อรุณแสงรัก บทที่ 7 : ทะนุถนอม

อรุณแสงรัก บทที่ 7 : ทะนุถนอม

โดย : SUDA

Loading

อรุณแสงรัก โดย  SUDA นวนิยายอ่านฟรีที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co กับเรื่องของ “นวล” หญิงสาวจากสวรรคโลก ที่ชีวิตพลิกผันจนต้องมาใช้ชีวิตในกรุงศรีอยุธยาและได้ร่วมหัวจมท้ายกับชายหนุ่มบ้านใกล้เรือนเคียงที่ความสัมพันธ์เริ่มต้นจากความสงสาร เพียงแค่อยู่ร่วมกันแต่ไม่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนแบบนี้จะเรียกว่าความรักได้หรือไม่

พ่อขวัญยังอาศัยอยู่ในร้านค้าเครื่องลายครามจีนเรื่อยมา เมื่อเวลาเริ่มผันผ่านเขาจึงคุ้นเคยกับชุมชนชาวจีนมากขึ้น แม้ยังไม่ถึงกับพูดได้แต่ก็พอฟังออกในบางคำ อีกทั้งยังแต่งกายอย่างชาวจีนจนแทบแยกไม่ออก

เขามีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของเครื่องลายครามและยังต้องช่วยเธอขายของ เพราะแม้เพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่ความสามารถของพ่อขวัญก็เกินกว่าทาสทั่วไปอยู่มากโข หลี่เฟยหงเองก็เหลือทาสรับใช้จำนวนไม่ถึงสิบคน…เมื่อมีคนเก่งอย่างพ่อขวัญอยู่ในเรือนจึงต้องใช้งานให้คุ้มค่า

วันนี้หญิงสาวออกจากเรือนตั้งแต่เช้า ร่างเล็กนั่งอยู่ในเรือประทุนลำใหญ่โดยมีพ่อขวัญคอยพายเรือให้ เธอต้องเอาเครื่องถ้วยไปส่งในวังหลวงตามลำพัง เพราะอาหลิวสาวใช้เริ่มไข้ขึ้นหลายวันแล้วจึงไม่ได้พามาด้วย

ชายหนุ่มพายเรือมาส่งนอกกำแพงวังเพียงครู่เดียวก็มีนางข้าหลวงมารับ หลี่เฟยหงเดินลับหายเข้าไปด้านในปล่อยให้เขานั่งรอใต้ต้นไม้ แต่นั่งรออยู่เพียงไม่ถึงสิบบาทเธอก็กลับออกมาพร้อมอัฐถุงใหญ่

“พาข้าไปซื้อหมึกแลพู่กันก่อนเถิด แล้วค่อยกลับเรือน”

หลี่เฟยหงกล่าวก่อนจะก้าวข้ามท่าน้ำเพื่อเข้าไปในเรือ แต่เท้าเล็กเผลอก้าวพลาดเพราะน้ำหยดบนพื้นไม้ทำให้ลื่นล้ม หญิงสาวกรีดร้องด้วยความตกใจ แต่ยังไม่ทันล้มหงายก็ถูกพ่อขวัญคว้าร่างเธอไว้แล้วดึงเธอกลับมาทันที

“แม่หญิง! ระวังขอรับ”

“ปะ…ปล่อยข้า!” หลี่เฟยหงอุทานเสียงสั่น วงแขนแกร่งกอดรัดเอวบางแล้วดึงเธอเข้ามาหา สองกายหนุ่มสาวจึงได้แนบชิด แต่กระนั้นพ่อขวัญยังกอดไว้แน่นเพราะเกรงเธอจะล้มลงไปอีก

มิอาจปฏิเสธได้ว่าเรือนกายนุ่มนิ่มในอ้อมอกทำให้เขาหวั่นไหวนัก เมื่อครู่เธอลื่นล้มเกือบตกน้ำเขาจึงต้องดึงเธอกลับมาอย่างแรง ข้อเท้าบางนั้นจึงกระแทกกับท่าน้ำทำให้เธอเจ็บจนแทบทรงตัวไม่ไหว

