเศส อย่างน้อยก็เป็นประเทศที่คุ้นเคย เพราะมีครูมีเพื่อน…”

“คุณเคยเรียนที่นั่นหรือไง”

“ฉันจบจากฝรั่งเศส กลับไปอยู่กัมปูเจียได้สองปี ลอนนอลก็ยึดอำนาจ ฉัน…แม้จะเป็นราชวงศ์ก็เป็นราชวงศ์ปลายแถว เป็นราชวงศ์นอกราชวงศ์”

“เจ้าหญิงโสคนเทีย” เขาเรียกหล่อนเต็มคำ “คุณเรียนจบสาขาอะไรจากฝรั่งเศส”

“ฉันเรียนกฎหมาย”

สูนิ่งไปเมื่อนึกถึง…

มณฑาทอง สตรีที่เขาแสนรักผู้นั้นเรียนแพทย์ จบแล้วจึงแต่งงานไปกับแพทย์ชาวฝรั่งเศส เขาสืบรู้เพียงเท่านั้น

“มีคนไทยมากไหม”

“มีไม่กี่คน แต่ที่ฉันสนิทมีคนเดียว เขาเรียนคนละสาขากับฉันก็จริง แต่บังเอิญฉันเป็นคนไข้ของหมอสามีเขา ก็เลยพลอยสนิทกับภรรยา” โสคนเทียเล่าความ “ฉันชอบเพื่อนคนนี้มากเพราะนิสัยดี เป็นผู้หญิงไทยแท้ ชื่อก็เพราะมาก เป็นชื่อดอกไม้ ดอกมณฑา…มณฑาทอง”

ครั้นกลับมาถึงเรือนนายสมผล พบเครือญาติของเจ้าหญิง ก็ได้แต่ไต่ถามทุกข์สุข แกมด้วยความเจ็บปวดป่วนใจในข่าวของหญิงที่เคยรักและยังรัก ซึ่งมิว่าวันเวลาจะผ่านไปกี่ปี แผลที่ฝากฝังอยู่ในหัวใจก็ราวกับยังมีโลหิตไหลริน

เจ้าหญิงโสคนเทียนั้น ขณะตักอาหารเข้าปากก็ยังชำเลืองมอง

เห็นสูดึงแว่นดำออกมาสวม

ก็ได้แต่มีคำถามอยู่ในใจ

สูผู้นี้คือชาวไร่ ชาวนา คือชาวบ้าน คือข้าราชการปลอมแปลงหรือคือ…

จักรยานสองคันแล่นตามกันมาแต่ไกล นายสมผลกับคำสียังอยู่ที่ไร่ สูจึงเป็นฝ่ายรับรอง

“จะมาเอาอะไรหรือเจิด” สูถามขณะกลั้นยิ้ม “ดรล่ะ นี่ไปไหนกันมา”

คนหนึ่งในนั้นคือ ร้อยเอกภวันดร และอีกหนึ่งคือจ่าเจิด หนึ่งใน ‘หน่วยปฏิบัติการสายข่าวลับ’ ผู้เป็นมือขวาของสู

นางคำพวนผู้เป็นชาวนาชาวไร่ตัวจริงก็หารู้สีสาไม่ว่า รายรอบตัวนางและไร่นาของนาง มีใครบ้างเข้ามาแทรกซึม

ขณะที่สูกำลังคำนึงอย่างรอคอย

อีกมิช้ามินาน งานของชาติคงหนักยิ่ง แต่จะสาหัสเพียงไหนขึ้นอยู่กับจำนวนมนุษย์ผู้เดือดร้อน

‘ตั้งแต่เช้าวันที่ 17 ก็วางอาวุธกันแล้ว’ นั่นคือรายงานจากหน่วยปฏิบัติการที่ทำงานอยู่ในกัมพูชา ‘เลยเที่ยงไปหน่อยเดียว ทุกอย่างก็เรียบร้อย กองทัพเขมรแดงนำโดยพอล พต และ เอียง ซารี ก็ได้ประกาศจัดตั้งประเทศเป็นกัมพูชาประชาธิปไตย ยึดหลักการของลัทธิมาร์กซิสม์ สนับสนุนให้เจ้านโรดม สีหนุเป็นประมุขแห่งรัฐ แล้วพอล พต ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

แต่ความล่มสลายก็ยังแผ่คลุมประเทศไม่สิ้นสุด นับตั้งแต่จอมพลลอน นอล โดยการสนับสนุนของอเมริกา ได้ทำรัฐประหาร ปลดสมเด็จเจ้านโรดมสีหนุออกจากตำแหน่งประมุขแห่งรัฐ เมื่อพ.ศ.2513 แล้วเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบสาธารณรัฐ เรียกว่า ‘สาธารณรัฐเขมร’

ครั้นแล้ว บัดนี้ เขมรแดงซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากจีน ตามสัญญาช่วยเหลือด้านการทหาร เมื่อ 20 พฤษภาคม 2517 ก็สามารถเข้าล้มล้างรัฐบาลจอมพลลอน นอล เป็นผลสำเร็จ

