อรุณแสงรัก บทที่ 12 : ทนไม่ไหว

อรุณแสงรัก บทที่ 12 : ทนไม่ไหว

โดย : SUDA

Loading

อรุณแสงรัก โดย  SUDA นวนิยายอ่านฟรีที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co กับเรื่องของ “นวล” หญิงสาวจากสวรรคโลก ที่ชีวิตพลิกผันจนต้องมาใช้ชีวิตในกรุงศรีอยุธยาและได้ร่วมหัวจมท้ายกับชายหนุ่มบ้านใกล้เรือนเคียงที่ความสัมพันธ์เริ่มต้นจากความสงสาร เพียงแค่อยู่ร่วมกันแต่ไม่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนแบบนี้จะเรียกว่าความรักได้หรือไม่

บรรยากาศในชุมชนชาวจีนวันนี้ดูสดใส เช้านี้มีผู้คนออกมาซื้อของกันมาก นอกจากจะมีชาวจีนด้วยกันแล้ว ยังมีชนชาติอื่นเข้ามาเลือกซื้อเครื่องลายครามด้วย วันนี้พ่อขวัญอยู่เฝ้าหน้าร้านให้หลี่เฟยหงเช่นเคย ร่างสูงนั่งอยู่บนโต๊ะไม้ มือหนาจรดพู่กันเขียนบัญชีอย่างรวดเร็วก่อนจะกวาดเงินพดด้วงใส่ถุงเงินท่าทางคล่องแคล่ว

แม้เขาจะไม่รู้หนังสือมาก่อน แต่เพราะความฉลาดหัวไวจึงสามารถเรียนคำง่ายๆ ในภาษาจีนได้ เช่น ซื้อ ขาย และเขียนตัวเลขได้โดยมีหลี่เฟยหงช่วยสอน อีกทั้งมีทักษะการใช้พู่กันมาจากการเขียนลายถ้วย เมื่อใช้พู่กันเล็กลองตวัดเป็นลายอักษรจีนจึงง่ายดายนัก

วันนี้หลี่เฟยหงไข้ขึ้นตั้งแต่เช้าจึงต้องนอนพักอยู่ด้านหลัง พ่อขวัญจึงออกมาขายของหน้าร้านโดยมีชิงหลัวและทาสชายคนอื่นคอยเป็นลูกมือให้ เมื่อผู้คนบางตาลงแล้วชายหนุ่มจึงนั่งพักเอาแรง แต่ยังไม่ทันหายเหนื่อยก็ได้ยินเสียงโวยวายมาจากหน้าร้าน และเสียงนั้นก็คุ้นหูเขานัก

“นางแม่หญิงใจทราม! ออกมาหาข้าประเดี๋ยวนี้!”

นวลยืนเท้าสะเอวพลางตะโกนดังลั่น ก่อนจะเดินปรี่เข้ามาในร้านแต่ถูกพ่อกล้าวิ่งมาคว้าแขนไว้ “ตั้งสติก่อนเถิดแม่นวล! กลับเรือนกับข้าประเดี๋ยวนี้”

“ไม่! ข้าจักคุยกับนางให้รู้เรื่อง”

หญิงสาวตะโกนลั่นร้านด้วยความโกรธจัด “หรือหากคุยมิรู้เรื่องก็ขอให้ด่าสักหน่อยก็ยังดี คนกระไรจิตใจสกปรก ขี้ขลาดตาขาว! แม้แต่จักประลองฝีมืออย่างสุจริตก็ยังมิกล้า ทำตัวเป็นหมาลอบกัด…”

นวลดิ้นขัดขืนพ่อกล้าสุดแรงพลางก่นด่าหลี่เฟยหงอยู่หน้าร้าน แต่ก่อนที่พ่อกล้าจะดึงตัวเธอกลับไปได้ก็มีชายหนุ่มในร้านเดินเข้ามาหาเสียก่อน เมื่อนวลเงยหน้ามองเขาเต็มตา หญิงสาวจึงหยุดขัดขืนพร้อมอ้าปากค้างด้วยความตื่นตระหนก

“พี่ขวัญ!”

