อรุณแสงรัก บทที่ 14 : เดิมพันด้วยหัวใจ

อรุณแสงรัก บทที่ 14 : เดิมพันด้วยหัวใจ

โดย : SUDA

Loading

อรุณแสงรัก โดย  SUDA นวนิยายอ่านฟรีที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co กับเรื่องของ “นวล” หญิงสาวจากสวรรคโลก ที่ชีวิตพลิกผันจนต้องมาใช้ชีวิตในกรุงศรีอยุธยาและได้ร่วมหัวจมท้ายกับชายหนุ่มบ้านใกล้เรือนเคียงที่ความสัมพันธ์เริ่มต้นจากความสงสาร เพียงแค่อยู่ร่วมกันแต่ไม่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนแบบนี้จะเรียกว่าความรักได้หรือไม่

นอกจากช่วยหลี่เฟยหงผลิตเครื่องลายครามแล้ว พ่อขวัญยังต้องช่วยงานขายของที่ร้านด้วย เมื่อหญิงสาวยังไม่ฟื้นจากพิษไข้สักทีเขาจึงกลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการค้าขาย ชายหนุ่มใช้เวลาแทบทั้งวันอยู่ในร้านเครื่องลายคราม สื่อสารกับชาวจีนและค้าขายอยู่กับพวกทาสรับใช้จนเริ่มพูดจีนได้บางคำ ทั้งเขียนบัญชีได้และฟังประโยคสนทนาเข้าใจแล้ว

อีกทั้งยามเขาคุมร้านเครื่องลายครามให้ สินค้าของเธอยิ่งขายดีมากกว่าเก่า หญิงสาวจึงเริ่มมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าพ่อขวัญมิใช่ช่างปั้นสังคโลกธรรมดา แต่เป็นทั้งพ่อค้าและนายช่างมากฝีมือด้วย

สายลมบางเบาพัดผ่านยามราตรี เวลาผ่านไปจนดึกสงัดแล้ว บรรดาทาสเข้านอนกันหมดจึงเหลือเพียงพ่อขวัญอยู่ในเรือนใหญ่ตามลำพัง ร่างสูงนั่งอยู่บนโต๊ะใหญ่ในโถงชั้นล่าง ทั้งเขียนบัญชีและนับเงินเก็บใส่ถุงอย่างคล่องแคล่ว แต่ยังมิทันเสร็จก็พลันนิ่งชะงักเพราะได้ยินเสียงโครมครามมาจากห้องนอนใหญ่

“แม่หญิงขอรับ!”

พ่อขวัญได้ยินเสียงก็รีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เห็นหลี่เฟยหงนอนขดตัวบนพื้น เนื้อตัวสั่นสะท้านด้วยความหนาว “แม่หญิง! แม่หญิงเป็นกระไรไป”

“ข้าหนาว…”

หลี่เฟยหงเอ่ยตอบเสียงแหบพร่า ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด พ่อขวัญจึงรีบเข้าไปประคองสองไหล่ให้ลุกขึ้นนั่ง ทันทีที่สัมผัสกายจึงรู้ว่าเธอตัวร้อนดุจไฟเผา เหตุที่เจ็บป่วยครานี้หายยากเย็นนักเป็นเพราะเธอแทบไม่มีเวลาพักผ่อน และเพราะร่างกายอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่ด้วย

“ข้าจักรีบไปตามหมอมาให้”

“มิต้อง…หมอเพิ่งกลับไปเมื่อเย็นนี้เอง”

หญิงสาวเอ่ยตอบก่อนจะเอนกายซุกในอกอุ่นด้วยความอ่อนเพลีย พ่อขวัญปล่อยให้เธอกอดซบเขาอยู่อย่างนั้น วงแขนแกร่งประคองเธอไว้มิให้ล้มหงาย กายสาวหนาวสะบั้นเพราะพิษไข้…แต่เมื่อยังมิหายขาดสักทีเขาจึงเป็นห่วงนัก

“แม่หญิงกินยาแล้วหรือไม่”

“กินแล้ว…” หลี่เฟยหงเอ่ยตอบในลำคอ ความหนาวเย็นลึกเข้าในกระดูกทำให้เธอทรมานจนแทบหมดสติ “ข้าหนาว…หาผ้าห่มให้ข้าที”

พ่อขวัญได้ฟังเช่นนั้นจึงรีบอุ้มเธอมาวางบนเตียงใหญ่ กวาดสายตามองหาผ้ามาห่มกายให้ แต่เมื่อหลี่เฟยหงไม่ยอมปล่อยอ้อมกอดจากเขาสักที ชายหนุ่มจึงเอ่ยกระซิบข้างหู “แม่หญิงปล่อยข้าได้แล้ว…ข้าจักไปหาผ้าห่มมาให้”