‘ถ้าพี่ชายมาสมัยก่อน’ สมเด็จวรุณเป็นหลานของสมเด็จเจ้าสีหนุ เคยรับสั่งกับพลโท สงวนศักดิ์ ผู้เป็นหัวหน้าของเขา ‘พี่ชายจะรักกัมปูเจียของเรามาก เพราะเป็นเมืองที่สงบ อุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง มีแต่ธรรมชาติ’

หากแต่บัดนี้ กัมปูเจียยิ่งกว่าแผ่นดินแยกธรณีสูบ ยิ่งกว่าทุกนิยายทุกตำนานทุกความอัปราชัยที่เคยเป็น

ด้วยว่า เหลือแค่อิฐปูนปรักพังและเศษซากเป็นประจักษ์พยานให้ได้เห็น

“หัวหน้า” เงาใครคนหนึ่งเคลื่อนเข้ามา จ่าเจิดนั่นเอง

“ตาสืบเชื้อสายมาจากช่างก่อสร้างโบราณ สถานอังกอร์” โสคนเทียบอกสูขณะกำลังมองดูน้ำที่พลุ่งด้วยควันแล่นออกจากพวยกา กระทบผงสีน้ำตาลในโอ อวลกลิ่นหอมฟุ้ง “อังกอร์ แปลว่า บุคคลผู้มีอารยธรรมสูงส่ง ญาติของฉันหลายคนยังอยู่ที่เสียมเรียบด้วยความรู้สึกเป็นเกียรติภาคภูมิที่มีส่วนสร้างนครวัด นครธม…แล้วเขาจะไม่มีวันย้ายไปไหน”

สูวางกาลงบนเตาแล้วนั่งลง…พร้อมรู้สึก…วันใดวันหนึ่งข้างหน้าอาจไม่นานเท่าใดนัก…ยามเมื่อโสคนเทียจากไป

สถานที่นี้คงจะกลายเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ที่ครั้งหนึ่ง…เจ้าหญิงเขมรเคยนั่งคุยอยู่กับเขา…อย่างสามัญกับสามัญ

“นครวัดมีเนื้อที่ทั้งหมด 500 เอเคอร์ คุณคิดดู กษัตริย์เกณฑ์คนนับแสนๆคนสร้างปราสาท แกะสลักหินทุกก้อน รวมแล้ว 35 ล้านตารางฟุต เพื่อให้เป็นมหานครของโลกและของจักรวาล…ถ้าช่างไม่ภูมิใจ ฉันก็ไม่รู้แล้วว่าเขาจะหาความภูมิใจจากที่ไหนได้อีกแล้วในชีวิต”

หล่อนพูดไป ชายหนุ่มก็พินิจหล่อนไปพร้อมกัน

ในกระบวนสตรีแห่งคาบสมุทรอินโดจีนนี้ เขามองเห็นหล่อนค่อนข้างทะลุเลยทีเดียว

ผู้หญิงญวนนั้นสวยงามทั้งเรือนกายและผิวพรรณ แต่ใจนั้นควรเกรง ด้วยมีธรรมชาติประหนึ่งชาย หล่อนเป็นได้ทั้งบุรุษและสตรี มีอาวุธซ่อนในเสื้อ หากจะเท้าความถึงประวัติศาสตร์ ก็ยิ่งเห็นชัดว่า ญวนเป็นนักรบ เมื่อลัทธิคอมมิวนิสต์แผ่ขยายไปทั่วแหลมอินโดจีน ผู้ที่จับอาวุธออกรอนราน ส่วนหนึ่งคือสตรี

ลำดับถัดมาคือผู้หญิงเขมรซึ่งถึงอย่างไรก็เป็นรองหญิงเวียดนาม แม้มีความแข็งแกร่งซ่อนอยู่ ก็ไม่ถึงกับลุกขึ้นรุกรบ

สตรีเขมรชั้นกลางและชั้นสูง กิริยามารยาทจะงดงาม

ส่วนสตรีลาวนั้นอ่อนโยน ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ เป็นชนชาติที่น่ารักน่าเอ็นดูในจำนวนหญิงสามชาติที่ผ่านพบ

ผู้ที่ผ่านไปพบ ครั้นแล้วจึงรวบรวมมาบรรจบกับเหตุการณ์นี้ก็คือผู้กำกับการแสดง ซึ่งต้องมาทำหน้าที่ ‘หลังม่าน’ คนนี้นั่นเอง หาใช่ใครอื่นใดที่ไหนไม่

แต่จู่ๆก็มีรายงานด่วนเข้ามาตอนเช้ามืดของอีกวัน ความว่า

‘ทหารเขมรแดงได้ใช้เครื่องขยายเสียงขู่กรรโชก ได้ยินกันทั่วไปในกรุงพนมเปญ พร้อมกับยิงปืนขึ้นฟ้า ตะโกนข้อความซ้ำๆ

ให้ทุกคน ไม่ว่าชายหญิง เด็ก คนชรา ไม่ว่าอาชีพใด อพยพออกจากเมืองให้หมดโดยด่วน

หากผู้ใดขัดขืน ทหารเขมรแดงก็จะเหนี่ยวไกยิงจนพรุนไปทั้งร่างได้ทันทีทันใด’