“ข้ามิเป็นไรแล้ว” หลี่เฟยหงจับวงแขนเขาไว้แน่นเพื่อพยุงตัว แต่เมื่อลองก้าวเดินด้วยตนเองก็เจ็บเสียจนเกือบล้มไปอีกหน พ่อขวัญจึงคว้าร่างเธอมาอุ้มไว้แนบอก

“ให้ข้าช่วยเถิด”

“เจ้า!…บังอาจนัก!” หลี่เฟยหงพยายามดิ้นขัดขืนแต่ก็ไม่เป็นผลเลยสักนิด ชายหนุ่มค่อยๆ ก้าวเหยียบเรืออย่างระมัดระวังแล้ววางเธอไว้ด้านใน “เจ็บจนเดินมิไหวเช่นนี้คงไปซื้อพู่กันมิได้ วันพรุ่งข้าจักไปซื้อให้เองแล้วกัน”

เมื่อพ่อขวัญนั่งลงแล้วหญิงสาวก็พลันถอยหลังไปด้วยความตื่นกลัว เธอไม่เคยถูกบุรุษใดใกล้ชิดมากถึงเพียงนี้ แต่วงแขนแกร่งที่อุ้มเธอเมื่อครู่นั้นก็ทำให้อบอุ่นใจอย่างน่าประหลาด อีกทั้งสายตาที่มองมาก็จริงใจนัก เธอรู้ว่าพ่อขวัญไม่ได้ฉวยโอกาส…แต่การกระทำเช่นนี้ต้องให้เธออนุญาตก่อนหรือไม่

“ยังเจ็บอยู่หรือขอรับ”

พ่อขวัญพายเรือออกมาสักพักแล้ว เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้ายังนั่งเงียบเขาจึงวางไม้พายแล้วขยับเข้ามาใกล้ คว้าเท้าเล็กเรียวนั้นวางบนตักเขา…ก่อนจะถอดรองเท้าแล้วแกะผ้าพันเท้าออกอย่างเบามือ

“เจ้า! เจ้าจักทำกระไร…”

“ขอดูแผลสักหน่อยเถิด”

พ่อขวัญกล่าวตอบเสียงเรียบนิ่ง เมื่อแกะผ้าออกได้แล้วจึงก้มลงมองอย่างพิจารณา ข้อเท้าบางนั้นเกิดรอยแดงจากการถูกกระแทก แต่ก็ไม่มีบาดแผลหรือร่องรอยผิดรูปใดๆ ชายหนุ่มจึงคลายความกังวลลงไปได้บ้าง

เขานึกแปลกใจอยู่บ้างที่เท้าของหลี่เฟยหงรูปร่างเหมือนเท้าหญิงสาวปกติ…ไม่ได้ถูกบิดเป็นก้อนเล็กอย่างหญิงชาวจีนที่เขาเคยเห็น

“เท้าข้า…ก็เหมือนคนทั่วไปนั่นละ…”

หลี่เฟยหงเอ่ยอธิบายเมื่อเห็นพ่อขวัญจ้องมองอยู่ แต่กระนั้นก็ยังปล่อยให้เขาประคองเท้าตนเองอยู่อย่างนั้น แม้เป็นเท้าเรียวงามอย่างคนปกติทั่วไป แต่ผิวพรรณก็บอบบางนักเพราะถูกผ้าห่อไว้เสมอ

“ตอนเด็กข้ามิยอมให้แม่รัดเท้า ต้องคอยวิ่งหนีแม่อยู่เป็นปีๆ จนแม่ข้าตายไปแล้วจึงไม่มีใครกล้ายุ่งวุ่นวายกับข้า ต่อให้ต้องถูกดุด่าอย่างไรข้าก็ไม่สน เพราะแม้เท้าดอกบัวทองจักชื่นชมกันว่างามนัก…แต่ข้ามิงามด้วย เกิดมาเท้าเป็นอย่างไรก็ขอให้มันเป็นอย่างนั้น”

