อรุณแสงรัก บทที่ 15 : ยื่นคำขาด
โดย : SUDA
อรุณแสงรัก โดย SUDA นวนิยายอ่านฟรีที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co กับเรื่องของ “นวล” หญิงสาวจากสวรรคโลก ที่ชีวิตพลิกผันจนต้องมาใช้ชีวิตในกรุงศรีอยุธยาและได้ร่วมหัวจมท้ายกับชายหนุ่มบ้านใกล้เรือนเคียงที่ความสัมพันธ์เริ่มต้นจากความสงสาร เพียงแค่อยู่ร่วมกันแต่ไม่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนแบบนี้จะเรียกว่าความรักได้หรือไม่
พ่อขวัญใช้เวลาอยู่ร้านเครื่องลายครามเป็นส่วนใหญ่ นอกจากจะช่วยเธอขายของแล้วยังเป็นแรงงานช่วยขนเครื่องลายครามด้วย ตกเย็นจึงกลับมาเตรียมสีเขียนลายที่โรงเก็บของหลังสวนดอกไม้
ตะวันเริ่มลับแสงไปแล้วบรรยากาศหลังสวนจึงดูเงียบเหงา ร่างสูงนั่งทำงานในโรงเก็บของคนเดียว แต่วันนี้ดูผิดแปลกไปจากทุกวันเพราะทาสหนุ่มในเรือนหายไปบางส่วน รวมถึงชิงหลัวด้วย เขามิเห็นหน้าตั้งแต่เช้า…จนตะวันใกล้ลับแสงก็ยังไม่รู้ว่าชิงหลัวหายไปที่ใด
แต่กระนั้นพ่อขวัญก็มิได้สนใจนัก ชายหนุ่มนั่งขัดถ้วยชามและโถใบใหญ่ เตรียมทุกอย่างให้พร้อมเพื่อให้หลี่เฟยหงเริ่มเขียนลายในวันพรุ่งนี้ แต่ยังมิทันเสร็จก็เห็นสาวใช้เดินทำลับๆ ล่อๆ ที่เรือนทาสข้างหลังสวน ร่างเล็กเดินตัวปลิวเข้าไปในครัวพร้อมกวาดสายตามองรอบกายราวกับกลัวใครเห็น พ่อขวัญรู้สึกผิดสังเกตจึงแอบสะกดรอยตามไป
“คุณหนูให้ข้าเอาหมั่นโถวไปให้เขา”
หญิงสาวเอ่ยกับสาวใช้อีกคน ก่อนจะเปิดฝาหม้อออกแล้วรีบหยิบเอาหมั่วโถวเจ็ดลูกมาใส่ห่อให้เรียบร้อย “จับตัวเขามาขังไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว ตอนนี้อาหลัวกับคนอื่นๆ กำลังเฝ้าไว้มิให้หนี แต่เห็นอาหลัวบอกว่าเขาไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ จนเจียนจะมืดแล้ว…น้ำสักหยดก็ไม่ยอมแตะ”
“ก็เราจับตัวมาเช่นนี้เขาจะยอมกินได้อย่างไร…คงคิดระแวงว่าอาหารมียาพิษ”
“โธ่! พวกเรามิได้ใจร้ายขนาดนั้นสักหน่อย คุณหนูแค่ให้จับมาขังไว้ไม่กี่วันเท่านั้น หากคุณหนูทำเครื่องลายครามเสร็จเมื่อใดก็จักรีบปล่อยกลับ แต่หากเขาไม่ยอมกินข้าวกินน้ำเช่นนี้คงได้อดตายแน่ เราจักทำเขาตายมิได้เป็นอันขาด”
สาวใช้ยืนสนทนากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยมิรู้ตัวสักนิดว่าพ่อขวัญยืนกอดอกพิงประตูอยู่ด้านหลัง…เขาได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำนัก แม้สาวใช้มิได้เอ่ยออกมาว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใคร แต่หากพูดถึงเรื่องเครื่องลายครามเช่นนี้ก็คงเดาได้ไม่ยาก
เมื่อห่อหมั่นโถวและอาหารอื่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว สาวใช้ทั้งสองจึงรีบเดินออกมาเพราะกลัวจะถึงที่หมายหลังฟ้ามืด แต่ก็พลันสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นชายหนุ่มยืนอยู่ตรงนี้
“พ่อขวัญ!”