แต่ถึงอย่างไร ตาของโสคนเทียก็ไม่ยอมหนีไปฝรั่งเศส

เขาเกลียดทั้งเวียดนามและฝรั่งเศส รวมทั้งจีนและอเมริกา ด้วยถือว่าฝรั่งเศสเป็นตัวการนำเวียดนามเข้ามากัดกินบ่อนทำลาย ทั้งเศรษฐกิจและสังคมของคนขะแมร์จนย่อยยับ ส่วนอเมริกาก็เป็นเจ้าแห่งจักรวรรดินิยม จีนคือเจ้าของความรุนแรงสุดขั้วที่ต้องการนำลัทธิเหมาเจ๋อตุงมาจับกัมพูชาไว้ในอุ้งมือ เป็นผู้พิพากษาประหารชีวิตชาวเขมรให้ตกนรกหมกไหม้ ตายดับสิ้นชาติ

ตาของหล่อนเจ็บแค้น แค้นลึกกว่าหล่อนมาก

หากแต่เช้าวันต่อมา สูก็ขี่จักรยานมาถึง ครั้นแล้วจึงยืมร่มนางคำพวน พาโสคนเทียไป ‘ชมไร่’

แต่แท้จริงก็เพื่อจะซักต่อเพราะยังสงสัย

ถมไป…สาวญวนสายลับเข้ามา ‘ทำงาน’ ตามอำเภอชายแดน มาเป็นนางโลม หมอนวด หญิงเสิร์ฟ นักร้อง…เพื่อล้วงความลับจากทหาร…ยามเมื่อขาดสติเพลี่ยงพล้ำ

ขณะนี้ เขาจึงคล้ายกับพาหล่อนมา ‘สอบสวน’ อีกครั้ง

การเมือง…เล่ห์กลร้อยแปด…สูนึกเพียงในใจ

ได้และเสียของบุคคล ความคิดฉ้อฉลมักซ่อนอยู่จนยากจะรู้ถึงส่วนลึก

ครั้นแล้ว เขาจึงลองเอ่ย

“ผมเป็นชาวบ้าน เป็นชาวไร่ เวลาหน้านาก็เปลี่ยนตัวเองเป็นชาวนา นอกฤดูทำนา ก็ผันมาเป็นชาวไร่ นอกเวลาทำไร่ ก็กลายเป็นชาวประมงหาปลาดักปลามาจิ้มน้ำพริกคลุกน้ำปลา”

“สู” หล่อนจึงเรียกเขาเสียงแข็ง “อย่ามัวพูดเล่น คุณพาฉันมานี่เพื่อ ‘สอบปากคำ’ ใช่ไหม”

เล่นเอาพระเอกเกือบสะดุ้ง หากก็เสหัวเราะเบาๆ

“ในนามของประชาชนชาวไทย…ผมมีสิทธิ์สอบไหมล่ะฮะ…ปากคำ…”

นั่นเอง…เจ้าหญิงจึงอึ้งไป…ในที่สุดก็พยักหน้า

“มีสิทธิ์สอบ มีสิทธิ์ดูแลความเรียบร้อยแทนข้าราชการ ตำรวจ…แล้วก็…” หล่อนหรี่ตาที่มีขนตาดกหนานิดหนึ่ง “แล้วก็…ทหาร”

ปลายเสียงลงน้ำหนัก

“เจ้าหญิง…” เขาจึงเอ่ยขึ้น…ยิ้มๆ “ผมก็อยากพูดราชาศัพท์กับคุณเหมือนกัน แต่ก็กลัวว่า ถ้าคุณไม่ใช่เจ้าหญิงตัวจริง ผมก็จะกลายเป็นตัวตลก”

“ดีแล้ว…ไม่จำเป็นต้องพูด”

“อีกอย่าง…ผมกลัวตัวเองจะหลุดคำว่า ‘ทรงเสด็จ’ ออกมา”

คราวนี้ โสคนเทียหัวเราะกิ๊ก แลเห็นไรฟันเงางาม งามราวมุกทะเลใต้ที่ผ่านการคัดอย่างเข้มงวด

“สู…คุณตลกมาก คุณทำให้ฉันคลายทุกข์ลงมาก ขอบคุณสูมาก คุณเป็นเพื่อนยามยากของฉัน”

ชายหนุ่มก็เลยพลอยหัวเราะไปกับหล่อนอย่างรู้สึกสนุกจริงจัง

“เราไปนั่งที่โขดหินนั่นดีกว่า” ชายหนุ่มบุ้ยปากไปที่หินใหญ่สีน้ำตาลอมเหลืองค่อนข้างเรียบ

วินาทีต่อมา คนสองชาติสองเพศก็ลงนั่งเยื้องกันบนมุมหินคนละด้าน

โสคนเทียเหยียดเท้าออกไปสบายๆ หยีตาฝ่าแดดอันสาดเต็มไร่ข้าวโพดไปสู่เงาของโค้งผาอันเป็นฟากของกัมพูชา…จากใต้เรื่อยขึ้นมา…

แม้แสนไกลด้วยระยะทาง หากก็ใกล้เหลือเกินในความรู้สึก

หญิงสาวกะพริบตา…ความหดหู่แล่นขึ้น หากก็เพียงครู่น้อย

มานะแห่งสตรีที่มีเลือดสองสาย…ทั้งข้นและเข้ม อัดเต็มอยู่ในใจ จึงรุกให้ร้อนเร้าให้รักจนแรงร้อนและแรงรักรุมรึง กระทั่งเจ็บปวดถึงวิญญาณ