พ่อขวัญได้ฟังก็เผลอยิ้มละมุนเพราะนึกเห็นด้วย เขามองว่าเท้าดอกบัวทองของหญิงชาวจีนนั้นดูน่ากลัวเสียมากกว่าความงาม และนึกดีใจที่หลี่เฟยหงไม่ได้เป็นไปด้วย…มือหนาเผลอลูบปลายเท้านั้นอย่างทะนุถนอม “เมื่อครู่แม่หญิงคงกระแทกกับแผ่นไม้ที่ท่าน้ำ แต่ก็มีเพียงรอยฟกช้ำเท่านั้น…วันพรุ่งก็คงหายดี”

พ่อขวัญถอยกลับไปพายเรือต่อ ปล่อยให้หญิงสาวนั่งก้มหน้าเงียบ มิอาจปฏิเสธได้ว่าสัมผัสจากมือบุรุษนั้นทำให้เธอเผลอหวั่นไหว…แต่เขาก็ไม่ได้ทำกระไรไปมากกว่านั้น

เรือจอดท่าน้ำหน้าแล้วเขาจึงประคองเธอออกมา แต่เพราะหลี่เฟยหงยังเดินไม่ไหว พ่อขวัญจึงแบกเธอไว้บนหลังแล้วไปส่งในห้อง หญิงสาวจึงทำได้เพียงกอดคอเขาไว้แล้วซุกใบหน้าลงบนบ่าแกร่งเพื่อซ่อนสีหน้าไม่ให้ใครเห็น…ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะต้องมาขี่หลังบุรุษเช่นนี้

ยามสองกายหนุ่มสาวแนบชิด…เธอยิ่งรู้สึกแปลกประหลาดในใจนัก เพราะแม้พ่อขวัญจะมากความสามารถและยังท่าทียังสง่างามไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ใช่ชายที่เหมาะสม

แต่เธอกลัวเหลือเกิน…กลัวว่าสักวันจะเผลอใกล้ชิดไปมากกว่านี้

 

พักหลังมานี้นวลออกไปช่วยขายของที่ริมคลองสระบัวแทบทุกวัน เพื่อให้เขาแบ่งเวลามาเผาเครื่องถ้วยให้เธอด้วย นอกจากจะนั่งขายของให้แล้วยังช่วยผ่าฟืนเตรียมไว้ในบางครั้ง จนกระทั่งพ่อกล้าเผาหลอมน้ำเคลือบเสร็จเรียบร้อยแล้ว…คืนนี้เธอจึงมานั่งดูผลงานอย่างใจจดจ่อ

สองหนุ่มสาวอยู่กันตามลำพังในยามราตรี นวลนั่งบนแคร่ใต้ถุนเรือน สายตาจ้องมองพ่อกล้าที่อยู่หน้าเตาเผา ชายหนุ่มค่อยๆ กะเทาะเอาดินเหนียวที่ปิดปากเตาออกอย่างเบามือ ก่อนจะมุดเข้าไปด้านในเพื่อหยิบถ้วยกระเบื้องออกมาให้

“เอ็งลองดูใกล้ๆ ก่อนเถิด”

พ่อกล้าเอ่ยพลางยื่นถ้วยใบเล็กมาให้ หญิงสาวรับถ้วยจากมือเขามาถือไว้ สายตามองถ้วยในมืออย่างพิจารณา…พลันน้ำตาก็ไหลหยดอาบแก้มด้วยความผิดหวัง

“ยังใช้มิได้จ้ะ…”

นวลเอ่ยตอบเสียงสั่น แม้รูปทรงถ้วยและผิวเคลือบจะไม่มีรอยแตก แต่สีเข้มจนมองไม่เห็นลายเช่นนี้ก็คงนำไปขายไม่ได้ อย่างมากก็แค่เก็บไว้ใช้ในครัวเรือนเท่านั้น “ข้าจักเก็บบางส่วนไว้ใช้เอง…แต่ส่วนที่เหลือคงต้องโยนทิ้ง”

เห็นเธอนั่งหน้าเศร้าเช่นนี้พ่อกล้าก็รู้สึกผิดในใจนัก ชายหนุ่มนั่งลงเคียงข้างก่อนจะรับถ้วยจากเธอมาถือไว้ “ประเดี๋ยวข้าเผาให้ใหม่ ข้าสัญญาจักเผาให้ดีกว่านี้”

