รสรักปักอุรา “มฤคีและอุบากอง”

รสรักปักอุรา “มฤคีและอุบากอง”

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

“หลังม่าน” คอลัมน์ที่จะบอกเล่าถึงชีวิตของตัวละครเด่นๆ ในนวนิยายของ กฤษณา อโศกสิน เป็นเรื่องราวเบื้องลึกที่มีแต่นักเขียนเท่านั้นที่จะสามารถรู้ได้ และนำมาบอกเล่าให้ผู้อ่านชาวอ่านเอาได้เห็นชีวิตด้านหลังม่านของตัวละครเหล่านั้น

นับแต่ ‘รสรักปักอุรา’ จบลงในนิตยสาร ‘พลอยแกมเพชร’ ระหว่าง พ.ศ.2551-53 ครั้นแล้วจึงได้รับการรวมเล่มออกมาปรากฏแก่สายตาผู้อ่านนั้น ฉันยังไม่เคยนำมาทบทวนเลยสักครั้ง จนกระทั่งถึงคราวที่ต้องพามาคุยกันในฐานะผู้กำกับการแสดงที่มีความรู้สึกลึกตื้นโดยตำแหน่งของผู้ยืนอยู่ ‘หลังม่าน’ ที่มีต่อพระเอกนางเอกพระรองนางรอง รวมทั้งผู้ร้ายและผู้ไม่ร้ายไม่ดี เพื่อคลี่คลายความในใจให้แจ่มแจ้งว่าไปอย่างไรมาอย่างไร ฉันจึงมีโอกาสได้เขียนถึงนวนิยายรักโรแมนติกเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยลงลึกถึงเช่นนี้มาแสนนาน ให้คำว่า ‘รักอมตะ’ ได้พุ่งทะยานขึ้นฟ้าปรากฏกายโดดเด่นในคราวนี้

เพียงแต่เริ่มอ่านทวนไม่กี่หน้า ฉันเองเขียนเองบรรเลงเองก็ยังถึงแก่น้ำตาซึม

ได้แต่ขอบคุณผู้นำโครงสร้างสั้นๆ อันแปลกไปจากเขาอื่นมามอบให้ ความสำคัญมิได้อยู่ที่อันใดเลยนอกจากเพียงแต่เปิดฉาก ก็นำหนังสือเล่มหนึ่งมาเป็นสิ่งดึงดูดให้พระเอกนางเอกมาพบกันทันที นับเป็นสีสันอันหมดจดสดสวยที่ฉันเองก็ต้องอวยพรผู้มอบให้ ส่วนเนื้อหาอื่นใดที่ตามมา ฉันต่อเติมเสริมแต่งเอาเองได้ เนื่องด้วยมีบุคคลหลากหลายล้วนสำคัญเคยผ่านฉันไปมา สามารถนำมาเข้าฉากได้โดยมิยาก

หนังสือที่เปรียบเสมือน ‘แม่สื่อ’ เล่มนี้มีชื่อว่า ‘มรดกทวารวดี’ ชื่อนี้เป็นชื่อที่ฉันตั้งขึ้นมาเอง ลายเซ็นด้วยหมึกเส้นหนาของเจ้าของหนังสือคือ ‘ม.สุรกัณ’ ฉันก็ตั้ง

พระเอกนามว่าอุบากอง นางเอกนามว่ามฤคี ณ บัดนี้ ออกไปพบกันแล้วที่หน้าม่าน โดยลูกผู้น้องนามล่องหล้าเป็นผู้ชวนเขาไปชมรถยนต์รุ่นใหม่ที่นางเอกผู้เรียนจบจากอเมริกา มาได้ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายพัฒนาตลาดในบริษัทขายรถใหญ่ โดยวันนั้นเป็นวันเปิดนิทรรศการรถหรูรุ่นล่าราคาแพงขึ้นที่ลานหน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง

พระเอกนั้นเพิ่งไปพบหนังสือโบราณหายากเล่มที่เอ่ยชื่อไปแล้วนี้ที่ร้านขายหนังสือเก่าเจ้าประจำ

รูปทรงของหนังสือหุ้มด้วยปกหนังแกะแท้ พร้อมลายเซ็น แลเห็นเป็นเส้นสีทองชัดเจนว่า ‘ม.สุรกัณ’

ในงานนั้น เต็มไปด้วย ‘ไฮโซ’ จึงมีบางคนเป็นบรรณาธิการหนังสือ ‘ไฟน์ลี่’ ที่มีแนวไปในทางนำบุคคลผู้มีความสามารถจากวงการต่างๆ มาขึ้นปก ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย โดยมฤคีก็ต้องพึ่งพาอาศัยใช้เป็นที่โฆษณารถให้บริษัทที่ตนเองทำงาน

ตอนที่หล่อนส่งนามบัตรให้อุบากองเพื่อแนะนำตนเองให้เขารู้จักนั่นแหละ ที่พระเอกถึงแก่ตะลึงไปชั่วครู่

เมื่อก้มลงดูชื่อ ‘มฤคี สุรกัณ’

เป็นอะไรกับ ม.สุรกัณ ที่คนขายหนังสือเก่าเพิ่งเล่าให้ฟังเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมาว่า

‘เจ้าของหนังสือเล่มนี้ เป็นผัวผู้หญิงที่เหมาขายให้ผมไงฮะ คือผัวแกถูกพวกติดยาที่แอบเข้าไปขโมยของเล็กๆ น้อยๆ ในโรงรถ แล้วแกบังเอิญปราดออกมา…ก็เลย…หมอนั่นเอาชะแลงฟาดจนกระดูกคอหัก ตายคาที่นั่นละ’

‘ยายเมียเป็นคนไม่รักหนังสือ พอผัวตายโครม ก็เรียกผมไปเหมามาหมดบ้าน…ผมก็ซื้อหมดเหมือนกัน…แกว่าแกสบายใจที่บ้านโล่ง อึดอัดกับหนังสือของผัวมานานแล้ว เฮ้อ…คนยังงี้ก็มีด้วย’

คนขายหนังสือเล่าได้ขนาดนี้

คนเขียนหนังสือจะไม่ขนลุกจนแทบกำกับไม่ไหวได้อย่างไร

แต่ฉันก็ต้องอ่านทวนไป น้ำตาซึมไป

เรื่องนี้คงไม่ทำให้ฉันสบายใจเท่าใดนัก อาจเลยไปถึงไม่มีอารมณ์หยอกเย้ากับนักแสดงที่กำลังเข้าฉากอยู่ก็เป็นได้

ขณะที่ต้องบอกพระเอกให้ทำท่าขนลุกซู่ขึ้นมาเมื่อนึกถึงคำของคนขายหนังสือเก่า

‘เลยถูกหมอนั่นเอาชะแลงฟาดจนกระดูกคอหักตายคาที่’

โหดร้ายสิ้นดีจนฉันเองก็แทบจะหมดแรง หยดน้ำตาแข่งกันเอ่อขึ้นมาโดยไม่ทันรู้ตัว

 