ในความเป็นชาติและมีชาติของทุกพันธุ์ทุกเผ่าทุกอาณาจักรใดๆ…ช่างสูงส่งและเป็นที่สุดกว่าทุกความหมายของคำว่ารักกระไรเช่นนี้

แต่ในที่สุด ตาปุน เยีย ก็ติดไข้มาลาเรียอย่างแรง จะต้องนอนโรงพยาบาลอย่างน้อยสองเดือน

“คุณน้ากับคุณน้องก็ต้องย้ายเหมือนกัน” ร้อยเอกภวันดรบอกกล่าว “ย้ายไปอยู่ที่บ้านพักชั่วคราวกระหม่อม”

ที่เชื่อว่าเจ้าหญิงคือเจ้าหญิงก็เพราะหล่อนต้องแสดงสมุดประจำตัวผู้เป็นเจ้าของไข้ตาปุน เยีย

“ทางราชการมีบ้านพักชั่วคราวให้…รับรองว่าสบายพอสมควร”

“ฉันอยากไปกรุงเทพฯบ้าง ไปสถานทูตฝรั่งเศส” เจ้าหญิงโสคนเทียบอกกล่าว

เพียงแต่พ้นออกมาแล้ว จึงถามกัน

“พี่ไม่สงสัยอะไรเจ้าหญิงมั่งเลยหรือ” ครั้นแล้วผู้กองภวันดรก็เอ่ยถามพันตรีสรคม “ไม่ใช่สงสัยในความเป็นเจ้าหญิงหรอก แล้วก็ไม่ถึงกับสงสัยว่าเป็นพาสปอร์ตปลอม ไม่ถึงขนาดนั้น”

“แต่บางขบวนการก็ทำได้” สูท้วงอย่างใช้ความคิด “แต่ถึงยังงั้น พี่ก็ไม่สงสัย แต่สงสัยว่า…เบื้องหลังเจ้าหญิงมีใคร”

“ผมดีใจ” ร้อยเอกภวันดรตอบอย่างรู้สึกเช่นนั้นจริงจัง “ผมดีใจที่พี่คิดไปถึง ‘เบื้องหลัง’ ”

“คนสี่คนเป็นคนมีเบื้องหลัง” สูก็เลยลงความเห็น “พวกเขาไม่ธรรมดา โดยเฉพาะตาปุน เยีย”

ครั้นรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง ร้อยเอกภวันดรจึงบอกกล่าวถึงเรื่องการทำหนังสือขอหน่วยเหนือให้อนุญาตพาเจ้าหญิงเข้ากรุงเทพฯ ‘โดยมีคนคุมไป’ ดังถ้อยคำประชดประชันของหล่อน

“เจ้าหญิงจะได้ไปแลกดอลลาร์ ซื้อเสื้อผ้าใหม่ แต่ทองน่ะอย่าขายเป็นอันขาด เอามาให้ผมช่วยเก็บ” สูทำเสียง

เขายังอยู่ในชุดขะมุกขะมอม เหมือนนักการภารโรงตามผู้บังคับบัญชาไปมา คอยขนสัมภาระ

 

อัน ‘จำหลักไว้ในแผ่นดิน’ เรื่องนี้ เป็นนวนิยายขนาดยาวถึง 3 ภาค ด้วยกัน แต่ละภาคล้วนแล้วสำคัญและงดงามทั้งเนื้อหาอันกอร์ปด้วยความรักเข้มข้น ข้นและเข้มทั้งรักชาติรักแผ่นดินถิ่นเกิดและรากเหง้าที่กว่าจะรุ่งเรืองขึ้นมาได้แต่ละเมืองแต่ละชาติก็หนักเหนื่อยสายตัวแทบขาดกันทั้งผอง

แม้โรแมนติคจากตัวละครจะหาได้เป็นก่ายเป็นกองจากเรื่องนี้ จนทั้งผู้ชมและผู้อ่านอาจจะต้องเสียน้ำตาพร้อมกันไปกับเสียงหัวเราะก็ตามที แต่สีสันของนวนิยายหรืออาจเรียกได้ว่า ‘ตำนานแห่งไมตรีระหว่างชาติ’ ก็อาจจะเข้มข้นจนเข้าไปแทรกซึมเกือบทุกฉากได้อย่างยากจักหาเช่นกัน

ถ้าจะให้คัดเอามาเฉพาะฉากเด็ดขนาดต้องเช็ดน้ำตากันตั้งแต่ค่ำยันดึก ฉันก็จะขอคัดเอาจำเพาะฉากนี้

เป็นฉากที่อยู่ในภาค 2

ฉันเองเขียนเองเลือกเองกำกับการแสดงเอง ก็ยังต้องร้องไห้ไม่จบ…ทุกครั้งที่อ่านหรือแม้แต่ผ่านสายตา

 

มณฑาทองนั่งสงบนิ่งมาในรถของกาชาดสากล ดูเอาเถอะ…แค่เขียนถึงตรงนี้ ฉันก็มีอันเป็นขนลุกซู่ขึ้นมาดื้อๆเลยทีเดียว…ที่มีนายแพทย์แอนโธนี ผู้สามารถปลีกตัวมาได้ในชั่วโมงที่เขารู้ว่าฉุกเฉินที่สุด

