“อุโมงค์เวลา” สำปันนีและแคว
โดย : กฤษณา อโศกสิน
“หลังม่าน” คอลัมน์ที่จะบอกเล่าถึงชีวิ
ฉันเขียน ‘คำนำ’ นวนิยายเรื่อง ‘อุโมงค์เวลา’ ไว้ว่า
‘ตัวละครของฉัน’ ในเรื่องนี้แบ่งออกเป็น 3 ชุด
ชุดแรก เป็นตัวละครจริงที่มีอยู่ในบันทึกความทรงจำของผู้มีประสบการณ์โดยตรง จนถึงแก่เขียนหนังสือไว้ 2 เล่ม
เล่มแรกชื่อ ‘ทางรถไฟสายไทย-พม่า ในสงครามมหาเอเชียบูรพา’ บันทึกโดย โยชิกาวา โทชิฮารุ แปลโดย อาทร ฟุ้งธรรมสาร ตรีทิพย์ รัตนไพศาล มารศรี มิยาโมโต บรรณาธิการชื่อ สายชล สัตยานุรักษ์
เล่มที่ 2 ชื่อ ‘ทางรถไฟสายไทย-พม่า’ จากบันทึกของ George Voges เรียบเรียงโดย สังคีต จันทนะโพธิ
ตัวละครชุดที่ 2 คือ ตัวละครของผู้ให้โครงเรื่อง มีนักวิทยาศาสตร์ 3 คน คือ ดร.สำปันนี ดร.อลัน และพันตรีแพทริค ทหารไทยอีก 4 นาย แคว เดช ตึก และวิว กับนายโกสน ผู้เป็นพ่อค้า นักหาขุมทรัพย์
ส่วนตัวละครชุดที่ 3 เป็นตัวละครจากจินตนาการของฉันได้แก่ โกกุ่ย นางละมัย กิมหยู กิมฮวย ลุงพุ้ง ลุงทิ และกลุ่มกู้ชาติชาวกะเหรี่ยง
มีเรื่อง ‘ขุมทองลิเจีย’ อันลือลั่น แทรกไว้เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า มีทองคำ 1 โบกี้รถไฟซ่อนอยู่ในถ้ำใดถ้ำหนึ่ง ที่กาญจนบุรี จริงหรือไม่
นับเป็นอีกหนึ่งนวนิยายที่ฉันเขียนไปสนุกไป เศร้าใจไปกับความยากแค้นแสนสาหัสของชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์ไปร่วมขบวนการสร้างทางรถไฟ ‘สายมรณะ’ ขณะนั้น
โดยใช้นางเอกพระเอกจากปัจจุบันใน พ.ศ.2548 หายตัวผ่าน ‘รูหนอน’ ด้วยฝีไม้ลายมือของนักวิทยาศาสตร์อเมริกัน อันมี ดร.วิลเลียม พอร์ตแมนเป็นหัวหน้า ขนผู้คนนับร้อยและเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาติดตั้งเครื่องย้อนเวลา ณ ถ้ำแห่งหนึ่งบนภูเขา ที่มีเนื้อที่ราว 20 ไร่ อันเป็นพื้นที่ในป่าสงวนของไทย โดยบรรทุกมาในเครื่องบินลำเลียง C 130 ถึง 3 ลำด้วยกัน
มาอย่างลับสุดยอด
นักข่าวไม่ว่าสำนักใดก็ไม่มีโอกาสได้ระแคระคายแม้แต่น้อย
หากจะต้องตอบคำถาม ก็ต้องตอบพร้อมกันว่า เป็นความร่วมมือทางทหารระหว่างประเทศตามปกติเท่านั้น
ทั้งๆที่ในจำนวนคนนับร้อย จะมีเฉพาะนักวิทยาศาสตร์และผู้ช่วยทั้งฝ่ายเทคนิคและธุรการล้วนๆ มีทหารปนมาไม่กี่นายก็ตาม
คือ…ถ้าไม่เป็นนักบินอวกาศ ก็ทำงานอยู่ในหน่วยงานของนักวิทยาศาสตร์ด้านอวกาศของสหรัฐ…นอกนั้นเป็นแรงงานประเภทขนย้ายติดตั้งรวมทั้งรื้อถอน
ขณะที่นายโกสน เจ้าของห้องชุดบนคอนโดมิเนียม ผู้เคยเดินทางไปอเมริกาเกี่ยวกับธุรกิจส่งออกเสื้อผ้าของเขา แล้วมีโอกาสได้รู้จักกับคณะนักวิทยาศาสตร์จากองค์การ โดยเขาไปพักที่บ้านน้องชายผู้เป็นมิตรสนิทกับพันตรีแพทริค เนื่องด้วยเคยเป็นนักกีฬาฟุตบอลทีมเดียวกัน
ครั้นแล้ว คืนนั้น เขาจึงมีชั่วโมงอันประเสริฐได้สนทนากับนายพันตรีจนล่วงรู้ว่า ดร.วิลเลียม พอร์ตแมน กำลังคัดเลือกนักวิทยาศาสตร์ 1 คน ให้ได้ภายในไม่กี่วันนี้ รวมกับที่คัดไว้แล้ว 2 นาย จัดให้เดินทางไปสู่จุดทดลองที่เมืองกาญจน์
‘เผื่อยังไง เราอาจเจอขุมทองที่ลิเจียก็ได้นา’ พันตรีแพทริกสัพยอก
เป็นเหตุให้นายโกสนตื่นตัวตื่นตาด้วยความอยากได้
ความสนุกสำราญใจของฉันคงอยู่ตรงนี้ด้วย…คงอยู่ตรงที่ได้ ‘ตัวละคร’ ผู้เพียบด้วยความโลภมาเข้าฉาก
จะได้เพิ่มรสชาติเข้มข้นโดยไม่ต้องพยายามมากมาย
ครั้น ‘ร่องน้ำ’ เปิดออกกว้าง เรือก็แล่นออกจากท่าได้ทันใด
เพียงแต่คณะนักวิทยาศาสตร์อเมริกันถึงกรุงเทพฯเท่านั้น เจ้าภาพใหญ่อันได้แก่นายโกสนก็รวบทุกคนไว้ในอุ้งมือ…เตรียมอาศัยนักวิทยาศาสตร์พาไปรื้อค้นหาขุมทรัพย์ คือทอง 1โบกี้รถไฟ
ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ในคณะนักวิทยาศาสตร์ที่ดร.วิลเลียมคัดเฟ้นจากอาสาสมัคร 40 คน มาได้ในคราวนี้ มีเพียง 3 คน
คนแรก นามว่า ดร.สำปันนี ไรเดอร์ ชำนาญงานด้านประวัติศาสตร์หาตัวจับยาก หล่อนสำเร็จสาขาเทววิทยาด้วย
คนถัดมา คือ นักบินอวกาศหนุ่ม…พันตรีแพทริค คูเซน และดร.อลัน มัวร์ นักวิทยาศาสตร์สาขาฟิสิกส์และเคมี เชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกัน มาร่วมกันทดลองครั้งใหญ่ โดยตั้งเป้าไว้ 1 ปี…ในการเดินทางย้อนอดีต
สถานที่ในกำหนดการครั้งนี้ วางไว้ที่ ประเทศไทย
อาสาสมัครทั้งสามเป็นผู้มี ‘ไฟแรง’ ตามความประสงค์ของดร.วิลเลียมทุกประการ จนถึงขณะนี้ จึงมีผู้ร่วมตื่นเต้นอย่างลับๆจำนวนหลายร้อยทีเดียวหลังจากรู้ผลคำนวณจากหัวหน้าคณะแล้ว
ต่อจากนั้น ทั้งสามจึงเดินทางจากสหรัฐฯสู่ประเทศไทย
โดยดร.วิลเลียม พอร์ทแมน คำนวณว่า
ในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ.2005 ดวงดาวในจักรวาลจะทำมุมกันพอดีที่สุดที่จังหวัดกาญจนบุรี
องค์การวิทยาศาสตร์จึงจะส่งอาสาสมัครทั้งสามเดินทางมาทดลองย้อนเวลาไปหาอดีต แล้วแต่จะไปถึงได้ไกลสุดในวันที่ เดือน และพ.ศ.ใด
