อรุณแสงรัก บทที่ 5 : สิ้นเยื่อใย

อรุณแสงรัก บทที่ 5 : สิ้นเยื่อใย

โดย : SUDA

Loading

อรุณแสงรัก โดย  SUDA นวนิยายอ่านฟรีที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co กับเรื่องของ “นวล” หญิงสาวจากสวรรคโลก ที่ชีวิตพลิกผันจนต้องมาใช้ชีวิตในกรุงศรีอยุธยาและได้ร่วมหัวจมท้ายกับชายหนุ่มบ้านใกล้เรือนเคียงที่ความสัมพันธ์เริ่มต้นจากความสงสาร เพียงแค่อยู่ร่วมกันแต่ไม่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนแบบนี้จะเรียกว่าความรักได้หรือไม่

อีกฝั่งหนึ่งของแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา บนเรือนใหญ่ของพ่อค้าจีนในราตรีนี้ดูเงียบสงัดนัก แสงจันทร์ส่องสว่างให้พอมองเห็น น้ำค้างหยดเล็กเกาะใบไม้ในสวนเป็นสัญญาณของฤดูหนาว กลิ่นดอกไม้หอมลอยมาตามลมชวนผ่อนคลาย แต่แม้จะหอมอบอวลสักเพียงใด…ก็ไม่อาจทำให้บรรยากาศในเรือนคลายความตึงเครียดลงไปได้

ในห้องรับรองแขกชั้นล่างของเรือนมีเพียงสองพ่อลูกนั่งสนทนา พ่อค้าจีนนั่งจ้องบุตรสาวของตน ก่อนจะยกน้ำชาขึ้นมาจิบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด บนโต๊ะมีบัญชีสินค้ากองพะเนิน…ส่วนผู้เป็นลูกทำได้เพียงนั่งก้มหน้ารับฟังคำสั่งสอนเท่านั้น

“เจ้าคิดว่าทำดีแล้วรึ…” พ่อค้าจีนเปิดดูบัญชีเพียงครู่เดียวก็โยนลงบนโต๊ะ

“เครื่องลายครามกำลังเป็นที่นิยมทั่วแผ่นดิน แต่เจ้ากลับขายได้เพียงเท่านี้น่ะรึ!”

หลี่เฟยหงเงยหน้ามองบิดาด้วยความหวาดหวั่น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ยอมถูกสบประมาทโดยง่าย “ท่านพ่อ…เครื่องลายครามที่นำมาครั้งก่อนข้าก็ขายไปจนเกือบหมด เหลือให้เห็นเพียงไม่กี่ใบเท่านั้น ท่านจักกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร”

“ขายจนเกือบหมด แต่ก็ใช้เวลานานถึงสองเดือน”

พ่อค้าจีนพลันเหยียดยิ้มมุมปากเบาๆ “อาหง…เจ้าควรยอมรับเสียทีว่าเกิดเป็นสตรีนั้นเบาปัญญากว่าบุรุษนัก หน้าที่ของสตรีคืออยู่แต่ในเรือนคอยรับใช้สามีเท่านั้น คนอย่างเจ้าไม่มีวันจักดูแลกิจการค้าขายเช่นนี้ได้”

“ท่านพ่อ…”

“พ่อบอกให้เจ้ากลับไปหลายครั้งหลายหน แต่เหตุใดจึงยังดื้อด้าน” พ่อค้าจีนจ้องมองบุตรสาวของตนแน่วแน่ เขารู้ดีว่าหลี่เฟยหงนั้นดื้อรั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร คงไม่ยอมทำตามคำสั่งได้โดยง่าย

“แต่ข้ายังไม่อยากกลับไป”

“ไม่อยากกลับ” พ่อค้าจีนเอ่ยเสียงแข็ง “ได้…หากครั้งนี้ยังไม่ยอมกลับไปด้วยกันอีก เช่นนั้นก็จงแต่งเข้าสกุลเหยียนเสียแล้วตั้งรกรากค้าขายอยู่ที่นี่”

“ท่านพ่อ!” เพียงได้ยินชื่อสกุลเหยียนจากปากผู้เป็นบิดา หลี่เฟยหงก็เบิกตาโพลงด้วยความตื่นตระหนก “ท่านพ่อจักให้ข้าแต่งกับ…”

“เหยียนตง”