“ดอกเตอร์เพียร์คงกลัวเสียงปืน” เขาสัพยอกหญิงสาวผู้นั่งอยู่บนที่นั่งตรงข้าม…นัยน์ตามองหน้าเขาก็จริง หากก็ดูคล้ายหล่อนกำลังเลื่อนลอยประหนึ่งคิดครุ่น…ด้วยว่าโค้งเปลือกตาเปิดกว้าง แลเห็นดวงแก้วสีน้ำตาลเข้มทั้งคู่จ้องตรง…ผิวของหล่อนขาวเกินไป…ถ้าผิวคล้ำลงกว่านี้ หล่อนจะเป็นสตรีไทยที่สวยมาก…ทุกครั้งที่หล่อนสวมชุดสีเนื้ออ่อนอมชมพูจางๆ หล่อนจะดูโปร่งบางสะอาดสะอ้าน เกินกว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในศูนย์อพยพ

ครั้นแล้ว ฉันก็เพิ่งพามณฑาทอง สตรีในความหลังของหัวหน้านิลหรือสู หรือพันตรีสรคมที่เขาแสนรักปานดวงใจ…กลับมาสู่แดนไทยถิ่นเกิด หลังจากแต่งงานไปกับนายแพทย์กาแมล ชาวฝรั่งเศส หากแต่บัดนี้จึงพบว่าหมอผู้สามีกำลังติดพันนางพยาบาลเชื้อชาติเดียวกันคนหนึ่ง มณฑาทองจึงตัดสินใจสมัครทำงานช่วยผู้อพยพชาวเขมร ณ เขตแดนไทย ในหน่วยงานของกาชาดสากล

จนกระทั่ง เจ้าหญิงโสคนเทียถูกกระสุนปืนใหญ่เนื่องด้วยตามมาให้กำลังใจสู ผู้บัดนี้ทรงรู้แล้วว่าเขาคือทหาร นามแฝงว่าหัวหน้านิล

พูดง่ายๆก็คือ เจ้าหญิงทรงหลงรักพระเอก นายทหารผู้เป็นหัวหน้าร่วมบัญชาการรบระหว่างกองกำลังของไทยกับกองกำลังเขมรแดง จนต้องติดตามเขาไปมา แม้ขึ้นเขาลงห้วย ต้องผจญกับห่ากระสุนก็หาได้ย่อท้อไม่

จึงในที่สุด ก็ถูกกระสุนปืนใหญ่เข้าที่หัวไหล่ โลหิตไหลทะลัก

ต่อจากนั้น จึงทรงเรียกหา ‘หมอเพียร์’

หมอเพียร์ผู้นี้ แท้จริงก็คือ มณฑาทองนั่นเอง ผู้มาประจำอยู่ในหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของกาชาดสากล

ฟ้าดินหรืออย่างไรที่ดลให้สามชีวิตสามหัวใจมาเผชิญหน้ากันภายในโรงพยาบาลสนามที่มีเพียงผืนพลาสติกกางกั้นเป็นหลังคาระหว่างเสาบังเกอร์หน้าหลัง ห่างจากรัศมีของปืนใหญ่ปืนเล็กและระเบิดทุกชนิดราว 20 กิโลเมตร

เป็นพื้นที่ที่สำรวจแล้วว่าปลอดภัย

เครื่องหมายกาชาดอันใหญ่บนหลังคาช่วยประเทศเขตแดนให้ปลอดจากการโจมตี

กาชาดสากลสามารถผ่านเข้าสู่เขตอันตรายทุกๆเขตที่มีการรบ

ร้อยเอกภวันดรหรือบัดนี้ได้เลื่อนยศเป็นพันตรี เป็นผู้นำเจ้าหญิงมาส่งถึงมือหัวหน้านิล ผู้แม้กำลังอยู่ในสนามเพลาะ ก็ต้องรีบมาทันที พลางถามหมอซิมที่เป็นหมอประจำหน่วยแพทย์ของกองกำลัง

“หมอผ่าเอากระสุนออกเองไม่ได้หรือ”

แต่หมอซิมก็บอก

“ผมไม่เชื่อมั่นในตัวเองขึ้นมาดื้อๆงั้นเอง คิดว่ารอหมอฝรั่งดีกว่า หมอฝรั่งกำลังมา”

“หมอฝรั่ง” หัวหน้านิลพึมพำ

ดังนั้น หมอชาวเขมรจึงเล่าให้เขาฟังถึงการติดต่อผ่านหมอเพียร์ไปยังกาชาดสากล

“คุณหมอเพียร์งั้นหรือ หมอว่าใครจะมา” ชายหนุ่มรู้สึกว่าเสียงของเขาสะท้านทีเดียว

“เจ้าหญิงเรียกหมอเพียร์มาครับ”

ชายหนุ่มก็ได้แต่ก้มลงดูนาฬิกาที่ข้อมือด้วยใจที่เต้นแรงเร็ว จึงสั่งให้หน่วยวิทยุถามไป

“คงอีกราวสามชั่วโมงกว่าจะถึง”