แต่เรื่องราวในชีวิตของอุบากองก็ใช่จะไม่ทำให้น้ำตาผู้รู้เห็นรินไหล ฉันคิดว่าอาจจะหนักหนาสาหัสสำหรับคนทั่วไปเสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้กระเช้าผู้เป็นทั้งญาติทั้งพี่เลี้ยงทั้งคนรับใช้เลี้ยงดูฟูมฟักเขาขึ้นมาด้วยน้ำใจแทนมารดาคือคุณอุราผู้มีความไม่สมประกอบทางอารมณ์

นั่นก็ได้แก่ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ตั้งแต่สมัยเธอยังเป็นวัยรุ่น บิดามารดาส่งไปเรียนต่อด้านฟินิชชิ่งคอร์สซึ่งสตรีสมัยนั้นนิยมเรียน โดยเฉพาะเรียนที่ประเทศอังกฤษ ที่ที่ชายหนุ่มผู้หนึ่งนามว่า ‘มาศ สุรกัณ’ ได้รับพระเมตตาจากเจ้านายหญิงพระองค์หนึ่ง ส่งเขาไปเรียนต่อเกี่ยวกับภาษาและประวัติศาสตร์ที่ประเทศนั้น เนื่องจากเขาเคยรับใช้ท่านโดยเดินทางมาช่วยเลือกซื้อหนังสือ จนได้หนังสือเก่าสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 รวม 14 เรื่อง ไปถวายท่านหญิง โดยท่านส่งเงินมาให้เขาสั่งทางร้านให้หุ้มปกด้วยหนังแท้ ‘จะได้โก้ สมศักดิ์ศรีหนังสือเขียนลายมือ’ เขาก็เลยนำ ‘มรดกทวารวดี’ มาทำความสะอาดก่อนซ่อม

จึงนับเป็นครั้งแรกที่คุณอุราและมาศได้พบกัน ต่างก็ช่วยกันสร้างความสัมพันธ์สืบมาจนกลายเป็นความรัก

คือรักแรกของทั้งหญิงและชาย

คือรักอันชื่นหทัยราวพฤกษาผกามาลย์ในฤดูใบไม้ผลิ

คือรักอันเย็นและร้อนจากดวงใจที่ไม่เคยสัมผัสฤดูกาลเช่นนี้มาก่อน

รักที่สอนให้เขาและเธอเพ้อคลั่งพร้อมกับเชิดชูบูชากันและกัน

ขณะที่ฉันจรดปากกาลงบนกระดาษ ‘สมัยนั้น’ จำได้ว่าฉันเองก็ยังพลอยขึ้นราชรถเทียมอาชาของเทพยดาเบื้องบน เหาะเหินเดินอากาศไปกับถ้อยความอันจับใจ

แม้ยามยืนอยู่ ‘หลังม่าน’ ขณะนี้แล้วมองเลยไปยังหน้าม่านที่มีเขาและเธอ ฉันก็ยังแทบละเมอเพ้อพกเสียดปลาบ

จึงขอนำฉากแรกที่หนุ่มสาวก้าวเข้ามาในชีวิตกันและกัน บรรยายให้สมแก่วันนั้นคือวันที่เสน่หาสองสายแล่นผ่านมาพบพาน

‘คุณชอบพิพิธภัณฑ์ไหมครับ’ เขาถามตาสบตา หลังจากเท้าความให้เธอทราบอย่างคร่าวๆ ว่าเขามาด้วยทุนของใคร มาทำอะไรที่ร้านหนังสือเก่า ‘ถ้าชอบ เราก็คอเดียวกันน่ะซี สำหรับผมแล้ว ชอบพิพิธภัณฑ์มาก’

เสร็จธุระจากเลือกหนังสำหรับหุ้มปกหนังสือแล้ว เขาและเธอก็เดินออกมาด้วยกัน เดินไปเรื่อยๆ ตามถนนชาริงครอสส์

‘ผมยังไม่ทราบเลยว่าคุณชื่ออะไร นามสกุลอะไร แต่ผมน่ะ ชื่อ มาศ ครับ มาศ สุรกัณ อาศัยใบบุญนายจ้าง พักอยู่กับบ้านท่านทูต ช่วยงานเขาเล็กๆ น้อยๆ แลกกับค่าที่พัก’

เขาบอกยิ้มๆ ทั้งจริงทั้งเล่น ขณะที่เท้าพาไปสู่ริมแม่น้ำเทมส์

‘แต่วันนี้เวลายังเหลือ คุณอยากไปไหนอีกล่ะครับ ฝนก็ไม่ตกแล้ว ถ้าไม่รังเกียจ ขออนุญาตพาคุณไปส่งถึง…เอ้อ…โรงเรียนหรือที่พักได้ไหมฮะ’

แม้แต่กล่าวเกริ่นเพียงเท่านี้ ฉันก็ยังมีอารมณ์ร่วมไปกับเธอและเขา เรื่องเย้ายั่วตัวละครเหมือนตอนกำกับเรื่องอื่น ไม่มีผ่านเข้ามาให้ตื่นเต้นแกมสนุกสนานเลยแม้แต่นิด

หากนิ่งสนิทหม่นหมองอยู่กับท่วงทำนองเสน่หาที่สองรามีให้กัน

อันว่าคุณอุรานั้นคือหญิงสาวจากตระกูลผู้ดีวัย 18 ย่าง 19 บิดามารดาส่งมาอยู่กับป้าแท้ๆ ผู้แต่งงานกับชาวอังกฤษ มีร้านขายเครื่องหนังอยู่ในอาณาบริเวณไนท์ บริดจ์ จึงไม่มีอิสระมากสักเท่าไร จะไปไหนมาไหนต้องบอกกล่าวให้คุณป้ารู้เรื่องราวจนพอใจ

ถ้าไม่พอใจ คุณป้าก็มักจะถาม

‘ไปไหนมาหนู ไหนว่าจะกลับราวๆ ทุ่มนึงไง’ เป็นต้น

มาศจึงไม่อาจพบปะรุ่นสาวที่เขาประทับใจแต่แรกเห็นได้ดังปรารถนา

แม้กระนั้นคุณอุราก็ยังลิงโลดใจเมื่อนึกได้ว่า อีกสามสัปดาห์จะแวะไปรับหนังสือหุ้มปกแล้วด้วยกัน

อีกตั้งสามอาทิตย์ สาวน้อยก็ยังลิงโลดถึงเพียงนี้

แต่มาศจิตตกมากกว่า เขาถึงแก่ครวญคราง

‘ผมไม่ทราบมาก่อนเลยว่า สามอาทิตย์จะนานถึงเพียงนี้…นานจนกลายเป็นทุกข์เลยนะฮะ’

เขาเรียกเธอว่า ‘คุณหนู’

ก็ฉันเองทั้งเพ บอกให้เขาเรียก จะได้ไม่มีผู้ใดกังขาเรื่องความห่างไกลในชนชั้นระหว่างเขาและเธอ

นั่นก็เนื่องด้วย ‘วรรณะ’ นั่นเองได้แยกเธอกับเขาออกจากกันอย่างนึกไม่ถึง

 

