อรุณแสงรัก บทที่ 13 : ไออุ่น

อรุณแสงรัก บทที่ 13 : ไออุ่น

โดย : SUDA

Loading

อรุณแสงรัก โดย  SUDA นวนิยายอ่านฟรีที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co กับเรื่องของ “นวล” หญิงสาวจากสวรรคโลก ที่ชีวิตพลิกผันจนต้องมาใช้ชีวิตในกรุงศรีอยุธยาและได้ร่วมหัวจมท้ายกับชายหนุ่มบ้านใกล้เรือนเคียงที่ความสัมพันธ์เริ่มต้นจากความสงสาร เพียงแค่อยู่ร่วมกันแต่ไม่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนแบบนี้จะเรียกว่าความรักได้หรือไม่

บรรยากาศยามเย็นท้ายคลองสระบัววันนี้ดูเงียบเหงานัก อาทิตย์อัสดงลับลงปลายไม้ ความมืดจึงเริ่มปกคลุมรอบกายมากขึ้นทุกที เสียงนกน้อยบินกลับรังดังแว่วมา ยิ่งดูเงียบเหงายามผสานกับเสียงแม่นวลที่นั่งร้องไห้ ร่างเล็กนั่งบนพื้นดินหน้าเตาเผา มือบางถือเศษถ้วยกระเบื้องไว้บนตัก น้ำตายังไหลออกมามิขาดสาย

“นางคนใจชั่ว…นางมารร้าย ทำข้าเจ็บแสบถึงเพียงนี้แล้วยังทำหน้าซื่อตาใส…” นวลยกมือปาดน้ำตาตนเองเบาๆ นัยน์ตาคู่ใสยังเจือความแค้น “ข้าอุตส่าห์อดหลับอดนอน ว่าจักได้เครื่องถ้วยพวกนี้ต้องลำบากเพียงใดรู้หรือไม่ กว่าจักเขียนลายได้แต่ละใบข้าต้องเสียหยาดเหงื่อแรงกายไปมากเท่าใด นางกล้าดีอย่างไรมาทำข้าเช่นนี้…”

หญิงสาวสะอื้นไห้ด้วยความแค้น เมื่อเห็นพ่อกล้านั่งมองอยู่จึงหันมาตวาดใส่ “พี่ก็เหมือนกัน! มาห้ามข้าทำไม ข้าเกือบจักได้ตบสั่งสอนนางแล้วเชียว นางทำเราเจ็บแสบถึงเพียงนี้ พี่มิโกรธบ้างเลยรึ”

“โกรธสิ…” พ่อกล้ากล่าวตอบ “แต่สิ่งที่เอ็งทำวันนี้มันมิใช่ทางออก รังแต่จักทำให้เรื่องวุ่นวายมากขึ้น แลยังไม่มีประโยชน์อันใด”

“ใครว่าไม่มีประโยชน์เล่า…ต่อให้ทำกระไรนางมิได้ แต่คนอย่างนางต้องถูกข้าชี้หน้าด่ากลางตลาดสักหนจักได้รู้จักอับอายเสียบ้าง เป็นถึงคุณหนูลูกเศรษฐีผู้สูงส่ง…แต่การกระทำต่ำช้านัก เครื่องถ้วยพวกนี้กว่าจักได้มาใช้เวลานานแรมเดือน กว่าจักเตรียมดินหมัก กว่าจักบดหินบดทรายเตรียมขี้เถ้า กว่าจักเตรียมฟืนไฟใช้เผาแต่ละหนลำบากมากเพียงใด เรื่องนี้นางต้องชดใช้!”

“ทำเช่นนั้นไปก็ได้เพียงความสะใจ…แต่ชาวบ้านจักนินทากันไปทั่วเมืองว่าเอ็งไปมีเรื่องกับคู่แข่ง คนภายนอกเขามิได้รู้เรื่องราวกับเราดอกหนา แต่หากเขาเล่าลือกันว่าเอ็งบุกไปตบฝ่ายนั้นถึงในร้าน เอ็งนั่นละจักเสียหาย”

พ่อกล้าเอ่ยอธิบายให้นวลได้สติ แต่เมื่อหญิงสาวเริ่มสะอื้นจนตัวโยน เขาจึงขยับกายเข้ามาใกล้แล้วโอบกอดร่างบางไว้แนบอก มือลูบเรือนผมงามอย่างทะนุถนอมแล้วปล่อยให้เธอร้องให้ในอ้อมอกเขา “ร้องออกมาเสียให้พอใจเถิดแม่นวล….แล้วหลังจากนี้เรามาเริ่มกันใหม่ ตราบใดที่ฝังนั้นยังไม่เริ่มปั้นเครื่องถ้วย เราก็ยังมีเวลา”