นวลอุทานดังลั่น สายตามองชายหนุ่มตรงหน้าราวกับไม่เชื่อสายตา ร่างสูงสง่าของพ่อขวัญนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอย่างชาวจีน ดูแปลกตาเสียจนเธอแทบจำไม่ได้ แต่เมื่อได้มองใกล้ๆ ก็มั่นใจนักว่าเขาคืออดีตชายคู่หมาย พลันน้ำตาก็เอ่อขึ้นมาด้วยความสับสน

“พี่ขวัญ…พี่ขวัญรึ…”

“ใช่…พี่เอง” พ่อขวัญบังคับตนเองไม่ให้เสียงสั่น แต่กระนั้นก็ไม่ได้ผลเลยสักนิด “เอ็งเห็นพี่กลางวันแสกๆ เช่นนี้ คงมิคิดว่าพี่เป็นผีแล้วใช่ไหม”

“แล้ว…แล้วพี่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

“มาอย่างไรมันสำคัญด้วยรึ” ชายหนุ่มหันมองพ่อกล้าที่ยืนอยู่ด้านหลังแม่หญิงคนรัก ก่อนจะกล่าวตัดพ้อด้วยความน้อยใจ “เอ็งจักอยากรู้เรื่องพี่ไปทำไมเล่าแม่นวล ในเมื่อเอ็งเลือกทิ้งพี่ไปอยู่กับมัน เห็นว่าช่วยกันปั้นหม้อไหขายจนร่ำรวยมีเงินมีทอง ผัวเอ็งคงดีกว่าพี่ทุกอย่าง…เอ็งคงมีความสุขมากกระมัง”

“พี่เข้าใจผิดแล้วหนา”

นวลรีบกล่าวตัดบทเพราะเห็นพ่อขวัญเริ่มน้ำตารื้น “พี่กล้ามิใช่ผัวข้าสักหน่อย…”

สิ้นถ้อยคำของนวลพ่อขวัญก็นิ่งชะงักไปทันที พ่อกล้าเองก็ยืนนิ่งเป็นหุ่นปั้นไม่ต่างกันนัก แม้รู้อยู่แก่ใจว่าสักวันความจริงคงเปิดเผย…แต่เขาก็ไม่คิดว่าเธอจะกล่าวออกมาอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้

“เอ็งหมายความว่าอย่างไร”

“ก็หมายความอย่างที่ว่านั่นละ” นวลปล่อยมือจากพ่อกล้าแล้วเดินเข้ามาหา แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอธิบายใดๆ ก็เห็นหลี่เฟยหงเดินออกมาจากหลังร้าน ร่างเล็กพยุงกายตนเดินออกมาด้วยท่าทางอ่อนเพลีย แต่เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใคร…ใบหน้าก็พลันซีดเผือดยิ่งกว่าเก่า

“แม่…แม่นวล!”

“ใช่…ข้าเอง” นวลกล่าวตอบในลำคอ ก่อนจะเดินปรี่เข้ามาพร้อมน้ำตาแห่งความคับแค้น “เจ้าทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร! เหตุใดแม่หญิงตระกูลใหญ่ผู้สูงส่งจึงไร้คุณธรรมนัก ขี้ขลาดตาขาว กลัวจักพ่ายแพ้จนต้องเล่นสกปรกแอบเอาทรายมาใส่ดินหมักของข้า!”

หลี่เฟยหงปรี่ไปหลบหลังพ่อขวัญ พร้อมกับพ่อกล้าที่คว้าแขนนวลกลับมาอย่างรวดเร็ว “ตั้งสติก่อนเถิดแม่นวล! กลับเรือนเราประเดี๋ยวนี้”

“ไม่! พี่อย่ามายุ่งกับข้า!”

นวลสะบัดแขนออกพลางหันมองแม่หญิงด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ เห็นเธอหลบอยู่หลังพ่อขวัญก็ยิ่งเพิ่มความเดือดดาลในใจเป็นเท่าทวี “พี่เองก็เหมือนกัน…มาอยู่กับคนพวกนี้ได้อย่างไร! มิรู้รึว่าแม่หญิงผู้นี้นางมารยาเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าใคร ระวังตัวไว้เถิดว่าสักวันจักถูกหักหลัง”

“พอได้แล้ว”

หลี่เฟยหงก้าวออกมาจากด้านหลังพ่อขวัญช้าๆ แล้วเข้ามาเผชิญหน้าหญิงสาว นัยน์ตาคู่ใสนั้นมีน้ำตาเอ่อเจียนจะร่ำไห้ “ข้ามิรู้เรื่อง…ข้ามิรู้เรื่องกระไรทั้งนั้น”

“มิรู้เรื่องอย่างนั้นรึ!”