แต่สมัยกระโน้น ทุกคนต่างก็รู้ว่า นี่คือเรื่องจริง

‘อีกไม่นานก็ปิดเทอมแล้ว คุณหนูจะต้องกลับกรุงเทพฯ ไหมครับ’ เขาสอบถามสืบไป

‘ไม่หรอกค่ะ คุณพ่อคุณแม่บอกไม่ต้องกลับ เรียนจนจบค่อยกลับ เพราะทั้งหมดก็แค่สามปี อยากให้ฉันไปเที่ยวให้ทั่ว จะได้ไม่เสียดายตอนกลับไปแล้วอาจไม่ได้มาอีก’ เธอพูดยาวกว่าเดิมเมื่อชวนกันเดินไปขึ้นรถประจำทางที่จะพาไปสู่เวสต์เอนด์

‘คิดถูกจริงๆ’ มาศลงน้ำหนักที่ปิดความดีใจไว้ไม่มิด ‘ถ้างั้นเราก็คงจะได้พบกันอีกบ่อยๆ ตอนปิดเทอมซีนะครับ’

เมื่อภาพต่างๆ เคลื่อนย้ายมาถึงตรงนี้ จึงช่วยให้รู้ซึ้งถึงความรู้สึกอันผะผ่าวขึ้นมาเมื่อสักครู่

นั่นก็คือ ฉันนึกอยากร้องไห้นั่นเอง

เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ฉันรักมาศมาก ทั้งรักทั้งสงสารเขาจับใจ

ฉันจะละเลยโดยไม่นำเขากับคุณอุรามาเข้าฉากหาได้ไม่

ในเมื่อ เธอกับเขาคือเสน่หานุภาพอันเป็นโศกนาฏกรรมฉากใหญ่ที่ฉันแทบจะไม่เคยเขียนไปหรือกำกับไปพร้อมน้ำตาดังเช่นคราวนี้

ครั้นแล้ว เขากับเธอก็นั่งคู่กันไปบนรถประจำทาง ชี้ชวนให้กันชมแปลงดอกไม้บานสะพรั่งแห่งฤดูใบไม้ผลิ ขณะที่มาศทวงถาม ‘แอดเดรส’ บ้านของเธอ

‘อีกปีกับแปดเดือนก็ต้องกลับแล้ว’ เธอทอดเสียงอย่างอาลัย

‘คงกลับไล่ๆ กันละมังครับ…กรกฎาปีหน้า เรียนจบก็ต้องกลับเลย เพราะ ‘นายจ้าง’ ของผมท่านเสียเงินไปมาก’

ฉันขนลุกเลยละฉากนี้

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ผู้กำกับไม่มีวี่แววว่าสนุกกับการควบคุมตัวละครอีกต่อไป ราวกับ ‘ไม่มีตัวละครของฉัน’ มาให้แนะแนวกระนั้นละ

ก็คือฉันกำลังโศกตรมจนแทบหมดแรงอย่างไรเล่า

ผู้อ่านหรือผู้ชมคงไม่รู้ว่า ขณะที่ ‘รสรักปักอุรา’ ดำเนินไปบนหน้ากระดาษ ฉันเสียน้ำตากับตัวละครไปมากมายเท่าไรแล้ว

ยังจะต้องหวนมากำกับการแสดงเพื่อแจกแจงรายละเอียด จึงเท่ากับให้ฉันกลับมาร้องไห้คำรบสอง

เพราะทั้งเรื่องชวนน้ำตานองทุกบทตอน

แม้ไปถึงรุ่นลูก ‘มฤคีและอุบากอง’ ก็ยังเจ็บแสบ…แทบวายปราณไปตามกัน

ดังนั้น ฉันจึงต้องเท้าความถึงบิดาและมารดาผู้เป็นพระเอกนางเอกของฉันสมัยนั้น ก่อนจะเอ่ยถึงลูกสาวลูกชายคนทั้งสองผู้เป็นนางเอกและพระเอกในอีกสมัยหนึ่ง แม้จะมีคนติติงไว้ว่าฉันจงใจขนาดหนักที่พาเอาลูกกับลูกมาพบกัน เนื่องด้วยในชีวิตจริงไม่เคยมีความบังเอิญถึงเช่นนี้เกิดขึ้น

ฉันก็เลยรับฟังไว้ด้วยใจอันยินดี

แม้ไม่เคยเกิด แต่ฉันก็สร้างให้เกิดได้

แล้วมีอะไรไหม

ไม่มี

ผู้อ่านทุกคนมองข้ามความบังเอิญในเรื่องนี้ไป หรือแม้ไม่มองข้าม แต่ก็ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่าเป็นไปไม่ได้

ฉันผูกเรื่อง ‘ความบังเอิญ’ ที่ไม่มีในโลกให้เกิดขึ้นด้วยปลายปากกาของฉัน…ของฉันโดยเฉพาะเพื่อให้ ‘รส’  อันเกิดจาก ‘รักแท้’ ของคนสองรุ่นมาปลุกเร้าให้เข้าถึงเลือดและเนื้อของชื่อเรื่อง

โดยจงใจตั้ง ‘รสรัก’ ที่ปักลงบนทรวงอกของหญิงสาวนามว่า ‘อุรา’

เป็นรักอันยืนยงคงมั่นที่มีต่อชายหนึ่งเดียว

ครั้นแล้ว ความยืนยงที่มีวิญญาณ จึงพาลูกของเขาและเธอมาสวมกอดกันและกัน

แต่ถึงอย่างไร ฉันก็ยังอยากเท้าความถึงคุณอุราและมาศที่ลอนดอนอยู่นั่นเอง

เพราะว่าเมื่อมาถึงเดี๋ยวนี้ ไม่ว่า ‘คุณหนูของเขา’ จะซื้อสิ่งใด จะไปไหนทำการใด จะต้องถาม ‘พี่มาศ’

‘เมื่อมีกันและกัน นับตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ ผ่านไปถึงฤดูร้อน จนมาพบฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เธอและเขาก็ราวกับลืมดินฟ้าอากาศเสียสนิท ไม่ว่าฝนจะตกปรอย ใบไม้จะชวนกันร่วงผล็อยลงมาทีละใบสองใบ บนต้นแม้จะยังเหลือค้างอยู่อีกมาก หากก็กลายเป็นสีน้ำชาทั้งอ่อนและแก่เพียงไหน สองหนุ่มสาวก็แทบจะไม่รู้ไม่เห็น ยังคงนัดพบกัน คุยกันบนม้ายาวในสวนสาธารณะที่บังเอิญผ่านไป จนถึงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ไม้ทุกต้นแทบจะโกร๋นเกรียน…’

‘คุณหนูอย่าลืมสวมเสื้ออุ่นข้างในนะฮะ’ มาศติงเตือนเมื่อกลับจากซื้อตุ้มหูและที่คาดผมด้วยกัน

เธอยังไม่กล้าพาเขาไปรู้จักคุณป้า…เพราะถึงอย่างไรเธอก็ตั้งใจคบเขาไปพลางๆ ‘ดูใจ’ สำรวจนิสัยที่แท้จริงของเขาว่าจะไปกับเธอได้หรือไม่’

เมื่อถึงวันโรงเรียนมีงานฉลองคริสต์มาส ทางโรงเรียนก็ส่งบัตรเชิญนักศึกษาโรงเรียนนายร้อยที่ออกซฟอร์ดมาร่วมด้วย มาศก็มีแต่ประหวั่นพรั่นใจด้วยหวงแหน