“มะ…มีกระไรหรือพ่อขวัญ!”
เห็นท่าทางตื่นกลัวของสาวใช้ พ่อขวัญก็ยกยิ้มมุมปากเบาๆ แววตาคมเรียบนิ่งเสียจนมองไม่ออกว่าคิดสิ่งใด “ไม่มีกระไรดอก ข้าหิว…จึงมาขอหมั่นโถวกินเท่านั้น”
“อ้อ! อยู่ข้างใน…อยากได้เท่าใดก็ไปหยิบเอาเถิด”
หญิงสาวเอ่ยเสียงสั่น เมื่อชายหนุ่มพยักหน้ารับสาวใช้จึงรีบขอตัวออกไปทันที ร่างเล็กเดินตัวปลิวไปด้วยท่าทางตื่นกลัว แต่กระนั้นก็ยังหันมากระซิบกระซาบน้ำเสียงกังวลนัก
“เขาจะได้ยินที่เราพูดหรือไม่…”
“คงฟังไม่รู้เรื่องดอก” สาวใช้อีกคนเอ่ยตอบแล้วจูงมืออีกฝ่ายให้รีบเดินโดยเร็ว “เรารีบไปกันเถอะ”
แม้กระซิบเสียงเบาสักเพียงใดพ่อขวัญก็ได้ยินชัดเจนนัก ร่างสูงเดินเข้าไปในครัวอย่างเชื่องช้า แสร้งเปิดฝาหม้อแล้วหยิบเอาหมั่นโถวมากัดคำหนึ่ง…เมื่อสาวใช้เดินลับหายไปแล้วเขาจึงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
เขาอยู่ที่นี่…กินอยู่กับพวกทาสชายทั้งวันทั้งคืนมาเกือบปีแล้ว คนในเรือนนี้ก็มักสนทนภาษาจีนเป็นหลัก…เหตุใดเขาจะฟังไม่รู้เรื่อง
ชายหนุ่มวางหมั่นโถวไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเดินสะกดรอยตามไปทันที
สาวใช้ทั้งสองเดินเลียบแม่น้ำมาไกลโขจนกระทั่งถึงชายป่า ข้างในมีกระท่อมหลังน้อยและทาสหนุ่มชาวจีนอีกสามคนคอยเฝ้าระวังภัยให้ พ่อกล้าถูกมัดมือไขว้หลังอยู่ด้านใน ร่างสูงนั่งเงียบไม่ยอมพูดจา โดยมีชิงหลัวคอยอยู่ข้างๆ
“อย่ากลัวไปเลย…พวกข้ามิได้คิดทำร้าย เพียงทำตามคำสั่งคุณหนูเท่านั้น”
“ใช่” สาวใช้เอ่ยสมทบ ก่อนจะเปิดประตูกระท่อมเข้ามาหา “พวกข้ามิใช่คนใจไม้ไส้ระกำกระไร เจ้าถูกจับตัวมาตั้งแต่เช้าคงหิวไม่น้อย ยอมกินอาหารที่พวกข้าเอามาให้เถิด”
หญิงสาวนั่งลงข้างกายแล้วแกะเอาหมั่นโถวและอาหารวางไว้ให้ แต่เมื่อเห็นพ่อกล้าถูกมัดมืออยู่ จึงหันมองชิงหลัวด้วยความงุนงง “แล้วจักให้กินอย่างไร”
“เจ้าก็ป้อนสิ” ชิงหลัวเอ่ยตอบ “กว่าจะจับตัวมาได้พวกข้าก็ถูกทำร้ายฟกช้ำไปทั่วตัว หากแก้มัดแล้วเกิดเขาหนีไป…มีหวังตามไปไม่ทันแน่”
“ก็ได้ๆ ข้าป้อนเอง” สาวใช้ขยับลงมานั่งตรงหน้า ก่อนจะหยิบหมั่นโถวยื่นให้เขา “อ้าปากเร็ว”
พ่อกล้ายังคงนั่งเงียบ ใบหน้าคมหันมาสบตาสาวใช้อยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็เบือนหน้าหนี
“ข้าไม่หิว”
“ไม่หิวได้อย่างไร…เจ้ามิได้กินกระไรตั้งแต่เช้า” สาวใช้ถอนหายใจเสียงเบา “อย่าดื้อรั้นไปเลย อาหารพวกนี้ไม่มียาพิษดอก หรือเจ้าอยากกินอย่างอื่น เช่นนั้นข้าจักหามาให้…พวกข้ามิได้อยากให้เจ้าอดตายไปดอกหนา”