นวลเดินปรี่เข้ามาหาแล้ววางลูกปัดหินลงบนโต๊ะอย่างแรง นัยน์ตาแดงก่ำจ้องมองเธอแน่วแน่ “สร้อยลูกปัดจีนเช่นนี้ข้ามิเคยใส่ แล้วมันมาหล่นที่เรือนข้าได้อย่างไร!”

“แต่มันมิใช่ของข้า…”

“พอเถิดแม่นวล! เอ็งกลับกับข้าประเดี๋ยวนี้!” พ่อกล้าตัดสินใจอุ้มเธอพาดบ่าแล้วพากลับออกไปทันที ไม่ได้รอให้เกิดการโต้เถียงอับอายผู้คนไปมากกว่านี้ จนกระทั่งเสียงโวยวายของนวลเงียบหายไปแล้ว หน้าร้านของหญิงสาวจึงเงียบสงัด…มีเพียงพ่อขวัญที่ยืนเงียบจ้องมองเธออยู่อย่างนั้น

สายตาที่เขามองมาทำให้หลี่เฟยหงร้อนผ่าวอยู่ในอก มือไม้สั่นเสียจนไม่รู้จะเก็บอาการอย่างไร

“ข้ามิได้ทำ ลูกปัดนี้มิใช่ของข้า”

“ของอาหลิว…” พ่อขวัญเอ่ยตอบเสียงเบา สายตายังจ้องมองเธอด้วยความผิดหวัง เขาเคยคิดว่าหลี่เฟยหงจะมีคุณธรรมในใจมากกว่านี้…แต่เขาคิดผิด

“ไม่…ไม่ใช่”

“หลายวันก่อนอาหลิวทำสร้อยข้อมือขาด นางจึงให้ข้าช่วยซ่อมให้” ชายหนุ่มเดินเข้าไปเปิดลิ้นชักโต๊ะอย่างเชื่องช้า ก่อนจะหยิบถุงผ้าเล็กๆ ออกมาแล้วเทลูกปัดหินออกมาให้เห็น “ข้ายังซ่อมมิแล้วเสร็จ เพิ่งรู้ว่าชิ้นส่วนมันหายไป…ที่แท้…ก็ไปอยู่ที่เรือนแม่นวลนี่เอง”

สิ้นเสียงพ่อขวัญหลี่เฟยหงพลันน้ำตาหยดอาบนวลแก้ม ร่างเล็กยืนสะอื้นไห้น่าเวทนานัก เธอไม่ได้ร้องไห้เพราะถูกจับได้…แต่เพราะสายตาผิดหวังที่พ่อขวัญมองมานั้นชวนให้รู้สึกปวดใจต่างหาก หญิงสาวยกมือปิดหน้าพลางทรุดตัวลงร่ำไห้จนหมดสิ้นความสง่างาม

พิษไข้ของเธอกำเริบขึ้นมาจนแทบหงายหลังลงตรงนั้น ดวงหน้าเล็กซีดเซียวราวกับคนใกล้หมดสติ พ่อขวัญจึงประคองเธอลุกขึ้นแล้วพาไปนั่งพักหลังร้าน จากนั้นจึงก่อไฟต้มยาจีนให้

ร่างสูงนั่งสับท่อนฟืนอยู่เงียบๆ ไม่ยอมหันมามองหน้าเธอแม้สักครั้ง

“ข้าผิดไปแล้ว…”

หลี่เฟยหงเอ่ยเสียงแหบแห้ง นัยน์ตาคู่ใสเริ่มมีน้ำตาเอ่ออีกครั้ง “เจ้าก็รู้ว่าเหยียนตงยังเดินเรือกลับมามิถึง ในขณะที่นางหมักดินจนพร้อมปั้นถ้วยแล้ว หากข้ามิทำเช่นนี้นางคงได้เอาเครื่องถ้วยไปส่งวังหลวงก่อนข้า เมื่อนั้นข้าก็จักพ่ายแพ้เพราะมิอาจส่งเครื่องถ้วยได้ทันเวลา ข้า…ข้าจำเป็นต้องทำ”