‘คุณหนูจะไม่เต้นรำกับใครนอกจากผมใช่ไหมฮะ’

โธ่เอ๊ย…ฉันเริ่มสงสารเขาแทบจะแย่อีกแล้วไง

‘ผมก็คง’ สีหน้าเขาสลดลงเมื่อเน้นคำ ‘คุณหนูไม่ทราบหรอกหรือว่าผมหวงคุณขนาดไหน’

ขากลับ ต่างก็เดินเบียดกันท่ามกลางความหนาวที่ทวีขึ้นทุกขณะ

มาศกระชับแขนเธอเข้าไปกอดไว้

‘คุณหนู สัญญาได้ไหมว่ากลับกรุงเทพฯ แล้ว เราจะยังคิดถึงกัน…ผมจะพยายามสร้างตัวเก็บเงิน…ไป…ไปขอคุณหนู…ได้ยินผมพูดไหมครับ…คุณหนูที่ผมรักเท่าชีวิต…’

แต่ผู้กำกับยืนร้องไห้อีกแล้วแถวหลังม่าน

 

ขออย่าได้รำคาญฉันเลยนะ ท่านผู้ชม…นักเขียนและผู้กำกับภาวนาในใจขณะรำพึงรำพันสืบไปจากฉากก่อน ด้วยว่า มิอาจจะถอดถอนความคำนึงถึงที่ยังคงติดตามมา กลายเป็นความเมตตาเอ็นดูในคู่รักที่ไกลห่าง เพียงแค่ระยะทางของชนชั้น

นั่นก็เนื่องด้วยเรื่องนั้นมี

มีขึ้นมาโดยฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะโหดเหี้ยมจนใจฉันก็พลอยเกรียมไปด้วยถึงเพียงนี้เมื่อฤดูหนาวผ่านไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิปีใหม่

คุณอุราต้องย้ายสถานที่จากโรงเรียนแม่ในกรุงลอนดอนไปสู่เมืองเล็กๆ ที่ไม่ไกลจากออกซฟอร์ดสักเท่าไร จึงเป็นเหตุให้มาศและเธอต้องห่างกันไปตลอดสัปดาห์ จนกระทั่งวันหยุดเวียนมาอีกครั้ง แม้กระนั้นก็ไม่ถึงกับพบกันทุกครั้ง เนื่องด้วยมาศต้องอยู่ดูแลท่านทูตและภริยา รวมทั้งแขกเหรื่อผู้ไปมาหาสู่ทั้งจากกรุงเทพฯ ฝรั่งเศสและประเทศในยุโรป…ด้วยว่ามาศเป็นคนกตัญญูรู้คุณ เธอสังเกตเห็นนิสัยของเขาตลอดเวลาที่คบหากันมาหนึ่งปี

หลังจากคริสต์มาสเป็นต้นมา เธอและเขาก็ปฏิบัติต่อกันฉันคู่รักที่เฝ้าคิดถึงกันทั้งหลับและตื่น

พระเอกและนางเอกของฉันคู่นี้ยืนหนึ่งอยู่ก่อนหน้า จึงไม่ต้องหาทางขับเคี่ยวด้วยวิธีต่างๆ เหมือนบางคู่

แต่มาศก็ไปรับไปส่งเธอไม่บ่อยนักด้วยว่าติดภารกิจรอบตัว

ยามใดที่ไปรับและส่ง เขาจะกระชับวงแขนของเขาสั่งลา

‘คุณหนูครับ ยอดรักของผม’ พลางจุมพิตที่แก้มของเธอ ‘เข้าบ้านได้แล้วครับ…ผมจะกลับละนะ ราตรีสวัสดิ์ ขอให้คุณหนูฝันดี’

แต่คืนที่ท่านทูตเลี้ยงวันเกิดให้ภริยานั่นสิ กลับเป็นคืนสุดท้ายระหว่างมาศและคุณหนูของเขา

‘คุณหนูสวยกว่าใครทุกคนในห้องนี้’ มาศกระซิบเบาๆ หลังงานเลิก

ครั้นแล้ว เขาก็หายตัวไป ทิ้งแค่โน้ตสั้นๆ ไว้ว่า ท่านหญิงประชวรหนัก เขาจึงต้องกลับกรุงเทพฯ โดยด่วน

‘โชคดีที่ผมสอบเสร็จแล้ว เรื่องเรียนจึงไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป แต่ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ ที่เบียดบังเนื้อที่หัวใจก็คือความไกลกันระหว่างคุณหนูกับผมเท่านั้น

แม้โอกาสจะกลับประเทศอังกฤษอีกครั้งก็คงไม่มี

ไม่ทราบว่าจะเห็นแก่ตัวเกินไปหรือไม่ ถ้าจะขอให้คุณหนูคอยผมสักระยะ เมื่อผมถึงกรุงเทพฯ แล้ว ทราบอาการประชวรของท่านหญิงว่าทรงปลอดภัยดี ผมจะเขียนถึงคุณหนูทันทีที่พอจะปลีกตัวได้’

จดหมายของเขาฉบับนี้ ทำให้หัวใจเธอทั้งดวงย่อยยับลงฉับพลัน

ทุกครั้งที่หมดชั่วโมงเรียน เธอจะต้องเข้าห้องน้ำ แอบร้องไห้ทุกวัน

ครั้นแล้วจึงเตรียมตัวจัดของกลับบ้าน

ปล่อยให้ผู้กำกับที่ยืนหน้าแห้งอยู่ ‘หลังม่าน’ ร้องไห้ตามสบาย

ด้วยรู้ล่วงหน้าว่า ที่มาศหายตัวไปนั้นก็เพราะท่านหญิงทรงขอร้องให้เลิกติดต่อกับเธอ เนื่องจากเธอมีคู่หมายที่กำลังจะหมั้นกันในไม่ช้า

คู่หมายผู้นี้เป็นลูกผู้มีอันจะกินแห่งลุ่มแม่น้ำท่าจีน เพิ่งเรียนจบจากสวิตเซอร์แลนด์

โอย…ก็นี่อย่างไรที่ทำให้ฉันร้องไห้ไม่รู้จบ

นับจากนั้นเป็นต้นมา ทั้งคู่ก็ไม่เคยพบกันอีกเลย จนกระทั่งมาศตายจากไปด้วยเหตุอันไม่คาดฝัน

 

ฉันก็เลยได้เริ่มเรื่องลูกของทั้งสองในคราวนี้

ลูกของคุณอุรากับคุณหาญกล้านามว่าอุบากอง ลูกของมาศและข่ายคำนามว่ามฤคี

มาพบกันในงานนิทรรศการเปิดตัวรถยี่ห้อหรูโดยไม่มีผู้ใดคาดหมายหรือวางแผนไว้ก่อนหน้านอกจากฉัน

เพราะหนังสือหุ้มหนังแกะสีนวลชื่อ ‘มรดกทวารวดี’ นั่นเองพามา

ต่อจากพรรณนาถึงความรักอันแสนจะหนักหน่วงห่วงหา หากก็โดนชะตากรรมพรากจากกันไปแล้วนั้น