ได้ฟังเช่นนั้นหญิงสาวก็รีบปฏิเสธเสียงสั่น “ไม่! ข้าไม่แต่งกับเหยียนตงเป็นอันขาด ท่านพ่อก็รู้ดีว่าเขาเป็นเพียงนายช่างที่เพิ่งร่ำรวยมาได้มิกี่ปี แม้จักมีปัญญาคุมเรือสินค้ามาขายถึงกรุงศรีอยุธยา แต่ก็ยังห่างชั้นกับพวกเรานัก แล้วท่านพ่อจักให้ข้าอยู่กับเขา…”

“หุบปาก”

พ่อค้าจีนตวาดบุตรสาวของตนทันที “เจ้ามีสิทธิ์กระไรไปกล่าวหาเขาเช่นนั้น”

“แต่ข้ามิต้องการ”

“หากเจ้ายังอยากอยู่ที่นี่ก็มีเพียงสกุลเหยียนเท่านั้นที่จักเหมาะสม แม้มิได้ร่ำรวยล้นฟ้า…แต่ความมุมานะของเขาจักทำให้เจริญรุ่งเรืองในภายหน้า การแต่งกับเขามิใช่เรื่องเสียหาย”

หลี่เฟยหงได้ฟังคำอธิบายก็พลันเบือนหน้าหนี นัยน์ตาคู่ใสแดงก่ำด้วยความอึดอัด

“แต่ข้ามิได้รักเขา…”

“มิได้รักแล้วอย่างไร เรื่องนั้นสำคัญด้วยรึ” พ่อค้าสกุลหลี่จ้องมองบุตรสาวของตนอยู่อย่างนั้น แม้จะเห็นว่าดวงหน้างามนั้นเริ่มมีน้ำตาไหลเอ่อ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้โอนอ่อนลงสักนิด “ดูเอาเถิด! ข้ามีลูกได้เพียงคนเดียวแลยังเป็นหญิงก็ถือว่าฟ้าดินลงโทษมากพอแล้ว ลูกอย่างเจ้ายังบังอาจมิเชื่อฟังคำสั่งอีกรึ”

“ท่านพ่อ…”

“เลือกเอาเถิดอาหง จักยอมกลับไปโดยดีหรือจักยังดื้อรั้นอยู่ที่นี่ แต่หากเจ้าเลือกอย่างหลังก็จงแต่งเข้าสกุลเหยียนแล้วช่วยกันทำมาค้าขาย…มีให้เลือกเพียงสองทางนี้เท่านั้น!”

 

พ่อค้าจีนกลับขึ้นห้องนอนไปแล้ว ปล่อยให้หลี่เฟยหงนั่งปาดน้ำตาตนเองเงียบๆ มือบางกำหมัดแน่นเพื่อระบายความอึดอัด สายตาจ้องมองกองบัญชีบนโต๊ะก่อนจะยกมือปิดหน้าสะอื้นไห้

วันนี้บิดาของเธอเพิ่งกลับมาพร้อมเรือสำเภาส่งสินค้า แต่การกลับมาครั้งนี้จุดประสงค์เพื่อรับเธอกลับแผ่นดินเกิดด้วย เพราะไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจยอมรับลูกสาวให้สืบทอดกิจการของตระกูลได้ สู้ให้เธอกลับไปใช้ชีวิตอย่างกุลสตรีคงดีกว่า

หลี่เฟยหงยกมือปาดน้ำตาตนเองด้วยความเจ็บปวด เธอรู้ดีว่าตนสามารถดูแลกิจการค้าขายที่นี่ได้ แต่เพียงเพราะร่างกายเป็นหญิงจึงไม่มีใครยอมรับ แต่แล้วเหตุใดเธอต้องทนแต่งกับตระกูลเหยียน ยอมศิโรราบต่อชายหนุ่มผู้ต้อยต่ำเช่นนั้น แม้รู้ว่าเขาจิตใจโอบอ้อมอารีและยังขยันทำมาหากินก็จริงอยู่ แต่เธอไม่ได้อยากอยู่ใต้อำนาจของชายใดทั้งนั้น…

“แม่หญิง…ยังมิเข้านอนหรือขอรับ”

เสียงทุ้มจากด้านหลังทำให้หลี่เฟยหงหันขวับไปทันที เมื่อรู้ว่าเป็นใครจึงตวาดใส่ด้วยความโกรธจัด “บังอาจนัก! ใครให้เจ้าเข้ามาที่นี่!”