“ทำผิดก็คือทำผิด เหตุผลใดก็ฟังมิขึ้นทั้งนั้น”

“แล้วเจ้าจักให้ข้าทำอย่างไร…”

“มิต้องทำกระไรดอกขอรับ” พ่อขวัญเอ่ยเสียงเรียบ “เพราะข้าก็จักมิทำเช่นกัน”

“หมายความว่าอย่างไร เจ้าจักมิปั้นถ้วยลายครามช่วยข้าอย่างนั้นรึ” หลี่เฟยหงกล่าวตัดพ้อเสียงสั่น ทั้งโกรธทั้งเสียใจที่เห็นท่าทีเย็นชาของเขา “นี่เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงคิดขัดคำสั่งข้า ที่เจ้ารอดตายวันนั้นเป็นเพราะใคร…จำได้หรือไม่”

“จำได้ขอรับ”

พ่อขวัญกล่าวตอบเสียงเบา “แม่หญิงมีบุญคุณต่อข้าก็จริงอยู่ แต่ข้าก็มิได้อยู่ในฐานะทาสรับใช้ เหตุที่ยังนั่งอยู่ตรงนี้ก็เพราะสำนึกในบุญคุณเท่านั้น…หากข้าจักกลับสวรรคโลกไปเมื่อใดก็ย่อมได้”

ได้ฟังเช่นนั้นน้ำตาก็ไหลอาบนวลแก้มสาวด้วยความคับแค้น เธอไม่เคยรู้สึกว่าตนสูญเสียอำนาจเช่นนี้มาก่อน คุณหนูสกุลหลี่ผู้สูงส่ง…บัดนี้ต้องมานั่งร่ำไห้เพราะหนุ่มชาวบ้านอย่างเขาไม่ยอมเชื่อฟังอย่างนั้นหรือ เหตุใดชีวิตจึงตกต่ำเหลือเกิน

พ่อขวัญนั่งต้มยาพร้อมกับฟังเสียงเธอร่ำไห้ แม้คิดว่าตนเป็นคนใจแข็ง แต่เสียงสะอื้นของแม่หญิงข้างหลังนั้นก็สะท้อนใจเขานัก ทั้งที่เธอสมควรสำนึกผิดให้มากกว่านี้ แต่เหตุใดหนอเขาจึงไม่อาจทนฟัง…ราวกับเสียงสะอื้นนั้นพานให้ใจเขาเจ็บปวดตามไปด้วย

เมื่อทนฟังไม่ไหวชายหนุ่มจึงลุกจากเตาไฟมานั่งตรงหน้า ใบหน้าคมโน้มลงมาสบตา

“พอได้แล้ว หากยังไม่หยุดร้อง…ไม่เพียงข้าจักไม่สอนปั้นเครื่องถ้วยให้ แม้แต่เตาไฟต้มยานี้ก็จักไม่ช่วยก่อ”

สิ้นถ้อยคำเขาหลี่เฟยหงก็หยุดสะอื้นในทันที มือบางรีบเช็ดน้ำตาตนเองอย่างว่าง่าย แม้จะยังโกรธที่พ่อขวัญกล้าวางอำนาจใส่เธอเช่นนี้ แต่เพราะต้องขอความช่วยเหลือจากเขาหลายอย่าง หญิงสาวจึงทำได้เพียงนั่งเงียบตามคำสั่งเขาเท่านั้น

พ่อขวัญนั่งต้มยาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรินยาจีนร้อนๆ ใส่ถ้วยลายครามแล้วยื่นให้ “กินยาแล้วนอนพักผ่อนเถิดขอรับ หากหายดีแล้วค่อยว่ากันใหม่”

“เจ้าจักยอมช่วยข้า…”

“รอให้แม่นวลหมักดินใหม่จนพร้อมเสียก่อน” พ่อขวัญกล่าวตอบเสียงเบา “เรื่องนี้แม่หญิงเป็นคนผิดจึงมิอาจปัดความรับผิดชอบ ต่อให้เหยียนตงนำเรือจอดเทียบท่าในวันพรุ่งนี้ แต่ข้าก็จักรอจนกว่าฝั่งนั้นจักพร้อมปั้นถ้วยเช่นกัน”