กล่าวยังมิทันจบคำสาวใช้ก็พลันนิ่งชะงักเมื่อประตูกระท่อมเปิดออกมาอีกครั้ง หลี่เฟยหงเดินเข้ามาหาด้วยกิริยาสงบนิ่ง เพราะเริ่มมืดแล้วในมือเธอจึงมีโคมกระดาษเล็กๆ ถือติดมือมาด้วย “เป็นจริงอย่างที่นางว่า อาหารพวกนี้ไม่มียาพิษดอก ข้ามิได้คิดทำร้ายเจ้าถึงตาย…เพียงขอเวลาสักวันสองวันเท่านั้น”
พ่อกล้าเงยหน้าสบตาหลี่เฟยหงอยู่นานโข เมื่อเขาไม่ยอมตอบเธอจึงวางโคมกระดาษไว้ข้างประตู แล้วก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้า
“ทนอยู่ที่นี่ไปก่อนเถิด รอให้ข้าเขียนเครื่องลายครามเสร็จก่อนแล้วจักรีบปล่อยเจ้าไป เพราะข้านำดินแลหินแร่มาผลิตเครื่องลายครามที่นี่ ข้าจึงเสียเปรียบพวกเจ้านัก…แต่หากมิทำเช่นนี้ข้าคงนำเครื่องถ้วยไปส่งมิทัน ข้ามิอาจปล่อยให้พวกเจ้าทำเสร็จก่อนได้…”
“จำเป็นต้องทำขนาดนี้เชียวรึ”
“เรื่องนี้มิต้องถามข้าดอก” หลี่เฟยหงฟังคำถามก็เหยียดยิ้มมุมปากเบาๆ “หากพวกเจ้าเผาเครื่องถ้วยเสร็จก่อนข้า…มีหรือนางจักยอมรอเอาไปส่งวังหลวงพร้อมกัน นางเองก็ต้องการชัยชนะ ข้าเองก็ต้องการ ไม่ว่าด้วยเล่ห์หรือกลใด หากทำแล้วได้ชัยชนะมาก็จำเป็นต้องทำทั้งนั้น”
“อย่างนั้นรึ…”
น้ำเสียงเย็นยะเยือกดังมาจากด้านหลังทำให้หญิงสาวสะดุ้งเฮือก เพราะประโยคหลังมิใช่เสียงของพ่อกล้า…แต่เป็นเสียงบุรุษที่คุ้นหู
เพียงครู่เดียวประตูกระท่อมก็ถูกเปิดออกมาพร้อมพ่อขวัญยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สายตาชายหนุ่มที่มองมาทำให้หลี่เฟยหงยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก
“พวกเจ้าออกไปก่อนได้หรือไม่…ข้าขอคุยกับแม่หญิงตามลำพัง” พ่อขวัญหันไปเอ่ยกับชิงหลัวและสาวใช้ เพราะบรรยากาศในกระท่อมชวนอึดอัดนัก…บรรดาทาสทั้งหมดจึงรีบปลีกตัวออกไปในทันที ปล่อยให้พ่อขวัญ พ่อกล้า และหญิงสาวอยู่ด้านในตามลำพังเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าบุรุษผู้มาเยือนเป็นใคร พ่อกล้าจึงเงยหน้าสบตาพลางเอ่ยขอร้อง “พ่อขวัญ…ข้าเริ่มอุ่นเตาคืนนี้คืนที่สองแล้ว หากมิรีบกลับไปอีกเพียงชั่วยามเดียวไฟก็คงมอด…แลเครื่องถ้วยก็จักเสียหาย หากนางไม่ยอมปล่อยตัวข้าจริงๆ เอ็งไปช่วยแม่นวลแทนข้าได้หรือไม่…ถือว่าเห็นแก่แม่นวลเถิด”
ถ้อยคำของพ่อกล้าทำให้หลี่เฟยหงนิ่งชะงัก ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก
“พวกเจ้า…พวกเจ้ารู้จักกันรึ!”
“พวกข้ารู้จักกันหรือไม่…มันมิสำคัญดอกขอรับ” พ่อขวัญเอ่ยเสียงเรียบ “สิ่งที่สำคัญกว่า…คือแม่หญิงทำเช่นนี้ได้อย่างไร!”
