อรุณแสงรัก บทที่ 11 : แผนร้าย

อรุณแสงรัก บทที่ 11 : แผนร้าย

โดย : SUDA

Loading

อรุณแสงรัก โดย  SUDA นวนิยายอ่านฟรีที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co กับเรื่องของ “นวล” หญิงสาวจากสวรรคโลก ที่ชีวิตพลิกผันจนต้องมาใช้ชีวิตในกรุงศรีอยุธยาและได้ร่วมหัวจมท้ายกับชายหนุ่มบ้านใกล้เรือนเคียงที่ความสัมพันธ์เริ่มต้นจากความสงสาร เพียงแค่อยู่ร่วมกันแต่ไม่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนแบบนี้จะเรียกว่าความรักได้หรือไม่

พ่อขวัญก่อเตาเผากระเบื้องขึ้นในสวนดอกไม้หลังเรือน โดยสร้างเป็นเตาประทุนขนาดพอเหมาะเพราะรู้ว่าจะใช้เผาเพียงชั่วคราวเท่านั้น ถึงอย่างไรหลี่เฟยหงก็ไม่มีทางผลิตเครื่องลายครามที่นี่ได้อย่างถาวร เพราะนอกจากจะไม่มีแหล่งดินขาวแล้ว หินแร่ที่นำมาใช้ให้เกิดสีครามก็ยังไม่มีอีกด้วย หากสั่งจากสำเภาจีนก็ยิ่งไม่คุ้มค่า…มองไปทางใดก็เห็นแต่เรื่องขาดทุนทั้งนั้น

เช้านี้หลี่เฟยหงมานั่งดูเขาก่อเตาเช่นกัน ร่างเล็กจิบชาอยู่ริมสวนพลางทอดสายตามองพ่อขวัญและทาสคนอื่นๆ วันนี้เขานุ่งเพียงกางเกงขายาวอย่างชาวจีน เปลือยท่อนบนเผยให้เห็นแผ่นอกแกร่ง เหงื่อผุดเป็นหยดทั่วกายด้วยความเหน็ดเหนื่อย

หญิงสาวนั่งมองเขาก่อนจะเงียบไปนานโข เธอเพิ่งรู้ว่าพ่อขวัญเป็นช่างฝีมือเก่งฉกาจกว่าที่คิด แววตาสุขุมเด็ดขาด และยังควบคุมการก่อเตาได้อย่างเป็นขั้นตอน ใช้เวลาไม่นานเตาก็เริ่มเป็นรูปร่างขึ้นมาให้เห็น

นึกได้เช่นนั้นหญิงสาวก็พลันถอนหายใจเสียงเบา แม้ไม่ถูกชะตากับเขาในคราแรก และยังดูแคลนว่าเขาเป็นยาจกพเนจรมาขอความช่วยเหลือ แต่เหตุใดหนอโชคชะตาจึงเล่นตลกกับเธอนัก…เพราะบัดนี้กลับมีเพียงเขาคนเดียวที่เธอจะพึ่งพาได้

คุณหนูตระกูลใหญ่ที่เคยอยู่อย่างสุขสบาย…เหตุใดชีวิตจึงตกต่ำเช่นนี้หนอ

 

ตะวันคล้อยลงลับปลายไม้พร้อมความมืดยามราตรีเริ่มเข้ามาแทนที่ ในเรือนใหญ่คืนนี้บรรยากาศยังเงียบเหงาดังเช่นเคย หลี่เฟยหงนั่งอยู่ในห้องหนังสือ เบื้องหน้ามีโคมกระดาษส่องแสงให้มองเห็น…ข้างประตูมีพ่อขวัญที่กำลังนั่งฟังเธออยู่เงียบๆ

หญิงสาวเปิดตำราออกมาให้เขาดูทีละเล่ม แต่เนื่องจากตำราเหล่านี้ล้วนเป็นอักษรจีนเธอจึงต้องอ่านแล้วแปลภาษาให้ “ตำราเหล่านี้ล้วนเกี่ยวกับการค้าขาย ซึ่งมิได้มีขั้นตอนการผลิตเครื่องลายครามที่ละเอียดนัก ข้าหยิบมาเพียงบางส่วน เพราะแค่ต้องศึกษาให้รู้จักสิ่งที่ตนเอามาขาย…มิใช่เพื่อรู้ละเอียดถึงขั้นตอนการสร้าง”

“เรื่องนั้นไม่เป็นไรดอกขอรับ…”

พ่อขวัญกล่าวตอบเสียงเบา “ถ้วยกระเบื้องเหล่านี้มีกรรมวิธีผลิตไม่ต่างกันมากดอก แม้แต่ลวดลายก็ยังมิต่างกันมากนัก ตั้งแต่จำความได้พ่อข้าก็สอนให้เขียนลายดอกเบญจมาศ…สอนให้เขียนลายดอกโบตั๋นอย่างชาวจีน ทั้งๆ ที่เกิดมาข้ามิเคยเห็นของจริงเลยสักครั้ง”

เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต…ชายหนุ่มก็นิ่งเงียบไปนานโข

“เมื่อก่อนเครื่องสังคโลกเคยเป็นที่นิยมไปทั่วทุกหนแห่ง เคยเป็นสินค้าส่งลงเรือสำเภาของกรุงศรีอยุธยา กระจายสินค้าออกไปทั่วทุกเมืองท่า แต่มาบัดนี้ทุกสิ่งกลับเปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมให้เห็น เครื่องสังคโลกของพวกข้าที่เคยรุ่งเรืองเหนือใคร…คงถึงเวลาต้องพ่ายแพ้ให้เครื่องลายครามแล้วกระมัง”

“สรรพสิ่งล้วนแปรเปลี่ยนตามกาลเวลา เจ้าจักรั้งให้สิ่งใดคงอยู่ตลอดกาลคงเป็นไปมิได้ดอก”

หลี่เฟยหงเอ่ยตอบก่อนจะหันสบตาชายหนุ่มอีกครั้ง “หากครั้งนี้ทำสำเร็จ เจ้าก็จักกลายเป็นนายช่างมากฝีมือ ย้ายไปอยู่จิ่งเต๋อเจิ้นแล้วปั้นเครื่องลายครามส่งมาให้ข้าขายก็ย่อมได้ เจ้าจักได้อยู่สุขสบาย…มีเงินทองใช้”

“ข้ามิทำเช่นนั้นดอกขอรับ”

พ่อขวัญส่งยิ้มจางๆ เมื่อได้ฟังข้อเสนอ “อย่างที่เคยบอกไว้ว่าข้าเติบโตมากับเครื่องสังคโลก แม้บัดนี้ใครมินิยม…แต่ข้าก็รักในวิชาของข้า หลังจากนี้เครื่องสังคโลกอาจไม่มีสิทธิ์ส่งลงเรือสำเภาไปขาย แต่ข้าจักยังปั้นเครื่องสังคโลกเลี้ยงชีพต่อไป…มิให้มันถูกเลือนหายไปจากแผ่นดินเกิด”

 

หลี่เฟยหงยังใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องหนังสือทุกค่ำคืน นอกจากจะเขียนบัญชีสินค้าตามปกติแล้ว เธอยังเริ่มสอนพ่อขวัญให้รู้จักใช้ลูกคิดอย่างชาวจีนอีกด้วย เพราะบิดานำทาสรับใช้ที่พอมีฝีมือกลับไปจำนวนมาก เธอจึงขาดคนช่วยขายของ แต่อาหลิวสาวใช้ก็เบาปัญญาเกินกว่าจะเรียนรู้ ทาสชายในเรือนคนอื่นๆ ก็ถนัดใช้แรงงานเพียงเท่านั้น

ชายหนุ่มถือรางลูกคิดไว้ในมือ สายตาจ้องมองลูกไม้เรียงเป็นแถวก่อนจะเริ่มทำความเข้าใจ เมื่อลองเลื่อนลูกไม้ในแต่ละหลักได้เพียงไม่นานก็ทำได้ หลี่เฟยหงจึงโล่งใจนัก…หากให้ถนัดมือกว่านี้พ่อขวัญคงใช้ได้คล่องเป็นแน่

พ่อขวัญรู้ตัวว่าถูกมองอยู่จึงเงยหน้าสบตา…หญิงสาวจึงรีบแสร้งหันไปเก็บกองหนังสือบนโต๊ะ แต่เมื่อเก็บหนังสือจนไม่เหลือให้เก็บแล้วจึงหันกลับมาหา

“อีกไม่นานเหยียนตงคงกลับมาถึง…หากได้ของมาแล้วเจ้าจักเริ่มปั้นอย่างไร”

“คงต้องหมักดินเสียก่อน”

พ่อขวัญกล่าวตอบพลางก้มลงเลื่อนลูกคิดในมือ “แต่ข้าว่าดินเหล่านี้คงหมักมาตั้งแต่ในเรือแล้วกระมัง แลหากเป็นเช่นนั้นก็เพียงนำมานวดแล้วขึ้นรูปได้ทันที แต่ว่ากันตามตรง…ดินขาวที่ได้มาคงไม่เหมือนที่ข้าเคยเห็น ข้าต้องลองสัมผัสดูก่อน”

“ดินขาวเหล่านี้พวกข้าเรียกว่าดินเกาลิน”