สามชั่วโมง…คงชิงพลบพอดี

นาฬิกาดูจะเดินช้าลงไปอีก…ช้ามาก

ขณะเดียวกันนั้น หมอเพียร์หรือมณฑาทองก็กำลังอยู่ในรถของกาชาดสากล…กำลังเชื่อมโยงความจริงกับความฝันเข้าด้วยกันอย่างไม่วายพิศวง

ทั้ง ‘เขา’ และหล่อนต่างก็ล่วงรู้ว่า ต่างก็อยู่ไม่ไกลกัน…นั่นก็คือ เคยสวนกันหน้าค่ายทหารแวบหนึ่ง แม้เพียงแค่นั้นก็ยังเป็นแวบที่ตรึงจิตข้องใจ เป็นแวบที่ทำให้ไร้สุขนับแต่นั้น

เป็นไปได้ไหมที่มณฑาทองจะตามเจ้าหญิงโสคนเทียมาเมืองไทย

เป็นไปได้เกือบเต็มร้อย เขาเคยคิดอย่างมั่นใจ…พร้อมกับแน่ใจว่า สตรีสาวคนนั้นคือผู้หญิงในอดีต

‘คุณหมอเพียร์เป็นคนไทย’ จ่าสิบโททะนงเดชบอก

ครั้นแล้ว เขาจึงขอพูดวิทยุกับหมอเพียร์ แต่เสียงจากวิทยุก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไร แถมหล่อนยังพูดภาษาอังกฤษ

หากในที่สุด มณฑาทองในนามแฝง ดร.เพียร์ วาเลอร์ ก็ต้องลงจากรถ หมอบคลานไปตามหลุมสนามเพลาะ จนถึงโรงพยาบาลสนามที่รายรอบด้วยบังเกอร์  ขนาบด้วยร่มไม้ใบดก

ทันใดนั้น ชายหนุ่มในกางเกงยีนส์เสื้อยืด มีแจ้กเก็ตสวมทับ ดวงหน้ารกไปด้วยหนวดเครา ผู้นั่งเฝ้าคนเจ็บอยู่บนม้าเตี้ยๆหน้าเตียง ก็ผุดลุกขึ้นยืน

มณฑาทองสบตากับเขาเพียงแวบแรก ก็ได้แต่รู้สึกราวกับว่า ความมืดสลัวที่มีเพียงหลอดไฟดวงน้อยซึ่งอาศัยถ่านวิทยุที่เปิดไว้นั้น พลันสว่างไสวแจ่มจ้า เสียงปืนใหญ่ที่ประหนึ่งถล่มมลายพสุธานั้นสิ้นสูญ เหลือแต่ความเงียบกริบ หากก็ซ่อนเร้นด้วยพลัง

เป็นพลังจากดอกรักช่อหนึ่งอันเสมือนมาสดบานอยู่ตรงหน้า

“คุณหมอเพียร์ คุณหมอมณฑาทองใช่ไหมครับ”

ตาสบตากัน…แน่วนิ่งอยู่เช่นนั้น

เขาแลเห็นแต่ริมฝีปากเม้มสนิท กับประกายไววาบที่ผุดขึ้น

วินาทีนั้นประหนึ่งว่ายาวนานเสียเหลือเกิน…กว่ามณฑาทองจะขยับริมฝีปากตอบรับอย่างแผ่วเบา

สมองของหล่อนชาไปหลายนาที อาการพรึงเพริดเมื่อเห็นเขายังคงแผ่ซ่านทุกขุมขน

ชายหนุ่มก็เช่นกัน เนื้อตัวเบาโล่ง คล้ายลอยได้ ทำอะไรไม่ถูกนอกจากยืนนิ่ง

ขณะที่นายแพทย์แอนโธนีเริ่มลงมือผ่าตัด มีมณฑาทองฉายไฟ ท่ามกลางเสียงปืนแตกอากาศที่ดังอยู่ไม่ไกลมาก

“เมื่อยไหมครับ” หล่อนได้ยินเสียงเขาพูดเบาๆตรงต้นคอ “ผมช่วยถือให้ดีกว่า”

“ไม่ค่ะ” มณฑาทองตอบโดยไม่หันมา หากก็รู้สึกแต่ว่า ความชุ่มชื่นจากดวงใจกำลังไหลผ่านม่านหน้าต่างแห่งดวงตามาหล่อเต็มทั่วกาย ท่ามกลางเสียงปืนข่มขวัญที่ดังบึมบึมอยู่ไม่ห่าง หากก็น่าแปลกที่ความตายคล้ายถอยออกไป การเกิดใหม่ของสองหัวใจที่ประหนึ่งตายไปแล้ว…ก้าวกลับมา

มีเสียงถอนใจยาวเมื่อการเย็บแผลสิ้นสุดลง หมอซิมดึงผ้าขึ้นคลุมพระองค์เจ้าหญิงจนถึงพระศอ

หัวหน้านิลจึงหันมาทางหล่อนผู้ที่ยังนั่งเฝ้าพระอาการอยู่ข้างเตียง ส่วนนายแพทย์แอนโธนีและพยาบาลเดินไปดูผู้บาดเจ็บที่นอนเรียงกันอยู่บนเสื่อถัดไปพร้อมหมอซิม

