อรุณแสงรัก บทที่ 6 : เพียงความหวัง

อรุณแสงรัก บทที่ 6 : เพียงความหวัง

โดย : SUDA

Loading

อรุณแสงรัก โดย  SUDA นวนิยายอ่านฟรีที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co กับเรื่องของ “นวล” หญิงสาวจากสวรรคโลก ที่ชีวิตพลิกผันจนต้องมาใช้ชีวิตในกรุงศรีอยุธยาและได้ร่วมหัวจมท้ายกับชายหนุ่มบ้านใกล้เรือนเคียงที่ความสัมพันธ์เริ่มต้นจากความสงสาร เพียงแค่อยู่ร่วมกันแต่ไม่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนแบบนี้จะเรียกว่าความรักได้หรือไม่

แสงแดดอ่อนยามเย็นสะท้อนผืนน้ำดูงดงามตา ริมคลองด้านหลังเรือนทาสบัดนี้มีชายหนุ่มสองคนนั่งร่ำสุรากันเงียบๆ พ่อขวัญรินเหล้าใส่จอกแล้วยื่นให้ชิงหลัว ซึ่งเป็นทาสหนุ่มในเรือนที่ช่วยชีวิตเขาไว้ในคืนนั้น และยังเป็นทาสที่ติดตามรับใช้หลี่เฟยหงตั้งแต่ยังเล็ก

พ่อขวัญใช้ชีวิตอยู่ในเรือนชาวจีนนานแรมเดือนจึงเริ่มฟังภาษาจีนได้บ้าง บวกกับชิงหลัวช่วยสอนให้ แม้ไม่ถึงขั้นพูดเป็นประโยค แต่ยามฟังคนในเรือนสนทนาเป็นภาษาจีนก็พอเข้าใจ เมื่อมีเวลาว่างนั่งร่ำสุราพูดถึงความหลัง…เขาจึงเริ่มรู้ความเป็นมาของแม่หญิงเจ้าของเรือนนี้

“นางเป็นลูกสาวคนเดียว แม้เกิดบนกองเงินกองทองแต่ชีวิตก็วุ่นวายตั้งแต่ยังเล็ก เพราะต้องสู้รบกับบรรดาอนุทั้งหลายของบิดา เหตุที่นางอยากอยู่ในกรุงศรีก็เพราะมิอยากกลับไปวุ่นวายในเรือนใหญ่อีกแล้ว แม้ที่นี่จักลำบากสักหน่อยเพราะต้องดิ้นรนค้าขาย…แต่นางก็คงมีความสุขกว่าจักกลับไป”

“แล้วเหตุใดนางไม่แต่งกับพ่อค้าหนุ่มผู้นั้น…”

“ข้าก็ไม่รู้”

ชิงหลัวกล่าวตอบ “คงเพราะไม่ได้รักกระมัง แต่หากแต่งเข้าสกุลเหยียนไปข้าก็เห็นว่าเป็นผลดีต่อตัวนางเอง เหยียนตงเป็นคนขยันทำมาหากิน สร้างฐานะจากยาจกขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้ในเวลาไม่กี่ปีเท่านั้น แลยังเก่งฉกาจถึงขั้นคุมเรือสำเภาข้ามโพ้นทะเลได้ ใครๆ ก็มองออกว่าเขาจักเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นในภายหน้า หากนางแต่งกับเขาย่อมสุขสบายไปทั้งชีวิต”

“แต่ก็อย่างว่า…หากนางมิพึงใจ ต่อให้ร่ำรวยเพียงใดก็ไร้ผล”

พ่อขวัญฟังเรื่องราวก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับ ชายหนุ่มสองคนนั่งพิงผนังเรือนพลางกอดเข่าเหม่อมองสายน้ำเบื้องหน้า “แต่นางถูกตัดขาดจากสกุลหลี่แล้วมิใช่รึ…หลังจากนี้นางจักทำเช่นไร”

“ก็คงต้องค้าขายเอง…”