ถูกพ่อขวัญตวาดใส่เช่นนี้หลี่เฟยหงก็พลันนิ่งชะงัก น้ำตาเอ่อออกมาด้วยความเจ็บปวด “เจ้ากล้าดีอย่างไรมาขึ้นเสียงใส่ข้า…ลืมไปแล้วรึว่าเจ้าอยู่ในเรือนข้าในฐานะใด การแข่งขันครั้งนี้ข้าต้องชนะเท่านั้น หาไม่แล้วจักไม่มีสิทธิ์ส่งเครื่องลายครามให้ราชสำนัก ไม่ว่าวิธีจักสกปรกเพียงใดข้าก็ต้องทำ เข้าใจหรือไม่!”
พ่อขวัญยังจ้องมองหญิงสาวด้วยแววตาเรียบนิ่ง แม้อีกฝ่ายเริ่มมีน้ำตาเอ่อ
“ข้ามิเข้าใจดอกขอรับ…” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาในที่สุด “เช่นนั้นข้าขอตัวลา”
“เจ้าจะไปไหน!”
“ไปตามทางของข้า” พ่อขวัญเอ่ยเสียงเบา “ขอบน้ำใจแม่หญิงนักที่ให้ข้าได้พึ่งบารมีมาเกือบปี…แต่ข้ามิอาจอยู่ร่วมกับคนไร้คุณธรรมเช่นนี้ได้ หานายช่างคนใหม่มาปั้นเครื่องลายครามแทนข้าเถิด”
“ไม่! ไม่!”
เมื่อพ่อขวัญหันหลังกลับ หญิงสาวจึงรีบปรี่เข้าไปคว้าแขนเขาไว้ทันที “ข้ามิให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น! ทำไมเจ้าต้องขัดคำสั่งข้าอยู่เรื่อย หากบอกว่าเจ้ายึดมั่นในคุณธรรม…แล้วเหตุใดจึงปล่อยให้คุณธรรมของเจ้ามาทำร้ายข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้ามีบุญคุณแท้ๆ แต่เหตุใดเจ้าจึงเข้าข้างพวกมันนัก เห็นพวกมันสำคัญกว่าข้าได้อย่างไร!”
ถ้อยคำของหญิงสาวพรั่งพรูออกมาพร้อมรอยน้ำตา ร่างเล็กโผเข้าไปหาแล้วทุบตีบนแผ่นอกแกร่งด้วยความโกรธ “ทำไม! ทำไมเจ้ามิเคยเชื่อฟังข้า ทำไมมิเคยทำตามคำสั่งข้า…”
เมื่อหลี่เฟยหงสะอื้นไห้จนตัวโยน พ่อขวัญจึงรวมสองมือบางมาจับไว้แน่น นัยน์ตาคมแดงก่ำด้วยความเจ็บปวดมิต่างกันนัก เขาไม่อยากเห็นเธอร้องไห้…แต่หากจะปล่อยให้เธอทำผิดเช่นนี้คงไม่ดีนัก อาจเพราะเธอเป็นหญิงสูงศักดิ์ที่ถูกตามใจเสมอมา จึงกล้าทำทุกอย่างที่ต้องการโดยมิสนถูกผิด
แต่เขาจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้…จะยอมตามใจจนเธอเสียคนมิได้เป็นอันขาด
“ข้าจักไปที่เรือนแม่นวล” พ่อขวัญเอ่ยออกมาในที่สุด “หากแม่หญิงไม่ยอมปล่อยเขา…เช่นนั้นข้าจักช่วยเผาเครื่องถ้วยให้นางเอง”
“พ่อขวัญ! เมื่อครู่เจ้าพูดกระไร!”
“ได้ยินมิผิดดอกขอรับ…” พ่อขวัญเอ่ยย้ำคำเก่า สองมือยังรวบมือบางไว้แน่น “หากแม่หญิงไม่ยอมปล่อยพ่อกล้ากลับไปเผาเครื่องถ้วย เช่นนั้นข้าจักไปเผาเครื่องถ้วยให้แม่นวลเอง”
“เจ้าจักทำเช่นนั้นได้อย่างไร! กล้าไปช่วยศัตรูของข้าได้อย่างไร!”