“มิใช่อย่างนั้นดอกจ้ะพี่กล้า”

นวลรีบส่ายหน้าปฏิเสธทั้งน้ำตา “พี่เก่งเหลือเกินที่เผาเครื่องถ้วยได้โดยมิแตกแม้สักใบ แต่มันผิดที่น้ำเคลือบของข้าเอง ข้าหาหินฟันม้ามิได้จึงเก็บเอาหินอื่นที่คล้ายกันมาแทนที่ เมื่อผสมขี้เถ้าแล้วเผาออกมาจึงมิใช่สีเขียว…แลยังสีเข้มมากเกินไปจนใช้การมิได้”

นวลกล่าวตอบพลางก้มหน้าเช็ดน้ำตา เมื่อความหวังสุดท้ายของเธอได้พังทลายลงแล้ว บัดนี้จึงรู้สึกมืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ควรทำอย่างไร

“เอ็งมิต้องเสียใจไปดอกแม่นวล หากทำเครื่องถ้วยขายมิได้ เอ็งก็ขายหม้อไหกับข้าเถิด…ได้เบี้ยมาเท่าใดข้าก็จักแบ่งให้ใช้” ชายหนุ่มเอื้อมมือสัมผัสไหล่เธอเบาๆเพื่อปลอบประโลม “ค่ำมากแล้ว…เอ็งกลับเรือนไปพักผ่อนก่อนเถิดหนา”

นวลพยักหน้ารับทั้งน้ำตา พ่อกล้าจึงเดินไปส่งที่เรือนของหญิงสาวและรอจนเธอดับไฟเข้านอนเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินกลับมาที่เรือนตนเองอีกครั้ง ร่างสูงนั่งยองๆ ลงบนหน้าเตาเผา มือคว้าถ้วยขึ้นมาดูอย่างพิจารณา ก่อนจะใช้ท่อนฟืนทุบให้แตกแล้วหยิบเศษถ้วยมาดูเนื้อใน…จนกระทั่งเห็นสาเหตุของปัญหา

“เผาไม่สุก”

พ่อกล้าบ่นพึมพำกับตัวเอง นอกจากเรื่องหินทำน้ำเคลือบของนวลแล้ว สาเหตุอีกส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเขาเผาเครื่องถ้วยผิดวิธี ความร้อนจึงไม่มากพอจะหลอมละลายน้ำเคลือบได้

เป็นอย่างที่เขาเคยคิดไว้…

การทำถ้วยกระเบื้อง…มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด

 

เมื่อแสงตะวันสาดส่องทั่วแผ่นฟ้าเป็นสัญญาณของวันใหม่ นวลจึงกลับมาหาพ่อกล้าอีกครั้งด้วยท่าทางอ่อนล้า เธอผิดหวังจากการเผาเครื่องถ้วยแล้วจึงแทบไม่อยากทำสิ่งใด แต่เพราะที่ผ่านมาพ่อกล้าคอยช่วยเหลือเธอมาตลอด…นวลจึงตอบแทนด้วยการแบ่งเบาภาระเขา

ทั้งสองนั่งขายหม้ออยู่ริมคลองตั้งแต่เช้า รอจนถึงยามบ่ายพ่อกล้าจึงปลีกตัวออกมาคนเดียว ร่างสูงเดินลัดสวนผลไม้ของชาวบ้านไปจนถึงหน้าวัดจงกรม เขาไม่ได้เข้าไปในอาณาเขตวัด…แต่กลับเดินเลียบกำแพงไปจนถึงเรือนของนายจั่นผู้เป็นสหาย

นายจั่นเป็นชาวบ้านอีกฝั่งคลองสระบัว สืบทอดอาชีพทำกระเบื้องมุงหลังคามาตั้งแต่บรรพบุรุษ อีกทั้งยังเป็นคนช่วยสร้างเตาเผาหลังใหม่ให้เรือนพ่อกล้าอีกด้วย เมื่อรู้ข่าวว่าพ่อกล้าจักเผาถ้วยกระเบื้อง ทั้งสองจึงมานั่งร่ำสุราสนทนากันใต้ต้นไม้