“หลังจากนี้…จักไม่มีการเล่นสกปรกอีกแล้ว”

 

เรือสำเภาจีนเพิ่งจอดเทียบท่าเมื่อคืนนี้ ในยามฟ้าสางจึงมีสินค้ามาส่งที่เรือนสกุลหลี่มากมายจนเต็มเรือน นอกจากจะมีเครื่องลายครามที่นำมาขายต่อแล้ว ยังมีวัตถุดิบที่ใช้ผลิตเครื่องลายครามอีกด้วย แต่เหยียนตงนำมาให้ได้จำนวนไม่มากนักเพราะต้องบรรทุกมาพร้อมกับสินค้าอื่นๆ มีโอกาสให้พ่อขวัญปั้นถ้วยพลาดไม่กี่ครั้งเท่านั้น

หลังจากบรรดาทาสช่วยกันขนของลงจากเรือเรียบร้อยแล้ว พ่อขวัญจึงเริ่มตรวจนับสินค้า แต่ยังไม่ทันไรชายหนุ่มก็ต้องกลับไปท่าน้ำหน้าเรือนอีกครั้งเพราะเหยียนตงต้องการพบเขาตามลำพัง

เมื่อมาถึงที่หมายก็เห็นเหยียนตงยืนรออยู่แล้ว พ่อค้าหนุ่มชาวจีนผู้นี้เป็นชายรูปร่างสูงสง่า แต่งกายด้วยผ้าแพรเนื้อดี…อีกทั้งนัยน์ตาคมก็ดูสุขุมน่ามองนัก

“เห็นว่าเจ้าสร้างเตาประทุนไว้หลังสวนดอกไม้…เสร็จแล้วรึ”

“ขอรับ”

“แล้วพวกดินแลหินแร่ที่จักใช้ปั้นถ้วยเล่า เจ้าเอาเก็บไว้ที่ใด”

“หลังเรือนขอรับ…” พ่อขวัญกล่าวตอบอีกครั้งด้วยสีหน้างุนงง “ข้ากับชิงหลัวช่วยกันสร้างเพิงไม้ไผ่ไว้ตรงนั้นเพื่อเป็นโรงเก็บของ แลจักใช้เป็นโรงปั้นเครื่องลายครามด้วย”

“แล้วเจ้าปั้นเครื่องลายครามเป็นแล้วรึ”

ได้ฟังคำถามชายหนุ่มก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง อันที่จริงเขาก็รู้สึกกังวลเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อได้มาเห็นดินและวัตถุดิบอื่นๆ เขาจึงเพิ่งรู้ว่ามีความต่างจากเครื่องสังคโลกเป็นอย่างมาก แม้แต่เนื้อดินก็ยังมีสีขาวสว่างกว่าที่เขาคิดไว้ และยังมีความเหนียวแตกต่างกับดินที่นี่อีกด้วย

“ข้ามิแน่ใจขอรับ…”

พ่อขวัญกล่าวตอบตามตรง “แม้ข้าจักเป็นช่างปั้นเครื่องสังคโลก อยู่กับงานถ้วยกระเบื้องมาตั้งแต่เกิดจนบัดนี้ แต่เครื่องสังคโลกกับเครื่องลายครามมีความแตกต่างกันหลายอย่าง ข้าจึง…”

“เช่นนั้นข้าจักสอนให้” เหยียนตงกล่าวตอบทันที “ข้ามีเวลาอยู่ที่นี่อีกสามวันก่อนจักเดินทางกลับ เจ้าเองเป็นถึงนายช่างปั้นดิน…คงมิใช่คนโง่เขลาเบาปัญญาจนสั่งสอนมิได้”

“สอนข้าหรือขอรับ”

พ่อขวัญจ้องมองเขาด้วยสีหน้างุนงงมากกว่าเก่า เขานึกว่าเหยียนตงเป็นเพียงพ่อค้าคุมเรือเดินสมุทรเสียอีก เหตุใดจึงมีความรู้เรื่องเครื่องลายครามได้ อีกทั้งปกติแล้วไม่ได้มีการถ่ายทอดวิชากันได้ง่ายๆ แล้วเหตุใดพ่อค้าหนุ่มผู้นี้จึงเลือกมอบให้เขา…