เออ…ดีจังเลย…ฉันกำกับไปนึกในใจไป…ขณะที่ ‘ตัวละครของฉัน’ ออกไปแล้ว ไปสู่หน้าเวทีมีไฟส่องพร้อมเพรียง พลางประสานเสียงชื่นบาน
“เดี๋ยวก็รู้ว่าเมืองกาญจน์ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นยังไง”
นางเอกของฉันเรื่องนี้แม้เป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ใช่ว่าจะตะลึ้กปึ้กปั้กเสียเมื่อไหร่ หล่อนอรชรอ้อนแอ้นเท่เก๋ไม่เบาดอกนา…หันมาสบตาฉันแวบเดียวก็รู้ได้ถึงความเฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง
“คุณคิดว่า ถ้าเราย้อนเวลาจากตรงนี้ เราจะไปโผล่ขึ้นเมื่อไหร่ในอดีต” ดร.อลันเอ่ยถามขณะจิ้มข้าวเกรียบปากหม้อที่นายโกสนคัดเฟ้นมาบริการ ที่เขาเรียกเมื่อกี้ว่า ‘ข้าวเกี๊ยบปากหมอ’ นั่นแหละ
“น่าจะสักร้อยปี…ไหวไหม…ร้อยปี…จาก ค.ศ.2005 ก็คงอยู่ในราว ค.ศ.1905 คิดอย่างไทยก็คือ พ.ศ.2448 อยู่ในราวรัชกาลที่…” สำปันนีนิ่งนึกนิดหนึ่งจึงกล่าวต่อ “อยู่ระหว่างรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์”
“ลูกครึ่งอเมริกัน-ไทยก็เก่งยังงี้เอง” พันตรีแพทริควัย 35 พยักพเยิดสัพยอก “แถมยังสนใจประวัติศาสตร์บวกเข้าไปอีก…ก็เลยเก่งกว่าเราไม่รู้กี่เท่า”
พันตรีแพทริคเป็นคนอเมริกันเชื้อสายดัทช์ เป็นนักกีฬาฟุตบอลมาก่อนสมัครเป็นนักบินอวกาศ แต่ที่โดดเด่นที่สุดก็คือ เขาสนใจประเทศแถบภาคพื้นเอเชียเป็นอันมาก ใคร่จะได้มาเยือนดินแดนกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยากไปเวียดนามที่เริ่มเป็นสมรภูมิรบกับอเมริกาเมื่อสี่สิบปีที่ผ่านไป
“ก่อนมานี่ ฉันก็เลยต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย ย้อนหลังไปตั้งสองร้อยกว่าปีแน่ะค่ะ” สำปันนีบอกกล่าวพลางจิบชาที่คนของนายโกสนเตรียมไว้บริการอย่างดีเลิศตามคำสั่ง “คือตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์เลยทีเดียว แต่ไม่มีปัญญาทบทวนได้มากกว่านั้น เพราะคิดว่าเราคงไม่ไปโผล่ในสมัยอยุธยาแน่นอน”
ในวัย 28 ปีของดร.สำปันนี ไม่ดูว่าแก่กร้านแต่อย่างใด ผิวยังคงเนียนละไมบ่มชมพู ผมสีชาร์โคลหวีเสยรวบไว้ด้วยคลิปอันใหญ่ที่ท้ายทอย ปล่อยส่วนที่เหลือให้ยาวเลื้อยเคลียไหล่
แน่นอน…หล่อนกำลังตื่นเต้นมิใช่น้อยกับงานนี้
‘ตัวละครของฉัน’ ทุกตัวต่างก็ทำท่าตื่นเต้นทั่วกัน
พอดี ดร.อลันถามว่า
“สงครามโลกครั้งที่ 2 ห่างจากปีนี้กี่ปี”
“64 ปี ใช่ไหม หรือว่า 65”
“กี่ปีก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าเราจะย้อนเวลาในเมืองไทยได้หรือไม่เท่านั้น เพราะต้องไม่ลืมนะว่า การทดลองครั้งแรกที่ย้อนไปได้แค่ 3 วันนั่น เราอยู่ในห้องทดลองที่อเมริกา แต่ถ้าเปลี่ยนมาเป็นเมืองกาญจน์ มันอาจไม่สำคัญก็ได้”
“ไม่ลองก็ไม่รู้ใช่ไหมล่ะคะ” สำปันนีตัดบทอย่างไม่รู้สึกท้อแท้ “ถึงยังไงมาถึงบ้านเกิดเมืองนอนของแม่ฉันแล้ว ฉันจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกค่ะ”
โกสนเองก็กำลังครุ่นคิดถึงการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ทุกนาทีเช่นกัน
ก็ในเมื่อสามารถย้อนวันเวลาได้ เหตุไฉนจะใช้เครื่องมือที่นอกเหนือจากดาวเทียมและลายแทงค้นหาทองคำ 1 โบกี้รถไฟ ตามที่เขาสืบทราบว่ามีอยู่จริง…จริงแท้แน่นอนตามที่สมาชิกวุฒิสภาคนนั้นเคยให้ข่าว…ไม่ได้เล่า
มันต้องได้ซีน่า
โธ่…โธ่…โธ่…โกสน…ทำไมถึงไม่หันมาถามคน ‘หลังม่าน’ บ้างก็ไม่รู้
มัวคิดเอาเองต่อไปอีกจนด้าย-ย
อันนักวิทยาศาสตร์นั้น บางทีก็เหมือนยืนอยู่ตรงเส้นกั้นพรมแดนระหว่างอัจฉริยะกับวิปลาสเช่นกัน ดังนั้น ยามนี้เขาจึงอัดอั้นไม่น้อยต่อความลับที่เก็บกดอยู่ในอกนานหลายปี เนื่องด้วยรู้มาว่า
‘มีการขนย้ายทองคำแท่งบริสุทธิ์จากธนาคารชาติพม่า โดยกองกำลังกองทัพญี่ปุ่น เพื่อนำกลับเข้าสู่ประเทศไทยจริงในวันที่ 7 กันยายน 2486 จำนวน 3 โบกี้รถไฟ แต่เมื่อมาถึงกลางทางถูกปล้นจึงหายไป 1 โบกี้ มูลค่าปัจจุบัน (ปี2548) ไม่น้อยกว่า 4 หมื่นล้านบาท’
นับแต่นั้น โกสนจึงค้นคิดเรื่อยมาว่า…ถ้าไม่มีทองคำที่ถ้ำลิเจียแล้ว ทองนั้นควรจะไปอยู่ที่ถ้ำใด ในท่ามกลางภูเขาอันสลับซับซ้อน เหมาะเป็นที่ซ่อนทองของกาญจนบุรี
สำหรับเขานั้น แน่ใจที่สุดว่า ทอง 1 โบกี้ จะต้องซ่อนอยู่ ณ ภูเขาลูกอื่น ซึ่งไม่ใช่ถ้ำที่สมาชิกวุฒิสภาเคยไปควบคุมการขุดอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้บัดนี้จะย้ายไปปักหลัก ณ ที่ดินของเอกชนแล้วก็ตาม
แต่ความลับสุดยอดที่ซ่อนอยู่ในหัวอกของโกสนตลอดมา…ยังมีอีก นั่นก็คือ
ความลับเกี่ยวกับลายแทง
หากแต่นักวิทยาศาสตร์ต่างก็ไม่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับขุมทอง เพราะดูโคมลอยเสียเหลือเกิน
แต่สนใจการคำนวณของดร.วิลเลียม มากกว่า ทั้งๆที่ก็น่าจะโคมลอยพอกัน