“แต่ข้าเหนื่อย…”

“เหนื่อยก็พักสักคืนสองคืนให้หาย แล้วกลับมาสู้ต่อให้ได้” พ่อกล้าเอ่ยกระซิบข้างหู มือหนายังลูบหลังเธอเบาๆ เพื่อปลอบโยน “ข้าก็จักคอยอยู่เคียงข้างเอ็งอย่างนี้ ไม่ว่าวันข้างหน้าจักต้องพบเจอสิ่งใดอีก เอ็งก็มิต้องกลัว…เข้าใจหรือไม่”

อ้อมกอดจากกายเขาทำให้นวลรู้สึกอบอุ่นนัก หญิงสาวนั่งร่ำไห้กอดซบอยู่ในอ้อมอกพ่อกล้าเสียจนพอใจ น้ำตาไหลเปื้อนเสื้อเขาเป็นวงกว้าง แต่กระนั้นพ่อกล้าก็ยังประคองกอดเธอไว้มิไม่ยอมปล่อย กระทั่งความเจ็บปวดในใจเธอเริ่มทุเลาลง หญิงสาวจึงพยักหน้ารับทั้งน้ำตา

“เช่นนั้นเรามาเริ่มต้นกันใหม่ ข้า…ข้าจักเข้มแข็ง ข้าสัญญา”

 

นวลและพ่อกล้ากลับมาเริ่มต้นหมักดินใหม่อีกครั้ง แม้เธอจะยังนึกโกรธหลี่เฟยหงไม่ทันหาย แต่หากมัวนั่งพิรี้พิไรอยู่ก็คงไร้ประโยชน์นัก เย็นวันนี้ทั้งสองจึงนำดินเหนียวตากแห้งมาบดเป็นผงละเอียดแล้วกรองเศษหินออก แต่ยังไม่ทันเสร็จก็ต้องชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาหา

“นั่น…พี่ขวัญรึ”

หญิงสาวผุดลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา พ่อขวัญจึงส่งยิ้มละมุนมาให้ สายตาคมเหลือบไปเห็นพ่อกล้าที่มองอยู่…แต่เขาก็แสร้งมองผ่านไปเสีย

“เอ็งเป็นอย่างไรบ้างแม่นวล”

“พี่นั่นละเป็นอย่างไรบ้าง ไปอยู่เรือนคนจีนพวกนั้นได้อย่างไร แล้วดูพี่นุ่งผ้าผ่อนก่อนเถิด…อย่างกับคนจีนจนข้าจำมิได้ คราแรกนึกว่าพี่เป็นพวกทาสของนางเสียอีก” นวลบ่นไปตามประสา ก่อนจะพาพ่อขวัญมานั่งใต้ถุนเรือนด้วยกันกับพ่อกล้า

“คืนนั้นพี่ถูกพวกโจรทำร้ายสาหัส แต่เรือของแม่หญิงจีนบังเอิญผ่านมาเห็นจึงได้ช่วยชีวิตพี่ไว้ รักษาตัวอยู่ในเรือนนางเป็นแรมเดือนจนหายเป็นปกติ…พี่จึงได้อยู่กับนางมานับแต่นั้น”

“แล้วเหตุใดพี่ไม่มาหาข้า”

“เพราะพี่คิดว่าเอ็งลืมเรื่องของเราไปเสียแล้ว…”

พ่อขวัญหันสบตาเธอด้วยแววตาเศร้าหมอง “ได้ยินสัปเหร่อบอกว่าเอ็งอยู่กินกับพ่อกล้าเป็นผัวเมีย พี่จึงมิอยากมาเห็นให้ต้องเจ็บใจเสียเปล่า…เพิ่งได้มารู้ความจริงจากปากเอ็งก็วันนี้”

ชายหนุ่มขยับเข้ามาใกล้แล้วคว้ามือเธอมากุมไว้อย่างทะนุถนอม โดยไม่ได้สนใจสายตาของพ่อกล้าที่มองมาเลยสักนิด “กลับสวรรคโลกด้วยกันเถิดหนาแม่นวล พี่จักพาเอ็งไปเริ่มชีวิตใหม่”

นวลปล่อยให้เขากุมมือไว้โดยดี แต่เมื่อพ่อขวัญจะพาเธอกลับสวรรคโลกหญิงสาวจึงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด ราวกับไม่อยากกลับไปอีกแล้ว