“ไม่มีดอกขอรับ…ข้ามาของข้าเอง” พ่อขวัญส่งยิ้มจางๆ ยามเขาแต่งกายอย่างชาวจีนเช่นนี้ก็ดูกลมกลืนกับบรรดาทาสคนอื่น ชายหนุ่มเดินเข้ามาหาอย่างเชื่องช้าเพราะยังเจ็บแผลไม่ทันหาย

“ข้าได้ยินเสียงคนร้องไห้…จึงเข้ามาดูเพียงเท่านั้น”

“ข้ามิได้ร้องไห้สักหน่อย”

หลี่เฟยหงกล่าวตอบเสียงแข็ง แต่ถ้อยคำที่กล่าวออกมานั้นสวนทางกับภาพที่เขาเห็นนัก อันที่จริงพ่อขวัญเดินผ่านมาสักพักแล้วจึงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แม้จะฟังไม่เข้าใจเพราะต่างภาษา…แต่คราบน้ำตาที่อาบนวลแก้มนั้นก็พอมองออกว่าเธอรู้สึกอย่างไร

เขารู้ว่าหลี่เฟยหงคงมีบางสิ่งต้องแบกรับเอาไว้ แต่หญิงสาวแรกแย้มนั้นย่อมบอบบางดังบุปผา แม้เธอจะแสดงออกว่าตนแข็งแกร่งมากเพียงใด บุปผา…ก็ยังเป็นบุปผาที่อ่อนไหวอยู่วันยังค่ำ

“อยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถิดขอรับ แม่หญิงมิต้องกังวลว่าข้าจักไปบอกใคร…เพราะมันมิใช่กงการกระไรของข้า” พ่อขวัญเดินเข้ามาหาพลางสบตาด้วยความจริงใจ

“ข้ามิใช่คนของที่นี่…ท่านมิจำเป็นต้องวางตัวให้น่าเกรงขาม”

ถ้อยคำอวดดีของชายหนุ่มนั้นทำเธอขุ่นเคืองใจมากนัก แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงความจริงใจที่ส่งผ่านในแววตาเขา ร่างเล็กก็พลันสะอื้นไห้จนตัวโยน…น้ำตาไหลอาบนวลแก้มด้วยความเจ็บปวด

เส้นทางที่บิดาเลือกให้ ไม่ว่าทางใดเธอก็ไม่ต้องการทั้งนั้น เหตุใดเกิดเป็นหญิงจึงไม่มีสิทธิ์ลิขิตชีวิตของตน เหตุใดต้องเดินตามรอยที่ใครอื่นขีดเส้นเอาไว้ เหตุใดเธอจึงไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งเลือกครองเรือนร่วมชีวิตกับใคร ชีวิตคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ผู้คนต่างชื่นชมในวาสนา ใครจักรู้บ้างเล่าว่าเธอต้องทรมานเพียงใด

 

กิจการขายเครื่องลายครามของหลี่เฟยหงยังดำเนินต่อไปเป็นปกติ การค้าขายยังพอมีกำไรให้เห็น แต่กระนั้นเธอก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้สักเท่าใดนัก เพราะเรื่องรบกวนจิตใจในเวลานี้มีเพียงเรื่องข้อเสนอของบิดาเท่านั้น

เธอเหลือเวลาตัดสินใจอีกไม่นานเพราะใกล้ถึงกำหนดการเดินทางกลับแล้ว บรรดาทาสในเรือนทั้งหลายก็เตรียมขนของใส่สำเภาลำใหญ่…จนกระทั่งถึงเวลาต้องออกเรือในที่สุด

หลี่เฟยหงยังไม่รู้ว่าจะขอร้องบิดาอย่างไร แต่เรื่องแต่งกับสกุลเหยียนนั้นเธอก็ยังยืนยันคำเก่า แม้จะรู้ดีว่าหากผู้ใหญ่ตกลงกันแล้วก็ไม่ควรต่อต้านคำสั่ง แต่เธอก็มิอาจอยู่กับชายที่ไม่ได้รักไปทั้งชีวิต

เธอจะอยู่ที่นี่…และไม่แต่งกับใครทั้งนั้น

เมื่อถึงกำหนดออกเดินทางหลี่เฟยหงจึงออกมาส่งบิดาพร้อมกับบรรดาทาสชายหญิงในเรือน แต่เธอกลับไม่ยอมขึ้นเรือสำเภาด้วย ร่างเล็กนั่งคุกเข่าต่อหน้าบิดา…ก่อนจะตัดสินใจบอกกล่าวความต้องการของตนเป็นครั้งสุดท้าย

เธอตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมย้ายไปที่ใดทั้งนั้น…และจะไม่มีวันแต่งกับเหยียนตงเป็นอันขาด การกระทำของหญิงสาวสร้างความขุ่นเคืองให้ผู้เป็นบิดายิ่งนัก เศรษฐีสกุลหลี่จึงยืนเท้าเอวตะคอกบุตรสาวเสียงดังลั่นไปทั่วคุ้งน้ำ สร้างความตื่นตระหนกให้ผู้คนโดยรอบ

“หลี่เฟยหง! นางลูกเนรคุณ!”

“ท่านพ่อ…” หลี่เฟยหงนั่งคุกเข่าทั้งน้ำตา “ได้โปรดเมตตาข้าเถิด…ข้าไม่อยากกลับไป”

“ไม่อยากกลับอย่างนั้นรึ!” เศรษฐีก้าวเข้ามาตบหน้าลูกสาวเต็มแรง นัยน์ตาแดงก่ำด้วยแรงโทสะ “ลูกอกตัญญูอย่างเจ้ามีสิทธิ์ขัดคำสั่งข้าด้วยรึ! ที่ผ่านมาเคยอยู่ในโอวาทเหมือนลูกสาวตระกูลอื่นบ้างหรือไม่ นับตั้งแต่เจ้าเกิดมาจนบัดนี้ก็ยังมิเคยมีสิ่งใดตอบแทนบุญคุณ รังแต่จักหาเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจมาให้เสียทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ข้าจักมิยอมเป็นอันขาด!”

“เลือกเอาเถิด เจ้าจักกลับไปด้วยกัน…หรือจักอยู่ที่นี่แล้วมิต้องเห็นหน้ากันอีก!”

“ท่านพ่อ!”

หลี่เฟยหงอุทานเสียงสั่น ถ้อยคำตัดขาดของบิดาราวกับถูกฟ้าผ่าลงมากลางหัว เห็นสายตาเกลียดชังที่มองมายิ่งทำให้เจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีดแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร่างเล็กเริ่มสะอื้นไห้เสียงดังด้วยความเจ็บช้ำ

หรือเธอจะเป็นอย่างที่บิดาว่าไว้…เธอเป็นลูกที่ไม่เคยเชื่อฟังคำสอนและยังคอยหาแต่เรื่องวุ่นวายมาให้ เมื่อไม่ได้ดั่งใจเช่นนี้บิดาจึงตัดขาดได้ง่ายดายนัก

“ได้โปรดเห็นใจข้าเถิด…” หญิงสาวคลานเข้ามากอดขาบิดาไว้แน่น “ท่านพ่อ…ข้ายังอยากอยู่ที่นี่ ข้ายังมิอยากไปไหน…ข้ายังมิอยากแต่งกับใครทั้งนั้น”

“หากมัวรีรอให้แก่กว่านี้ แล้วใครจักอยากได้เป็นสะใภ้!” เศรษฐีจีนตวาดดังลั่น “หรือเจ้าจักอยู่เป็นหญิงแก่ไม่มีใครเอา เช่นนั้นก็ยิ่งนำความอับอายมาให้สกุลหลี่ของเรานัก! อาหง…เจ้าหัดลดความหัวรั้นลงบ้างเถิด!”

“ได้โปรดเถิดท่านพ่อ ข้ายังมิอยากไปไหน…”

“ได้!” เศรษฐีจีนตวาดเสียงดังแล้วผลักร่างเธอออกไปให้พ้น

“เช่นนั้นเจ้าก็มิใช่คนสกุลหลี่อีกต่อไป”

“ท่านพ่อ! ไม่…ไม่…!” หลี่เฟยหงคลานเข้าไปกอดเข่าบิดาไว้แน่น แต่กระนั้นก็ยังถูกผลักไสออกไปให้พ้นทางโดยง่าย เศรษฐีสกุลหลี่ตวาดดังลั่นก่อนจะรีบเดินขึ้นเรือสำเภาไปด้วยความโกรธจัด ตะโกนเรียกหาเหล่าทาสให้เตรียมนำเรือสำเภาออกจากท่าน้ำ ปล่อยให้หลี่เฟยหงนั่งคุกเข่าร่ำไห้อยู่ตรงนั้น