“พรุ่งนี้ เราคงต้องออกไปสำรวจสถานที่เพื่อความเรียบร้อยในเรื่องนี้เป็นอันดับแรกก่อน” พันตรีแพทริคยืนยันความมั่นใจ “เพราะถึงอย่างไร เรื่องทองก็ต้องมาทีหลังเพราะทองมันยังอยู่…ผมเชื่อว่ามันยังอยู่ เพียงแต่อยู่ในที่ที่เรายังไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้สำรวจเท่านั้น…แต่การย้อนเวลานี่ถ้าพ้นวันที้ 11 มกราคม มันจะหาวันอย่างนี้อีกไม่ได้…หรือสมมุติว่าได้ แต่อาจเป็นอีก 50 ปีข้างหน้า เราจะรอไหวไหม”
นายโกสนจำใจพยักหน้าเพราะเห็นจริงตามนั้น
วันที่นักวิทยาศาสตร์กำหนดไว้ใช่จะหาได้ง่ายๆ
“แล้วถ้าพ้นวันที่ 11 โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกคุณจะทำอะไรต่อไปล่ะครับ” อีกฝ่ายย้อนถาม
“เราก็จะไปที่ถ้ำลิเจียด้วยกัน” ดร.อลัน ตอบยิ้มๆ “ไม่แน่หรอกน่า อาจพบไดโนเสาร์คลานอยู่แถวนั้นก็ได้ ก็ในโลกนี้ ยังมีเรื่องราวอีกตั้งมากมายที่ยังไม่ถูกเปิดเผย…เพราะฉะนั้น ทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ นักผจญภัยในสาขาต่างๆ ก็มีสิทธิ์จะตั้งคำถามถามตัวเอง หรือถามชาวโลกได้ทุกเมื่อว่า ‘มนุษย์เรานี้มาจากไหน’ ‘ภพชาติมีจริงหรือไม่’ ท่ามกลางจักรวาลอันกว้างใหญ่ เรายังค้นไม่พบอะไรบ้างนอกเหนือจากจรวดและยานอวกาศที่สร้างขึ้นเพื่อสำรวจดาวนอกพิภพ”
แม้ขณะนั้น ฉันจะกำลังทำหน้าที่ป้อนถ้อยคำกำกับการแสดงเพื่อนำพา ‘ตัวละครของฉัน’ ที่นั่งหารือกันอยู่ในฉากซึ่งคือบ้านเมืองกาญจน์ของนายโกสน แต่ฉันก็พอใจการปรุงปนของตนเองมากพอ ด้วยว่าเป็นหัวข้อและการตั้งคำถามที่นำความก้าวหน้ามาสู่สมองของทั้งตัวละครและผู้กำกับ
เพราะยากนักที่จักมีในเรื่องอื่นๆของฉัน
แต่ก็มีเพียงคนเดียวที่นั่งฟังอย่างเบื่อหน่าย…นึกในใจเพียงว่า คนพวกนี้บ้าคลั่งได้ที่เลยทีเดียว โธ่เอ๊ย… ‘การเดินทางย้อนเวลา’ ไอ้พวกบ้า…เขาตะโกนแล้วตะโกนเล่ากับตนเอง หงุดหงิดจนแทบจะสบถออกมาก็หลายครั้ง
หากก็จำเป็นต้องพึ่งพาความบ้าของคนคณะนี้ เนื่องด้วยพวกเขามีเครื่องมือพิเศษติดมา คงบรรจุอยู่ในกระเป๋าเดินทางของหนึ่งในสามที่เขาคะเนเอาเองว่าน่าจะอยู่ในกระเป๋าเดินทางของดร.อลัน มัวร์ ผู้แนะนำตัวว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านฟิสิกส์และเคมี เป็นแอฟริกัน-อเมริกัน รูปร่างค่อนข้างอวบท้วม ผิวคล้ำ ผมหยิก อารมณ์ดีวัย 50 ปี นับเป็นผู้อาวุโสที่สุดของคณะ
หลังจากทนอึดอัดต่อไปอีกมิได้ นายโกสนจึงโพล่งถาม
“แล้วนี่คุณจะเอาเครื่องมืออะไรทดลองย้อนเวลาล่ะฮะ ผมเข้าใจว่า มันน่าจะมีเครื่องมือทดลองจริงไหม…อย่างน้อยก็…” เขาพยายามนึกถึงเครื่องปั่นไฟ
ฉันงี้…มองจาก ‘หลังม่าน’ ไปที่นักแสดงเป็นโกสนแล้วยังต้องคิกคักเบาๆกับตัวเองเหมือนกัน
“แบตเตอรี่หรือไดนาโมสักเครื่องสองเครื่อง”
อีกสามคนที่อยู่ ‘หน้าม่าน’ ร่วมกับเขาต่างก็แย้มริมฝีปากออกหัวเราะขบขันพร้อมกัน
“โธ่เอ๋ย…คุณโกสนคิดว่าการเดินทางย้อนเวลามันง่ายขนาดนั้นเลยหรือคะ…”
แต่พันตรีแพทริคตัดบท
“พรุ่งนี้เก้าโมง ผมกับคุณสองคนนี่คงต้องขอตัวนะครับ ขอตัวไปกับคนของเรา…เขาจะมารับถึงประตูบ้านเลยทีเดียว”
‘คนของเรา’ โกสนฟังแล้วนิ่งขึงไป
ฉันอยากจะก้ากก้ากออกมา หากแต่กลั้นไว้ได้
นักวิทยาศาสตร์จากอเมริกาขนคนของเขามานับร้อยตั้งแต่เดือนก่อน แต่นายโกสนไม่รู้
ดังเช่นท้องฟ้ายามเย็นวันนี้ ที่นภาดูผุดผ่องแจ่มใส แต่ใครเลยจะคิดไปถึงว่า…
มีความเคลื่อนไหวที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าซ่อนอยู่
เป็นความเคลื่อนไหวของอากาศและคลื่นกระแทกที่เกิดจากอากาศเคลื่อนที่จากความเร็วระดับต่ำกว่าเสียง ไปสู่ความเร็วเหนือเสียง กลุ่มเมฆขาวที่กำลังจะก่อตัวเป็นพายุเฮอริเคนในอีกไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วันข้างหน้า ย่อมเหนือความสามารถของสายตามนุษย์จะเจาะลึกแล้วทายทักล่วงหน้าได้ถ้าไม่อาศัยนักวิทยาศาสตร์และเครื่องมือของเขา
ต่อจากนั้น ทั้งสามจึงลงมือจัดเสื้อผ้าของกินของใช้กับอุปกรณ์ที่ต้องอาศัยประจำวันบรรจุลงในเป้สะพายหลังขนาดใหญ่ มีเสื้อผ้าสามสี่ชุดทั้งหนาและบาง ไฟฉาย ไฟนำทางสวมหน้าผาก แผนที่ เข็มทิศ แว่นขยาย กล้องส่องทางไกล ยาขนานต่างๆทั้งกินและทา ผ้าห่มขนสัตว์ผืนเล็กเนื้อเบา ผ้าพลาสติคเนื้อนิ่ม มีดพับ เกลือและลูกกวาดอย่างละหนึ่งถุงย่อมๆ
โดยพลันที่โผล่ออกจากห้อง นายโกสนก็ต้องหัวเราะออกมาเพราะความขำ
“เหมือนพวกคุณกำลังจะเดินทางไกลนะฮะ”
“ก็เดินทางไกลน่ะซีคะ” สำปันนีทั้งสนุกทั้งไม่มั่นใจ หากก็บอกนายโกสน
“ฉันกำลังภาวนาทุกขณะจิตเลยละนะว่า ขอให้พบทองที่คุณโกสนอยากได้”
“แล้วคุณจะให้ผมหรือฮะ”
“ทองบนแผ่นดินไทยก็ต้องเป็นของแผ่นดินวันยังค่ำแหละค่ะ แม่ฉันเคยเล่าว่า ใครก็ตามเอาทรัพย์แผ่นดินไปเป็นของตัว…มักจะมีอันเป็นไปในบั้นปลายท้ายสุดทุกคน” สำปันนีไม่ถึงกับกระแนะกระแหนนักธุรกิจ แต่ก็ติงเตือนให้เขาคิดไว้บ้างว่า การค้นหาทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินโดยไม่มีเป้าหมายว่า ถ้าค้นพบแล้วจะนำไปทำประโยชน์สาธารณะนอกจากประโยชน์ตนหรือไม่…ย่อมเสี่ยงกับเภทภัยหลายประการ