“พี่ขวัญ…ข้าขอคิดดูก่อนเถิด”

“ทำไมเล่า…”

พ่อขวัญขมวดคิ้วด้วยความงุนงง แต่เมื่อนวลหันไปสบตากับพ่อกล้าที่นั่งมองอยู่ข้างหลัง ชายหนุ่มจึงเริ่มเข้าใจว่าเธอกำลังคิดสิ่งใด “หรือเอ็งอยากอยู่ที่นี่ เช่นนั้นพี่จักอยู่กับเองด้วย…”

“คงทำเช่นนั้นมิได้ดอก” พ่อกล้ากล่าวตัดบทขึ้นมาทันที แม้จะพยายามทำตัวเป็นปกติ แต่ก็มิอาจปิดบังความขุ่นเคืองในสายตาได้ “คนทั้งเมืองต่างรู้ว่าแม่นวลเป็นเมียข้า คงประหลาดนักหากอยู่ๆ นางจักย้ายหนีไปอยู่กับชายอื่น”

“แต่เอ็งก็รู้ดีมิใช่รึ ว่าความจริงนางมิใช่…”

“ข้ารู้…แต่คนอื่นหารู้ด้วยไม่ หากเอ็งมิอยากให้แม่นวลเสียเกียรติถูกนินทาว่าเป็นหญิงสองผัว ก็จงหยุดความคิดนี้เสียเถิด” พ่อกล้าจ้องมองชายหนุ่มด้วยแววตาขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด “ข้ารู้ว่าเอ็งสองคนเป็นคู่หมายที่หวังจักได้อยู่เคียงกาย ข้าเองก็มิได้คิดขัดขวางกระไรดอก แต่หากแม่นวลจักเลือกไปกับเอ็ง…ก็คงต้องไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สวรรคโลกเท่านั้น”

“พี่กล้า…”

พ่อกล้ามิได้หันกลับมามองเธออีก ชายหนุ่มกล่าวจบเพียงเท่านั้นก็ขอตัวกลับเรือนตนไปทันที

นวลไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน ที่ผ่านมาพ่อกล้ามักไม่ยอมบอกว่ากำลังคิดสิ่งใด แต่วันนี้ความน้อยใจในสายตากลับชัดเจนจนเธอรู้สึกได้ หญิงสาวจึงบอกให้พ่อขวัญกลับไปก่อน…จากนั้นจึงวิ่งตามพ่อกล้าไปเรือนเขาอย่างรวดเร็ว

ร่างเล็กวิ่งตามพ่อกล้าจนลับหายไปจากสายตา พ่อขวัญจึงยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น…สายตาของเธอทำเขาหวั่นใจเหลือเกิน เวลาผ่านไปไม่ถึงปี แต่เหตุใดเธอจึงเปลี่ยนไปราวกับคนละคน แล้วเหตุใดชายหนุ่มผู้เพิ่งได้พบกันอย่างพ่อกล้าจึงทำให้ใจเธอหวั่นไหวได้ถึงเพียงนี้

พ่อขวัญยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นนานโข…นัยน์ตาคมเจือไปด้วยความหม่นหมอง

หรือใจเธอจะแปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว…

 

เหยียนตงถ่ายทอดวิชาการปั้นถ้วยลายครามให้พ่อขวัญทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเริ่มเตรียมดินไปจนถึงการเข้าเตาเผา บอกส่วนผสมและกรรมวิธีการทำน้ำเคลือบอย่างละเอียด รวมถึงการใช้สีครามจากหินแร่ชนิดหนึ่งด้วย แต่เวลาเพียงสามวันนั้นไม่มากพอที่จะปั้นเครื่องลายครามขึ้นมา พ่อขวัญจึงอาศัยการจำในสิ่งที่เหยียนตงถ่ายทอดให้

แม้เขาจะเป็นนายช่างธรรมดา แต่เพราะความฉลาดหัวไวจึงจำรายละเอียดได้ครบถ้วน บวกกับการอยู่หน้าเตาเผามาทั้งชีวิต…เหยียนตงจึงมั่นใจว่าพ่อขวัญต้องทำสำเร็จแน่

อาทิตย์อัสดงลับลงปลายไม้บรรยากาศรอบกายจึงมืดสนิทลงทุกที พ่อขวัญกับเหยียนตงยังอยู่ในโรงเก็บของหลังสวนดอกไม้ ชายหนุ่มสองคนนั่งร่ำสุรากันเงียบๆ ร่างสูงของเหยียนตงนั่งพิงเสาเหม่อมองท้องฟ้า นัยน์ตาแดงก่ำเพราะสุราเริ่มออกฤทธิ์