ชิงหลัวกล่าวตอบพลางยกจอกเหล้าขึ้นมาดื่มอีกครั้ง “คุณหนูของข้านั้นเป็นคนฉลาดหัวไวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่อย่าลืมว่ากิจการใหญ่เช่นนี้ยังต้องการคนช่วยเหลือ บิดานางเรียกคนรับใช้ที่อ่านออกเขียนได้กลับขึ้นเรือไปจนหมด บัดนี้นางจึงมิเหลือใครพอจักช่วยเขียนบัญชีให้อีกแล้ว บางคราข้าก็เคยคิด…ว่าเหตุที่บิดาของนางทำเช่นนี้ก็เพื่อบีบบังคับให้นางยอมรับความจริง ว่านางมิอาจอยู่ได้หากไร้ซึ่งวงศ์ตระกูลคอยช่วยเหลือ”

“ว่าแต่เจ้าเถิดพ่อขวัญ…เมื่อรู้เช่นนี้แล้วจักกลับสวรรคโลกอยู่อีกหรือไม่”

พ่อขวัญได้ฟังคำถามก็ลอบถอนหายใจเบาๆ ด้วยความกลุ้มใจ อันที่จริงเขานึกเห็นใจหลี่เฟยหงอยู่ไม่น้อย และตนก็ไม่ได้มีธุระใดที่จะต้องเร่งรีบกลับสวรรคโลก สุดท้ายจึงตัดสินใจอยู่ที่นี่ไปอีกสักพักหนึ่ง เพราะหลี่เฟยหงยังขาดแรงงานทาสใช้ขนสินค้า และยังขาดคนช่วยขายของ

ชายหนุ่มสองคนนั่งร่ำสุราจนตะวันเริ่มลับปลายไม้ เมามายได้ที่แล้วชิงหลัวจึงมุดเข้าไปนอนในห้องแคบๆ ของตนในเรือนทาส ส่วนพ่อขวัญยังนั่งเหม่อมองสายน้ำเบื้องหน้า

บรรยากาศเงียบเหงาเช่นนี้ทำให้เขานึกถึงแม่นวล…แม่หญิงอันเป็นที่รัก แม้ในใจจะเจ็บปวดเหลือเกินที่เธอกลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว แต่ความห่วงใยมีให้ก็มิเคยจางหาย

เมื่อนึกได้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงพายเรือลำน้อยมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ จุดหมายคือเรือนไม้ไผ่ด้านหลังริมคลองสระบัว เขายังเป็นห่วง…ยังอยากรู้ว่าเธอสุขสบายดีหรือไม่ อยู่กับชายอื่นแล้วเธอเป็นอย่างไร

ร่างสูงพายเรือไปตามลำคลองอย่างเชื่องช้า ตั้งใจไปแอบมองเธออยู่ห่างๆ เพราะแม้บัดนี้ร่างกายหายดีเป็นปกติแล้ว แต่ก็ยังไม่อยากเข้าไปสนทนา…เพราะเกรงว่าตนจะมีน้ำตาให้อับอายเธอได้

ขอแค่ได้รู้ว่าแม่นวลยังอยู่ดีมีสุข…เขาก็พอใจแล้ว…

 

ริมฝั่งคลองในยามราตรีมีสายลมพัดผ่านเบาๆ เหมาะแก่การนั่งชมจันทร์นัก แม้ผู้คนหลับใหลหมดแล้วแต่เรือนพ่อกล้ากลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น สองหนุ่มสาวง่วนอยู่หน้าเตาเผาหลังใหญ่ช่วยกันเตรียมเตาอย่างขะมักเขม้น นวลใช้พร้าสับไม้เป็นท่อนขนาดพอเหมาะแล้วนำไปกองให้เป็นระเบียบ เพราะพ่อกล้าจักต้องใช้ฟืนเหล่านี้เติมเข้าปากเตาเป็นระยะ

“พี่กล้า ฟืนพอหรือไม่” นวลเอ่ยถามเมื่อเตรียมฟืนกองใหญ่ไว้เรียบร้อยแล้ว ร่างเล็กมีเหงื่อผุดท่วมกายเพราะออกแรงไปมาก

“ฟืนพอแล้วละ ดึกมากแล้วเอ็งกลับไปนอนเถิด”

“กลับไปนอนกระไรเล่า…ข้าจักอยู่ช่วยพี่”