นายโกสนจึงแก้เก้อ
“โธ่เอ๊ย…ผมก็เพียงแต่ตื่นเต้นตามส.ว.คนนั้นเท่านั้นเองครับ เหมือนช่วยต่อความฝันของเขาให้ยาวออกไป ไม่ได้หวังอะไรมาก”
“ถ้ายังงั้นก็ขอสวัสดีกันตรงนี้นะครับ” พันตรีแพทริคตัดบท
ครั้นแล้วทั้งสามก็ขึ้นรถตู้จากซอยบ้านนายโกสนมุ่งสู่ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ ไต่ภูเขาขึ้นไปจนถึงถ้ำหินปูนอันซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้าผาท่ามกลางพุ่มพงดงพนา ไกลจากเขื่อนศรีนครินทร์ 4 กิโลเมตรเศษ
ภายในถ้ำที่อยู่ล้ำและลึกเข้าไปภายใต้หน้าผาที่มีดงไม้ปรกแผ่อย่างหนาทึบ ณ บัดนี้ ที่สายตาสำปันนีแลเห็น กลายเป็นห้องสี่เหลี่ยมคล้ายตู้คอนเทนเนอร์วางต่อกันด้วยขบวนอุปกรณ์ที่ขนมาตั้ง ดุจดังห้องปฏิบัติการในสหรัฐอเมริกาไม่ผิดเพี้ยน มีแผงควบคุมการใช้พลังงานจากไฟฟ้าแรงสูง พลังจักรวาลและพลังจากดวงดาวพร้อมเพรียงจนต้องออกอุทาน
ผู้กำกับเองยังต้องยืนตะลึงมอง ‘หน้าม่าน’ ที่บัดนี้ เปลี่ยนฉากกันแว้บว้าบ เพียงไม่กี่อึดใจ ฉากบ้านนายโกสนก็หายวับเหลือเพียงฉากถ้ำเมืองกาญจน์
อะไรจะมหัศจรรย์ขนาดนี้
นี่คือเรื่องที่ฉันเขียนแน่ละหรือ
“โอ…มายก้อด นี่มันห้องทดลองที่อเมริกานี่นา”
ฉันส่งสัญญาณให้ทุกคนออกอุทาน
“คืนนี้ ราวๆสี่นาฬิกา เราก็จะได้รู้กันละว่าการคำนวณของฉันเดินทางถึงไหน” ดร.วิลเลียมโอบบ่าสำปันนีเข้าไปกอดไว้ “หรือเพียงแต่วนเวียนอยู่แค่สุสานทหารสัมพันธมิตรเท่านั้น…คุณสามคนเป็นความหวังของฉันจริงๆ”
เวลาสำคัญอันยิ่งยวดใกล้เข้ามา
ลานด้านหน้าถ้ำคือลานกว้างราว 100 ตารางเมตร แลเห็นเป็นเงาแผ่ออกไป แท่นสูงคล้ายยกพื้นเวที ทำด้วยแพลทินัมขนาด 10 ตารางเมตร สูง 2 ฟุต มีครอบแก้วกว้างและสูงพอบรรจุมนุษย์สามชีวิต สะท้อนความวาวผ่านมาเข้านัยน์ตา
ก่อนตีสี่เล็กน้อย หล่อนและเพื่อนร่วมกาลเวลาจะต้องเข้าไปอยู่ในครอบแก้ว รอรับแสงเย็นที่พุ่งตรงมาด้วยการคำนวณถี่ยิบของดร.วิลเลียมว่า เวลาที่ไฟแรงสูง พลังจักรวาลและพลังดวงดาวทำมุมพร้อมกันจะอยู่ ณ 03.55 น. ในประเทศไทย
เป็นเวลาแห่งการละลายโมเลกุลให้สลายกลายเป็นพลังงาน แล้วส่งกลับไปสู่ประตูแห่งกาลเวลา
เชื่อเถอะว่า…อัศจรรย์ลั่นเปรี้ยงขนาดนี้ คนค้นคิดไม่ใช่ฉัน
จนกระทั่งตีสามครึ่ง เป็นยามที่ทุกสิ่งเงียบกริบ เงียบสงัด ป่าทั้งป่าคล้ายอยู่ในดินแดนลี้ลับมืดมิด มีแต่เสียงสัตว์ใหญ่บางตัวร้องคำราม
“เอ้า…ทุกคนออกไปยืนในครอบแก้วหน้าถ้ำได้แล้ว กำลังจะถึงเวลาแล้ว…พร้อมหรือยัง”
“พร้อมแล้ว”
ดร.วิลเลียมโอบกอดพร้อมกับจุมพิตหญิงสาว ครั้นแล้วจึงหันมากอดและสัมผัสมือกับพันตรีแพทริคและดร.อลัน
“ขอให้เดินทางไปกลับโดยปลอดภัย ผมจะรอคุณอยู่นี่ เมืองกาญจน์นี่”
ดร.วิลสันผู้ช่วยดร.วิลเลียมเป็นผู้พาทั้งสามไปยังแท่นสูง ก้าวขึ้นสู่ครอบแก้วที่มีบานปิดเปิดได้
ดร.วิลเลียมนับจากสิบลงมาถึงหนึ่ง
สำปันนีจับมือดร.อลัน มือของหล่อนเย็นเฉียบด้วยเหงื่อ ทั้งจากอากาศอบอ้าวและจากความตื่นเต้นในเรือนกาย
ครั้นได้เวลา 03.55 น. ดร.วิลเลียมก็กดสวิทช์
ทันใดนั้น ลำแสงจากดวงไฟนับร้อยดวงที่ติดอยู่โดยรอบลาน ก็สว่างพรึ่บด้วยแสงเย็น เป็นลำแสงพิเศษพุ่งตรงมาสู่เรือนร่างของทั้งสามภายในครอบแก้ว ครั้นแล้วจึงละลายโมเลกุลเป็นพลังงาน ส่งกลับไปสู่ประตูแห่งกาลเวลาภายใน 10 วินาที
แต่อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นจนได้
นั่นก็เนื่องด้วยค้างคาวตัวหนึ่งบินลอดโพรงถ้ำเข้ามาด้วยอาการตื่นตระหนก โผเข้าชนอุปกรณ์ทดลองที่กำลังเดินเครื่องปังใหญ่ ทำให้ถูกรังสีย้อนเวลาดูดเอาพลทหาร 4 นายที่กำลังเถลไถลจากชุดปฏิบัติการพิเศษซึ่งพักแรมอยู่ด้วยกัน ณ หมู่บ้านอันมีลำธารไหลแรง ไปสู่บริเวณที่แสนเย็นซึ่งเป็นเวลาที่พลังงานละลายโมเลกุลกำลังทำงาน
พวกเขาจึงพลอยถูกรังสีย้อนเวลาดูดเข้าไป
คิดดูเอาเองก็ได้นะ ท่านผู้ชม…ว่า…ในชีวิตจริงจะเป็นไปได้หรือไม่
แต่สนุกมากกก น่ะ…แน่นอน
ปรากฏภาพตรงหน้า คือ ชายป่าแห่งหนึ่ง
ทั้งสองคณะ คือคณะของนักวิทยาศาสตร์ 3 คน หญิง 1 ชาย 2 กับคณะพลทหารอีก 4 ต่างก็เรียกหากันเสียงหลง
“พันนี่…พันนี่ เธออยู่ไหนนั่นน่ะ”
“อลัน…ฉันอยู่นี่ เธออยู่ไหน”
“นั่นใครล่ะฮะ” แควถาม เขากับเพื่อนอีกสามคนคิดอยากจะลองดีกับหัวหน้าปฏิบัติการผู้เข้มงวดสักนิดหนึ่ง จึงหลบออกจากเต๊นท์ตอนตีสาม ขณะทุกคนหลับสนิท ตั้งใจว่าจะกลับให้ทันตีห้า หลังจากอาบน้ำที่ลำธาร ซึ่งผ่านพบก่อนพระอาทิตย์ลับฟ้าเมื่อหลายชั่วโมงที่ผ่านไป
แต่ตีสี่นั้นเอง เขาก็เกิดอาการวิงเวียนหน้ามืดตาลาย สติสมประดีวูบหาย คล้ายจู่ๆก็ถูกพายุใหญ่พัดมา พาตัวเขาหมุนคว้าง ล่องลอยผ่านจักรวาลอันมืดมิดกว้างใหญ่
“นี่มันที่ไหนวะ ทุ่งไหหินหรือไง” พลทหารวิวเดินโผเผมาถึง
แควกับวิวก็เลยโผเข้ากอดกันเหมือนเกิดใหม่