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ต่างก็ต้องไปแต่งงานกับคนใหม่ด้วยหัวอกหัวใจตรอมตรม

คุณอุราขมขื่นใจเพียงไร ฉันก็ได้รับรู้ทั้งหมดทั้งสิ้นแม้กระทั่งวันที่คุณหาญกล้ารินน้ำตาถ้วยใหม่ให้เธอ

คือเมื่อเข้าห้องสองต่อสองแล้ว ต่างก็ยังละเมอเพ้อพกอยู่กับคนรักเก่า

คุณหาญกล้ามีสาวเหนือนามข่ายคำวัย 15 ทอดเข้ามาเป็นเงาดำบนเตียงนอนที่เขาใช้ถอนเข็มเต็มที่กับสตรีคนใหม่ที่ไม่เคยมีเยื่อใยใดแม้แต่น้อย

ฝ่ายคุณอุรารับกรรมซ้อนเข้าไปด้วยว่า ได้พบเห็นความระห่ำลำหักของอีกฝ่ายในคืนนี้ ราวจะแก้แค้นทบทวีที่ต้องจำใจ

แต่เพียงไม่นาน เธอก็คลอดลูกชายน่ารักให้เขาคนหนึ่ง นามว่า อุบากอง

ฝ่ายมาศได้แต่งงานกับข่ายคำ หญิงรุ่นสาวงดงามผู้มีบ้านเช่าอยู่ในซอยเดียวกับเขา หล่อนเดินไปทำงาน เขาวิ่งออกกำลังทุกๆเช้า จนกระทั่งรู้จักกัน สนทนาปราศรัยกัน ในที่สุดเขาจึงพาข่ายคำไปทำงานที่เดียวกับเขา คือที่ที่เขากับพลเพื่อนเก่าเปิดสำนักงานสอนภาษาอังกฤษด้วยกัน มีน้องสาวของแสงทิพย์ภรรยาของพล นามว่าแสงใจเป็นฝ่ายธุรการ

แสงใจนั้น แม้หลงรักปักมั่นอยู่ที่มาศอย่างเงียบๆ หากหน้าตาท่าทีนางก็ไม่มีวันเข้าตากรรมการ ดังนั้น จึงต้องมองดูมาศแต่งงานไปกับข่ายคำโดยไม่มีสิ่งใดจะหนาวเหน็บเจ็บช้ำเท่า

ความเสียดแสบแปลบปวดเป็นประจำที่สิงสู่อยู่ในใจจนกลายเป็นความเครียดอย่างล้นพ้นนี้ ดลให้ปีศาจที่ซ่อนอยู่ หาเวลาดูลาดเลาเพื่อช่วงชิงเอามาศมาให้ได้

ฝ่ายมาศและข่ายคำก็หารู้ไม่ว่าแสงใจคิดอย่างไร ต่างก็ราบรื่นชื่นบานอยู่กับทารกน้อยเกิดใหม่ นาม มฤคี จนกระทั่งบุตรีโตวันโตคืน

มาศคือชายมีเสน่ห์…อุดมด้วยความรู้ความสามารถ ข่ายคำนั้นหลงรักเขาหมดหัวใจ

ครั้นมฤคีอายุได้ 3 ขวบ ข่ายคำก็ตั้งครรภ์คนที่สอง แค่ 4 เดือนเท่านั้น เหตุร้ายก็มาถึง

คงมิใช่ใครอื่นที่เข้ามาสานเรื่องดีๆ ให้ร้ายสุดขีดถึงเพียงนั้น นอกจากนักเขียนและผู้กำกับคนนี้ที่ยอมนำชื่อเสียงของตนเองเป็นเดิมพัน

คือเรื่องของเรื่องจะต้อง ‘เป็น’ และต้อง ‘ไป’

เหตุร้ายที่มาถึงนี้ จะมีใครก่อขึ้นได้…นอกจากแสงใจ

ด้วยว่าเกิดเรื่องครูคนหนึ่งของโรงเรียนขี่จักรยานยนต์อยู่ดีๆ ก็มีรถยนต์มาชนเข้าจังเบ้อเร่อที่พัทยา มาศจึงรีบไปช่วย หากแต่พอดีเขาลืมเช็คที่ต้องสั่งจ่ายให้ลูกค้าพร้อมเอกสารไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน จึงรีบโทรศัพท์ถึงแสงใจให้ช่วยไปนำเช็คที่อยู่ในลิ้นชักออกมาโดยเขาว่าเขาจะสั่งข่ายคำให้นำกุญแจไปไขเตรียมไว้ให้

ครั้นแล้ว แสงใจก็รีบไป หากแต่สวนกับข่ายคำที่ประตู ภรรยาของชายที่หล่อนฝังใจรักกำลังออกจากบ้านเนื่องด้วยเนิร์สเซอรี่โทร.มาบอกว่า มฤคีไอมาก ตัวเนื้อก็อุ่นๆ ก็เลยชักช้ามิได้

แต่ข่ายคำลืมกุญแจห้อยคาไว้กับลิ้นชัก

เป็นเหตุให้แสงใจฉวยโอกาสเปิดดู…จนพบจดหมาย

ฉันจึงบรรยายความไว้ว่า

‘กล่องหนังที่ซ่อนอยู่ภายในพลอยหลุดออกจากที่ เลื่อนออกมาชนปากลิ้นชัก’

ภายในกล่องมีซองจดหมาย จ่าหน้าซองด้วยลายมืองดงามถึง

มาศ สุรกัณ

ผู้ส่ง อุรา ธำรงภพ

ใจของผู้ละลาบละล้วงก็ถึงแก่สั่นไหวไม่อยู่กับตัวเอาทีเดียว

อุรา ธำรงภพ นามสกุลคุ้นหูเหมือนจะเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง…อุรา…น่าจะเป็นผู้ชาย…เอ๊ะ…หรือว่าผู้หญิง ก็นี่ลายมือผู้หญิงนี่นะ ซองขอบน้ำเงินสลับแดง แสดงว่าเป็นซองเมล์อากาศ

สหราชอาณาจักรคือปลายทาง…

แผ่นแรกเป็นลายมือหญิงสาวที่เขียนมาตัดพ้อต่อว่า ทวงถามถึงความรักที่เขาเคยสัญญาไว้

อีกสองแผ่นเป็นของมาศ สุรกัณ

พับซ้อนอยู่กับดอกไม้แห้งช่อน้อย ครั้นแล้วก็พลอยร่วงตามมือออกมา หล่นอยู่บนตัก

แผ่นของ มาศ ขึ้นต้นว่า

‘ยอดรักของผม’

เป็นจดหมายตอบที่เขามิได้ส่งไป จึงเก็บแนบไว้ด้วยกันกับซองนี้พร้อมดอกไม้ที่ฝ่ายหญิงคงมอบให้ในสมัยที่ยังเรียนอยู่ด้วยกัน

หากแม้บัดนี้ช่อดอกจะแห้งสนิท หากก็ยังแลเห็นเป็นรูปทรงงดงาม

‘ดีละ ฉันจะดูเธอบ้า ข่ายคำ’