“อยู่ไปก็ช่วยกระไรมิได้ดอก เพียงหอบฟืนใส่เตาแค่นี้ข้ามิเห็นต้องให้ใครช่วย ที่ผ่านมาข้าก็ทำคนเดียวมาทั้งชีวิต” พ่อกล้ากล่าวย้ำเมื่อเห็นนวลยังดื้อรั้นอยู่ ทั้งที่ความอ่อนเพลียปรากฏในสายตา “กลับเรือนไปเสีย…แล้ววันพรุ่งค่อยมาเอาถ้วยไปเขียนลาย”

“ไม่กลับ ถ้วยพวกนี้เป็นของของข้าแท้ๆ จักให้พี่ลำบากคนเดียวได้อย่างไร หากอยากให้ข้านอนนัก ข้าก็จักนอนบนแคร่ตรงนี้นี่ละ…เผื่อมีกระไรพี่จักได้เรียกข้าได้” กล่าวจบนวลก็หยิบเอาฟืนท่อนใหญ่มาวางต่างหมอน ก่อนจะเอนกายลงบนแคร่

“ฟืนหมดแล้วปลุกข้าด้วย…ข้าจักไปเอามาให้”

พ่อกล้าเผลอยิ้มละมุนเมื่อเห็นความดื้อรั้นของหญิงสาวตรงหน้า เพราะสิ้นเสียงเธอเพียงไม่กี่อึดใจ แม่นวลก็ผล็อยหลับไปเสียแล้ว คงเป็นเพราะความเหนื่อยล้าที่สะสมมาหลายวันกระมัง

ชายหนุ่มเดินขึ้นเรือนไปหยิบผ้าของตนลงมาให้ สองมือคลี่ผ้าห่มผืนใหญ่คลุมกายเธอไว้อย่างทะนุถนอม นึกๆ ไปแล้วเขาก็เวทนาเธอนัก แม่นวลมาอยู่ที่นี่ชีวิตแสนลำบากยากเข็ญ เพราะยังทำเครื่องถ้วยไม่สำเร็จเธอจึงไม่มีของขาย ทำให้ไม่มีเบี้ยติดตัวแม้สักเบี้ย แต่ละวันทำได้เพียงตำน้ำพริกผักต้ม กินปลาร้าปลาแห้งจากเขาเพื่อประทังชีวิตเท่านั้น

ผ้านุ่งที่ห่มกายสาวอยู่ก็ล้วนผืนเก่ามอมแมม…แต่กระนั้นก็ยังปกปิดความงามของเธอไม่ได้

ชายหนุ่มนั่งมองเธออยู่นานโข ในใจเขาอยากให้แม่นวลมาอยู่ร่วมเรือนด้วยกันนัก ข้าวเปลือกเขามีเต็มยุ้ง ปลาร้าปลาแห้งเขาก็หามาได้ไม่ขาด หม้อไหที่เขาปั้นขายก็ทำให้พอมีกินมีใช้ และมีมากพอที่จะเลี้ยงเธอให้อยู่สุขสบายมากกว่านี้

ติดอยู่เพียงสิ่งเดียวคือเธอไม่ยอมมาอยู่ด้วย แม้ที่ผ่านมาจะต้องอยู่อย่างปากกัดตีนถีบสักเท่าใดแม่นวลก็ไม่เคยปริปากบ่น ไม่เคยตัดพ้อต่อโชคชะตาเลยสักครั้ง

หญิงสาวหลับไปพักหนึ่งแล้ว…ร่างเล็กพลิกกายเบาๆ ท่าทางงัวเงีย แต่เมื่อรู้สึกถึงผ้าที่ห่มกายอยู่ก็พลันลืมตาขึ้นมาทันที ก่อนจะเห็นพ่อกล้านั่งจ้องมองเธออยู่อย่างนั้น

“พี่กล้า…”

“เอ็งกลับไปนอนดีๆ เถิดแม่นวล”

“ไม่กลับ…ข้าบอกแล้วว่าจักอยู่ช่วยพี่” นวลกล่าวตอบแล้วพลิกกายหันหลังให้เขา มือน้อยดึงผ้าห่มคลุมโปงไว้เพราะเริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมา

“หากฟืนหมดก็เรียกข้าแล้วกัน”