“ข้าทำแน่…หากแม่หญิงยังไร้คุณธรรมอยู่เช่นนี้” พ่อขวัญโน้มใบหน้าลงมาใกล้ นัยน์ตาคมมีน้ำตาเอ่อ “ข้าให้เวลาอีกเพียงชั่วยามเดียว หากยังมิยอมทิ้งทิฐิของตนแล้วยอมรับความผิด…แม่หญิงจักมิได้เห็นหน้าข้าอีกต่อไป…”
กล่าวจบคำพ่อขวัญก็หันหลังเดินจากไปในความมืด ปล่อยให้หลี่เฟยหงทรุดตัวร่ำไห้อยู่ตรงนั้น สาวใช้และทาสคนอื่นๆ ได้ยินเสียงเธอกรีดร้องจึงรีบกลับมาหาโดยเร็ว
“คุณหนู! เกิดกระไรขึ้น! เกิดกระไรขึ้นเจ้าคะ!”
หลี่เฟยหงเอาแต่สะอื้นไห้อยู่ตรงนั้น เจ็บปวดนักที่เขากล้าบังคับให้เธอทำตามที่เขาต้องการอย่างนี้ เหตุใดเขาจึงยึดมั่นในคุณธรรมเสียจนกล้าทำร้ายจิตใจเธอถึงเพียงนี้ เหตุใดเขาใจร้ายนัก…เหตุใดเขาใจร้ายเหลือเกิน
“แม่หญิง…ยอมรับความจริงเถิดขอรับ” พ่อกล้านั่งฟังอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุด “ไม่ว่าแม่หญิงจักต้องการเอาชนะมากเพียงใด แต่คนอย่างพ่อขวัญ…ไม่มีวันทำร้ายแม่นวลดอกขอรับ”
“ทำไม…ทำไมเขาเห็นนางสำคัญกว่าข้า…”
หญิงสาวยังยกมือปิดหน้าสะอื้นไห้ ความเจ็บปวดที่มีในวันนี้ทำให้ทุกคนเดาได้ไม่ยากว่าเธอกับพ่อขวัญรู้สึกต่อกันอย่างไร พ่อกล้าแกะเชือกได้แล้วจึงโยนทิ้งไว้ข้างๆ แต่ก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้นมิไปไหน
“หากแม่หญิงอยากรู้เรื่องระหว่างแม่นวลกับเขา…ก็ไปถามกันเอาเองเถิดขอรับ”
นวลนั่งร้องไห้อยู่หน้าเตาเผาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เธอขอให้ชาวบ้านออกตามหาพ่อกล้าแต่ก็ไม่เห็นแม้เงา ท่อนซุงที่จ่อปากเตาก็ถูกเผาไหม้จนลดน้อยลงทุกที หากเขากลับมาไม่ทันเล่า…เธอจะทำอย่างไร
หญิงสาวนั่งเช็ดน้ำตาตนด้วยความหวาดกลัว เธอเป็นห่วงเขาเหลือเกิน…หากถูกคนชั่วจับตัวไปจริงๆ ป่านนี้คงถูกทำร้ายปางตายแล้วเป็นแน่
“แม่นวล”
เสียงที่เอ่ยเรียกทำให้นวลหันขวับไปทันที เมื่อเห็นพ่อขวัญเดินเข้ามาเธอจึงรีบลุกไปหา “พี่ขวัญ! พี่ขวัญช่วยข้าทีเถิด พี่กล้าหายตัวไป…ข้าขอร้องให้ชาวบ้านออกตามหาตั้งแต่เช้าแล้ว แต่หาอย่างไรก็ไม่พบ ป่านนี้ไม่รู้จักเป็นอย่างไรบ้าง”
“พ่อกล้าปลอดภัยดี เอ็งมิต้องห่วง”
ชายหนุ่มเอ่ยตอบก่อนจะเดินตรงไปหน้าเตาเผา ร่างสูงก้มลงมองลอดปากเตาเข้าไปด้านใน แม้มีเพียงท่อนซุงท่อนเดียวจ่อปากเตาไว้ ข้างในมีเพียงความมืด แต่เพราะอยู่หน้าเตาเผาตั้งแต่จำความได้ เขาจึงรู้ว่าด้านในกำลังร้อนระอุ