เมื่อมาถึงที่ที่สำปันนีนั่งห่มผ้างอก่องอขิง จึงแนะนำตนเอง
ฉันละก็…อดขำกิ๊กออกมาไม่ได้
เรื่องแปลกประหลาดแบบนี้ก็มีด้วย…ในนวนิยายของฉัน…จะไม่ให้สนุกได้อย่างไร
“ผมเป็นพลทหารหน่วยฝึกปฏิบัติการพิเศษจากกรุงเทพฯ มาฝึกที่ค่ายไทรโยค แล้วไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น”
เลยชวนกันเดินมะงุมมะงาหราต่อไปจนเจอดร.อลันเข้าไปติดอยู่ในกอไผ่ใหญ่ ดิ้นเท่าไรก็ไม่หลุดเนื่องจากเป้สะพายหลังค้ำไว้
แควและวิวจึงช่วยกันดันลำไผ่ ดึงร่างดร.อลันออกมา
พันตรีแพทริคยังคงหลับสนิทราวสิ้นสมประดี
อากาศหนาวจัด หนาวจนทุกคนต้องถามกันว่า ‘นี่มันเดือนมกราคมแน่หรือ’ ขณะที่ดาวประกายพรึกยังคงส่องแสงสุกปลั่งเหนือขึ้นไป
สักครู่ พันตรีแพทริคจึงตื่นพร้อมถาม
“อยากรู้ว่าเรากระเด็นออกจากครอบแก้วมาถึงนี่ระยะทางกี่ไมล์”
ทั้งนักวิทยาศาสตร์และทหารเกณฑ์ก็เลยลองหาทางเดินใหม่ ในที่สุดก็พบทางเดินเล็กๆผ่านดงถั่วลิสงไปยังภูเขาข้างหน้า
แต่ยังไม่ทันถึงภูเขา ก็กลับมีทางที่ใหญ่กว่าหักมุมขวางอยู่ เมื่อลองย่ำดู จึงรู้สึกถึงรอยล้อที่กดลึกลงไปเป็นหลุมบ่อ พาไปสู่ขวามือ
“ใครหิวมั่งไหมคะ” สำปันนีถามเพราะเพิ่งคิดขึ้นได้ว่า เย็นวันที่จะมากับรังสีย้อนเวลา หล่อนกินแซนด์วิชสองคู่ที่ฝ่ายบริการบรรจุกล่องนำมาให้ ดื่มน้ำเพียงไม่กี่อึกจึงกินมันทอดอีกสี่ห้าชิ้น
“หิวครับหิว” แควตอบทันควัน
“ถ้างั้น ฉันมีขนมปังให้คนละแผ่น” หล่อนบอกอย่างมั่นใจ
แต่เมื่อหยุดพักข้างทางดินที่ทั้งแห้งและเย็น วิวพยายามจะฉายไฟให้ทุกคนนำของกินออกจากเป้ แต่ไฟก็ไม่ติด
ตึกจึงล้วงหยิบไม้ขีดไฟ ควักเทียนแท่งออกมาให้ทุกคนเปิดเป้หยิบของกิน
แต่สิ่งที่ตามมือมาคือถุงพลาสติคกรอบๆที่มีเพียงน้ำเละๆแฉะชื้น น้ำดื่มในขวดก็แห้งขอด ลูกกวาด เนย ตับบด หมูทอดในกระป๋องเล็กๆ บัดนี้มีรอยบุบบี้ทั่วไป เมื่อใช้เครื่องหมุนจนฝาเปิดออก ก็ได้กลิ่นบูดเน่าโชยมา
ขณะที่ไก่ขันดังกังวาน รถคันหนึ่งก็แล่นโครมครามกึงกังมาถึง
ไฟหน้าหม้อสาดจ้า ส่องให้เห็นคนทั้งเจ็ดที่นั่งกองอยู่ข้างทาง
ชายร่างเตี้ยผิวขาว ผมตัดเกรียนก้าวลงมา ส่งภาษาญี่ปุ่นดังลั่น
ฉันกำกับไปก็สนุกไป
เรื่องราวทวีความสนุกและแปลกประหลาดอย่างไม่เคยพานพบมาก่อน
‘ตัวละครของฉัน’ ทุกตัวไม่มีสีหน้าว่ายากแม้สักน้อย ทุกคนคล้อยตามเนื้อเรื่องสืบไปอย่างตั้งใจเล่นให้ดีถึงที่สุด
“นี่ที่ไหน” พลทหารแควถามเป็นภาษาอังกฤษ
“วังลาน” ทหารญี่ปุ่นตอบ
พลทหารเดชจึงเดินไปชะโงกดูที่กระบะรถ แลเห็นกระสอบเก่าๆหลายกระสอบวางอยู่เต็ม สอบถามก็ได้ความว่าคือ ถั่วลิสง
ต่อจากนั้น เขาก็ใจดี รับคนทั้งเจ็ดขึ้นรถ ทหารเกณฑ์จึงมีโอกาสสอบถามภาษาอังกฤษที่ฝ่ายญี่ปุ่นพูดได้เข้าใจได้งูๆปลาๆถึงวันเวลาชั่วโมงนี้
ก็ปรากฏว่า อีกฝ่ายตอบ
“ทเวลฟ์ แจน ยู เอรี่ 1943”
“1943” แควร้องดังลั่น คือ พ.ศ.2486 ใช่ไหม”
ฉากต่อไปและต่อไปจึงอยู่ใน พ.ศ.นั้น มีตลาดวังลานมาอยู่ ‘หลังม่าน’ อย่างสมจริง
กล้วย 2 หวี ไข่เป็ด 10 ฟอง กล้วยไข่หวีละ 15 สตางค์ รวมแล้ว 1 บาท
ใครจะไม่ตกใจแทบเป็นแทบตาย
สำปันนีจึงหยิบกระเป๋าแพรใบเล็กขึ้นมาอย่างลังเล เนื่องจากในกระเป๋ามีแต่เหรียญสิบบาทห้าบาทและหนึ่งบาทของไทย สมัย พ.ศ.2548 มิใช่สมัย 2486 แม้ว่าซอกที่ลึกเข้าไปจะมีเหรียญอเมริกันเหรียญละยี่สิบห้าและสิบเซนต์อีกห้าหกอันก็ตาม
“ถ้าฉันมีเงินบาทคนละสมัยมาซื้อ จะรับไหมจ๊ะ” ว่าพลางหล่อนก็ส่งเหรียญห้าอันหนึ่งให้แม่ค้า
นางรับไปส่องดูในแสงตะเกียง ขณะที่ทหารญี่ปุ่นคนนั้นชื่ออาวริ ก้าวเข้ามาแบมือ ขอดูบ้าง
ดูแล้วจึงส่ายหน้า
“นี่ใคร” เขาถามเป็นภาษาไทย
“ในหลวง…รัชกาลที่ 9” สำปันนีตอบทันควัน
ชายทั้งเจ็ดยืนมุงดู แม่ค้าจึงหยิบสตางค์สีขาวทำด้วยดีบุกอันเล็กๆวางลงบนกลางฝ่ามือ แล้วแบออก
“อันนี้ไม่มีในหลวง” นางยืนยันหนักแน่น
“ถ้าเงินของเราใช้ไม่ได้ ขอเอาของแลกแล้วกัน” สำปันนีจึงตัดบทพลางเทเหรียญทุกเหรียญใส่ลงในช่องด้านหน้าเป้ แล้วส่งกระเป๋าแพรสีชมพูช็อกกิ้งพิงค์ ปักลูกปัดขาวให้แม่ค้า เป็นกระเป๋าใส่เศษสตางค์ทำจากเมืองจีน ส่งขายในสหรัฐฯ
“เอาจ้ะเอา จะเอาไปให้ลูกสาวสวยดี”
พลทหารอาวริจึงบอกเป็นภาษาญี่ปุ่นปนเกาหลีว่า เขาจะต้องเอาถั่วลิสงไปส่งที่ค่ายทหารวังโพ ไกลจากวังลานไปทางเหนือราว 6 กิโลเมตร
สำปันนีก็เลยถามเขา
“รู้จักเชลยศึกชื่อร้อยโท โทนี่ ไรเดอร์ มั่งไหม เขาเป็นปู่ของฉัน เป็นเชลยศึกสัมพันธมิตร ถูกส่งจากมลายูมาเมืองไทย แต่จะถึงวันไหนปีไหนฉันไม่รู้ ถึงหรือยังก็ไม่รู้อีก”
แต่อาวริสั่นหน้า พลางพารถจากไป สักพักก็กลับมาพร้อมทหารญี่ปุ่น หน้าตาอัปลักษณ์ แต่พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง นามว่า อะคาชิ
ขณะที่แสงเงินแสงทองส่องจับฟากฟ้าในเช้าตรู่วันที่ 12 มกราคม 2486