เจ้าหญิงโสคนเทียยังทรงนอนตะแคง หันพระพักตร์เข้าข้างฝา บรรทมหลับสนิท

“หวังว่าคงสบายดี” เขาพิจารณาหล่อนอย่างถี่ถ้วน เช่นเดียวกับที่หล่อนเพ่งพิศเขาอย่างละเอียด

ผู้ชายในอดีตสมบูรณ์ขึ้น ทำให้เรือนกายสูงใหญ่ ผิวคล้ำกว่าครั้งก่อน เวลาที่ผ่านไป พาเอาการต่อสู้ชีวิตมารินเติมไว้ในเนื้อตัวท่าทีและบุคคลิกภาพจนเต็มเปี่ยม กลายเป็นชายหนุ่มใหญ่ผู้เต็มเพียบด้วยบรรยากาศของประสบการณ์

“มาอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่แล้วครับ”

“เกือบสองปีค่ะ”

“ก็นานแล้วเหมือนกัน” เขาพึมพำอย่างเสียดายที่ไม่เคยรู้มาก่อน

“คุณล่ะคะ สบายดีไหม”

“ครับ…ก็ไม่ค่อยได้อยู่เป็นหลักแหล่ง ถูกย้ายเรื่อย”

“มาอยู่ที่นี่นานแล้วหรือคะ”

“ก็พอๆกับคุณ”

แต่ยังไม่ทันไร ผู้บาดเจ็บรายใหม่ก็ถูกหามเข้ามา…มณฑาทองจึงผละไปช่วยแพทย์ทั้งสอง

หัวหน้านิลจึงต้องวิ่งออกไป แล้วกลับเข้ามาพร้อมด้วยเปลหามทหารสองสามเปล มาวางบนเสื่อ

ขณะที่ฉันกำกับการแสงดง ตนเองก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในชีวิตหนึ่งนี้จะมีโอกาสได้เขียนบรรยายเรื่องราว ‘รักระหว่างรบ’ ที่นำเหตุการณ์จริงเข้ามาเป็นฉากได้อย่างมากฉากถึงเพียงนี้

แม้กระทั่งกลิ่นระเบิด กลิ่นดินปืน รวมทั้งเสียงปืนก็ยังคงดังกึกก้องให้ได้ยินราวกับครั้งกระนั้นเคยไปผจญกับกองทัพเขมรแดงอย่างนั้นละ

คนทั้งคู่…ชายหนุ่มและหญิงสาวผู้พลัดพรากจากกันไปนานแสนนาน ณ บัดนี้ ยังสามารถกลับมานั่งอยู่หน้าเตียงสนามที่มีเจ้าหญิงโสคนเทียนอนตรงหน้าได้นี่ ฉันเองก็ยังต้องยกนิ้วให้ในคำว่า ‘จินตนาการ’

“ว่าแต่ว่า…ยังไม่ได้ถามทุกข์สุขกันเลย มณเป็นยังไงมั่ง ก่อนมาที่นี่ทุกอย่างเรียบร้อยดี หรือว่า…”

มณฑาทองนิ่งคิดนิดหนึ่ง

“ตอนนี้ ไม่มีเขาแล้วค่ะ” หล่อนตอบเรียบๆ ขณะที่นัยน์ตาเขามิได้คลาดคลาไปจากเสี้ยวหน้าของหล่อน

บรรยากาศภายใต้หลังคาเครื่องหมายกาชาดเงียบสนิท…ครั้นกินอาหารอิ่มแล้ว เขาจึงพาหล่อนไปห้องน้ำ

“ผมจะฉายไฟให้”

เขาได้ยินเสียงหล่อนรดน้ำสองสามซู่ แล้วเสียงฟอกสบู่ตามมา ช่างเป็นสถานการณ์และบรรยากาศแปลกใหม่เมื่อนึกขึ้นมาว่า…ก็ถ้าข้าศึกยิงปืนใหญ่อีกชุดหนึ่ง… ‘หัวหน้านิล’ ถึงกับต้องยิ้มออกมาในความมืด

ครั้นแล้ว หล่อนก็กลับออกมา

“แล้วคุณล่ะคะ”

“ผมแค่ล้างหน้า”

“สบู่อยู่ตรงนั้นนะคะ”

เขาล้างหน้าแล้วกลับออกมา คืนกล่องสบู่ให้หล่อน พลางก็ฉวยมือหญิงสาวมากุมไว้

“มณ…จะให้เชื่อหรือว่า เรามาพบกันแล้ว จะให้เชื่อหรือมณ” เขาพึมพำอย่างตื้นตันใจ “กระทั่งในสถานการณ์คับขันขนาดนี้”

ไม่มีผู้ใดอยู่ในความมืดตรงนั้น ตรงที่มืดมาก หากความสว่างก็ส่องฉาย กลายเป็นแสงอันงดงามจากหัวใจสองดวง จากมือของทั้งคู่ที่กุมกันแน่น ภายใต้ฟากฟ้าอันพราวพรายด้วยกลุ่มดาว

ความรู้สึกที่กลับมามีกันและกัน…ที่ถ่ายเทผ่านฝ่ามือไปสู่ก้นบึ้งของหัวใจ ทำให้บรรยากาศภายใต้หลังคาโรงพยาบาลชั่วคราวอันคละคลุ้งด้วยกลิ่นเลือดและกลิ่นแอลกอฮอล์ กลิ่นความตายและความสูญเสีย กลายเป็นละไออันไร้ความหมาย ลอยละล่องอยู่โดยรอบ