ชายหนุ่มกวาดสายตามองหาเศษถ่านไม้ที่ตกบนพื้น ก่อนจะหยิบเศษถ่านเล็กๆ ขนาดเท่าเหรียญพดด้วงโยนเข้าไปพื้นดินตรงแอ่งเตาเผา เพียงครู่เดียวถ่านไม้ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะความร้อน เขาจึงหันมาหาแม่นวลอีกครั้ง “เอ็งมิต้องห่วงพ่อกล้า…ห่วงเรื่องเตาเผานี้ก่อนเถิด ความร้อนด้านในไต่ระดับขึ้นจนต้องเริ่มเผาแล้ว พี่จักคุมเตาเผาให้ก่อน”
“แล้ว…แล้วพี่กล้าเล่า…”
“ประเดี๋ยวก็คงกลับมา” พ่อขวัญเอ่ยตอบ ร่างสูงเดินไปหอบท่อนฟืนมาเติมเพื่ออุดปากเตาให้สนิทไม่ให้มีอากาศเข้า ไฟจากท่อนซุงเริ่มติดฟืนเป็นเปลวขึ้นมา ความร้อนเริ่มเพิ่มขึ้นทีละน้อย
“พี่ขวัญ…พี่พูดเหมือนรู้ว่าพี่กล้าอยู่ไหน”
“รู้” พ่อขวัญเอ่ยตอบทันที “แม่นวล เอ็งรู้จักสหายพ่อกล้าบ้างหรือไม่”
“รู้จักจ้ะ” นวลเอ่ยตอบพลางยกมือปาดน้ำตา
“ดี…เช่นนั้นคืนนี้พี่จักอุดปากเตาให้ก่อน ใช้เวลาราวสามชั่วยามจึงจักเริ่มเผาจริง หากคืนนี้พ่อกล้ายังมิกลับมา…ฟ้าสางเมื่อใดให้เอ็งไปเรียกสหายของพ่อกล้ามาช่วยพี่”
“ได้จ้ะ” นวลพยักหน้ารับทั้งน้ำตา แต่ก็ยังงุนงงมิทันหาย
“พี่รู้ใช่ไหมว่ามันเกิดกระไรขึ้น…พี่เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”
หญิงสาวก้าวเข้ามาหาพลางเอ่ยขอร้อง พ่อขวัญใช้ท่อนฟืนอุดปากเตาจนสนิท จนกระทั่งเปลวไฟลุกโชนเป็นสีแดงแล้วจึงหันกลับมาหา แต่ก่อนจะเอ่ยอธิบายก็เห็นพ่อกล้าเดินมาถึงพอดี
“แม่นวล”
“พี่กล้า! พี่กลับมาแล้ว!” นวลเดินปรี่เข้าไปหาก่อนจะโผกอดพ่อกล้าไว้แน่น ร่างเล็กสะอื้นไห้จนตัวโยนน่าเวทนานัก “พี่กลับมาแล้ว…พี่ไปไหนมา…ข้าเป็นห่วงพี่เหลือเกิน”
หญิงสาวร่ำไห้คร่ำครวญอยู่ในอ้อมอกเขา ก่อนจะนิ่งชะงักเมื่อเห็นหลี่เฟยหงเดินตามเขามาด้วย ร่างเล็กผละออกจากพ่อกล้าก่อนจะหันมองด้วยความงุนงง
“เจ้ามากับพี่กล้าได้อย่างไร…”
“ข้ามาส่ง…”
หลี่เฟยหงเอ่ยเสียงสั่น นัยน์ตาแดงก่ำน้ำตาเจียนจะหยดอาบนวลแก้ม แม้ยืนเผชิญหน้ากับแม่นวลอยู่ แต่สายตากลับมองผ่านไปสบตากับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลัง…ยามเห็นพ่อขวัญยืนอยู่หน้าเตาเผาของศัตรูเช่นนี้…เธอยิ่งปวดใจนัก
“ข้าทำตามที่ต้องการแล้ว…เจ้าพอใจแล้วใช่หรือไม่”
ถ้อยคำที่เธอเอ่ยออกมายิ่งทำให้นวลงุนงงมากกว่าเก่า หญิงสาวหันมองหลี่เฟยหงสลับกับพ่อขวัญด้วยความงุนงง พ่อกล้าเองก็เอาแต่ยืนนิ่งราวกับคนเป็นใบ้ นวลจึงยิ่งสับสนมากกว่าเก่า