“วิธีเผากระเบื้องนั้นซับซ้อนกว่าหม้อดินที่เอ็งเคยทำ เพราะใช้ความร้อนมากกว่าแลยังใช้เวลามากกว่า” นายจั่นเอ่ยอธิบายพลางเทสุราในจอกยื่นให้ “ฟืนที่จักใช้ในการเผาแต่ละครั้ง ก็มากกว่าที่เอ็งเคยใช้”

“แล้วจักให้ข้าเตรียมฟืนอย่างไรเล่า”

“เตรียมกองใหญ่จนล้นใต้ถุนเรือนเชียวละ” นายจั่นกล่าวตอบ “ให้เอ็งเตรียมฟืนไว้ทั้งสามกอง กองแรกเป็นท่อนซุงขนาดเท่าลำตัว อีกกองเป็นฟืนขนาดเท่าแขน ส่วนกองสุดท้ายเป็นฟืนกิ่งไม้เรียวเล็ก เตรียมสองอย่างหลังให้มากหน่อย”

“ใช้ฟืนกองใหญ่จนเต็มใต้ถุนเรือนเชียวรึ…”

“ลางทีอาจมิพอเสียด้วยซ้ำ” นายจั่นเอ่ยอธิบาย “ฟืนทั้งสามกองนี้ให้ความร้อนต่างกัน ท่อนซุงใหญ่ใช้อุ่นเตาในสามวันแรก ฟืนขนาดกลางใช้เผาไต่ระดับความร้อนให้เพิ่มขึ้นมากกว่าเก่า ส่วนฟืนกิ่งไม้เล็กกองสุดท้าย…ใช้เผายืนไฟให้เกิดความร้อนสูงสุด”

“แล้วจักเผาอย่างไร”

“เอ็งต้องเริ่มอุ่นเตาโดยจุดท่อนซุงจ่อปากเตาไว้เสียก่อน ความร้อนจักเพิ่มขึ้นทีละน้อย นั่งเฝ้าหน้าเตาห้ามให้ไฟมอดเด็ดขาด ผ่านไปสักสามวันเอ็งก็ลองเอาเศษถ่านไม้เล็กๆ โยนเข้าไปให้ห้องเผา หากเศษถ่านไม้ติดไฟขึ้นมาเอง…ก็เป็นอันใช้ได้”

นายจั่นเทสุรากรอกปากท่าทางเมามาย…แต่ถ้อยคำที่เอ่ยอธิบายก็ดูจริงจังนัก “หลังจากนั้นให้เริ่มเผาโดยใช้ฟืนกองที่สองอุดปากเตา ฟืนท่อนขนาดกลางนี้จักทำให้เตาเพิ่มความร้อนได้มากขึ้น ให้เอ็งเสียบท่อนฟืนจนเต็มแล้วเติมฟืนต่อเนื่องอย่าให้ขาด ฟืนต้องเต็มปากเตาเสมออย่าให้ลมเข้า ถึงวันนั้นข้าจักไปช่วยเอ็งแทงไฟอีกแรง”

“ขอบน้ำใจเอ็งนัก” พ่อกล้าส่งยิ้มให้ “เช่นนั้นข้าจักไปเรียกไอ้ทดกับไอ้ผันมาช่วยอีกแรงหนึ่ง”

นายจั่นพยักหน้าเบาๆ “ยิ่งมีคนมากก็ยิ่งดี…เพราะหลังจากนี้จักต้องใช้แรงคนแทงไฟกันข้ามวันข้ามคืน เราต้องเผาต่อไปอีกราวสองชั่วยาม แล้วจึงใช้ฟืนท่อนเล็กแทงไฟให้เกิดความร้อนสูงสุด”

“เอ็งจงจำไว้หนาไอ้กล้า…ช่วงแทงไฟครั้งสุดท้ายนี้สำคัญนัก” นายจั่นกล่าวย้ำอีกหน “เพราะความร้อนครั้งนี้จักทำให้น้ำเคลือบเครื่องถ้วยหลอมเป็นแก้วใส ฟืนท่อนเล็กไหม้เร็วนัก…แต่จักปล่อยให้ทิ้งช่วงมิได้เป็นอันขาด”



Don`t copy text!