ร่างเล็กพลิกกายนอนหันหลังให้เขาแล้ว แต่กระนั้นพ่อกล้าก็ยังไม่ลุกเดินไปไหน สายลมยามราตรีเริ่มพัดเอาไอเย็นเข้ามามากขึ้น เธอจึงนอนขดอยู่บนแคร่แล้วดึงผ้าห่มคลุมกายไว้แน่นกว่าเก่า

เห็นแม่นวลเงียบไปสักพักแล้วพ่อกล้าจึงคิดว่าเธอผล็อยหลับไปอีกหน ชายหนุ่มลอบถอนหายใจเสียงเบา…สายตาจ้องมองร่างบางตรงหน้าอยู่อย่างนั้น

“อันที่จริง…เอ็งมิต้องลำบากลำบนถึงเพียงนี้ดอกหนา”

 

พ่อกล้าเผาถ้วยดินให้นวลเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากถ้วยดินเหนียวสีโคลนจึงกลายเป็นสีแดงอิฐอย่างดินเผาทั่วไป แต่เพราะใช้เวลานานหลังปิดเตาเผาชายหนุ่มจึงเริ่มอ่อนล้า นวลจึงเข้าครัวเตรียมอาหารไว้ให้ นอกจากจะมีปลาปิ้งแล้วยังมีปลาร้าและน้ำพริกกะปิกินกับผักสดอีกด้วย ส่วนพ่อกล้าเมื่อเก็บข้าวของเสร็จแล้วจึงคว้าผ้าพาดบ่าไปอาบน้ำริมคลอง…จากนั้นจึงมากินข้าวร่วมสำรับ

“เอ็งเตรียมสีเขียนลายแล้วรึ”

“เตรียมบ้างแล้วจ้ะ”

นวลกล่าวตอบพลางตักปลาร้าใส่ถ้วยให้เขา “ข้าใช้ขี้เถ้าจากไม้มะม่วงผสมกับน้ำดินและหินบดเพียงเล็กน้อย จักได้สีดำสนิทไว้เขียนลายถ้วย แต่เรื่องสีนั้นไม่เท่าใดดอก…ข้านึกห่วงแต่เรื่องน้ำเคลือบ เพราะหินที่จักนำมาทำน้ำเคลือบนั้นใช้จำนวนมาก แลยังต้องตำแล้วบดละเอียดยิ่งกว่าทราย แต่ข้าไม่มีแรงทำได้ถึงเพียงนั้น”

เมื่อนวลเอ่ยอธิบายพร้อมส่งสายตาออดอ้อน พ่อกล้าก็รู้ได้ทันทีว่าหน้าที่นี้จะตกเป็นของใคร

คงเป็นเขาอีกแล้วสิหนา…

“โธ่พี่กล้า…อย่าทำหน้าอย่างนั้น ข้าสัญญาจักแบ่งเบี้ยให้พี่กึ่งหนึ่งเชียวหนา”

พ่อกล้ายกยิ้มจางๆ ก่อนจะหยิบข้าวเหนียวจิ้มปลาร้าเข้าปาก ดูจากสถานการณ์แล้วเขาคงต้องเป็นทาสรับใช้เธอไปอีกนาน แต่ก็ช่างเถิด…แม่นวลร่างกายบอบบางเช่นนี้คงบดหินเองไม่ได้ ถึงอย่างไรก็คงไม่พ้นมือเขาอยู่แล้ว

 

ชายหนุ่มรู้ดีว่าการทำเครื่องถ้วยนั้นยากจะสำเร็จในครั้งแรก คงต้องลองผิดลองถูกอีกหลายหน แต่เพราะนวลยังจำเป็นต้องมีเบี้ยไว้ติดตัว…เขาจึงมิอาจให้เธอรอขายเพียงเครื่องถ้วยเหล่านี้ได้

วันถัดมาเขาจึงพานวลไปขายหม้อในตลาดโดยฝากฝังให้ชาวบ้านช่วยดูแล ส่วนตนเองกลับมาเตรียมความเรียบร้อยของเตาเผา นวลยอมทำตามคำสั่งโดยดี เพราะหากขายของได้เท่าใดเขาก็จะแบ่งเบี้ยให้ใช้ วันนี้เธอจึงกระตือรือร้นในการนั่งขายนัก

“แม่หญิง…เอ็งเป็นเมียไอ้กล้าแล้วใช่ไหม”

