“วิมานไฟ” ความคั่งแค้นในใจ ‘ภุมเรศ’
โดย : กฤษณา อโศกสิน
“หลังม่าน” คอลัมน์ที่จะบอกเล่าถึงชีวิ
นวนิยายเรื่อง ‘วิมานไฟ’ มีโอกาสออกไปวาดลวดลายเจ็บปวดเจ็บแค้นเผ็ดร้อนในนิตยสารโด่งดังสมัยนั้นนามว่า ‘สตรีสาร’ เมื่อ พ.ศ.2510-2511-55 ปีมาแล้ว ผ่านการพิมพ์รวมเล่ม 4 ครั้ง มีผู้นำไปทำภาพยนตร์ 2 ครั้ง ทำละครโทรทัศน์ 4 ครั้ง ดังสนั่นลั่นเปรี้ยงทุกคราว ด้วยได้ผู้จัด ผู้ทำบทและนักแสดงฝีมือระดับศิลปินเอกมาช่วยเปิดม่านพร้อมหน้ากันทุกครั้งครา
แล้วนี่ก็กำลังจะมาปรากฏโฉมอีกเช่นเคย เพียงแต่เมื่อไรนั้น ผู้จัดละครคงจะออกมาตีฆ้องร้องป่าวด้วยตนเอง
ก็น่าหรอก…น่าจะเป็นเรื่องดัง
ในเมื่อเนื้อหาที่ฝังฝากไว้คือการแก้แค้นล้วนๆที่ฉันบังเอิญไปแอบรู้มา…เพราะนี่คืออัธยาศัยดั้งเดิมของฉันเองที่แก้ไม่หาย คือมักจะต้องเผลอไผลเดินเข้าไปในเหตุการณ์ของใครบางคนที่มีทั้งผู้เต็มใจให้ฉันนำมาเขียนกับบางคนที่เพียรปกปิด แต่ฉันก็แอบย่องเข้าไปประชิดจนสามารถล้วงออกมาจนได้
ไม่เช่นนั้น ฉันจะมีวันได้มายืนหัวเราะขำเจ้าของเรื่องทั้งหมดที่เผลอทำเผลอพูดจนได้ยินมาถึงตาถึงหูฉันได้อย่างไร
ในฐานะผู้กำกับการแสดงที่จะต้องแผลงฤทธิ์กรี๊ดสนั่นทันใดทันทีที่ตัวละครไปไม่เป็น ไปไม่ถึงที่ที่ฉันอยากให้ไป
ก็เพียงแค่นั้นละที่ฉันจะขัดจะเคืองเปลืองน้ำลาย
พอออกจากฉากแล้ว ฉันก็ปล่อยให้เขาทั้งหลายต่อว่า
‘ตั้งแต่เป็นตัวละครมา ยังไม่เคยเจอผู้กำกับคนไหนร้ายขนาดนี้’
ก็ร้ายน่ะซีเล่า…ถึงได้อยู่มาจนฟันเกือบหมดปากรอมร่อ
ทีนี้ก็ต้องหันมาต่อเรื่อง ‘วิมานไฟ’ ให้ดังเหมือนที่เคยดังมาแล้วทุกยุคทุกสมัย
ด้วยว่านามนี้มีความหมายอยู่ในตัวเองครบครัน เพียงแต่เปล่งเสียงเรียก ‘วิมานไฟ’ ก็ล่วงรู้ความเป็นไปของเนื้อหาโดยไม่ต้องอรรถาธิบายใดใด
พระเอกเดินทางจากสงขลามางานศพนายสุวรรณ วรทิพย์ที่กรุงเทพฯ บังเอิญพบชายหนุ่มนามนฤชาบนรถไฟ จึงมีโอกาสได้คุยกันผูกมิตรกัน ภุมเรศ-พระเอกจึงได้รับรู้เรื่องราวคร่าวๆเกี่ยวกับลูกสาว 3 คน ของนายสุวรรณว่า แต่ละคนมีชื่อนามว่า ทาทอง โรยทอง และรินทอง นฤชานั้นเป็นเพื่อนบ้าน ครอบครัวของเขาและของนายสุวรรณจึงสนิทกันมานับสิบๆปี โดยเฉพาะอย่างสนิทกับน้องสุดท้อง-รินทองหรือชื่อเล่นว่า คุณหน่อยมากที่สุด
ภุมเรศจึงย้อนถามอีกครั้งถึงชื่อเล่นชื่อจริงของสามสาว
ก็ได้รู้ว่า คุณนิดคนโตชื่อทาทอง คุณน้อย รองลงมาชื่อโรยทอง คุณหน่อยน้องสุดท้องชื่อรินทอง
“คงเรียนสำเร็จแล้วทุกคนกระมัง” ชายหนุ่มผู้ที่ฉันบรรจุความแค้นไว้ให้จนเต็มอัตราศึก สอบถามสืบไปเพื่อจะเก็บรายละเอียดเหล่านี้ไว้เป็นความรู้ที่จะนำไปสู่การแก้ลำจนสมความปรารถนา
“ครับ…สำเร็จแล้ว…ก็ไม่ได้เรียนสูงอะไรนัก จบแค่โรงเรียนการบัญชีของเอกชนทั้งสามคน เพราะคุณสุวรรณตั้งใจจะให้มาดำเนินกิจการค้าสืบต่อจากท่านได้เท่านั้น” นฤชาบรรยายฆ่าเวลาเดินทาง “คุณนิดน่ะเก่งกว่าเพื่อน เธออ่อนกว่าผมแค่ปีเดียว แต่ทำงานอย่างผู้ชายอกสามศอก ตอนนี้เธอเลยเป็นผู้อำนวยการบริษัทแทนคุณพ่อ ผู้หญิงอายุแค่ยี่สิบแปดไม่น่าเชื่อนะฮะว่าจะมีความสามารถ”