หญิงสาวนั่งมองบิดาออกเรือไปจนลับสายตา…ร่างเล็กสะอึกสะอื้นจนตัวโยน นัยน์ตาแดงก่ำน่าเวทนานัก แม้รู้ดีว่าหากยอมทำตามประสงค์บิดาก็พร้อมจะให้อภัย เพียงเธอยอมสำนึกผิด…และยอมทำตามคำสั่งอย่างไม่มีข้อแม้เท่านั้น

แต่กระนั้นหญิงสาวก็ยังนั่งอยู่ที่เก่า…

เฝ้ามองสำเภาลำใหญ่ล่องออกไป…แม้รู้ว่ามันไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว

หลังจากนี้เธอคงต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างลำพัง มีทรัพย์สินติดตัวเพียงเล็กน้อย มีเพียงเรือนไม้หลังนี้ไว้ให้อาศัย มีสาวใช้แลบรรดาทาสเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น

หญิงสาวรวบรวมกำลังลุกขึ้นยืนพลางกวาดสายตามองผู้คนรอบกายด้วยความเจ็บปวด มือบางยกปาดน้ำตาตนเองเบาๆ เหม่อมองแม่น้ำสายใหญ่ตรงหน้าแล้วสะอื้นไห้ขึ้นมาอีกหน ในเมื่อเธอเลือกแล้วว่าจะขอลิขิตชีวิตของตนเอง…แต่เมื่อสมดั่งใจแล้วเหตุใดจึงรู้สึกโดดเดี่ยวนัก

แต่เส้นทางนี้เธอเลือกเอง…เลือกด้วยตนเอง… ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับและอยู่ต่อไปให้ไหว

 

นับตั้งแต่บิดาตัดขาดเธอไป เรือนใหญ่หลังนี้ก็ดูเงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัด หลี่เฟยหงนั่งตรวจบัญชีสินค้าอยู่ในห้องหนังสือเพราะเธอต้องค้าขายด้วยตนเอง โดยมีทาสรับใช้เหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เครื่องลายครามที่มีก็เริ่มลดลงจนต้องเริ่มวางแผนนำเข้ามาใหม่ แต่เพราะเธอคุมเรือเดินสมุทรเองไม่ได้จึงยังรู้สึกมืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ควรทำอย่างไร

“คุณหนู มีแขกมาขอพบเจ้าค่ะ”

อาหลิวเปิดประตูห้องก่อนจะเดินเข้าไปหานายของตน หลี่เฟยหงจึงปิดหนังสือลงอย่างเบามือพลางหันกลับมาหา เมื่อรู้ว่าแขกผู้มาเยือนเป็นใคร…คิ้วเรียวก็พลันขมวดเข้าหากันทันที

“เหยียนตงอย่างนั้นรึ”

“เจ้าค่ะ” อาหลิวพยักหน้ารับ “ข้าให้คนยกน้ำชาไปต้อนรับแล้ว คุณหนูรีบลงไปเถิดเจ้าค่ะ”

ได้ฟังเช่นนั้นหลี่เฟยหงจึงผุดลุกจากโต๊ะ แล้วลงไปพบหน้าเหยียนตงอย่างเสียไม่ได้

ร่างเล็กเดินตัวปลิวไปถึงศาลาริมสวนก็เห็นเขารออยู่แล้ว เพียงสบตาครู่เดียวเหยียนตงก็พอรู้ว่าเธอกำลังคิดสิ่งใด อาจเป็นเพราะรู้จักกันมานานจึงเข้าใจนิสัยกันเป็นอย่างดี หรืออาจเป็นเพราะความขุ่นเคืองในแววตาที่แสดงออกมาชัดเจนนัก ชายหนุ่มจึงเอื้อมมือรินน้ำชาพลางส่งยิ้มให้

“อาหง…มิได้พบหน้ากันนาน เจ้าสุขสบายดีหรือไม่”

“สบายดี” หลี่เฟยหงกล่าวตอบทันที “ลมกระไรหอบเจ้ามาถึงที่นี่ได้”

“ไม่มีลมกระไรพัดมาดอก ข้าเพียงมาเยี่ยมเยียนตามประสาคนรู้จักเท่านั้น” เหยียนตงกล่าวตอบ “ข้าได้ยินข่าวเรื่องของเจ้า…”