หลี่เฟยหงกล่าวตอบ “เนื้อดินสีขาวละเอียดคล้ายสีงาช้าง เมื่อเผาออกมาจึงได้สีขาวสว่างอย่างที่เห็นในเครื่องลายคราม แต่ข้าก็มิรู้ว่าต้องผสมอย่างอื่นก่อนปั้นขึ้นรูปหรือไม่ แล้วเครื่องสังคโลกอย่างที่เจ้าเคยทำเล่า…ต้องผสมเนื้อดินก่อนหรือไม่”

“ดินเหนียวล้วนเท่านั้นขอรับ”

“แม้ทรายสักเม็ดก็ใส่ลงไปมิได้…หาไม่แล้วจักทำให้ถ้วยแตกเมื่อเข้าเตาเผา”

 

ชายหนุ่มใช้เวลาก่อเตาเพียงไม่ถึงเดือนก็แล้วเสร็จ แต่ก็ต้องปล่อยเตาทิ้งไว้เสียก่อนเพราะวัตถุดิบอื่นยังเดินทางมาไม่ถึง ในขณะที่นวลกับพ่อกล้าเริ่มหมักดินเหนียวไว้ตั้งแต่แรกแล้ว จนบัดนี้ดินหมักของนวลพร้อมใช้แล้วจึงสร้างความร้อนใจให้กับหลี่เฟยหงนัก

หญิงสาวให้อาหลิวไปสืบและได้ข่าวว่านวลใกล้จะเริ่มนวดดินแล้ว เธอจึงยิ่งร้อนรนจนนั่งไม่ติดที่ กลัวเหลือเกินว่านวลจะปั้นถ้วยสำเร็จก่อนที่เรือสำเภาของเหยียนตงจะมาถึง…เธอจะพ่ายแพ้เพราะเรื่องแค่นี้ไม่ได้เป็นอันขาด

ทั้งวันเธอจึงเอาแต่นั่งหน้าเครียดคิดไม่ตก เวลาผ่านไปจนดึกสงัดแล้วแต่ก็ยังมีแสงโคมไฟเล็ดลอดออกมาจากห้องหนังสือ ร่างเล็กเดินวนไปมาในห้องด้วยท่าทางร้อนใจ ดวงหน้างามเจือความวิตกเสียจนเริ่มวิปลาส เธอต้องหาทางทำลายดินหมักของนวลให้ได้…หาไม่แล้วนวลคงปั้นถ้วยเสร็จก่อนเธอแน่

“คุณหนู…เป็นกระไรไปเจ้าคะ” อาหลิวกล่าวถามด้วยความงุนงง

หลี่เฟยหงยืนมองสาวใช้ของตนพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคว้ามืออาหลิวให้วิ่งตามมาทันที “คุณหนู! จักพาข้าไปไหนเจ้าคะ!”

อาหลิวร้องถามท่าทางตื่นตระหนก ผู้เป็นนายไม่ได้เอ่ยตอบแต่กลับดึงมือสาวใช้ให้วิ่งตามมาอย่างนั้น จนกระทั่งถึงหลังเรือนแล้วหญิงสาวจึงควานหาถุงผ้าเก่าๆ ในครัวราวกับคนเสียสติ เธอจำคำที่พ่อขวัญกล่าวได้แม่นยำนัก ว่าดินที่ปั้นเครื่องสังคโลกได้ต้องเป็นดินเหนียวล้วนเท่านั้น

“แม้ทรายสักเม็ดก็ใส่ลงไปมิได้…”

“หาไม่แล้ว…จักทำให้ถ้วยแตกเมื่อเข้าเตาเผา…”

“อาหลิว เจ้าช่วยข้าที!”

หลี่เฟยหงตักเอาทรายหลังเรือนใส่ถุงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยัดใส่มือสาวใช้ที่ยืนทำหน้าฉงน เมื่ออาหลิวรับไว้แล้วเธอจึงเอ่ยกระซิบออกคำสั่ง เนื้อตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดวิตก น้ำตาเริ่มเอ่อออกมาเพราะเริ่มสับสนว่าตนทำถูกแล้วหรือไม่

แต่การประลองครั้งนี้เดิมพันด้วยการส่งเครื่องถ้วยเข้าราชสำนัก…เธอจะแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด

 

แสงอรุณสาดส่องเป็นสัญญาณของวันใหม่ ที่เรือนหลังน้อยของนวลบรรยากาศสดชื่นแจ่มใส สองหนุ่มสาวช่วยกันตักดินหมักออกมาผึ่งลมอย่างแข็งขัน ดินพวกนี้นวลเริ่มหมักไว้แรมเดือนจนเริ่มพร้อมใช้แล้ว วันนี้จึงนำออกมาผึ่งใต้ถุนเรือนเพื่อเตรียมปั้นถ้วย

แต่ทันทีที่สัมผัสเนื้อดิน หญิงสาวก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ…เหตุใดดินหมักรอบนี้จึงมีเนื้อสัมผัสแตกต่างจากครั้งก่อนนัก เมื่อเธอยืนทำหน้างุนงงอยู่ตรงนั้นพ่อกล้าจึงเดินเข้ามาหา