แสงใจบรรจงสอดจดหมายคืนเข้าซองอย่างเรียบร้อย พร้อมของที่ระลึกที่หญิงในดวงใจมอบให้เขา วางกล่องหนังไว้ที่ปากลิ้นชัก มิได้ผลักกลับเข้าไปซ่อนตามที่เคยซ่อน ส่วนพวงกุญแจก็คาไว้เช่นนั้น

พลันได้ยินเสียงประตูใหญ่ดัง’

ฉันกำกับไปก็ใจวาบวับไปพร้อมกันเมื่อนึกถึงภาพข่ายคำกลับมา มาอ่านจดหมายที่แสงใจจงใจเตรียมไว้ให้อ่าน จนถึงแก่เงียบกริบ ตาพร่า มือสั่น

นี่ฉันฝันไปหรือเปล่านะ ฝันไปหรือไม่ ถ้าไม่ฝัน เหตุไฉนความลับอันน่ามหัศจรรย์จึงซุกซ่อนอยู่ได้ภายในบ้าน ในหัวใจของบุรุษผู้เป็นที่รักยิ่งของเรา ของฉันและของลูกทั้งสองได้ปานฉะนี้…ข่ายคำเอาแต่คร่ำครวญไปมา

 

แต่ฉันเอง…ฉันผู้เป็นทั้งนักเขียนผู้กำกับและนักจินตนาการที่อยู่ ‘หลังม่าน’ ของเธอขณะนี้ นี่ไงที่ทำความฝันให้เป็นความจริง ทำความจริงให้เป็นความฝัน เพื่อนำมาให้เธอแสดงจนแจ้งเกิดได้ไง ข่ายคำ

ข่ายคำมองฉันเขม็งอย่างเดือดจัดเลยทีนี้ สะบัดหน้าเดินไปเข้าฉากอย่างเจ็บปวด

หารู้ไม่ว่า ฉันเองก็รวดร้าวพอกัน

สงสารเธออย่างไรล่ะ ข่ายคำ

ชายผู้รักหญิงดื่มด่ำถึงปานนี้ เขาก็มักจะมีที่ซุกที่ซ่อนความร่ำไห้อาวรณ์ที่เคยมีต่อหญิงในอดีตที่เขารักที่เขาประทับจับใจด้วยอาการอาลัยต่างกัน…เธอเองเท่านั้นละที่จะต้องทำใจให้ได้ ไม่นำรักแต่หนหลังของเขามาปนกับรักหนนี้ของเธอ ของลูกเธอและอนาคตอันจะต้องไปอีกไกลของพ่อแม่ลูก

ฉันเพียงแต่ปลุกรักเร้นให้เธอเห็นว่ามันมี

ข่ายคำก็เลยทำหน้าเชิดเข้าใส่

แล้วก็…เห็นไหมล่ะ เธอเอ๊ย…

ฉากต่อไป เธอยิ่งมีอาการ ‘ตาย’ มากกว่าเมื่อกี้ เพราะว่าหลังจากเธอเมินหมางกับสามีสุดที่รักจนเขาไม่เข้าใจ ขับรถออกจากบ้านอย่างเฉยเมยเงียบเหงา แต่เธอก็ยังอุตส่าห์เข้าไปหยิบจดหมายรักฉบับนั้นมาอ่านทวนจนเกิดอาการปั่นป่วน ปวดท้องขึ้นมาแล้ว โทร.ไปบอกมาศ แต่เขาก็กำลังสอนหนังสือ จึงขอให้แสงใจพาเธอไปโรงพยาบาลแทนเขา

ครั้นแล้ว ฉันก็ให้เธอเลียบเคียงถามหญิงนั้น

‘พี่ใจเคยทราบไหมคะว่าก่อนแต่งงานกับหนู พี่มาศเคยมีคู่รักมาแล้ว’

ข่ายคำ…เธอคือหญิงซื่อคนหนึ่ง จึงไม่เคยสังเกตแสงใจ

ครั้นแล้ว บัดนี้ ฉันก็เลยพาเธอไปสู่หญิงใจร้ายคนนั้น ผู้กำลังเตรียมเข่นฆ่าเธอเต็มที่

‘ทำมั้ยจะไม่ทราบ…อู๊ย…เขารักกันจะต๊าย…ตอนแม่นั่นสลัดรักไปแต่งงานกับนักเรียนนอกด้วยกันนั่นน่ะ พี่มาศแทบไม่เป็นผู้เป็นคนเลยละจ้ะ เขาบอกพี่พลเลยละว่า เขาไม่มีวันรักใครอีกแล้วในชาตินี้’

หัวใจเธอก็เลยหล่นวูบลง…ฉันให้เธอเริ่มปวดท้องทบทวีจนถึงแก่บิดตัวไปมา…แต่เมื่อถึงโรงพยาบาล ได้รับการเยียวยาอาการแล้วจึงดีขึ้น หากก็ยังไม่วายเศร้า

มาศกลับบ้านแล้วก็ยังอารมณ์ไม่ดี

ต่อจากนั้น ฉันก็เลยให้เธอเริ่มอีก…เริ่มถามเขาอีก

ก็ฉันรู้ดีนี่นาว่า เพศชาย…มักไม่ชอบให้เมียของเขามาเซ้าซี้ขี้หึง

พอเธอถามว่า

‘ก่อนแต่งงานกับหนู พี่เคยรักใครไหมคะ’

ปัทธ่อ…ก็นี่มันเวลานอนนะเธอนะ เธอถามเมื่อไหร่ไม่ถาม เก็บเรื่องร้ายมาถามเขาตอนนอน

ตายแล้ววว…นี่ใครสั่งใครสอนเธอจ๊ะ…

ว่าพลาง ผู้กำกับก็แอบยิ้มคนเดียว ‘หลังม่าน’ เมื่อนึกขึ้นได้ว่า ‘ใคร’

ใช่แล้วไงจ๊ะ…มาศฉุนกึกขึ้นมาทันควัน หัวเสียจนต้องเปล่งเสียง

‘เรื่องบางเรื่องที่เป็นเรื่องส่วนตัวนี่ไม่มีคำอธิบาย แล้วก็ไม่รู้จะอธิบายว่ายังไง’

จริงของเขา…จริงที่สุดแล้วละจ้ะ

ฉันก็เลยบรรยายว่าอย่างนี้

‘ชายหนุ่มอดทอดถอนใจต่อนิสัยขอบคุ้ยเขี่ยความหลังของสตรีเสียมิได้…อยู่กันมาอย่างดี ก็ต้องมีเรื่องไม่เป็นเรื่อง พาความขุ่นเคืองมาทำลายอารมณ์กัน’

ครั้นแล้ว เขาจึงถาม

‘น้องแอบอ่านจดหมายในลิ้นชักโต๊ะพี่แล้วใช่ไหม…ถ้ากล้าอ่าน ก็ต้องกล้าทำความเข้าใจเกี่ยวกับความรักความหลังของพี่ที่มันเกิดก่อนพบน้อง’