“เรื่องที่ข้าถูกตัดขาดจากสกุลหลี่อย่างนั้นรึ” หลี่เฟยหงเหยียดยิ้มมุมปาก “ใช่! เจ้าได้ยินมามิผิดดอก ลูกอกตัญญูอย่างข้ารังแต่จักทำให้สกุลหลี่เสื่อมเสีย ท่านพ่อทิ้งข้าไปเพราะข้าเลือกจะอยู่ที่นี่ หลังจากนี้ข้าจึงต้องเอาชีวิตรอดด้วยตนเอง”

“แล้วเจ้าจักค้าขายตามลำพังได้อย่างไรกัน หากเครื่องลายครามขายจนหมดแล้วเจ้าจักทำเช่นไร คุมเรือเดินสมุทรเองอย่างนั้นรึ”

สิ้นคำถามเขาหลี่เฟยหงก็พลันก้มหน้าเงียบ เพราะเรื่องนี้เธอเองก็ยังคิดไม่ตก ที่ผ่านมาเธอค้าขายได้เพราะมีบารมีของบิดาคอยลำเลียงสินค้าให้ แต่หลังจากนี้เล่า…เมื่อถูกตัดขาดจากตระกูลจึงเสมือนถูกตัดแขนขา จนบัดนี้ก็ยังมืดแปดด้าน

“แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรทำเช่นไร”

“ก็ไม่ยาก”

เหยียนตงกล่าวตอบพลางส่งยิ้มละมุน “เจ้าก็รู้ว่าคุมเรือเดินสมุทรนั้นข้าถนัดนัก หากเครื่องลายครามของเจ้าขายจนหมดก็เพียงบอกข้า…ข้าจักเป็นธุระลำเลียงสินค้ามาให้”

“แต่ข้าไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร”

“แล้วใครว่าข้าจักถือเป็นบุญคุณ” เหยียนตงกล่าวตอบทันที “ขนสินค้าข้ามโพ้นทะเลมาเช่นนี้ข้าย่อมคิดราคา…เราสองคนต่างได้ประโยชน์กันทั้งนั้น”

หลี่เฟยหงได้ฟังข้อเสนอก็นั่งเงียบไปนานโข เธอรู้ว่าเหยียนตงไม่ได้จงใจค้ากำไรอย่างที่กล่าวออกมา เพราะการเดินทางไปมานั้นยากลำบากแลยังเสี่ยงตาย สินค้าที่ขนมานั้นหากนำมาขายเองย่อมได้กำไรจำนวนมาก ไม่มีความจำเป็นใดต้องแบ่งให้เธอขายเช่นนี้

นึกได้เช่นนั้นหลี่เฟยหงก็พลันยกยิ้มเศร้า…เหยียนตงก็ยังคงเป็นเหยียนตงคนเก่า น้ำใจงามเสียจนบางคราก็เหมือนคนโง่เง่า ตนเองลำบากและเสี่ยงตายเดินเรือข้ามสมุทรเช่นนี้ ยังมีจิตใจเมตตาแบ่งสินค้าให้เธอขาย จากที่เขาจะได้กำไรคุ้มค่าเหนื่อย…ก็กลายเป็นต้องแบ่งกำไรมาให้เธอด้วย

“ว่าอย่างไร”

“ข้ามิอยากเอาเปรียบใคร” หลี่เฟยหงกล่าวตอบในที่สุด “อาตง…ข้ารู้ว่าเจ้าอยากช่วยเหลือ แต่หากการช่วยเหลือข้าแล้วทำให้เจ้าต้องลำบาก ข้าก็มิได้อยากให้เป็นเช่นนั้น ข้ารู้ว่าท่านพ่ออยากให้เราสองคนตบแต่งกันเสียแล้วช่วยกันทำมาค้าขาย แต่ข้ามิต้องการ ข้ายังอยากอยู่คนเดียว…อยู่อย่างอิสระ”

“แม้จักลำบากลำบนเช่นนี้น่ะรึ”

เหยียนตงสบตาเธอแน่วแน่ “เจ้าลดทิฐิลงบ้างเถิด ยอมรับเสียทีว่าการค้าขายมิอาจกระทำเพียงลำพังได้ แต่ต้องมีมิตรแท้คอยเกื้อกูลกันด้วย หากเมื่อใดจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ…เจ้าก็ควรขอ ข้าเองก็มิได้หวังสิ่งใด มีเพียงความปรารถนาดีในฐานะเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น”