หญิงชาวบ้านที่นั่งใกล้ๆ กระซิบถามด้วยความอยากรู้ คราแรกนวลตั้งใจจะกล่าวปฏิเสธในทันที แต่ก็ต้องรีบหุบปากไว้เมื่อหันไปเห็นพวกอันธพาลนั่งร่ำสุราอยู่ไม่ไกลนัก…เพราะพวกมันกำลังเงี่ยหูฟังคำตอบของเธอด้วย

เมื่อเห็นสายตาของพวกอันธพาล เธอจึงเริ่มเข้าใจว่าทำไมครั้งนั้นพ่อกล้าไม่กล่าวปฏิเสธ ที่แท้เขาตั้งใจให้ชาวบ้านเข้าใจผิดเพื่อความปลอดภัยของเธอทั้งสิ้น เพราะสายตาชายฉกรรจ์พวกนั้นไม่น่าไว้วางใจเลยสักนิด หากพวกนั้นรู้ว่าเธอยังไม่มีผัว…ในยามค่ำคืนไม่มีใครคอยดูแล มันคงไม่ใช่เรื่องดีนัก

“ว่าอย่างไรเล่าแม่หญิง”

“เอ่อ ใช่จ้ะ…ข้าอยู่กินกับพี่กล้าได้เดือนกว่าแล้ว หม้อที่เอามาขายก็ของพี่กล้าทั้งนั้นจ้ะ”

“ข้าคิดไว้เชียว!” หญิงชาวบ้านอุทานพลางตบเข่าฉาด

“ทำไมล่ะจ๊ะ”

“แหม…ก็หนุ่มสาวปลูกเรือนติดกันเสียขนาดนั้น จักชอบพอกันก็มิใช่เรื่องแปลกอันใดดอก แม่ชีท่านก็คงตั้งใจให้เป็นเช่นนี้กระมังจึงปลูกเรือนให้เอ็งที่นั่น คงอยากให้ไอ้กล้ามันมีเหย้ามีเรือน มีหลานมาให้แม่ชีอุ้มเสียที” หญิงชาวบ้านอีกคนกล่าวตอบพลางส่งยิ้มอย่างเป็นมิตร “ข้าชื่ออุ่น…เอ็งเรียกข้าว่าป้าอุ่นก็ได้ ส่วนนี่หลานข้าชื่อนางยี่สุ่น เรือนพวกข้าอยู่ข้างหลังนี้เอง”

นางอุ่นเอ่ยอธิบายพลางชี้ให้ดูด้านหลัง ซึ่งเป็นเรือนไม้ไผ่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก “เอ็งมาอยู่ใหม่ๆ เช่นนี้คงมิคุ้นคนแถวนี้สักเท่าใด หากเอ็งมีกระไรให้ช่วยก็บอกข้าได้”

“ขอบน้ำใจจ้ะ”

“ว่าแต่…อยู่กับไอ้กล้าเป็นอย่างไรบ้างรึ” นางอุ่นกล่าวถามตามตรง “เขาเล่ากันทั่วตลาด ว่าตั้งแต่มีเมียไอ้กล้ามันก็แทบมิออกมาขายของ ส่วนเอ็งก็ดูซูบลงกว่าเมื่อครั้งอยู่กับแม่ชี…กลางค่ำกลางคืนไอ้กล้ามันทำเอ็งหนักเชียวรึ”

“โธ่ป้า! ป้าพูดกระไร!”

หญิงสาวอุทานเสียงดัง นวลแก้มสาวพลันแดงระเรื่อ “ป้าไปฟังใครเขาพูดมา”

“เอ็งจักตกใจทำไมเล่า เรื่องผัวๆ เมียๆ มันเรื่องธรรมดานัก ยามหนุ่มสาวข้าวใหม่ปลามันก็อย่างนี้ละ ข้าเข้าใจ…แต่เอ็งโชคดีหน่อยที่ได้ผัวดีกว่าใครเขา ไอ้กล้ามันเป็นคนขยันทำมาหากิน มั่งมีจนหาเงินส่งให้หลวงท่านได้ทุกปี มันจึงมิต้องไปเข้าเดือนออกเดือนอย่างใครเขา”