“แม่หญิงขอรับ…”

หญิงสาวไม่ยอมเอ่ยตอบด้วยคำใด เธอได้ยินเสียงเขาชัดเจนนักแต่กระนั้นก็ไม่ยอมปล่อยอ้อมกอด อีกทั้งยังซุกใบหน้าบนแผ่นอกแกร่ง…ราวกับเป็นไออุ่นเดียวที่มีในเวลานี้

“ข้าหนาว…ข้าหนาว…”

ร่างเล็กเอ่ยกระซิบเสียงสั่น “กอดข้าที…”

เมื่อเป็นเช่นนั้นพ่อขวัญจึงปล่อยเลยตามเลย ในเมื่อเธอมิยอมคลายอ้อมกอดจากเขา ชายหนุ่มจึงนั่งพิงหัวเตียงปล่อยให้แม่ตัวเล็กบนตักกอดซบอยู่อย่างนั้น วงแขนข้างหนึ่งกอดเธอไว้แน่น…มืออีกข้างดึงผ้าห่มมาคลุมกายทั้งสองไว้

เพราะพิษไข้จึงทำให้รู้สึกหนาวจนตัวสั่นสะท้าน ยามสองกายหนุ่มสาวแนบชิดเช่นนี้ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง หลี่เฟยหงยังกอดเขาไว้อย่างนั้น จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพักความหนาวจึงเริ่มทุเลาลง พร้อมๆ กับเหงื่อที่ผุดพรมไปทั่วสองกาย

ผ่านไปเกือบชั่วยามหญิงสาวจึงได้สติขึ้นมา…ก่อนจะเงยหน้าสบตาบุรุษที่กอดเธอไว้

“เจ้า…เจ้าทำกระไร!”

“มิได้ทำกระไรขอรับ…ข้ามิได้ทำกระไรเลยสักนิด” พ่อขวัญยกยิ้มเอ็นดู วงแขนแกร่งยังโอบร่างเล็กของเธอไว้หลวมๆ แต่กระนั้นเรือนร่างนุ่มนิ่มก็แนบสนิทเสียจนรู้สึกหวั่นไหว

หลี่เฟยหงทำได้เพียงนอนทับบนตัวเขา พยายามหลบสายตาที่ชายหนุ่มมองมาเพราะรู้สึกประหม่านัก ยิ่งนวลแก้มสาวแนบอยู่บนแผ่นอกอุ่นเช่นนี้…เธอยิ่งสัมผัสได้ว่าใจเขาเต้นแรงมากเพียงใด

“เจ้าบังอาจล่วงเกินข้า…”

หญิงสาวแสร้งโกรธเคือง ทั้งที่รู้ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะตัวเธอเองทั้งนั้น หากเป็นบุรุษก็คงธรรมดานักที่จะมีสาวใช้อุ่นเตียงไว้คอยรับใช้ แต่เธอเป็นกุลสตรีแท้ๆ เหตุใดจึงเอาบุรุษมากอดซบบนเตียงโดยมิรู้ตัวเช่นนี้ได้ คงเป็นเพราะพิษไข้ที่ทำให้เผลอทำอะไรไร้สติ แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้…ว่าสัมผัสจากกายเขาทำให้เธออุ่นใจนัก

พ่อขวัญยกยิ้มละมุนเมื่อได้ฟังถ้อยคำกล่าวโทษ แต่ก็ยอมตกเป็นจำเลยด้วยความเต็มใจ “กอดข้าไว้เถิดขอรับ…หากคลายหนาวลงเมื่อใดข้าจักไปเรียกอาหลิวมาเช็ดตัวให้”

“คอยดูเถิด หากข้าหายดีเมื่อใดจักสั่งโบยเจ้าสักสิบไม้”

“ข้ามิกลัวดอกขอรับ…” พ่อขวัญเอ่ยกระซิบข้างหู วงแขนแกร่งยังโอบร่างเล็กของหญิงสาวไว้อย่างนั้น “ข้ามิได้มีประสงค์ร้ายใดๆ เพียงแค่คิดว่ากายข้านั้นอุ่นกว่าผ้าห่มนัก…คงจักช่วยให้แม่หญิงคลายหนาวได้ดีกว่า อย่าถือโทษโกรธเคืองข้าเลยหนา”

 