“ข้าเป็นชาวจิ่งเต๋อเจิ้น สืบทอดวิชาการปั้นเครื่องถ้วยมาหลายชั่วอายุคน อีกทั้งข้ายังเป็นบุตรคนโตของตระกูลจึงย่อมเชี่ยวชาญเรื่องนี้นัก แต่เมื่อราชสำนักจีนสนับสนุนเครื่องลายครามของจิ่งเต๋อเจิ้นให้เป็นสินค้าลงเรือสำเภาส่งตามเมืองท่าต่างๆ ข้าจึงกลายเป็นคนคุมเรือสำเภาด้วยตนเอง…พักหลังมานี้จึงมิได้อยู่หน้าเตาเผา”

“แล้วเหตุใดท่านจึงเลือกสอนข้า”

“เจ้าก็รู้เหตุผลดีมิใช่รึ…”

เหยียนตงเหยียดยิ้มมุมปากเบาๆ “หากเลือกได้…ข้าคงอยากช่วยนางปั้นเครื่องลายครามเอง แต่เพราะจำเป็นต้องคุมเรือสินค้าไปกลับอีกหลายหน เมื่อนางต้องการความช่วยเหลือจึงต้องหวังพึ่งพาทาสรับใช้อย่างเจ้าเท่านั้น ในสามวันนี้ข้าจักช่วยสอนให้ เจ้าจงตั้งใจร่ำเรียนวิชาให้ดี…แล้วช่วยนางเผาเครื่องลายครามออกมาให้ได้”

เหยียนตงเอ่ยอธิบายพลางจ้องมองชายตรงหน้าอย่างพิจารณา เขาไม่ได้เพิ่งรู้จักพ่อขวัญ…แต่เพราะสืบจากชิงหลัวและบรรดาทาสหนุ่มในเรือนจนมั่นใจว่าพ่อขวัญเป็นคนน่าคบหา จึงยอมถ่ายทอดวิชาให้ แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังไม่วางใจนัก เพราะพักหลังหลี่เฟยหงใช้เวลาอยู่กับพ่อขวัญเป็นส่วนใหญ่…ชายหญิงใกล้ชิดกันเช่นนี้จึงทำให้อดระแวงขึ้นมาไม่ได้

“เป็นพระคุณขอรับ”

พ่อขวัญกล่าวตอบ “แต่ท่านมิจำเป็นต้องถ่ายทอดวิชาสำคัญเช่นนี้ให้ข้า…”

“ข้าน่ะหรือจักใส่ใจทาสรับใช้อย่างเจ้า ที่ยอมทำไปทั้งหมดก็เพื่อนางทั้งนั้น ในเมื่อวันนี้ข้ามิอาจดูแลก็คงต้องให้เจ้าคอยรับใช้ อย่าบังอาจทำให้นางต้องผิดหวัง”

“แลที่สำคัญ…จงอย่าสำคัญตนจนเกินไป”

ชายหนุ่มสองคนยืนสบตากันอยู่นานโข ฟังจากถ้อยคำของเหยียนตง…พ่อขวัญก็พอรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับหลี่เฟยหง และเพียงมองตาก็รู้ว่าเหยียนตงต้องการจะบอกกล่าวสิ่งใด

แต่เขาไม่เคยคิดสิ่งใดเกินเลยกับเธอทั้งนั้น เขารู้ฐานะตนเองดีว่าต้อยต่ำมากเพียงใด เปรียบหญิงสาวดั่งดอกไม้แรกแย้มทั้งงดงามน่าทะนุถนอม แต่ก็สูงส่งเสมือนดอกฟ้าที่คนชั้นต่ำอย่างเขามิอาจเอื้อม ไม่ใช่เพียงต่างเชื้อชาติต่างภาษา แต่เพราะไม่มีสิ่งใดเหมือนกันแม้สักอย่าง ไม่มีทางจะผูกสมัครรักใคร่กันได้

อีกอย่าง…เขาก็ไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่ไปทั้งชีวิต

หากวันใดที่เธอเข้มแข็งกว่านี้…เขาก็พร้อมจะเดินจากไป



Don`t copy text!