“แต่พักหลังมานี้มันแทบมิออกมาทำมาหากิน…ตั้งแต่มีเอ็งเป็นเมียนี่ละ”

นางอุ่นกล่าวตักเตือนด้วยความหวังดี เพราะเห็นพ่อกล้ามาตั้งแต่ยังเล็กจึงรักเสมือนลูกหลานคนหนึ่ง “ไอ้กล้ามันยังหนุ่มยังแน่นก็คงรักเมียหลงเมียเป็นธรรมดา แต่เอ็งก็ต้องบอกผัวออกมาขายของบ้างหนาแม่นวล เงินทองน่ะมีได้ก็หมดลงได้…ข้าเป็นห่วง”

 

ถ้อยคำของนางอุ่นทำให้นวลกลับมาคิดทบทวนทั้งคืน เพราะเห็นด้วยว่าที่นางอุ่นกล่าวนั้นเป็นความจริงทั้งสิ้น ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เธอก็ทำเขาเดือดร้อนจนไม่มีเวลาออกไปค้าขาย แม้กระทั่งเตาเผาที่สร้างขึ้นใหม่ก็กลายเป็นเตาเผาถ้วยของเธอไปเสียแล้ว หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปสักวันพ่อกล้าต้องหมดตัวเพราะเธอแน่

นึกได้เช่นนั้นนวลก็เอาแต่นั่งหน้าเศร้า โกรธตนเองเหลือเกินที่ไม่รู้จักเกรงใจเขาบ้าง เป็นเมียหรือก็ไม่ใช่…แล้วยังสร้างความเดือดร้อนให้เขาอีก

ในค่ำคืนนี้เธอก็ยังอยู่ใต้ถุนเรือนพ่อกล้าเช่นเคย สายตามองชายหนุ่มกำลังเรียงถ้วยในเตาเผาจนเสร็จ ถ้วยดินเหล่านี้ถูกเขียนลายและชุบน้ำเคลือบเรียบร้อยแล้ว เขาจึงนำเข้าเตาเผาครั้งที่สองเพื่อหลอมละลายน้ำเคลือบ ร่างสูงมุดเข้าไปเรียงถ้วยอยู่ครู่เดียว จากนั้นจึงออกมาจุดฟืนที่ปากเตาเพื่อให้เกิดความร้อนทีละน้อย

“พี่กล้า…พี่เหนื่อยหรือไม่” สุดท้ายนวลก็เอ่ยถามออกมาจนได้ นัยน์ตาคู่ใสที่มองพ่อกล้านั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด สร้างความงุนงงให้ชายหนุ่มมากนัก

“เอ็งเป็นกระไรไป”

“พี่เหนื่อยกับข้ามากเกินไปแล้วหนา…”

หญิงสาวก้มหน้าเอ่ยเสียงเศร้า “ข้าเพิ่งรู้ตัวว่าทำให้พี่วุ่นวายจนไม่มีเวลาออกไปขายของ ทุกวันนี้ข้าก็คอยเป็นตัวถ่วงหาเรื่องลำบากมาให้พี่ แม้กระทั่งเตาเผาหลังนี้…พี่ก็ยังมิได้ใช้เผาหม้อไหของตัวเอง หากพี่ยังมัวช่วยข้าจนมิได้ออกไปทำมาหากินเช่นนี้ สักวันพี่คงต้องหมดตัวเพราะข้าแน่ๆ”

“เอ็งเป็นกระไรไป”

พ่อกล้าถามซ้ำคำเดิมพลางขมวดคิ้วงุนงง นวลจึงลุกจากแคร่แล้วไปนั่งตรงหน้าเขา ร่างเล็กกอดเข่ามองเปลวไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ด้านใน พลันก็มีน้ำตารื้นด้วยความรู้สึกผิด

“ข้าทำให้พี่ลำบากเกินไปแล้ว ข้า…ข้ามันไม่ดีเอง”

พ่อกล้าเผลอยิ้มละมุนเมื่อเห็นนวลเริ่มทำหน้าเศร้า เมื่อนวลแก้มสาวมีน้ำตาหยดพร้อมกับเสียงสะอื้น เขาจึงขยับเข้าไปใกล้แล้วเอื้อมมือลูบเรือนผมเธอเพื่อปลอบประโลม