ความจริงใจในแววตาเขาแสดงออกชัดเจนนัก หลี่เฟยหงได้ฟังเหตุผลก็พลันก้มหน้านิ่ง เธอสัมผัสได้ถึงความหวังดีจากเขา แม้จะไม่เคยต้องการสานสัมพันธ์อย่างหนุ่มสาว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนจริงใจอย่างเหยียนตงก็เหมาะแก่การเป็นมิตรแท้

หรืออาจเป็นอย่างที่เขาว่า…คงไม่เสียหายกระไรหากยอมรับความช่วยเหลือ

ยอมให้เขาเป็นดั่งแขนขา…ให้เธอก้าวเดินต่อไปได้

 

สองหนุ่มสาวนั่งพูดคุยกันอยู่นานจนยามถึงบ่าย เหยียนตงจะออกเดินทางในไม่กี่วันนี้แล้ว เขาจึงให้หญิงสาวลองเขียนบัญชีสินค้าที่อยากได้เพื่อจะขนใส่เรือสำเภากลับมาให้ ซึ่งส่วนมากเป็นเครื่องลายครามลวดลายประณีตเพราะต้องนำมาขายให้ราชสำนักของกรุงศรี ส่วนที่เหลือก็ขายให้บรรดาเจ้าขุนมูลนายที่พอมีทรัพย์ หากถึงกำหนดเดินทางเมื่อใด เธอจะนำบัญชีสินค้าและเงินฝากไปให้เขา

เหยียนตงขอตัวกลับไปในยามบ่ายแก่ๆ หญิงสาวจึงนั่งจิบชารับลมคนเดียวในสวนดอกไม้ นัยน์ตาคู่ใสเหม่อมองท้องนภาอยู่อย่างนั้น

“แม่หญิงขอรับ…”

เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้เธอสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เมื่อหันกลับมาจึงเห็นพ่อขวัญยืนอยู่ไม่ไกลนัก ร่างสูงเดินเข้ามาหาก่อนจะนั่งคุกเข่าลงตรงหน้า มีห่อผ้าสะพายไว้ข้างไหล่ราวกับจะออกเดินทาง

มองเพียงครู่เดียวก็รู้ว่าเขาตั้งใจมากล่าวลา เพราะเขารักษาตัวจนหายเป็นปกติแล้วจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ และเพราะเธอถูกตัดขาดจากสกุลหลี่ไปแล้ว…จึงมิอาจเลี้ยงดูข้าทาสบริวารได้มากเท่าเมื่อก่อน พ่อขวัญจึงไม่อยากอยู่เป็นกาฝากให้เธอต้องเดือดร้อน

“ข้าจักเดินทางกลับสวรรคโลกขอรับ”

พ่อขวัญเอ่ยเสียงเบา “ข้าจักกลับไปสะสางความแค้นกับพวกมัน…แลจักกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ บุญคุณครั้งนี้ข้าจักไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต”

“รู้ว่าข้ามีบุญคุณ แต่มิเคยคิดจักตอบแทนบุญคุณข้าอย่างนั้นรึ”

หลี่เฟยหงเหยียดยิ้มมุมปากเบาๆ นัยน์ตาคู่ใสที่เคยเด็ดเดี่ยวอยู่เป็นนิจ บัดนี้มิอาจปกปิดความอ่อนแอเอาไว้ได้ “มาพึ่งบารมีข้าจนรอดตาย แต่ยามข้าลำบากเจ้ากลับทอดทิ้ง…น้ำใจแห้งแล้งนัก”

พ่อขวัญได้ฟังก็พลันขมวดคิ้วด้วยความงุนงง แต่เมื่อเห็นหญิงสาวมีน้ำตารื้นเขาจึงหุบปากไปเสีย เขาพอมองออกว่าที่จริงหลี่เฟยหงไม่ได้เห็นเขาสำคัญกระไร เพียงแต่เมื่อขอลาในเวลาคับขันเช่นนี้เธอจึงรู้สึกราวกับถูกทอดทิ้ง คิดว่าตนไร้บารมีเสียจนข้าทาสบริวารไม่อยากรับใช้

ชายหนุ่มเงยหน้าสบตาเธออยู่นานโข ก่อนหลี่เฟยหงจะแสร้งมองทางอื่น เพราะกลัวว่าตนจะเผลอแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็น

“อยากไปไหนก็ไป”

“เพียงเสียคนเนรคุณอย่างเจ้าไป…ข้ามิเป็นไรดอก”



Don`t copy text!