“ทำไมจะไม่น่าเชื่อ” ภุมเรศออกความเห็นแค่นๆแกนๆ แต่ในสมองก็กำลังวางแผนสำคัญ “ผู้หญิงเดี๋ยวนี้เก่งออก ผู้ชายบางคนยังแพ้หลุดลุ่ย…ก็แล้วคนที่ชื่อคุณน้อยล่ะฮะ เป็นยังไงมั่ง ผมจำได้ว่า เคยกระตุกเปียแกเล่นตอนเด็กๆ”
“เดี๋ยวนี้ไม่มีเปีย ผมสั้นทรงสมัยทีเดียว”
“อ้อ…คงสวย”
“ครับ…แกแต่งหน้าเก่ง เปรี้ยว ฉับไว ผิดไปจากคุณนิด”
นี่ฉันก็เลยใช้นฤชาบรรยายแทนซะงั้น จะได้รู้กันรวดเร็วเสร็จสรรพว่า ใครคือใคร ท่าทางเท่ เก๋ หรือเก่าเชยประมาณไหน
“ขานั้นเก่งจริง แต่ไม่ค่อยแต่งตัว แล้วก็ออกจะรอบคอบสุขุมเอางานเอาการ” นฤชาค่อยๆเล่าไปเรื่อยๆ ยังมีเวลาอีกยาวนานกว่าจะถึงกรุงเทพฯ “คุณน้อยชอบเต้นรำ ชอบเที่ยว ชอบสังคมหรูหรา ตอนเรียนหนังสือ แกยังอุตส่าห์เจียดเวลาไปหัดเต้นรำจนเป็น…คิดดู…แต่คุณหน่อยไม่เก่งแล้วก็ค่อนข้างอ่อนต่อโลก เวลาพ่ออยู่ พ่อก็ดูแล พอไม่มีพ่อ พี่ก็ดูแลแกเลยไม่ได้ออกไปทำงาน แต่อยู่บ้าน ดูแลบ้าน พูดถึงฝีมือทำกับข้าว…” ครั้นแล้ว คนเล่าก็ทำเสียงเก้อๆ “นอกจากคุณแม่ผมแล้ว ก็มีคุณหน่อยนี่แหละที่ชนะใจ…”
‘ไอ้หมอนี่ต้องมีอะไรตุกติกกับยายหน่อยแน่ๆ’ ภุมเรศฟังพลางนึกในใจ
พระเอกคนนี้คือยอดฝีมือที่คณะละครเคยคัดเฟ้นมาเล่นเป็นภุมเรศ ครั้นแล้วเมื่อมาถึงมือฉันฉันก็เลยคัดเขามาเข้าฉาก
ทำให้รู้ได้ว่า ไม่มีคำว่า ผิดหวัง เป็นอันขาดในตัวเขา
“สามคนสามแบบ”
“ครับ” นฤชารีบตอบรับทันใด “ถ้าเป็นส้มตำก็สามรส”
ชายสองคนที่มาพบกันบนรถไฟโดยลิขิตของโชคชะตา ก็เลยช่วยให้ผู้กำกับย่อเรื่องที่ควรยาวให้สั้นเข้า โดยออกมาบอกกล่าวเสร็จสรรพถึงรายละเอียดของสาวสวยทั้งสาม
นางสาวทาทอง
เหมาะที่สุดที่จะต้องเป็น ‘รายแรก’ ในแผนของเขา
“ผมไม่ได้ไปกรุงเทพฯซะนาน” ภุมเรศเอ่ยขึ้นเชิงมิให้ตนเองจมจ่อมอยู่กับความคิดจนกลายเป็นหมกมุ่น
เพราะตอนจะเข้าฉาก ฉันยังเตือนเขาเลยว่า
‘พระเอกก็ต้องทำหน้าตาสบายๆด้วยนะ…อย่าให้คนร่วมทางจับได้ว่าเรากำลังวางแผนไปฆ่าแกงใคร…ไม่เอานะ จำไว้ แบบนั้นมันแบบไอ้เสือเอาวา’
พระเอกก็ได้แต่ขำก้ากไม่เลิก
‘โอย…คุณครับ…ผมน่ะเหรอจะยอมเล่นเป็นไอ้เสือ’
‘อย่าลืมละกันว่า แน่นอนอาจจะไม่ใช่นอนแน่’
ผู้กำกับทิ้งท้ายให้อีกฝ่ายตาโพลง
ฉันจะยังไม่เท้าความถึงสาเหตุของความเจ็บแค้นอาฆาตของพ่อและตัวพระเอกโดยละเอียดขณะนี้…เอาเป็นว่า…ค่อยๆดูไปละเลียดไปสนุกกว่า เพราะเรื่องของความแค้นนั้นหากมีมากเกินอัตราของมนุษย์ ย่อมจะทำให้คนคนนั้นหรือคณะนั้นหรือชุดนั้นจะค่อยๆเสื่อมทรุดลงไปเองตามธรรมชาติ พูดง่ายๆก็คือเขานั่นเองฆ่าตัวเอง
แต่ฉันก็คงไม่สามารถโทษแต่ภุมเรศผู้เดียวได้ เพราะพ่อเขานั่นเอง เป็นผู้โหมกระหน่ำนำความพยาบาทก้อนใหญ่มาปลุกเร้าให้เขามิอาจเบิกตามองออกไปไกลดังเช่นสาธุชนคนดีๆทั้งหลายที่แวดล้อมอยู่โดยรอบ เนื่องด้วยได้ตีกรอบความรู้สึกตกต่ำไว้ในเลือดในเนื้อในทุกข้อต่อขององคาพยพของลูกชายจนอีกฝ่ายอัดแน่นไปด้วยความแค้นแสนพลุ่งพล่านมิว่าวันเวลาใด จนกลายเป็นหนุ่มรูปงามน้ำใจอมนุษย์ไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ผู้กำกับก็ต้องขอโทษขอโพยพระเอกของอิฉันเช่นกัน
‘ฉันน่ะรักคุณนะ นับถือฝีมือก็เลยเลือกมาไง ถ้าจะทำให้คุณดูร้ายกาจไปบ้าง ก็อย่าถือสากัน’
มีเสียงฮึดังเบาๆมาจากเขาพร้อมสีหน้ารู้ทันหยันเย้ย พลางย้อนถาม