“นี่เอ็งผีเข้าหรือกระไร…ร้องไห้เป็นเด็กๆ ไปได้”

“พี่กล้า! ข้ามิได้ถูกผีเข้าสักหน่อย…มิใช่เด็กแล้วด้วย”

“อย่างนั้นรึ…เช่นนั้นก็เช็ดน้ำตาตนเองเสียเถิด” พ่อกล้ายื่นผ้าพาดบ่าของตนให้หญิงสาว ก่อนจะลุกไปสับท่อนฟืนเตรียมไว้อีกหลายกอง คืนนี้เขาจำเป็นต้องใช้ฟืนจำนวนมาก เพราะนอกจากจะใช้เผาถ้วยกระเบื้องให้นวลแล้ว วันพรุ่งนี้เขาต้องเตรียมเผาหม้อของตนเพื่อนำไปขายด้วย

“แต่ข้าทำให้พี่เดือดร้อน…”

“เอ็งมิได้ทำข้าเดือดร้อนกระไรดอก” พ่อกล้ากล่าวตอบตามตรง “ข้าพอมีทรัพย์ติดตัวจึงมิต้องไปค้าขายทุกวัน แลหากเอ็งไปช่วยนั่งขายของอย่างวันนี้ ข้าก็จักมีเวลาปั้นหม้อขายเพิ่มด้วย”

“เรื่องช่วยไปนั่งขายนั้นข้ายินดีนัก ข้ามิเอาเบี้ยจากพี่ก็ได้ แต่พี่มีเตาเผาอยู่หลังเดียวมิใช่รึ…หากข้ายังแย่งใช้เตาเช่นนี้แล้วพี่จักเผาหม้อไปขายได้อย่างไร”

“เหตุใดมิได้เล่า”

พ่อกล้าเผลอยิ้มเอ็นดู “เตานี้ใช้เผากระเบื้องให้เอ็งก็จริงอยู่…แต่ก็ใช่ว่าข้าจักเผาหม้อขายมิได้”

“พี่หมายความว่า…”

“เอ็งเห็นหม้อที่ข้าปั้นไว้หรือไม่ ข้าเอาผึ่งลมได้ราวสองวันแล้ว” พ่อกล้าเอ่ยอธิบายพลางชี้ไปยังลานกว้างด้านหลัง “วันพรุ่งข้าจักเผาหม้อไว้ให้เอ็งเอาไปขาย ข้าจักสุมไฟเผาตรงนั้น หากเอ็งอยากช่วย…วันพรุ่งก็มาช่วยข้าเรียงฟืนก็แล้วกัน”

นวลฟังคำอธิบายก็ยิ่งงุนงงมากกว่าเก่า เธอนั่งมองลานกว้างด้านหลังอยู่นานโข แต่เมื่อเข้าใจความหมายจึงส่งยิ้มให้ทั้งน้ำตา

เพิ่งนึกได้ว่าเครื่องปั้นดินเผาธรรมดานั้นไม่จำเป็นต้องใช้เตาเผา หากมีลานกว้างเช่นนี้ก็สามารถเผาได้โดยใช้ท่อนฟืนเรียงเป็นฐานด้านล่าง กลบหม้อดินเหล่านี้ด้วยฟางจากนั้นจึงจุดไฟ เติมฟางลงไปเป็นระยะเพื่อไม่ให้ไฟมอด…เรียกว่าการสุมไฟเผา

การทำเช่นนี้จะต้องอาศัยความชำนาญและต้องมีพื้นที่เป็นลานกว้าง นวลจึงไม่เห็นใครทำสักเท่าใดนัก แต่เพราะพ่อกล้านั้นเติบโตมากับเครื่องปั้นดินเผา อีกทั้งลานนี้อยู่ติดกับลำคลองที่สามารถคุมไฟได้ง่าย นวลจึงมั่นใจว่าจะไม่เกิดอันตรายแน่

“ได้จ้ะ…วันพรุ่งข้าจักมาช่วยพี่แต่เช้า”

นวลยกมือปาดน้ำตาตนเองเบาๆ หลังจากนี้เธอจะช่วยแบ่งเบาภาระเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาเดือดร้อนเพราะเธอมามากแล้ว…คงถึงเวลาต้องตอบแทนบุญคุณสักที



Don`t copy text!