บัดนี้ ฉากเก่าแห่งยุคสมัย พ.ศ.2548 จึงต้องเปลี่ยนไปในบัดดล ท่ามกลางโรงมุงแฝกเปิดโล่งที่บัดนี้เริ่มมีแม่ค้าพ่อค้านำสินค้ามาวางบนแคร่อีกสามราย ขณะที่อาวริและอะคาชิขึ้นรถกระบะกลับไปแล้ว หลังจากซักถามสำปันนีถึงเรื่องราวของคณะทั้งเจ็ดที่ใคร่จะได้งานทำ พร้อมกับขออนุญาตพักค้างชั่วคราวอยู่ ณ ตลาดแห่งนั้น เพื่อจะได้ค่าจ้างมาปะทังชีวิต
แต่ทหารญี่ปุ่นก็ยังอุตส่าห์ทิ้งคำถามอันยังความขุ่นมัวไว้ให้
‘ถ้าจ้าง จะตรงต่อเวลาไหม’ นั่นคือคำของอะคาชิ ‘อยากบอกด้วยนะว่า…คนไทยนิสัยแย่ ไม่ตรงต่อเวลา ขี้เกียจ ขาดระเบียบวินัยอย่างมาก ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง’
ต่อยหอยขนาดนี้ ผู้ฟังจะไม่นึกเดือดนิดๆได้อย่างไร
‘เราสัญญา จะไม่เป็นอย่างที่ท่านว่า’ แควก็เลยสวนออกไปแบบเลือดขึ้นหน้าจนแทบจะถึงแก่ฉุนเฉียว
แต่อะคาชิก็ต้องไปถามหัวหน้าของเขาก่อนว่าจ้าง
ทุกคนก็เลยดึงผ้าพลาสติคออกมาปูต่อกัน นั่งมองชาวบ้านที่เดินออกมาจากหัวถนนที่มีแต่ฝุ่น พลางแควก็หันไปคุยกับแม่ค้าผลไม้
นางก็เลยฟ้องเขา
“กลัวจ้ะ” พูดพลางเหลียวแลไปรอบๆแล้วจึงบอกเบาๆ “ฉันกลัวพวกมันมาก มันตบหน้าจ้ะ…ไม่ชอบใจขึ้นมาก็ตบหน้า ต่อย เตะ ถีบ”
พลทหารแควนึกออกทีเดียวถึงความดุร้ายป่าเถื่อนของทหารญี่ปุ่นที่ทำต่อเชลยพันธมิตร…เนื่องด้วยเคยอ่านประวัติศาสตร์การศึกช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มาแล้ว รู้ดีว่าคนไทย…โดยเฉพาะคนเมืองกาญจน์ต้องผจญกับกองทัพญี่ปุ่นที่ขนเชลยศึกมาในรถไฟ…จากสิงคโปร์เข้าสู่เขตไทยจนถึงบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ภายในเวลา 5 วัน แล้วส่งต่อเพื่อทำงานสร้างทางรถไฟสายไทย-พม่า ด้วยความทรมานทรกรรมเพียงไร
“เราจะไปรับจ้างทำงานกันห้าคน อีกสองคนเฝ้าของ” แควบอกกล่าว หลังจากถามพ่อค้าแม่ค้าที่เพิ่งมาถึงเกี่ยวกับกองทัพญี่ปุ่นและสิ่งแวดล้อมที่นี่ “เพราะมีแก็งโจรอยู่หลายกลุ่มเชียวฮะ…ก็ไอ้พวกเชลยศึกอดอยากนั่นแหละ มันขโมยของเชลยด้วยกันออกมาขาย แล้วคนไทยข้างนอกก็รับซื้อไว้ พวกแหวน นาฬิกา สร้อยคอ…ยา…ทุกคนต้องเก็บให้ดี อย่าให้พวกมันรู้เป็นอันขาด”
แควขยับสายสร้อยสเตนเลสแขวนพระเครื่องรุ่นใหม่ที่ห้อยคอไว้ พลางแตะข้อมือที่มีนาฬิกาดิจิตัลราคาเยา แต่บัดนี้เครื่องเคราหยุดสนิท ขณะเพ่งพิศดวงหน้าสตรีสาวที่มีหมวกขนสัตว์สวมปิด ปล่อยปลายผมยาวเลื้อยบ่า ขับขึ้นผิวขาวอมชมพู
“ฉันไม่มีของมีค่าอยู่แล้วละค่ะ” หล่อนบอกยิ้มๆเมื่อเหยียดมือออกมา ทุกนิ้วว่างเปล่า ไม่มี ‘แหวนแต่งงาน’ ปรากฏในนิ้วนางซ้าย “นาฬิกาก็ถูกๆ…แต่ก็ใช้ไม่ได้แล้ว”
อาวริกลับมาตอนสิบโมง ถือถุงถั่วลิสงมาด้วย พลางพยักหน้าให้ทุกคนตามไปขึ้นรถคันเก่า แล่นไปจนถึงริมตลิ่ง แล้วพาลงเรือข้ามฟากไปยังกระท่อมของคนจีนเจ้าของไร่
“พาไปรับจ้างเอาถั่วลิสงลงกระสอบส่งขาย”
เจ้าของไร่ชื่อโกกุ่ย เมียชื่อละมัยเชื้อสายมอญ ลูกชายชื่อกิมหยู ลูกสาวชื่อกิมฮวย นางละมัยฝีมือทำกับข้าวเป็นเลิศ คณะที่มาจากอนาคตก็เลยกินซะเรียบทุกมื้อ
หลังจากนั้น กิมฮวยจึงพาห้าคนลงเรือสำปั้น นั่งได้ไม่เกินแปดคนพายล่องไปดู ‘สะพานแม่กลอง’ ที่มีเชลยศึกจำนวนมากไต่ยั้วเยี้ยอยู่บนฐานไม้ที่มีเสาเข็มใหญ่ตอกลึกลงไปถึงก้นแม่น้ำ…เพื่อให้ทุกคนได้เห็นสะพานใหญ่ สร้างด้วยไม้ล้วนๆผุดขึ้นมาด้วยแรงงานเชลยศึก
ผู้กำกับจึงจำเป็นจำใจต้องสร้างฉากให้ผู้ชมแลเห็นภาพอีกมากจากความน่าสลดใจของคำว่า ‘สงคราม’ อันสุดแสนทรมานร้ายกาจทุกรูปแบบ
ที่ฉันเองก็แทบเอาตัวไม่รอดระหว่างสร้างทุกตัวอักษรขึ้นมาอย่างปลุกเร้าให้ติดตามจนกระทั่งกลายเป็นภาพที่ในฐานะผู้กำกับ ฉันก็จำต้องมายืนแอบอยู่ ‘หลังม่าน’ ทำอาณัติสัญญาณให้ตัวละคร
แต่ทั้งพระเอกนางเอกก็แสนเก่งแสนเข้าใจ
จะไม่เข้าใจอย่างไรได้ในเมื่อพลทหารแควผู้เป็นพระเอก เรียนจบปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ แต่ไม่เคยเรียนร.ด. ครั้นได้ปริญญาโทด้านวิศวอากาศมาอีกหนึ่ง จึงมาสมัครรับราชการทหาร เนื่องด้วยใคร่มีประสบการณ์ที่ชายไทยทุกนายพึงได้รับ จึงแม้จะเคยทำงานกับบริษัทฝรั่ง เงินเดือนงาม ก็ยังยอมสละเงินจำนวนนั้นมาเป็นพลทหารเกณฑ์ ประจำกองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
ครั้นถูกดูดมารวมหมู่อยู่กับนักวิทยาศาสตร์ ตามหาปู่ของหญิงสาวชื่อ ร้อยโทโทนี่ ไรเดอร์ที่ถูกกวาดต้อนมาจากมลายู จึงมาอย่างเต็มใจ
แล้วก็เจอจริงๆ
ฉันงี้…หัวร่อกลิ้งเลยตอนนั้น…เขียนไปหัวเราะไป…
อะไรจะขนาดนี้
แต่ยอมรับว่าสนุกสุดสุด…อย่างไม่เคยเขียนเรื่องไหนที่ตัวเองเขียนไปขำไปแปลกใจไปตื่นเต้นไปพร้อมกับหดหู่ในหัวใจจนบอกไม่ถูกถึงเพียงนี้มาก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกมาก ราวกับได้น้ำวิเศษมารินเติม
นั่นก็คือ ได้รู้ว่า ในค่ายเชลยศึก ‘สภาพ’ คืออย่างไร ทั้งเน่าและเหม็นประมาณไหน เสื้อกางเกงใส่ซ้ำไม่เคยซัก…บนแคร่นอนมีทั้งเรือดและหมัด ส้วมหลุมอยู่ไม่ไกลจากเรือนนอน ยุ่บยั่บด้วยหนอนและแมลงวันบนกลิ่นน้ำครำจากหลุมหล่มโคลนเลนที่ยังแห้งไม่สนิทหลังฝนตกตอนต้นเดือน