‘คุณเคยหวังดีกับตัวละครตัวไหนมั่ง ลองบอกมา’
ฉันก็เลยต้องตีหน้าเก้อไปตามระเบียบ
อยากจะบอกเหลือเกินว่า
‘ไม่เปี๊ยบก็ไม่ใช่ฉัน’
ก็น่านน่ะซี้…ใครๆเขาก็รู้ทั้งน้านนน
ในที่สุดก็ถึงปลายทาง ขณะที่นฤชาลงไปก่อนแล้วที่สถานีสามเสน
เขาก็เลยเข้าพักที่โรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่ง สักครู่ก็นั่งแท็กซี่ไปจนถึงบ้านนฤชาตามที่เจ้าตัวบอกกล่าว จึงแลเห็นตึกใหญ่สีฟ้าอ่อน ประตูไม้ทึบๆ เหนือประตูมีแพรดำผืนใหญ่ผูกรวมเป็นโบฟูทิ้งชายสองข้าง แสดงให้รู้ถึงมรณกรรมของผู้เป็นประมุข เขาก็เลยเดินไปกดกริ่งที่บ้านไม้ทาสีเขียวอ่อน กว้างขวางใหญ่โตพอใช้ที่อยู่ติดกัน
ครั้นแล้ว นฤชาก็โผล่ออกมา ชวนเขาไปพบสามสาวเพื่อนบ้าน แล้วอาจจะต้องเลยไปวัด จึงขอสวมเสื้อผ้าที่จะไปงานศพคืนนี้ จะได้ไม่ต้องไปแล้วกลับเสียเวลา
ขณะนั่งรอนฤชา ภุมเรศก็ได้แต่สังเกตเรื่อยไปรอบห้อง จนมาสะดุดอยู่ตรงภาพเขียนสีน้ำมันขนาดใหญ่ของผู้หญิงคนหนึ่ง
พอดีนฤชากลับออกมา จึงบอกเขาว่า
“นี่แหละครับ คุณหน่อย เราไปหาเธอกันดีกว่า”
แต่ปรากฏว่าหน่อยไปซื้อของ อยู่แต่สองพี่สาวเท่านั้น
นั่นเอง ภุมเรศจึงได้พบเหยื่อความแค้นสองชิ้นเป็นครั้งแรก
“คุณพ่อส่งผมมาเผาคุณอาแทนท่านครับ” ชายผู้เหน็บหอกโมกขศักดิ์…เอ๊ย…มีดปลายแหลมไว้ที่ขอบกางเกง เอ่ยปราศรัยแบบ…อย่าเผลอนาาา…เดี๋ยวมาเองงง…พูดจายิ้มแย้มแจ่มใสกับสองสาวราวกับสนิทกันมากมาย
ครั้นแล้วต่างก็ซักไซ้เขาว่าเรียนจบจากไหน สาขาใด
เมื่อเขาบอก
“การค้าครับ ผมสำเร็จการค้าจากปีนัง”
“ไม่เลวเลยนี่คะ ทำงานบริษัทได้สบายๆ ไม่ทราบว่าบริษัทวรรณจักรจะเล็กไปหรือเปล่า”
ทุกอย่างก็มักจะลงเอยอย่างง่ายๆเช่นนี้ หากมีสองฝ่าย คือชายหนุ่มหล่อกับหญิงสาวสวย
แต่ก็ยังมีบุคคลอีกหนึ่งคือคุณชมผู้เป็นทั้งเพื่อนและทนายความประจำบริษัทของนายสุวรรณ รวมทั้งจำความร้าวฉานระหว่างนายสุวรรณและนายพงศ์พ่อของภุมเรศได้แม่น จนทำให้ชายหนุ่มอดร้อนๆหนาวๆมิได้เมื่อทาทองแนะนำ ภุมเรศ ภมรชัย
นายชมถึงแก่ตกใจเบิกตากว้าง
ครั้นแล้ว ขณะกำลังจุดธูปเพื่อเคารพศพตามมารยาท พระเอกของฉันก็ยังบังอาจก้าวร้าวผู้ตายโดยนึกในใจว่า
‘เห็นหรือยังว่าเราเป็นใคร ถ้าหากวิญญาณของแกยังอยู่นี่ ก็จงรู้ไว้…การมาครั้งนี้ของเรา มาเพื่อจองเวร เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้พวกแกวอดวาย ส่วนวิญญาณแก ก็ขออย่าได้ผุดได้เกิด’
เอ้อเฮอ…นี่ถ้าฉันให้พระเอกเปล่งเสียงออกมาจนสาแก่ใจแค้น ผู้ชมจะพลอยแน่นหน้าอกไปด้วยขนาดไหน
แต่เมื่ออุตส่าห์เดินทางไกลมาอย่างร้ายแล้วก็ต้องร้ายให้ถึงที่สุด
ผู้กำกับนั่นเอง ไม่ชอบความร้ายครึ่งๆกลางๆ
คืนนั้น ผู้กำกับแสนร้ายจึงนำเอาดวงหน้าอันคมสันมีเสน่ห์ของชายหนุ่มแปลกหน้าซึ่งอ้างตัวเป็นเพื่อนเก่า แต่ก่อให้เกิดความเสียวปลาบแปลกประหลาด ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยในชีวิตยี่สิบแปดปีของทาทองกลับบ้าน
สามพี่น้องจึงมีโอกาสได้คุยกัน
โรยทองถามว่า
“พี่นิดไม่กลัวใครเขาว่าเอาหรือว่ามีเลขาฯเป็นผู้ชาย”
“ทีผู้ชายยังหาเลขาฯผู้หญิงได้เลยนี่นา ทำไมผู้หญิงจะหาเลขาฯชายไม่ได้