“อาหงเป็นอย่างไรบ้างรึ…พักหลังมานี้ข้าแทบมิเห็นหน้า”

“ไข้ขึ้นหลายวันแล้วขอรับ หมอยาจีนมาดูอาการให้ทุกวัน แม้จักดีขึ้นแล้วแต่ก็ต้องพักฟื้นในห้องเสียก่อน เพราะหากออกมาตากแดดตากลมอาจทำให้ไข้ขึ้นอีกได้”

“อย่างนั้นรึ…”

เหยียนตงได้ฟังก็เผลอยิ้มเศร้า “ข้าฝากดูแลนางด้วยก็แล้วกัน”

“ข้ารู้จักอาหงเมื่อสิบปีก่อน…ตั้งแต่นางยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อยตามพ่อของนางมาที่จิ่งเต๋อเจิ้น สมัยนั้นตระกูลข้ายังเป็นนายช่างปั้นดินอยู่ จึงทำเครื่องลายครามส่งให้พ่อของนางนำไปขาย”

“แล้วเหตุใดจึงมาที่นี่ได้เล่าขอรับ…”

“เพราะนอกจากจักส่งเครื่องลายครามให้พ่อของนาง ตระกูลข้าก็ยังปั้นเครื่องลายครามส่งให้ราชสำนักแลส่งให้พ่อค้าคนอื่นๆ ด้วย หลังจากเครื่องลายครามเป็นที่นิยมไปทั่วหล้า ตระกูลของข้าจึงเริ่มมีเงินทองขึ้นมา ข้าจึงเริ่มศึกษาการเดินเรือสมุทรจนเชี่ยวชาญ เพื่อค้าขายเองโดยมีราชสำนักสนับสนุน พักหลังมานี้จึงมีหน้าที่คุมเรือสำเภา นำเอาเครื่องลายครามของตระกูลส่งไปขาย”

“ส่วนอาหง…นางย้ายมาอยู่จิ่งเต๋อเจิ้นกับพ่อของนางเป็นสิบปี ข้าจึงเห็นนางตั้งแต่ยังเด็ก จนบัดนี้นางถึงวัยออกเหย้าออกเรือนแล้วข้าจึงให้ผู้ใหญ่ไปทาบทามสู่ขอ…แต่ยังมิทันไรนางก็ย้ายมาอยู่กรุงศรีอยุธยาเสียก่อน”

“แต่นางก็ไร้เยื่อใยกับข้านัก…”

พ่อขวัญนั่งฟังเงียบๆ ในใจนึกชื่นชมในความรักของเหยียนตงอยู่ไม่น้อย และเข้าใจหัวอกดีว่าต้องเจ็บปวดเพียงใด เพราะเขาเองก็ไม่ต่างกันนัก…เขาคอยเฝ้าทะนุถนอมแม่นวลตั้งแต่เธอยังเล็กจนเติบใหญ่ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่านวลรักเขาเสมือนพี่ชายเท่านั้น แม้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีใจ…แต่ก็ยังไม่หยุดรัก

ชายหนุ่มยกสุราขึ้นดื่มอีกครั้ง นัยน์ตาแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุราไม่แตกต่าง “ข้าก็เห็นนางไร้เยื่อใยกับทุกคน…มิใช่เพียงท่านดอกขอรับ”

“อย่างนั้นรึ”

เหยียนตงหัวเราะเบาๆ น้ำตาเอ่อเพราะฤทธิ์สุราเริ่มทำให้อ่อนไหว “แต่ข้ารักนางเหลือเกิน…”

“เมื่อใดหนอ…เมื่อใดนางจักเห็นรักของข้าเสียที”

 

เมื่อเหยียนตงคุมเรือสำเภาเดินทางกลับแล้ว พ่อขวัญจึงเริ่มปั้นเครื่องลายครามให้หลี่เฟยหง เขายังจำกรรมวิธีทั้งยี่สิบขั้นตอนได้ครบถ้วน บวกกับความชำนาญจึงทำให้ง่ายดายนัก เช้านี้ชายหนุ่มจึงเตรียมดินเกาลินไว้ให้พร้อมเพื่อให้หญิงสาวลองปั้นถ้วย