“มีกระไรรึ”

“พี่ว่าดินรอบนี้ดูแปลกๆ ไหม”

พ่อกล้าได้ยินคำถามจึงเดินเข้ามาหาพลางชะโงกหน้าดูในโอ่ง แต่เพียงมองจากสายตานั้นมิอาจพบความแตกต่างได้ ดูอย่างไรก็เป็นดินเหนียวหมักสีโคลนธรรมดาเท่านั้น

แต่เมื่อใช้มือสัมผัสแล้วลองปั้นเป็นก้อน…เขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติอย่างที่นวลว่าไว้

“แปลก”

ชายหนุ่มกล่าวตอบเสียงเบา “เนื้อดินร่วนกว่าปกติ…เอ็งมิได้เผลอทำทรายแก้วหล่นลงไปใช่ไหม”

“ข้าเปล่าสักหน่อย” นวลส่ายหน้าปฏิเสธทันที “ทรายแก้วกองอยู่เรือนพี่ ยังมิได้บดผสมน้ำเคลือบเสียด้วยซ้ำ แล้วข้าจักเอามาทำไม”

แม้กล่าวตอบไปอย่างนั้นแต่นวลเองก็รู้สึกไม่ต่างจากเขานัก แต่เพราะหากมีทรายผสมจำนวนไม่มากก็ยากจะแยกความต่างได้…นวลจึงนำดินออกมาผึ่งลมให้เรียบร้อยแล้วนำไปปั้นขึ้นรูปตามปกติ เสร็จแล้วจึงให้พ่อกล้านำเข้าเตาเผา

 

การเผาดินรอบแรกยังเห็นเป็นถ้วยดินเช่นเคย…หญิงสาวจึงโล่งใจนัก เธอนำถ้วยดินเผากลับมาเขียนลายอย่างประณีตสุดฝีมือ เขียนลายพรรณพฤกษารอบขอบถ้วยและฝาถ้วย อีกทั้งยังมีพานเชิงและกาน้ำชาเข้าชุด เสร็จแล้วจึงช่วยพ่อกล้าบดหินผสมน้ำเคลือบแล้วเผาครั้งที่สอง

แต่เมื่อเปิดเตาเผาอีกครั้ง…นวลก็แทบเป็นลมหมดสติ

เพราะถ้วยกระเบื้องนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ทุกใบ แตกจากด้านในราวกับเนื้อดินทนความร้อนไม่ได้

“นี่มันเรื่องกระไรกัน…” หญิงสาวหมดแรงทรุดตัวลงกับพื้น ก่อนจะหยิบเศษกระเบื้องเหล่านั้นขึ้นมาดูทั้งน้ำตา มือไม้สั่นเสียจนทำมันหล่นอีกหลายหน

“พี่กล้า…เกิดกระไรขึ้น…มันเกิดกระไรขึ้น…”

พ่อกล้าเห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึงไม่ต่างจากนวลนัก แม้เขาเอะใจตั้งแต่แรกแล้วว่าเนื้อดินเหนียวครั้งนี้ดูแปลกไป แต่ก็ไม่คิดว่าจะกลายเป็นเช่นนี้ได้ ถ้วยกระเบื้องแตกเสียหายทุกใบราวกับมีใครวางแผนไว้

ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่…

นึกได้เช่นนั้นพ่อกล้าก็ผุดลุกไปดูรอบโอ่งหมักดินทันที ร่างสูงก้มๆ เงยๆ มองหาความผิดปกติอยู่พักใหญ่ ก่อนจะสะดุดตากับลูกปัดหินลวดลายสวยงามที่ตกอยู่บนพื้น ราวกับมีใครเคยทำสร้อยข้อมือขาดจนลูกปัดหินกระเด็น…แล้วเก็บคืนไปไม่ครบ

นวลเห็นพ่อกล้ายืนนิ่งจึงเดินเข้ามาหา มือบางหยิบลูกปัดหินนั้นขึ้นมาดูทั้งน้ำตา

“คงมีแต่แม่หญิงคนจีนกระมัง…ที่จักใส่สร้อยลูกปัดหินเช่นนี้”

หญิงสาวเอ่ยลอดไรฟันด้วยความคับแค้นใจ ก่อนจะยกมือปิดหน้าร้องไห้ออกมาอีกหน เธอมั่นใจว่าต้องเป็นฝีมือของหลี่เฟยหงแน่ ยิ่งถูกเล่นสกปรกเช่นนี้ความโกรธจึงยิ่งเพิ่มเป็นเท่าทวี

เธอจะยอมแพ้ไม่ได้…

จะแพ้แม่หญิงใจทรามเช่นนางไม่ได้เป็นอันขาด…



Don`t copy text!