หลี่เฟยหงเจ็บป่วยครานี้ทุเลาลงยากนัก พ่อขวัญจึงรับอาสาดูแลหน้าร้านขายเครื่องลายครามแล้วปล่อยให้เธอนอนพักจนอาการดีขึ้น แต่ก็ยังแบ่งเวลาเตรียมผลิตเครื่องลายครามให้หญิงสาวเป็นระยะ เวลาผ่านไปแรมเดือนจนกระทั่งเสร็จสิ้นถึงขั้นตอนเขียนลายแล้ว เขาจึงให้เธอฝึกเขียนลายลงกระดาษจนชินมือ ก่อนจะเริ่มเขียนลายจริงบนเครื่องถ้วยในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

บรรยากาศยามราตรีคืนนี้สงบเงียบดังเช่นเคย สายลมบางเบาพัดผ่านสวนดอกไม้พาเอากลิ่นหอมให้ลอยอบอวลไปทั่ว หลี่เฟยหงยังนั่งอยู่ในห้องหนังสือที่เก่า มือบางจรดพู่กันเขียนลายบนกระดาษแผ่นใหญ่ ท่าทางมุ่งมั่นตั้งใจนัก

เหตุเพราะพ่อขวัญให้เธอเขียนลายเครื่องถ้วยด้วยตนเอง หญิงสาวจึงต้องนั่งหลังขดหลังแข็งฝึกวาดภาพทั้งที่ไข้ขึ้นอยู่อย่างนี้ มือบางจรดปลายพู่กันตวัดเป็นลายดอกเบญจมาศและดอกโบตั๋นดูงดงามอ่อนช้อย โชคดีนักที่เคยเรียนงานเขียนภาพอย่างกุลสตรี แต่ก็ยังกังวลไม่น้อยเพราะเป็นภาพวาดบนกระดาษ…หากเปลี่ยนเป็นวาดบนเครื่องถ้วยคงมิใช่เรื่องง่าย

หญิงสาวฝึกวาดอยู่จนนานโข ก่อนจะวางมือแล้วถอนหายใจเบาๆ นึกน้อยใจว่าปั้นเครื่องถ้วยครั้งนี้เธอเสียเปรียบแม่นวลนัก เพราะฝั่งนั้นเขียนลายช่ำชองตั้งแต่เด็ก…ต่างจากเธอที่อยู่กับบัญชีค้าขาย แล้วอย่างนี้เธอจะสู้แม่นวลได้อย่างไร

หลี่เฟยหงนั่งมองกระดาษตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง พ่อขวัญก็เหลือเกิน…เหตุใดหนอจึงกล้าบีบบังคับให้เธอทำตามใจเขาเช่นนี้ มาเพิ่งบารมีเธออยู่แท้ๆ แต่กลับมิยอมทำตามคำสั่ง แม้จะรู้ว่าเขาต้องการให้เธอสู้อย่างมีศักดิ์ศรี…แต่หากสู้อย่างมีศักดิ์ศรีแล้วแพ้ขึ้นมาเล่า เธอจะทำเช่นไร

การแข่งขันครั้งนี้สำคัญนัก เพราะเดิมพันด้วยสิทธิ์การส่งสินค้าเข้าราชสำนักกรุงศรี เธอจะปล่อยให้แพ้มิได้เป็นอันขาด

“คุณหนูเจ้าคะ…”

หลี่เฟยหงสะดุ้งไปเล็กน้อยเมื่ออาหลิวเดินก้มหน้าเข้ามาหา หญิงสาวจึงวางพู่กันลงอย่างเบามือ ก่อนจะหันกลับไปสบตา “สืบได้ความมาว่าอย่างไร”

“เครื่องถ้วยฝั่งนั้นเสร็จแล้วเจ้าค่ะ เครื่องถ้วยทุกชิ้นถูกชุบน้ำเคลือบจนแห้ง นำเรียงเข้าเตาเผาเรียบร้อยแล้ว…วันพรุ่งก็คงเริ่มอุ่นเตาเจ้าค่ะ”

สิ้นเสียงอาหลิวหลี่เฟยหงก็พลันหน้าซีดเผือด นัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก “จักเริ่มเปิดเตาเผาแล้วรึ”

“เจ้าค่ะ” อาหลิวกล่าวตอบ “แต่เท่าที่เคยเห็น การเผากระเบื้องอย่างนี้ต้องใช้เวลาเผาอีกหลายวันอยู่นะเจ้าคะ เรายังมีเวลาทำให้ทัน…”