ในที่สุด ภุมเรศก็ได้รับการบรรจุเข้าทำงานในบริษัทวรรณจักรโดยการตัดสินใจของทาทองแต่ผู้เดียว
“คุณภุมเรศนี่มีบุญนะ พอมาถึงปุ๊บได้งานปั๊บ คนอื่นเขาข้ามมหาสมุทรงมหางานกันตั้งเป็นเดือนเป็นปี ยังไม่ค่อยจะได้ คุณภุมเรศคนเดียวที่โชคดี” โรยทองเหน็บแนม
ฝ่ายวรทิพย์สามพี่น้องก็อยู่ในข่ายสังเกตโดยละเอียดจากสายตาเขาเช่นกัน
‘พี่สาวคนโตกับน้องเล็กนั่นน่ะง่ายหน่อย แต่คนกลาง ท่าทางประเปรียวเฉลียวฉลาด คมคาย…เพียงแต่ปล่อยไปก่อน เหยื่อรายแรกยังไม่ใช่โรยทอง’
วัยสามสิบของพระเอกนั้น ผ่านชีวิตมาแล้วทั้งกลางวันกลางคืนพอประมาณ จึงอ่านทาทองออกตั้งแต่นาทีแรกที่พบหน้า
ท่าทางพี่คนโตเข้มแข็งจนสิ้นเสน่ห์ ผมตัดสั้นจนเกือบจะเป็น ‘ผมนักเรียนถูกกล้อน’ ในสมัยก่อน คิ้วบาง ริมฝีปากซีดถูกสีดำของเสื้อติดกันคอกลมเกลี้ยงๆต่อแขนจนถึงแค่ศอกขับให้ดูซีดยิ่งขึ้น
แต่เขาแลเห็นตั้งแต่เมื่อคืนว่า นางสาวทาทองก็อายเป็น ยามนั่งสนทนากับเขาแล้วหลุดความกระดากอายอย่างอิสตรีออกมา
‘ถ้าเราจะมีอุปสรรค ก็ไอ้ทนายแก่คนนี้ละ’
หากแต่ครู่ต่อมา ก็มีโทรศัพท์จากทาทองเชิญเขาไปรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน
ครั้นพบหน้าแล้วจึงเกลี้ยกล่อมให้สุดหล่อมากินอาหารทั้งเช้าเย็นที่บ้านหล่อนสืบไป
“แล้วก็กำลังคิดด้วยว่า โรงแรมไม่เหมาะที่คุณจะไปอยู่ถาวร”
พระเอกก็เลยหันมาแอบทำตายิ้มกับผู้กำกับ กะประจบ
‘คุณนี่หัวร้ายไม่ใช่เล่นหรอกนา…แต่บทแบบนี้ซีที่ผมอยากแสดงสุดสุดจนหมอบคาเวทีก็ยังไม่เหนื่อย’
แล้วยังไงอีก…นอกจากในที่สุดชายผู้อ้างตัวว่าเป็นลูกของเพื่อนเก่านายสุวรรณ ก็ได้ทั้งงานทั้งที่อยู่ที่กินฟรีไป นอนตีพุงร้องฟรี้ฟรี้อยู่คนเดียว หลังจากทาทองให้ช่างไม้มาสร้างเรือนกลางสระภายในบริเวณบ้านสำหรับเป็นที่พักของชายจากทางไกล รอวันเวลาที่จะย้ายจากโรงแรมมาพักพิงอย่างถาวร
หากก็มีลุงชม ทนายความผู้มักจะปรารภกับนางสลับภรรยาถึงลูกชายของนายพงศ์ คู่อริเก่านายจ้างของเขา
“ฉันอาจจะคิดมากไปก็ได้ ตามวิสัยคนที่เคยพบเล่ห์เหลี่ยมของมนุษย์มามาก ไอ้นายภุมเรศลูกนายพงศ์นี่ หน้าตามันคมคายดีอยู่หรอก แต่ก็คมแบบเค็ม”
ฉันก็เลยต้องตบมือให้ตัวเองอยู่ ‘หลังม่าน’
เพียงแต่ตบแป๊บหนึ่ง กลัวผู้ชมจะได้ยินแล้วตกตะลึง
มีผู้กำกับคนไหนบ้าง ชมตัวเอง
แต่ฉันชม
ก็ฉันชอบคำนี้มากไง ‘คมแบบเค็ม’
“คมในฝักยังไงไม่รู้” ลุงชมกล่าวต่อ อะไรก็ไม่ร้ายเท่ายายนิดรับนายนี่เข้าทำงานที่วรรณจักร ไอ้เราจะห้ามก็ไม่ถนัดเพราะเขาบอกรับกันแล้ว”
“อย่าไปยุ่งกับเขาดีกว่าค่ะคุณ ทำงานกับเด็กๆก็ยังงี้แหละ…ยายนิดก็ออกจะเฉียบขาดมากไปหน่อย ยายน้อยก็เจ้าสำราญมากไป ลงท้าย ฉันชอบยายหน่อยมากกว่าเพื่อน…เด็กคนนี้เรียบร้อยสำรวม”
“แต่ไม่ทันคน” นายชมแย้ง “ยายหน่อยแกดีแต่ดีแบบผู้หญิงเก่าๆ เหมาะอยู่บ้าน อยู่ในที่แคบๆ ฉันว่าฉันชอบยายน้อยมากกว่าเพื่อน แกสปอร์ตดี”
ลุงชมนี่ไม่เลวเลยทีเดียว…ก็คนเป็นทนายความ ขืนไม่เฉลียวใจดูคนไม่เป็น ก็เห็นจะแพ้ความเป็นรายๆไปนานแล้ว คงไม่อยู่จนแก่คาสำนักงาน นายสุวรรณให้เจ้าของรำคาญใจอย่างแน่นอน
เมื่อมาถึงตอนลงท้าย ทุกสายตาจึงได้พบชายหนุ่มแปลกถิ่น ลูกชายเพื่อนเก่า วงเล็บ ศัตรูเก่าเข้ามาทำงานในตำแหน่งเลขานุการแกมที่ปรึกษาเรียบร้อยแล้ว รอเวลาปลูกบ้านเสร็จ