‘พี่เองก็ยังนึกไม่ออกเลยว่า…ทำไมพี่ถึงได้รักน้องมากกว่าที่เคยปณิธานไว้ว่าจะไม่รักใครอีก นี่ก็แสดงให้รู้แล้วใช่ไหมว่า ความรักมาเอง สั่งไม่ได้ ถ้ามันไม่มา กดปุ่มเท่าไรก็ไม่มา แต่ถ้าจะมา ไม่ต้องกดปุ่ม ก็มาเอง…มาเองเหมือนพี่พบน้องโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั่นแหละจ้ะ’

ใจข่ายคำจึงค่อยชื่นขึ้นด้วยคำของเขา

แต่ใจของนักเขียนนี่สิ หาได้รื่นขึ้นไม่ ด้วยว่า แลเห็นอวสานของข่ายคำลอยเด่นอยู่ตรงหน้า

เมื่อข่ายคำรำลึกถึงตนเองในวัย 15 ปี

พบชายหนุ่มนัยน์ตาพราวที่ญาติพี่น้องกล่าวหาว่าเขามาเกี้ยวพาราสีเพียงเพราะคิดว่าหญิงเหนือใจง่าย จึงกีดกันเอาเป็นเอาตาย ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับเขาต่อไม่ติด

บุรุษผู้นั้นมีนามว่า หาญกล้า ซึ่งบัดนี้คือ บิดาของอุบากอง

สามทุ่มคืนนั้น ข่ายคำก็เข้าขั้นโคม่า วันรุ่งขึ้นจึงจากไปอย่างสงบโดยไม่มีโอกาสร่ำลาผู้ใดแม้แต่ลูกน้อยกลอยใจของหล่อน หลังจากล้มฟาดในห้องน้ำ

เพียงเพราะ ‘เขามีสุดที่รักคนหนึ่ง ที่ไม่ว่าวันเวลาผ่านไปกี่ปี เขาก็ไม่มีวันลืมเธอ’

ส่วนอีกฝ่ายคือคุณหาญกล้า

เมื่อมาถึงวันนี้ มีอุบากองลูกชายผู้ที่เขาให้กำเนิด เป็นคนพามาหาบ้านหญิงสุดที่รักของเขานามว่าข่ายคำ

พบประตูหน้าต่างสีเขียวใบไม้ ตัวตึกสีเหลือง อันเป็นบ้านและที่ดินที่ท่านหญิงประทานให้มาศเมื่อครั้งกระโน้น จนบัดนี้กลายเป็นที่ตายของมาศ เป็นที่แย่งยื้อกันระหว่างทายาทของเขา

คุณหาญกล้าจึงได้แต่เพ่งพิศตึกเก่าที่หญิงของเขาเคยอยู่กินกับชายหนึ่งซึ่งเป็นบิดาของมฤคี

มีภาพเรือนกายข่ายคำในความทรงจำรำลึกที่ไม่เคยจาง

แลเห็นผิวขาวบางยองใยราวป่านแก้ว

จึงบอกกล่าวลูกชายคนเดียวของเขา

‘พ่อไปทั้งสวดทั้งเผา แต่ไปในนามญาติคนหนึ่ง’ คุณหาญกล้าได้แต่พึมพำอย่างเศร้าใจ

ครั้นแล้วอุบากองจึงเล่าประวัติศาสตร์อับซับซ้อนที่เขาได้รับรู้จากคุณอุรากับมฤคี จนถึงแก่อุทาน

‘ผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวของข่ายคำ’

‘ครับ’ อุบากองก็เลยบอกกล่าว ‘เป็นลูกสาวของข่ายคำกับมาศ แล้วก็มาศคนนี้เอง คือคนที่คบหากับคุณแม่ตั้งแต่เรียนอยู่ด้วยกันที่อังกฤษ’

อีกฝ่ายก็เลยนิ่งอึ้งไปทันทีราวกับถูกน็อก

ดีนะที่เขาไม่หันมาพาลเอากับฉัน

 

ครั้นแล้ว ฉันก็ได้แต่จับจูงลูกสาวลูกชายของทั้งสองฝ่ายมาพบกัน โดยสานสัมพันธ์อันดีงามไปตามเหตุและผลที่ประมวลกันมาตั้งแต่ต้นด้วยหนังสือโบราณหนึ่งเล่ม ต่อมาคุณอุราจึงเริ่มไปเหมาหนังสือของมาศมาอีก 49 เล่ม

มี ‘มัทนะพาธา’ ตำนานดอกกุหลาบพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรวมอยู่ด้วย กลายเป็นสะพานเชื่อมนางเอกและพระเอกให้เป็นกันเองยิ่งขึ้นเมื่อนางเอกผู้หลังจากพ่อตายก็ย้ายไปอยู่กับป้าที่อเมริกาตลอดเวลาแห่งวัยเยาว์

พระเอกอุบากองผู้อยู่เฝ้ามารดาซึ่งกลายเป็นผู้พิการทางใจ ก็ได้แต่ทำหน้าที่เชื่อมโยงอดีตและปัจจุบันของทั้งพ่อและแม่ไว้ด้วยกัน

พามฤคีบุตรีของมาศสุดที่รักในอดีตที่แม่ของเขาไม่มีวันลืมมาสมัครสมานไมตรี

จึงเห็นด้วยที่มารดาจะขอซื้อทั้งบ้านที่ดินและจดหมายลายมือมาศที่แสงใจเก็บไว้ต่อรองเรื่องทรัพย์มรดก ถ้าผู้ใดอยากได้ทั้งบ้านที่ดินและจดหมายรัก ก็เตรียมจ่ายเงินค่าของโบราณเหล่านี้

‘ยายใจตกลงแล้ว ยี่สิบล้าน แต่คนซื้อจะต้องเอามาจ่ายห้าล้านก่อน เป็นค่ามัดจำกับค่าจดหมาย’ เสียงแสงทิพย์บอกกล่าวมาตามสายโทรศัพท์

‘ก่อนอื่น ก็ต้องขอตรวจสอบก่อนว่าเป็นตัวจริงหรือสำเนา’ ทนายความฝ่ายคุณอุราก็ต้องรอบคอบถี่ถ้วนเช่นกัน

นอกจากนั้น อุบากอง-พระเอกของฉันก็ขอเป็นผู้ร่วมตรวจสอบด้วย

พลกับแสงทิพย์ดูเหมือนจะซ่อนความขำขันไว้ในหน้าเมื่อแลเห็นอีกฝ่ายดูจริงจังกับจดหมายรักสองฉบับที่ ‘เขียนตั้งแต่ปีมะโว้’ หากแต่มีราคาแพงยิ่งกว่าทองแท่ง ยิ่งกว่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

แต่คุณอุรากลับถามมฤคีว่า

‘แม่อายุหกสิบก็ถือว่าเสียเงิน แต่ได้ของที่อยากได้ ว่าแต่ว่า หนูคีเสียดายไหม ที่ท้ายสุด บ้านของคุณพ่อก็กลับมาเป็นของแม่’

‘ไม่เลยค่ะ คุณแม่ ไม่เลย คุณแม่ได้ไว้อาจดีกว่าคีได้อีกนะคะ’