ทั้งเขาและหล่อนไม่ง่วงเลย…ไม่ง่วงแม้แต่น้อย แม้เข็มนาฬิกากำลังเดินทาง แต่ความเงียบและความมืดเบื้องนอกกับทหารที่กอดปืนนั่งหลับ เป็นพยานยืนยัน

มหันตภัยมิรู้ว่าจะปะทุขึ้นในยามไหน

แต่ชายหนุ่มและหญิงสาวก็กลับมานั่งเฝ้าเจ้าหญิงเคียงกัน แผ่นหลังพิงบังเกอร์…รอคอย

เจ้าหญิงโสคนเทียยังคงบรรทมสนิทอยู่บนเตียงตรงหน้า

มณฑาทองเพิ่งรู้สึกเดี๋ยวนี้เองว่า ‘หัวหน้านิล’ และหล่อนเป็นเพียงเลือดไทยสองคน ณ ที่นี้

แต่ ณ ที่นี้ ไม่มีผู้ใดเกี่ยงงอนเรื่องเชื้อชาติ ทุกคนมีความทุกข์ร่วมกัน เดือดร้อนแสนสาหัสด้วยกัน เมตตากัน เกิดความกรุณาที่จะช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่เลือกปฏิบัติว่ามาจากไหน และเป็นชนชาติใด

นาทีไหนเล่าจะสูงส่งงดงามดุจดังนาทีที่เขาและหล่อนนั่งเคียงกันเช่นนาทีนี้

ฟ้าดินทดสอบใจเขาและใจหล่อนนานเหลือเกิน

“สู” เจ้าหญิงโสคนเทียทรงเรียกหาเขา เรียกด้วยความผูกพัน เรียกเพราะติดพระทัย ติดพระโอษฐ์

แต่ร่างทั้งร่างของมณฑาทองเย็นวาบ

‘สู’ คือเขาผู้นี้เอง หาใช่ใครอื่นที่เคยคาดคะเนไม่

แต่เขาถึงเวลาต้องออกไปสู่สนาม…เพื่อบัญชาการรบ

ขณะที่หล่อนรู้สึกผิดที่มึนชากับเขา เมื่อครู่จากเสียงเรียกของเจ้าหญิง จึงเดินออกไปส่ง

“ระวังตัวให้ดีนะคม”

ความรู้สึกของทั้งสองเปี่ยมล้นด้วยอาลัย

“เชื่อเถอะว่าไม่ลืม นับแต่นี้ไปชีวิตผมต้องมีคุณ” เขาตอบคำอย่างสั้น หากก็กลั่นออกมาจากใจ

ต่อมาเพียงไม่นาน พลันเสียงกระสุนปืนและระเบิดขาดหาย…หลายต่อหลายเปลก็ทยอยกันกลับมา

‘หัวหน้านิล’ เป็นคนสุดท้าย

มณฑาทองก็เลยโผเข้าหาเขาอย่างลืมตัว

แต่เจ้าหญิงโสคนเทียได้ยินการตอบโต้ระหว่างหล่อนและหัวหน้านิลแทบทุกประโยค

หากบัดนี้ ผู้กำกับการแสดงก็กลับเกิดอาการวิปโยคตามมา

คิดถึงถ้อยคำของผู้ที่คุ้นเคยหลายท่าน ล้วนแล้วเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ…ถ้าเพศหญิงจะรู้สึกอัศจรรย์ใจที่ฉันพาตัวละครสำคัญทั้งสามมาพบกันได้อย่างไรในนาทีแห่งความเป็นและความตายถึงเช่นนั้น

ฝ่ายสุภาพบุรุษสองท่าน ท่านหนึ่งเป็นด็อกเตอร์นักธุรกิจมีชื่อเสียง อีกท่านเป็นพลเรือเอกชื่อดังที่ฉันมอบ ‘จำหลักไว้ในแผ่นดิน’ ให้อ่าน

ต่างก็ปราดเข้ามาต่อว่าหน้าตาขึงขัง

“ทำไมคุณถึงไม่ให้สรคมกับเจ้าหญิงได้กัน ขนาดผู้หญิงโผเข้ากอดขนาดนั้น คุณยังไม่ให้เขาได้กัน ผมละก็แปลกใจจริงๆ แอบเสิร์ดมากเลยรู้ไหม”

ฉันก็ได้แต่แก้ตัวซึ่งสองท่านจะเชื่อหรือไม่ก็สุดแท้แต่น้ำเนื้อในใจท่าน

เพราะฉันบอกท่านว่า

‘ถ้าให้สรคมได้เจ้าหญิงโสคนเทีย มันก็จะกลายเป็นความด่างพร้อยของทหารไทยที่จะต้องถูกตำหนิติฉินไปจนตาย’

แต่มิได้บอกด้วยหรอกว่า

‘ฉันตั้งใจเขียนขึ้นเพื่อเชิดชูยกย่องกองกำลังทหารไทยในยามนั้นอย่างแท้จริง

รวมทั้งมิได้คิดจะชิงรางวัลนวนิยายดีเด่นประจำ พ.ศ.2542 จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ’ อีกด้วย

 

– จบ –

 

Don`t copy text!