อันว่านายชมและนางสลับนั้น ก็มีลูกชายคนหนึ่งเช่นกัน นามว่าชีวีวัฒน์ แต่เรียนไม่สำเร็จ ทำงานก็จับจด อยู่นี่ก็ไม่ได้ โน่นก็ไม่ได้ ท้ายที่สุดทาทองก็เลยเอาตัวมาทำงานด้วย เป็นฝ่ายโฆษณา
โรยทองจึงได้แต่เตือนภุมเรศว่า
“อย่าให้เขายืมตังค์แล้วกัน เดี๋ยวจะว่าไม่บอก”
ยังไม่ทันไร ชายหนุ่มก็ตีสนิทกับสาวทั้งสามได้ดังใจหมายโดยใช้ชีวีวัฒน์เป็นสะพาน ก็ให้เงินเขาใช้บ้างนั่นเอง
นฤชาเองก็ยังแปลกใจ ถึงแก่เอ่ยกับรินทอง
“คุณภุมเรศนี่ก็ช่างมีบุญซะจัง จับพลัดจับผลูได้ทั้งงานทั้งบ้าน ทั้งๆก็เป็นแค่คนเดินทางมาชิงโชคแค่นั้น อาจมีภาษีหน่อยตรงที่เคยรู้จักคุณพ่อคุณมา แต่ก็เป็นการรู้จักที่ด่างพร้อยเพราะเคยเป็นความกัน”
“พี่นิดก็เคยเท้าความเรื่องที่พ่อเขากับพ่อเราแตกร้าวกัน แต่ก็ไม่เห็นเขาโกรธเคืองอะไรนี่คะ แสดงว่าเขาก็ไม่ได้นึกอะไรมากกับเรื่องนั้น”
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร” เพื่อนบ้านหนุ่มยังอยากเผยความในใจ “เขาบุคลิกดี คุยสนุก แต่ถึงยังงั้นผมก็ยังไม่ค่อยสนิทใจสักเท่าไหร่”
“อะไรหรือคะ”
“บางทีเขาก็มีอะไรลึกลับนะ อย่างเวลาเผลอตัว สีหน้าจะผิดไปเป็นคนละคน ดูเคร่งเครียดดุๆยังไงชอบกล”
“ใครจะนั่งยิ้มคนเดียวได้ล่ะ ชา” รินทองก็เลยขำอีกฝ่าย
แต่ผู้กำกับขำไม่ไหวเพราะแต่ละถ้อยคำที่เกณฑ์ให้ตัวละครเปล่งเสียง ล้วนส่งสำเนียง ‘ลับลม’ และ ‘คมใน’ รออยู่
ทาทองนั้น บัดนี้…ที่มีชายหนุ่มหน้าตาดีมาเคียงข้าง ก็ราวกับต้นไม้ได้ฝน
แต่ภุมเรศสดชื่นดังเช่นคนที่กำลังทำงานใหญ่ ครั้นแล้วก็มีทีท่าว่าจะสำเร็จลงได้อย่างง่ายโดยมิต้องเหนื่อยยาก
ทาทองอาจจะคล่องตัวเกี่ยวกับการค้ามาแล้วรอบตัว แต่ก็ยังไม่เคยรู้จักและยังไม่คิดจะรู้จักว่าสัมผัสจากมือชายคือฉันใด ดังนั้นเมื่อได้สัมผัสกับมือภุมเรศที่บีบมือหล่อนไว้แนบแน่นขณะขับรถพาเขาไปแวะนั่งคุยกันบนถนนเปลี่ยวสายหนึ่งหลังเลิกงาน หญิงสาวก็พลันรู้สึกแปลบปลาบไปทั่วสรรพางค์
หล่อนเองก็รู้ว่ามันรวดเร็วเกินไปที่จะแสดงตนยินยอมพร้อมใจกับความปรารถนาทั้งของเขาและของหล่อนในครั้งนี้
แต่ทาทองเป็นคนถือใจตนเองเป็นใหญ่แต่ไหนแต่ไรมา
แม้นายชมจะคอยสอบถาม
“ลูกนายพงศ์น่ะ เขาดีอยู่หรอกหรือ”
ทาทองก็เริ่มไม่พอใจ เพราะแสดงให้รู้ว่า ทนายความคู่ยากไม่ชอบภุมเรศ เลยตอบว่า
“เขาก็ดีนี่คะ หนูรับเขาเข้าทำงานให้เงินเดือนสองพัน แล้วยังชวนเขาเข้าไปอยู่ด้วยในบ้าน ต่อเรือนริมสระให้เขาอยู่ จวนจะเสร็จแล้วละค่ะ…คุณภุมเรศเขาออกแบบเอง ให้สีเอง บัญชาการเองแทบทุกอย่าง…ก็ต้องให้เขาพอใจน่ะค่ะ เขาเป็นคนอยู่”
“เขามาได้กี่วันแล้วล่ะหนู” ฉันก็เลยป้อนคำถามเข้าปากทนายความ
เพื่อจะได้ตำหนิทางอ้อม
“เดือนเศษๆค่ะ คุณลุง แต่คุณลุงคะ คนเราจะคบกันก็ไม่ได้อยู่ที่วันเวลาหรอกนะคะ มันอยู่ที่อัธยาศัยต้องกัน ชั่วโมงเดียวก็เชื่อกันได้ รักกันได้ จริงไหมคะ”
“สมัยคุณสุวรรณยังอยู่” คุณชมกล่าวต่อ ทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่เข้าใจ “คุณพ่อหนูเคยบอกลุงว่า จะให้ผมพยากรณ์ไหมว่า สักวันหนึ่งข้างหน้า นายพงศ์กับเราจะต้องเจอกันอีกแน่ๆ ลุงก็ถามว่า เจอกันแบบไหน คุณพ่อหนูก็บอกว่าแบบที่เขาจะเอาเท้าเตะโกศผมเล่นก็ได้กระมัง”