แต่ความแค้นแสนทวีกลับกำเริบขึ้นในอกของแสงใจ

ตรงกันข้ามกับคุณอุราผู้บัดนี้เส้นทางอันมิรู้ว่าไปอย่างไรมาอย่างไรจึงมาถึงวันนี้ได้ ช่วยให้อาการที่บางครั้งก็เพ้อพก บางคราวเผลอไผลเหมือนใจคอไม่อยู่นิ่ง บางขณะก็จมดิ่งลงจนดึงตนเองกลับไม่ทัน ก็พลันคลี่คลายลง แลเห็นแสงสียามฟ้าเปิดมลังเมลืองขณะจรดปากกาเซ็นรับโอนพร้อมกับจ่ายเงิน

หากแต่แสงใจสิ กลับฟกระบมบ่มไข้ด้วยอาการโรคโลดแล่น

คั่งแค้นแน่นขึ้นมาค้ำในลำคอจนกลายเป็นพิษร้าย

ในที่สุด ก็มาถึงวันที่หล่อนคล้ายถูกมัดมือชกให้ต้องตกลงใจขายมรดกของเขา

ให้สตรีผู้มีนามว่า อุรา ธำรงภพ ‘ยอดรักของผม’

ให้เธอและลูกสาวเขาเข้าไปรื้อฟื้อความหลังครั้ง มาศ สุรกัณ ยังไม่ตาย

ให้ได้อ่านทวนจดหมายของเขาความว่า

‘ยอดรักของผม’

ผู้กำกับขนลุกอีกแล้วเมื่อถึงตรงนี้

แต่จะไม่ตื้นตันได้อย่างไร…ฉันสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่นเพียงลำพังเมื่อไรเล่า ลองมองออกไปยังหน้าฉากก็ยังได้…ทั้งพระเอกนางเอกก็ยังอ่านพลางน้ำตาไหลพลาง

แต่ฉันก็คงทำได้เพียง คัดเฟ้นประโยคที่อ่านแล้วเย็นร้อนไปทั้งร่าง มาวางลงตรงหน้าผู้ชม…เพื่อให้ได้สัมผัสกับความขมขื่นและหวานฉ่ำเพียงเล็กน้อยของทั้งคู่

‘คุณหนูครับ คุณหนูจะทราบหรือไม่ว่า ทุกคืนที่หลับตา ทุกวันที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ผมจะแลเห็นแต่คุณหนู บางชั่วโมงจึงทั้งเหงาและเศร้าสุดซึ้งเหมือนคนใกล้ตาย…

คือรู้สึกอยู่ทุกลมหายใจว่าข้างในอกนี่ช่างอึงคะนึงด้วยความคิดถึงคุณหนูสุดกายสุดหัวใจสุดชีวิตจนแทบระเบิดออกมา…

คำที่คุณหนูบอกผม ‘ หนูจะรักพี่ตลอดชีวิต ตลอดชาตินี้และชาติหน้าน่ะครับ คุณหนูลืมแล้วหรือยัง

แต่ผมยังไม่ลืม ไม่เคยลืมคำของคุณหนูและคำของตัวเองที่ว่า

คุณหนูคือยอดรักคนเดียวของผมทั้งวันนี้และวันหน้า…

ผมเป็นคนยากจน มีกระเป๋าเพียงใบเดียวหิ้วไปแล้วหิ้วกลับโดยไม่มีทรัพย์สมบัติเพิ่มขึ้นนอกจากหนังสือก็จริง แต่สิ่งหนึ่งที่ประจักษ์แก่ใจก็คือ ผมไม่เคยขัดสนใดๆจากความจนนี้ ก็เนื่องด้วยได้นำภูมิปัญญาที่สะสมไว้ไปแลกมา’

แล้วนี่จะไม่ให้ฉันซาบซึ้งตรึงอุราได้อย่างไรในเมื่อพระเอกของฉันเพียบพร้อมถึงปานนี้

ยิ่งลงท้ายว่า ‘คุณหนูคือยอดรักคนเดียวในชีวิตนี้ของผม คิดถึงคุณหนูที่สุด คิดถึงทั้งหลับและตื่น

ลงท้าย ‘มาศของคุณหนู’

จะไม่ให้ฉันน้ำตาพรูลงมาได้อย่างไร

ครั้นคลี่อีกฉบับมาอ่าน คือฉบับของคุณหนูอุรา ฉันก็ยิ่งต้องสะอื้นไห้

‘ขณะนี้ดึกแล้ว แต่หนูยังร้องไห้ตลอดเวลาด้วยความคิดถึงพี่

คิดดูก็ได้ว่า เราเคยพบกันทุกสุดสัปดาห์ นั่งรถด้วยกัน คุยกันในสวน ไปพิพิธภัณฑ์ ไปกินอาหารอร่อยที่เราต่างก็ป้อนให้กันและกัน พี่ช่วยเลือกของกินของใช้ของแต่งตัว เวลาหนูต้องซื้อกลับโรงเรียน อาทิตย์ไหนพี่ว่าง พี่ก็อาจขึ้นรถไฟไปส่งหนูแล้วนั่งกลับคนเดียว ทั้งๆพี่ก็บ่นอยู่เสมอว่า ขากลับนี่ไม่ชอบเลย เพราะพี่เหงาว้าเหว่จนอยากลงกลางทาง แล้วหาปีกมาสวมแขน บินกลับไปหาหนู

จนหนูทะนงตนว่าพี่รักหนูคนเดียว ทะนงว่าพี่คิดถึงหนูทุกลมหายใจ ทะนงว่าตลอดชีวิตของพี่ พี่จะไม่มีวันรักใครเท่าหนู

ระหว่าง 1 ปี ที่เราไม่พบกัน พี่มาศของหนูจะต้องรู้จักผู้หญิงอีกกี่คน แต่ละคนนั้นจะทำให้พี่เคลิบเคลิ้มเผลอไผลจนลืมหนูของพี่หรือไม่

น้ำตาหนูก็เลยไหลออกมาอย่างไม่อาจทนได้

สัญญาอีกกี่สิบกี่ร้อยครั้งจึงจะกำจัดความรู้สึกหวงพี่หวงชีวิตของตัวเองออกไปได้

ฉะนั้น มีทางเดียวก็คือ พี่ต้องตอบจดหมายหนูอย่างด่วน ด่วน และด่วน

รักพี่คนเดียว รักพี่ที่สุด รักพี่ยิ่งกว่าชีวิตของหนู-หนูของพี่’

นวนิยายเรื่องนี้ชวนให้ผู้เขียนเห็นใจ ‘ตัวละครของฉัน’ ทุกตัวเป็นที่สุด จึงเพียงแต่จุดประกายให้เขาและเธอสมัครใจทุ่มเททั้งกายและวิญญาณให้แก่บทบาทอันยากยิ่งของบุรุษและสตรีผู้อาภัพทั้งหลายเท่านั้น โดยพลันก็สามารถพา ‘รสรักปักอุรา’ ให้เริ่มต้นจนถึงอวสานได้อย่างงดงามเกินบรรยาย

เหลือเพียงผู้โชคดีไว้คู่หนึ่ง

ผู้มีนามว่า มฤคีและอุบากอง

 

– จบ –

 

Don`t copy text!