“นี่พวกพี่เล่นกระไรกัน”
เมื่อไม่มีใครเอ่ยตอบเธอสักคน หลี่เฟยหงจึงก้าวเข้ามาเผชิญหน้าหญิงสาว ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยออกมาในที่สุด “แม่นวล…ข้าขอโทษ…”
“ขอโทษกระไร”
“ขอโทษ…กับทุกสิ่งที่ผ่านมา”
หลี่เฟยหงน้ำตาไหลอาบนวลแก้ม ยิ่งทำให้นวลนิ่งชะงักไปเพราะจับต้นชนปลายไม่ถูก “อยู่ดีๆ ก็มาขอโทษ…ข้าคงหูฝาดไปแน่…”
“มิได้หูฝาดดอก…ข้าขอโทษ”
หลี่เฟยหงเอ่ยเสียงสั่นเครือ พยายามกลั้นใจเอ่ยออกมาด้วยความทรมานนัก มิเคยคิดว่าคุณหนูสกุลหลี่ผู้สูงส่งอย่างเธอจะต้องมายืนขอโทษหญิงชาวบ้านเช่นนี้ แต่เพราะบัดนี้เธอมีทางเลือกไม่มากนัก บิดาตัดขาดไปแล้วจึงไร้ที่พึ่ง…มีเพียงพ่อขวัญคนเดียวที่ช่วยเธอได้ในเวลานี้
อีกอย่าง…เธอก็มิพร้อมจะเสียเขาไป…
หากสิ่งใดต้องทำเพื่อให้เขากลับคืนมา…เธอคงต้องยอมโดยไม่มีข้อแม้
นวลยังยืนนิ่งด้วยความงุนงง ร่างเล็กยืนเท้าสะเอวมองหลี่เฟยหงสลับกับพ่อกล้า “พี่กล้า…แล้วพี่มากับนางได้อย่างไร”
“นางให้คนจับตัวข้าไป…เพื่อมิให้เราเผาเครื่องถ้วยสำเร็จ โชคดีที่พ่อขวัญมาช่วยไว้”
“นางจับตัวพี่ไปรึ!” นวลได้ฟังเหตุผลก็ตาลุกวาวด้วยความโกรธ “เลวทรามต่ำช้าสิ้นดี! คิดว่าอยู่แผ่นดินนี้แล้วจักทำกระไรก็ได้อย่างนั้นรึ!”
“แม่นวล…ใจเย็นก่อนเถิด”
“ไม่ยงไม่เย็นมันแล้วพี่กล้า! นางมิรู้จักฤทธิ์อีนวลเสียแล้ว…!” นวลปรี่เข้าไปหาหญิงสาวด้วยแรงโทสะ แต่ยังมิทันลงมือทำร้ายพ่อกล้าก็รีบเข้ามาขวางพร้อมกับพ่อขวัญที่คว้าตัวเธอไว้
“แม่นวล! อย่า!”
“ปล่อยข้าประเดี๋ยวนี้!” นวลตวาดเสียงดัง “หญิงชั่วๆ อย่างนางมิโดนตบสักทีก็คงไม่ดีขึ้น เช่นนั้นข้าจักสั่งสอนให้เอง!”
“แม่นวล! พี่บอกให้หยุด!”
“ข้าไม่หยุด! พี่ปล่อยข้าประเดี๋ยวนี้!” นวลตวาดใส่พ่อขวัญอีกครั้ง “ข้าจักสั่งสอนนางแม่หญิงต่างเมืองนี้สักที จักได้รู้ผิดชอบชั่วดีเสียบ้าง!”
“พอได้แล้วแม่นวล…นางก็มาขอโทษแล้วนี่อย่างไร”
“พี่ดูสายตานางก่อนเถิด! นางสำนึกผิดจริงเสียที่ไหน…ทำอย่างกับถูกบังคับมาอย่างนั้นละ!” แม้ชายหนุ่มทั้งสองจะช่วยเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผล นวลดิ้นรนขัดขืนด้วยความโกรธแต่ก็ยังสู้แรงพ่อขวัญมิได้ หญิงสาวจึงหันไปตวาดพ่อกล้าที่ยืนขวางไว้
“แล้วพี่จักปกป้องนางทำไม ถูกนางจับตัวไว้ทั้งวันมิใช่รึ!”