ทาทองก็เลยขมวดคิ้ว ไม่ชอบใจอย่างแรง
“เรื่องอะไรเขาจะมาเตะโกศคุณพ่อ”
“คุณสุวรรณบอกลุงว่า เจ้าพงศ์เป็นคนพยาบาทรุนแรง วันหนึ่งมันอาจจะย้อนมาเล่นงานเรา”
ที่จริง คุณชมก็ไม่ค่อยชอบนิสัยวางอำนาจของทาทอง หล่อนจะค้านเขาแรงๆทุกเรื่องที่ไม่อยากเห็นด้วย
ในความรู้สึกของทนายความ ทาทองเป็นคนออกจะกระด้าง อวดดี เช่นเดียวกับบางคนที่คิดว่าตนเองสำคัญ
“แต่ก็สายเสียแล้วค่ะคุณลุง…บางที่คุณลุงอาจจะตกใจถ้านิดจะบอกว่าเวลานี้นิดกับคุณภุมเรศก็รักกันเสียแล้วด้วย”
“หนู” นายชมถึงแก่ออกอุทานแกมตะลึง “นี่หนูพูดหรือใครพูด”
“นิดค่ะ…ทาทอง วรทิพย์พูด”
นายชมนั้นถึงกับมองหล่อนจนแทบจะลืมหายใจ
“เอาเถอะ…หนูก็โตแล้ว เตือนมากก็จะกลายเป็นจุ้นจ้านกับจิตใจหนูเกินไป ลุงเชื่อว่าถึงยังไงหนูก็เอาตัวรอดได้ แต่อย่าลืมนะหนู คนเรา อย่าประมาทได้เป็นดีที่สุด” เขาพูดพลางลุกขึ้น แต่ทาทองกลับหัวเราะใส่หน้า
“อันที่จริง คุณลุงก็ไม่น่าตีตนไปก่อนไข้ แต่ก็นั่นแหละค่ะ หนูเห็นใจ คุณลุงเป็นทนายความ ผ่านความสับสนฉ้อโกงของมนุษย์มามาก ก็เลยจะไม่เชื่อว่ายังมีคนสุจริตเหลืออยู่ในโลก”
“ทำไมลุงจะไม่เชื่อ เพราะลุงไม่ได้ผ่านแต่ความทุจริตเท่านั้นนี่หนู ความสุจริต ความซื่อจนกลายเป็นความโง่ก็เคยผ่านมาแล้ว ตอนนี้ไม่ค่อยได้ไปหาที่บ้านเพราะงานค่อนข้างยุ่ง”
ทาทองก็เลยบอกยิ้มๆ มีวี่แววว่าขบขันชายกลางคนผู้หายใจเป็นกฎหมายคนนี้เสียจริง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณลุง ถ้ามีอะไรนิดจะเรียนปรึกษา”
ขณะที่ภุมเรศเองก็ขุ่นเคืองนายชมอยู่ในใจ เนื่องด้วยสายตาทนายความที่มองดูเขา มักจะมองอย่างจับผิด
“คุณนิดเป็นคนท่าทางช้า แต่ใจเร็ว” เขาเคยบอกโรยทองยามโต้ตอบกัน
“ส่วนดิฉันท่าทางเร็วแต่ใจช้าใช่ไหมคะ” อีกฝ่ายก็เลยย้อนถาม
“ผมยังไม่รู้ใจคุณเลย”
“ก็คงจะได้รู้” โรยทองตอบแบ่งรับแบ่งสู้
“อาจจะไม่ได้รู้เลยก็ได้”
“ถ้าเราคบกันไปนานๆ ทำไมจะไม่รู้”
“คุณน้อยไม่ให้รู้น่ะซี แต่คุณก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดหรอก ผมอ่านไม่ออกเอง”
“ดิฉันอ่านยากนักหรือ”
“อ่านง่าย แต่ง่ายอย่างยาก คือคุณไม่ใช่หนังสือที่เห็นหน้าปกแล้วเดาเรื่องตอนจบได้”
สำหรับโรยทอง ก็คงต้องอย่างนี้ละ
ในที่สุด วันที่บ้านสร้างเสร็จ แล้วเขาขนของเข้ามาอยู่เป็นการถาวรก็มาถึง
ดนตรีวงของฉันโดยเฉพาะนี้ จึงมีโอกาสเต็มที่ในการบรรเลงเพลงแห่งความอาฆาตมาดร้ายที่ชายคนหนึ่งพกมาเต็มกระเป๋า ทั้งเพลงเศร้า เพลงสุข เพลงรัก เพลงร้อนให้มันได้แยกออกเป็นท่อน พอเหมาะพอดีที่จะจับสามสาวสามศรีเอาไว้อยู่
ให้เขาได้รู้เต็มหัวใจในบัดนี้ว่า ทาทอง โรยทองรินทองของตระกูลวรทิพย์นั้น ผิดสีผิดศาสตร์กันโดยเด็ดขาดเพียงใด เขาจะต้องมีชั้นเชิงพลิกแพลงทำนองไหน จึงจะจับสามหญิงแห่งคฤหาสน์วรทิพย์ไว้ได้ในกำมือ ครั้นแล้วจึงหาทางทำลายให้ล่มจมในภายหลัง
แต่เขาหารู้ไม่ว่า มีสายตาทนายความเก่าแก่คอยจับจ้อง มองตามอย่างห่วงใย ด้วยว่าไม่วางใจทีท่าของภุมเรศตั้งแต่แรกเห็นนั้นแล้ว เมื่อมาถึงวันนี้ จึงถึงแก่เปล่งเสียงออกมากับภรรยาอย่างแน่ใจ