เมื่อสำปันนีเข้าไปขออนุญาตพันโทผู้บัญชาการให้ช่วย ครู่ต่อมา จึงมีโอกาสเดินตามอะคาชิเข้าไปถึงโรงพยาบาลซึ่งก็คือโรงมุงแฝกโล่งๆสองหลัง มีทางเดินตรงกลาง สองข้างเป็นแคร่ไม้ไผ่ยาวที่มีคนไข้ผอมโซ นอนเรียงกันอยู่เป็นตับท่ามกลางกลิ่นคาว กลิ่นหืนอันคละคลุ้ง
อะคาชิจึงส่งเสียงเรียกชื่อร้อยโทโทนี่ ไรเดอร์
ใครคนหนึ่งที่นอนอยู่ลึกเข้าไปจึงชูมือขึ้น
ฉันก็ได้แต่อมยิ้มกับตนเองอย่างนึกไม่ถึงว่าจะรู้สึกครึกครื้นเพียงนี้
ครั้นแล้ว ฉันก็เลยให้สำปันนีหลานของเขาบอกเขาว่า
“ปู่คะ หนูจะพาปู่หนีไปจากค่ายนี่นะคะ หนูไม่อาจทนเห็นปู่ตกเป็นเชลยญี่ปุ่นได้อีกแล้วค่ะ เพราะต่อไปนี้เขาจะต้องเกณฑ์คนไปสร้างทางรถไฟเหนือขึ้นไปในป่าดงดิบอีกนับร้อยไมล์ ทุกวันนี้ เขาให้ปู่กินอาหารยังไงมั่งคะ”
“แย่” ร้อยโทโทนี่ ในยุคกาลที่ย้อนหลังไป 62 ปี ยังมีอายุแค่ 35 ตอบด้วยเสียงอันแหบแห้ง “ข้าวเหม็นอับ มีกรวดเม็ดเล็ก บางทีมีทราย อาหารพิเศษพอมี แต่ก็ต้องจ่าย 15 สตางค์”
‘ตัวละครของฉัน’ พูดพลาง บังคับสีหน้าให้เคร่งเครียด คงกลัวว่าริมฝีปากจะเหยียดออกเป็นยิ้มขำ
เครื่องหลังของโทนี่วางอยู่บนดินใต้แคร่ สำปันนีสอดมือเข้าไปขยับก็รู้สึกว่าหนักพอใช้ จึงก้มลงบอกแผ่วเบา
“ปู่ต้องเอาของไม่จำเป็นออกไปบ้างค่ะ เครื่องหลังจะได้ไม่หนักมาก…แต่อย่าบอกเรื่องนี้กับใครเป็นอันขาด จนกว่าปู่จะหายดี พรุ่งนี้หนูจะมาอีก”
ฝ่ายกิมหยูผู้นำมะเขือเทศมาขาย จึงรับเงินแล้วพาทุกคนกลับออกมา
เมื่อถึงบ้าน ก็มีอาหารที่นางละมัยและกิมฮวยช่วยกันปรุงให้กิน ทั้งอิ่มและอร่อยไปตามกัน
สำปันนีไปเยี่ยมปู่ทุกวัน จนเขาอาการดี มีกำลังใจ รอหลานมารับ
ต่อๆมา โกกุ่ยและครอบครัวก็กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคณะนักวิทยาศาสตร์และทหารไทยโดยไม่คิดเป็นอื่น
สำปันนีขายกระเป๋าใส่เครื่องสำอางให้เชลยศึกตลอดสามวันได้เงิน 15 บาท
ในพ.ศ.2486 เงิน 15 บาท คงเท่ากับ 1,500 บาทละกระมัง ฉันได้ยินหล่อนบอกกิมหยู ข้างนั้นก็ได้แต่เบิกตากว้าง ทักว่า
“ทำไมคุณมีกระเป๋าหลายใบจังครับ”
หล่อนก็เลยอธิบายว่า กระเป๋าสวยๆนี้เป็นกระเป๋าที่มีไว้สำหรับแยกของไม่ให้ปนกัน เนื่องจากผู้หญิงมักมีสิ่งละอันพันละน้อยที่จำเป็นต้องใช้หลายประเภท จึงมีกระเป๋าเล็กๆสำหรับแยกของหลายใบ
แต่สิ่งที่หล่อนจะนำมาขายไม่ได้ก็คือ นาฬิกาที่เสีย ปากกา แว่นตากันแดด หมวกและแหวนทองเค สลักนามสกุลไรเดอร์ที่พ่อซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดกับต่างหูมุกที่แม่ให้ครั้งสำเร็จปริญญาตรี
ฝ่ายแควขายกล้วยและมะละกอได้กำไร 3 บาท รวมกับที่ได้กำไรวันก่อน 5 บาท เป็น 8 บาท เดช ตึก และวิวก็เช่นกัน ซื้อผลไม้ที่ได้ลดพิเศษไปขายต่อ ได้กำไรพอใช้
ต่างก็นำเงินมาให้นางละมัยมีทุนสำหรับซื้อกุ้ง ปลา มาทำแกงป่าแกงส้มแกงคั่วกับน้ำพริก
สำปันนีซื้อเสื่อกกผืนใหญ่มาปูต่อกันเป็นที่กางมุ้ง เอนกายหลับสนิท รู้สึกสบายราวกับไม่ได้อยู่ในภาวะสงคราม
ฉันกำกับไปพลางก็นึกถึงชีวิตจริงของสงครามโลกครั้งที่ 2 อันเป็นวันเวลาเดียวกับที่ฉันกำลังกำกับการแสดงอยู่นี้…ที่ฉันเพิ่งมีวัยแค่ 10 ปี อพยพตามบิดามารดาไปต่างจังหวัด หนีระเบิดที่ลงตูมๆในพระนคร
ครั้นได้มาเขียนถึงค่ายทหารตอนเกณฑ์เชลยศึกชาติต่างๆมาสร้างทางรถไฟท่ามกลางความทรมานนานาก็สุดแสนจะเข้าใจและเข้าถึงความขุกเข็ญลำเค็ญสมัยนั้น
แต่ขณะนี้ ผู้กำกับก็กำลังจะพาตัวละครหนีค่าย มีกิมหยูตามมา เพื่อไปสำรวจทางรถไฟสายไทย-พม่า ที่กำลังสร้าง
มีเสียงเครื่องยนต์ดังตามหลังมา เมื่อทุกคนหันไป จึงแลเห็นเรือยนต์ลำหนึ่งลากจูงเรือพ่วงทวนน้ำตามหลังเรือสองลำของลุงพุ้ง ชาวกะเหรี่ยง หัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่บนฟากแม่น้ำตรงข้าม กับของโกกุ่ยด้วย โดยลากจูงเรือพ่วงทวนน้ำมาช้าๆ
“เรือส่งเสบียงของบุญผ่อง” ลุงพุ้งบอกทุกคนอย่างตื่นเต้นพลางราพายพร้อมกับร้องบอกลูกชายผู้พายหัว “เฮ้ย…รอก่อนเว้ย…รอก่อน”
ทั้งลุงพุ้งและโกกุ่ยต่างก็คุ้นเคยกับบุญผ่องเป็นอย่างดี เนื่องด้วยบุญผ่องเป็นผู้ได้สัมปทานส่งอาหารและยารักษาโรคให้ค่ายเชลยศึก