“พอได้แล้ว!” หลี่เฟยหงตวาดทั้งน้ำตา ร่างเล็กยืนตัวสั่น…น้ำตาไหลออกมามิขาดสาย “ข้ายอมทำตามที่เจ้าต้องการแล้ว…จักกลับไปกับข้าได้แล้วใช่หรือไม่”
ถ้อยคำของหลี่เฟยหงทำให้นวลชะงักไปอีกหน เห็นสายตาอีกฝ่ายที่มองพ่อขวัญก็ยิ่งทำให้นวลงุนงงมากกว่าเก่า
“นี่มันเรื่องกระไรกัน!”
หลี่เฟยหงไม่ยอมตอบคำถาม ร่างเล็กสะอื้นไห้จนตัวโยนน่าเวทนานัก นวลจึงทำได้เพียงยืนมองหลี่เฟยหงสลับกับพ่อขวัญอยู่อย่างนั้น แต่ดวงหน้างามที่เคยแดงก่ำด้วยความโกรธ…อยู่ๆ ก็พลันเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มหยันเมื่อเห็นบางสิ่งในสายตา
เธอเป็นหญิงเหมือนกัน เหตุใดจะไม่รู้เล่า…ว่าสายตาของหลี่เฟยหงหมายความว่าอย่างไร
เธอเดาไม่ผิดแน่…แม่หญิงผู้นี้มีใจให้เขา…
“ข้ารู้แล้ว…”
“คิดจักทำร้ายข้า…แต่ทำมิสำเร็จดอกแม่หญิง” นวลแสยะยิ้มออกมาเบาๆ จากที่เคยขัดขืนพ่อขวัญก็เปลี่ยนเป็นเกาะวงแขนเขาไว้แน่น “ต่อให้เจ้าจับตัวพี่กล้าไปก็ทำกระไรข้ามิได้ดอก เพราะข้ายังมีพี่ขวัญอยู่ตรงนี้ พี่ขวัญจักคอยช่วยเหลือเข้าเสมอ คอยดูแลข้าเป็นอย่างดี มิเคยขัดใจข้า…มิเคยทรยศข้า…”
“เพราะกระไรรู้หรือไม่…” นวลก้าวเข้ามาประชิดกับหลี่เฟยหง ก่อนจะเหยียดยิ้มมุมปากเบาๆ อย่างผู้ชนะ
“เพราะพี่ขวัญรักข้า…”
“เจ้า! เจ้าหมายความว่าอย่างไร!”
“พี่ขวัญรักข้า…” นวลกระซิบเสียงเบา ยิ่งเห็นหลี่เฟยหงยืนตัวสั่นระริก…ยิ่งสาแก่ใจเธอนัก “ข้าจักบอกกระไรให้เอาบุญหนาแม่หญิง พี่กล้ามิใช่ผัวข้าดอก แต่พี่ขวัญต่างหากที่เป็นคู่หมายของข้า พ่อแม่ของเราต่างหมายมั่นจักให้เป็นผัวเมียในภายหน้า…แล้วพี่ขวัญจักทำร้ายข้าได้อย่างไร!”
- READ อรุณแสงรัก บทที่ 17 : เฝ้าถนอม
- READ อรุณแสงรัก บทที่ 16 : ไว้เนื้อเชื่อใจ
- READ อรุณแสงรัก บทที่ 15 : ยื่นคำขาด
- READ อรุณแสงรัก บทที่ 14 : เดิมพันด้วยหัวใจ
- READ อรุณแสงรัก บทที่ 13 : ไออุ่น
- READ อรุณแสงรัก บทที่ 12 : ทนไม่ไหว
- READ อรุณแสงรัก บทที่ 11 : แผนร้าย
- READ อรุณแสงรัก บทที่ 10 : ริษยา
- READ อรุณแสงรัก บทที่ 9 : ปรารถนา (2)
- READ อรุณแสงรัก บทที่ 9 : ปรารถนา (1)
- READ อรุณแสงรัก บทที่ 8 : ในห้วงความฝัน
- READ อรุณแสงรัก บทที่ 7 : ทะนุถนอม
- READ อรุณแสงรัก บทที่ 6 : เพียงความหวัง
- READ อรุณแสงรัก บทที่ 5 : สิ้นเยื่อใย
- READ อรุณแสงรัก บทที่ 4 : น้ำใจ
- READ อรุณแสงรัก บทที่ 3 : สามวันจาก...นารีเป็นอื่น
- READ อรุณแสงรัก บที่ 2 : สิ้นเนื้อประดาตัว
- READ อรุณแสงรัก บทที่ 1 : ฝันร้าย
- READ อรุณแสงรัก : บทนำ