“นายภุมเรศนี่ เหลี่ยมคูมันรอบตัวเลยนะ ดูนัยน์ตามันก็รู้ แพรวพราวกลอกกลิ้ง ฉลาดแบบหมาจิ้งจอกนั่นแหละ…นายพงศ์พ่อมันก็เป็นคนพยาบาทแรง ฉันรู้ดี มันอาจจะเสี้ยมสอนลูกมันให้วางแผนโค่นวงศ์วานวรทิพย์ซะก็ได้”
อื้อฮือ…นายชมนี่อีกคน…ทันแผนการชั้นเชิงของฝ่ายตรงข้ามจนฉันดีใจที่คัดได้เขามาเข้าฉาก
ต่อจากนั้นสืบมา ภุมเรศก็ได้รับแต่การปรนเปรอทั้งทางกาย วาจา และน้ำใจอย่างครบครันจากทาทอง พี่สาวคนโต ได้รับความเป็นกันเองอย่างใกล้ชิด แม้จะไม่มีคำว่าสนิทเสน่ห์เนื่องด้วยโรยทองน้องคนกลางยังไว้วางตัวไม่ยอมลดตนลงมาปรนเปรอชายหนุ่ม ทั้งๆที่ทาทองทอดกายถึงขั้นให้ภุมเรศกอดจูบเรียบร้อยแล้ว พร้อมด้วยบอกข่าวดีให้น้องสาวรับรู้ว่าจะแต่งงาน
“เขากำลังรอจะเก็บเงินไว้ซื้อแหวน”
แต่โรยทองกลับคะยั้นคะยอ
“ไม่ต้องมีก็ได้แหวนน่ะ เราเองก็มีอยู่แล้วจนใส่ไม่ครบนิ้วแล้วไงพี่นิด” พลางน้องสาวก็หัวเราะ จนทาทองอดคิดไม่ได้ว่า สำเนียงเสียงนั้นราวกับหยันเยาะบางอย่างมากกว่า
ก็แน่ละเจ้าค่ะ…จะไม่หยันไม่เยาะในอาการหลงละเมอเพ้อพกของพี่สาวในคราวนี้ได้อย่างไร
ทาทองก็เลยต้องย้อนถาม
“น้องผิดหวังพี่หรือเปล่าจ๊ะนี่”
“ก็…ก็เรื่องที่พี่หาคนที่สูงกว่านี่ไม่ได้ไง”
โอย…ตอบซะ…ทะลุเข้าไปถึงไหนๆ
เลือดสาดหรือเปล่าไม่ทันดู
แล้วยังน้องคนสุดท้องอีกล่ะ…รินทองนั้นยิ่งไม่ทันเหลี่ยมเล่ห์เพทุบายใครๆอยู่แล้ว ครั้นมามีหนุ่มหนึ่งเข้ามาอยู่ร่วมบ้านแม้ไม่ร่วมชายคาแต่ก็พบปะไปมากันทุกวันทุกเช้าค่ำยันดึก ปล่อยให้ภุมเรศค่อยๆแอบก้าวเข้ามาตอนลับตาทาทอง มาหยดของหวานใส่ไว้ทีละชั่วโมงนาทีที่พี่สาวคนโตเผลอ จนรินทองละเมอเป็นชื่อภุมเรศ ด้วยว่าชายหนุ่มมักจะย่องมาฉายแสงวิเศษแสดงความคิดถึงกระวนกระวายใส่ลงในหัวใจอันอ่อนเยาว์บอบบางของน้องสาวผู้รู้ไม่ทันความพลิกแพลงของมนุษย์ใด
จึงเหลือเพียงโรยทองแต่ผู้เดียวที่เขาไม่สามารถเหนี่ยวเอาหล่อนมาไว้ในแผนผังนั่งร้านได้ดังใจหมาย…ชวนให้ทุกข์หนักจนเลยไปถึงใคร่จะเอาชนะถึงที่สุด
ขณะที่นายชมเล่าเรื่องราวแตกร้าวระหว่างบิดาของสามสาวกับบิดาของภุมเรศให้โรยทองฟังโดยหญิงสาวรับฟังอย่างสนใจ ผิดไปจากทาทองที่ฟังแล้วมักจะค้านนั่นนี่
“เขาเป็นคนพยาบาทแรงริษยาแรง” นายชมหมายถึงนายพงศ์พ่อของภุมเรศ ทั้งๆตัวเองเป็นฝ่ายรุกที่คุณสุวรรณก่อน “ที่ก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่คนเรายามโลภ ก็ดูจะยอมสังเวยความโลภกับผลประโยชน์เท่าขี้เล็บ ได้ไม่คุ้มเสียหรอกหนู…เชื่อเถอะว่า…คนโกงไม่มีวันเจริญ ตัวยิ่งโกงเขา ฝ่ายถูกโกงกลับรวยเอาๆ ตัวเองซีที่เจ๊ง”
ว่าแล้ว ทนายความก็หัวเราะขำ
“นายพงศ์น่ะเขาเกลียดลุงพิลึกเลย เพราะนอกจากลุงจะเป็นเพื่อนสนิทคุณพ่อหนูแล้ว ยังว่าความให้คุณพ่อจนชนะอีกต่างหาก ชนะกราวรูดเลยทั้งสามศาล…ก็ลุงรู้เท่าทันไง รู้จักเขาดี ภุมเรศก็เลยดูเหมือนจะไม่ชอบลุงเท่าไหร่ แต่ก็ช่างเถอะ ใครจะเกลียดก็ไม่ว่า ลุงก็ทำไปตามที่ถูกที่ควร อีกอย่าง ลุงจะเห็นคนอื่นดีกว่าหนูได้ไง จริงไหม”
ท้ายที่สุด นายชมจึงเตือน
“หนูก็เถอะ ระวังตัวให้ดี อย่าเข้าไปวุ่นวายน่ะแหละ ปลอดภัยที่สุด”
ประกายตาของโรยทองเข้มขึ้นทันใด