อันคุณบุญผ่องผู้นี้ ในอดีตมียศเป็นพันโทบุญผ่อง สิริเวชชะพันธ์ นายกเทศมนตรีเมืองกาญจนบุรี เป็นคนสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ในบันทึกจากหนังสือทุกเล่มของไทยจะไม่มีการเอ่ยถึงคุณบุญผ่องมากเท่าความซื่อสัตย์สุจริตความมีมนุษยธรรม และคุณสมบัติด้านดีงามอันเพียบพร้อมอยู่ในตัวท่านผู้นี้เอนกอนันต์ แต่จากรายงานในหน้าหนังสือพิมพ์ของต่างชาติเช่นอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ และออสเตรเลียจะเชิดชูยกย่องท่านถึงระดับ ‘วีรบุรุษสงครามโลกชาวไทย’ ผู้เสี่ยงชีวิตช่วยเหลือเชลยศึกต่างชาติทุกๆเรื่อง เพื่อให้เขาเหล่านั้นทุกข์ทรมานน้อยลงจากการถูกญี่ปุ่นเกณฑ์แรงงานมาสร้าง ‘ทางรถไฟสายมรณะไทย-พม่า’ กับเพื่อขนย้ายเสบียง อาวุธ และกำลังพลไปยึดพม่าและอินเดีย โดยญี่ปุ่นต้องมาขอเช่าที่ดินของคุณบุญผ่องบริเวณช่องเขาขาดเพื่อดำเนินการสร้างทางรถไฟ เลยไปถึงติดต่อค้าขายกันสืบมา ช่วยให้คุณบุญผ่องได้ไปมาหาสู่กับฝ่ายญี่ปุ่นบ่อยครั้งจนได้เห็นความทารุณโหดร้ายโดยเหล่าเชลยถูกทรมานอย่างหนัก พวกเขาทั้งขาดอาหาร ไม่มียารักษาโรค มิหนำซ้ำยังต้องทำงานหนักจนเสียชีวิตไปคาตา จนคุณบุญผ่องทนไม่ไหวต้องเข้าช่วยเหลืออย่างเงียบๆแบบ ‘ปิดทองหลังพระ’ จนกลายเป็นขวัญและกำลังใจแก่เชลยศึกถ้วนหน้า
แต่ท้ายที่สุด คุณบุญผ่องก็ไม่สามารถทำสำเร็จเพียงลำพัง จึงเข้าร่วมกับองค์กรลับนามว่า ‘วี’ ซึ่งเป็นองค์กรรวมกลุ่มธุรกิจต่างชาติ เพื่อช่วยเหลือเชลยสงคราม โดยพวกเขาจะร่วมกันซ่อนอาหารและยารักษาโรคเอาไว้ภายในสินค้าของคุณบุญผ่อง ด้วยการใช้ผณี ลูกสาววัย 10 ขวบ ของคุณบุญผ่องเป็นผู้นำเสบียงเหล่านี้ไปส่ง ญี่ปุ่นเห็นว่าเป็นเด็กเลยไม่ทันสงสัย
หากความตายของเชลยสงครามที่เขามิอาจช่วยได้ ก็มากมายเหลือคณานับ จนกระทั่งมีคำกล่าวว่า
‘หนึ่งไม้หมอนมีค่าเท่ากับหนึ่งชีวิตเชลย’
แต่ทันทีที่สหรัฐอเมริกาเป็นฝ่ายชนะด้วยการปล่อยระเบิดปรมาณูใส่เกาะฮิโรชิมา และนางาซากิ
จึงเป็นอันว่า สงครามมหาเอเชียบูรพาก็สิ้นสุดลง
แต่คุณบุญผ่องกลับต้องผจญกับการลอบสังหาร รวมทั้งแบกรับหนี้สินจำนวนมาก เหล่าบรรดาเชลยที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากท่านผู้นี้ จึงต่างก็เรี่ยไรเงินส่งมามอบให้เป็นการตอบแทน
ต่อจากนั้นเป็นต้นมา คุณบุญผ่องก็ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากรัฐบาลออสเตรเลีย อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ ในฐานะ
‘วีรบุรุษสยามแห่งรถไฟสายมรณะ’
หลังสงคราม คุณบุญผ่องจึงเดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อทำธุรกิจ ‘รถเมล์’ โดยฝ่ายสัมพันธมิตรได้ตอบแทนน้ำใจจึงมอบรถที่ยึดได้จากญี่ปุ่นเกือบ 200 คันให้ไปประกอบกิจการในนาม บริษัทบุญผ่อง จำกัด
เรียกกันสั้นๆว่า ‘รถเมล์บุญผ่อง’
ฉันเองก็เป็นหนึ่งในลูกค้าขึ้นรถไปกลับเพื่อเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองในช่วงนั้นพอแลเห็นหน้าหม้อสีน้ำเงินแต่ไกลก็ดีใจแล้ว เพียงแต่รถจอดก็ลุกลี้ลุกลนก้าวขึ้นไป เกรงรถจะออกก่อนซึ่งก็ไม่มีทางเป็นไปได้
เมื่อมาถึงบรรทัดสุดท้ายที่ว่าด้วย ทองคำ 1 โบกี้รถไฟ จึงกลายเป็นเพียงนิทานก่อนนอนสำหรับอ่านให้เด็กฟัง
หลังจากการเดินทางย้อนเวลาเพียงเพื่อเชื่อมความจริงกับความจริงให้ต่อกันสิ้นสุดลง
ดร.วิลเลียมจึงฉุดแขนสำปันนีให้ลุกขึ้นพลางช่วยปลดเป้ออกจากบ่าของหล่อน
ดร.วิลสันพยุงพันตรีแพทริคและดร.อลัน คนอื่นๆก็ช่วยฉุดทหารทั้งสี่ที่เพิ่งลืมตา ขยับตัวให้ลุกขึ้นพร้อมปลดเครื่องหลัง
ครั้นแล้วทุกคนก็ถอนใจยาวอย่างโล่งอกกันถ้วนหน้า
แม้จะทิ้งเหตุการณ์ชวนตื่นเต้นไว้เบื้องหลัง หากก็ไม่มีวันลืมเลือนภูเขาลำเนาไพร โพรงถ้ำ กลุ่มกะเหรี่ยงกู้ชาติ เหล่าเชลยศึกจากนานาประเทศผู้ร่วมกันมาปรากฏกายในสมัย 62 ปี ที่ล่วงไป โดยผ่านทางเดินของวิทยาศาสตร์อันสุดแสนน่าอัศจรรย์
หากจำเป็นจะต้องลืม ก็คงลืมแค่ ‘ทองคำ 1 โบกี้รถไฟ’ ที่นายโกสนหวังจะได้เป็นเจ้าของเพียงเท่านั้น
– จบ –
- READ "หลังลับแล" เบื้องหลังแสงสว่างมีความมืด...เบื้องหลังความมืดมีแสงสว่าง
- READ ประจิมและอรอินทรา จาก "พฤกษาสวาท"
- READ รู้จักกับ 'เทียนธารา' ให้มากขึ้นใน "ควันเทียน"
- READ "รัด" จาก พญาไร้ใบ
- READ ไฟพ่าย..."พิจิกา" ดวงดาวอันเจิดจ้าและหมองมัว
- READ ข้ามสีทันดร “เดือนสิบและเที่ยงวัน”
- READ "วิมานไฟ" ความคั่งแค้นในใจ 'ภุมเรศ'
- READ วิมวิริยา แห่ง "วิหคโสภา"
- READ "อุโมงค์เวลา" สำปันนีและแคว
- READ "รอบรวงข้าว" ก่องและอัญชัน
- READ "จำหลักไว้ในแผ่นดิน" เจ้าหญิงโสคนเทียและสู
- READ "จันทร์ยาตรา" ปั้นหยาและลุ่มน้ำ
- READ "ไฟทะเล" เรื่องของ 'ชับ' และ 'สิชล'
- READ 'มัลลิกา' มารดายืนหนึ่งใน "กิ่งมัลลิกา"
- READ เรื่องราวของ "ศศิน" ใน "เงาจันทร์"
- READ "ทองลงยา" นางเอกของฉันจาก "กระจกขอบทอง"
- READ ข้ามเมฆา และนางเอก ‘บ้านๆ’ นาม "สีทับทิม"
- READ รสรักปักอุรา "มฤคีและอุบากอง"
- READ ป่ากามเทพ : รำพรและสดมภ์
- READ ตะวันตกดิน : วิธูและโสรวาร
- READ 'บนฟ้า' และ 'สมุทรไท' ณ ขอบฟ้าจรดขอบน้ำ
- READ เมื่อ "ขอบน้ำจรดขอบฟ้า" บนฟ้าและสมุทรไท
- READ ข้ามมหาสาคร 'ดูรา' และ 'กันตัง'
- READ 'ระย้า' เด็กสาวแห่งวังอาชาไนย
- READ "รสอมฤต" การสืบสวนที่พา 'ปูนปั้น' และ 'ร้อยรัด' มาพบกัน
- READ ‘ตวง’ ตัวละครวัยเยาว์ใน 'เมรัยสีกุหลาบ'
- READ "รำนำ" ฤทธิ์เดชจาก ‘กระเช้าสีดา’