ซึ่งในขั้นตอนการปั้นถ้วยและเขียนลายนั้นเขาจะให้หลี่เฟยหงลงมือด้วยตนเอง เพราะหากเขาและพ่อกล้ามีหน้าที่เพียงอยู่หน้าเตาเผา ความงามของถ้วยที่ใช้ในการประลองฝีมือก็จะขึ้นอยู่กับความสามารถของหญิงสาวทั้งสองคนเท่านั้น

หากสุดท้ายแล้วฝีมือของหลี่เฟยหงสู้แม่นวลไม่ได้…เขาก็จำต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น

สองหนุ่มสาวขลุกตัวอยู่ในสวนดอกไม้หลังเรือนจนกระทั่งยามบ่าย ร่างเล็กของหลี่เฟยหงนั่งลงตรงหน้าแป้นหมุน พยายามนวดดินปั้นถ้วยอย่างตั้งใจแม้ออกมาดูทุลักทุเลนัก ส่วนพ่อขวัญกำลังยืนกอดอกพิงเสาพลางจ้องมองมาหา แต่เมื่อเห็นหญิงสาวเริ่มหน้าซีดผิดปกติ…เขาจึงเดินเข้ามาเอื้อมมือสัมผัสกายเธอเบาๆ จึงได้รู้ว่าเธอกำลังมีไข้

“แม่หญิง กลับไปพักก่อนเถิดขอรับ”

พ่อขวัญกล่าวเตือนด้วยความห่วงใย แต่หลี่เฟยหงกลับส่ายหน้าปฏิเสธแม้ความอ่อนเพลียปรากฏชัดเจนนัก “มิได้เด็ดขาด…ข้าเสียเวลามามากเกินไปแล้ว หากยังมิรีบปั้นถ้วยให้เสร็จแม่นวลคงได้เอาเครื่องถ้วยไปส่งก่อนข้า ข้าจักแพ้นางเพราะเรื่องแค่นี้มิได้”

“แต่แม่หญิงกำลังป่วย”

“ข้ามิเป็นไร” หลี่เฟยหงเงยหน้าส่งยิ้มจางๆ ก่อนจะก้มลงนวดดินแล้วปั้นถ้วยอีกครั้ง

เห็นเช่นนั้นพ่อขวัญก็นึกสงสารเธอนัก…เพราะแม้ร่างกายเจ็บป่วยแต่ก็ยังฝืนทำต่อให้ได้ คุณหนูผู้เย่อหยิ่งในคราได้พบกันวันแรก วันนี้กลับเป็นเพียงหญิงสาวเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนดินโคลน ที่กำลังปั้นถ้วยอย่างแข็งขัน

นึกไปแล้วเธอก็น่าเห็นใจไม่น้อย เพราะการประลองฝีมือครั้งนี้ต้องเดิมพันด้วยการค้าขายกับราชสำนักเธอจึงมิอาจพ่ายแพ้ บุปผาดอกนี้ยิ่งได้มองยิ่งน่าฉงนนัก ทั้งสดใสและอ่อนหวาน…แต่บางคราก็เข้มแข็งและหัวรั้นเกินใคร

หญิงสาวพยายามปั้นถ้วยอยู่สักพักหนึ่ง พ่อขวัญจึงขยับเข้าไปนั่งตรงข้ามแล้วช่วยสอนอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งได้ออกมาเป็นโถใส่เครื่องหอมใบใหญ่ ถ้วยชามมีฝาปิดหลายใบ กาน้ำชา และถ้วยชาใบเล็กครบชุด

รอจนกระทั่งเธอกลับเรือนไปแล้ว พ่อขวัญจึงมานั่งเกลาขอบถ้วยทั้งหมดให้เรียบร้อย ร่างสูงนั่งตรงหน้าแป้นหมุนพลางเก็บรายละเอียดท่าทางช่ำชอง เนื้อดินแม้สีขาวสะอาดแปลกตา และความเหนียวของดินไม่เหมือนที่เขาเคยสัมผัส แต่เพราะความสามารถของพ่อขวัญจึงทำให้ออกมางดงามได้ง่ายดายนัก

แม้ยังเหลือกรรมวิธีอีกหลายอย่างกว่าจะสำเร็จออกมาเป็นเครื่องลายคราม แต่พ่อขวัญมิได้กังวลเรื่องนี้สักเท่าใด คงต้องรอให้หญิงสาวฟื้นจากพิษไข้เสียก่อน…หากถึงขั้นตอนเขียนลายเมื่อใดจึงค่อยสอนเธออีกครั้ง



Don`t copy text!