“ไม่มีวันซะละค่ะ คุณลุง คนอย่างน้อย”
ทนายความก็เลยบอก
“ยังไงๆหนูก็ต้องคอยเตือนน้องมั่ง ยายหน่อยแกยังเด็ก ไม่ค่อยรู้ว่าอะไรจริงอะไรลวง แต่ยายนิดน่ะเตือนเขาไม่ได้แล้ว ไม้แข็งเสียแล้ว เขาเชื่อแต่ตัวเขาเองทุกขณะจิต แต่ยังไงๆลุงก็ยังหวังอยู่นะว่า…มันจะไม่เป็นไปอย่างที่นฤชากลัว”
นฤชากลัวอะไร ก็ต้องกลัวน่ะซี ในเมื่อถูกรินทองปฏิเสธความรักของเขามาสดๆร้อนๆ หลังจากตกหลุมหลงไหลในตัวภุมเรศแล้วอย่างไม่มีคำใดจะเอ่ยได้
ครั้นแล้ว จึงมาถึงคืนหนึ่งที่พระเอกเริ่มจุดชนวนระเบิดอารมณ์ออกมาเมื่อต้องมายืนคอยดักพบน้องคนกลางผู้ปราดเปรียวจับไม่ติด…ต่อจากนั้นจึงปะทะคารมกัน แต่โรยทองตัดบท ผลุนผลันเข้าห้องลงกลอน
ปล่อยให้เจ้าของพิษร้ายที่ปล่อยพิษใส่คนโตกับคนเล็กมาบ้าง แล้วเลยย่ามใจจะมาปล่อยใส่คนกลางผู้มีท่าทางไม่ลงใคร ให้อ่อนยวบไปพร้อมกัน หากก็ผิดคาดผิดหวัง
พาเอาความคั่งแค้นแกมปวดร้าวแปลกประหลาดมาให้
แต่ท้ายที่สุด ชายผู้มากับความพยาบาทก็สามารถแต่งงานอยู่กินกับทาทอง ได้รินทองเป็นเมียลับอยู่ดี
เล่นเอาฉันเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องนี้สุดขีด นั่นก็เพราะไม่เคยเขียนเรื่องอาฆาตมาดร้ายแบบเอาเป็นเอาตายขนาดนี้มาก่อน
แต่ก็ยังดีที่มีตัวช่วยมาผ่อนปรนจนกำลังใจคืนมา…ไม่ใช่เรื่องราวอื่นใดนอกจาก
โรยทองแต่ผู้เดียว ที่รอดออกมายืนผงาดสง่าได้ด้วยความทันโลกทันคนทันกลไกของ ‘วิมาน’ ที่ไม่ใช่มีแต่ความสุขความเย็นความเป็นสวรรค์เท่านั้น
หากยังมีความทุกข์ ความร้อน และนรกรออยู่
มีไฟกองใหญ่ที่ไม่รู้วันสิ้นสุดโชนแสงแสดงอานุภาพการเผาไหม้ที่บางหนดับได้ แต่ไม่สนิท บางหนดับสนิท แต่ความมีชีวิตก็วอดวาย สลายลงเป็นเถ้าถ่าน
– จบ –
- READ "หลังลับแล" เบื้องหลังแสงสว่างมีความมืด...เบื้องหลังความมืดมีแสงสว่าง
- READ ประจิมและอรอินทรา จาก "พฤกษาสวาท"
- READ รู้จักกับ 'เทียนธารา' ให้มากขึ้นใน "ควันเทียน"
- READ "รัด" จาก พญาไร้ใบ
- READ ไฟพ่าย..."พิจิกา" ดวงดาวอันเจิดจ้าและหมองมัว
- READ ข้ามสีทันดร “เดือนสิบและเที่ยงวัน”
- READ "วิมานไฟ" ความคั่งแค้นในใจ 'ภุมเรศ'
- READ วิมวิริยา แห่ง "วิหคโสภา"
- READ "อุโมงค์เวลา" สำปันนีและแคว
- READ "รอบรวงข้าว" ก่องและอัญชัน
- READ "จำหลักไว้ในแผ่นดิน" เจ้าหญิงโสคนเทียและสู
- READ "จันทร์ยาตรา" ปั้นหยาและลุ่มน้ำ
- READ "ไฟทะเล" เรื่องของ 'ชับ' และ 'สิชล'
- READ 'มัลลิกา' มารดายืนหนึ่งใน "กิ่งมัลลิกา"
- READ เรื่องราวของ "ศศิน" ใน "เงาจันทร์"
- READ "ทองลงยา" นางเอกของฉันจาก "กระจกขอบทอง"
- READ ข้ามเมฆา และนางเอก ‘บ้านๆ’ นาม "สีทับทิม"
- READ รสรักปักอุรา "มฤคีและอุบากอง"
- READ ป่ากามเทพ : รำพรและสดมภ์
- READ ตะวันตกดิน : วิธูและโสรวาร
- READ 'บนฟ้า' และ 'สมุทรไท' ณ ขอบฟ้าจรดขอบน้ำ
- READ เมื่อ "ขอบน้ำจรดขอบฟ้า" บนฟ้าและสมุทรไท
- READ ข้ามมหาสาคร 'ดูรา' และ 'กันตัง'
- READ 'ระย้า' เด็กสาวแห่งวังอาชาไนย
- READ "รสอมฤต" การสืบสวนที่พา 'ปูนปั้น' และ 'ร้อยรัด' มาพบกัน
- READ ‘ตวง’ ตัวละครวัยเยาว์ใน 'เมรัยสีกุหลาบ'
- READ "รำนำ" ฤทธิ์เดชจาก ‘กระเช้าสีดา’