“มีเวลากระไรกัน!” หลี่เฟยหงเอ่ยเสียงสั่น เผลอกำมือแน่นด้วยความหวั่นกลัว “มิทันแล้ว…หากปล่อยให้เริ่มเปิดเตาเผาจนเผาถ้วยเสร็จก่อนข้า ข้า…ข้าต้องแพ้นางเป็นแน่”

“แล้วเราจะทำเช่นไรเจ้าคะ”

คำถามของอาหลิวทำให้หลี่เฟยหงนั่งคิดอยู่นานโข ดวงหน้างามมีเหงื่อผุดเป็นหยดเล็กๆ ด้วยความเครียด แม้จะยังนั่งเงียบเป็นหุ่นปั้น…แต่นัยน์ตาคู่ใสนั้นก็ดูสับสนนัก

“ข้ามีแผน” หลี่เฟยหงเอ่ยออกมาในที่สุด “อาหลิว…เจ้าไปตามพวกทาสชายมาให้ข้าสักสามคน ขอคนฝีมือต่อสู้ดีมากสักหน่อย เพราะอาจต้องสู้กับพ่อกล้าสามีของนาง…แต่เรื่องนี้ห้ามรู้ถึงหูพ่อขวัญเป็นอันขาด”

หญิงสาวหันมากับชับสาวใช้อีกครั้ง นัยน์ตาคู่ใสเจือความหวาดหวั่นชัดเจนนัก “เราต้องทำกระไรบางอย่าง อย่าให้นางเปิดเตาเผาสำเร็จได้”

“แต่พ่อขวัญกำชับไว้ว่ามิให้…”

“ก็ช่างเขาสิ…ข้ามิสน” หลี่เฟยหงเอ่ยตอบทันที แม้ปากเอ่ยบอกอาหลิวไปเช่นนั้นแต่ความรู้สึกในใจกลับตรงกันข้าม เขาเป็นเพียงบุรุษมาขออาศัยก็จริงอยู่ แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าบุรุษผู้นี้มีผลต่อจิตใจเธอนัก สายตาผิดหวังของพ่อขวัญยังชัดเจนอยู่ในหัว…ในใจนึกกลัวเหลือเกินว่าจะถูกเขาต่อว่าซ้ำสอง

แต่เพราะศึกครั้งนี้แพ้มิได้ เช่นนั้นเธอจะไม่ยอมให้เขารู้…ให้เขารู้เรื่องนี้มิได้เป็นอันขาด

 

หลังตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าเป็นสัญญาณของวันใหม่ บรรยากาศท้ายคลองสระบัวก็พลันสดชื่นแจ่มใส สายลมพัดเบาๆ ให้อากาศเย็นสบายนัก วันนี้สองหนุ่มสาวง่วนอยู่หน้าเตาเผาตั้งแต่เช้า บนลานดินมีฟืนสามกองใหญ่ล้นเข้ามาในเรือนจนเต็มใต้ถุน

ร่างสูงมุดเข้าไปในเตาก่อนจะจัดความเรียบร้อยของเครื่องถ้วยที่อยู่ด้านใน โดยนำเครื่องถ้วยวางบนกี๋ท่อ ซึ่งเป็นดินเผาทรงกระบอกถูกฝังไว้พื้นเตาซึ่งเป็นดินทราย กี๋เหล่านี้ใช้เป็นแท่นวางเครื่องถ้วยเพื่อมิให้ติดเตาเผา หากเมื่อใดถึงความร้อนที่น้ำเคลือบหลอมเป็นแก้ว…กี๋ดินเผาหล่านี้จักป้องกันมิให้น้ำเคลือบไหลลงเตาหรือไหลไปติดกันเอง จักทำให้ชิ้นงานไม่มีรอยตำหนิ

เครื่องถ้วยเหล่านี้นวลตั้งใจทำสุดฝีมือมิต่างจากครั้งก่อน นั่งเขียนลายทั้งวันทั้งคืนก่อนจะเคลือบให้เรียบร้อย ซึ่งน้ำเคลือบทำจากขี้เถ้าผสมน้ำดิน หินศิลาแลงและทรายแก้วบดละเอียด มีทั้งถ้วยชามหลายขนาดพร้อมฝาปิด จานเชิง โถใส่น้ำอบ กาน้ำชาและถ้วยน้ำชาครบชุด

ชายหนุ่มจัดวางเครื่องถ้วยในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้วจึงมุดออกมานั่งหน้าเตา จุดไฟบนท่อนซุงขนาดใหญ่เท่าลำตัวแล้วเริ่มจ่อปากเตาไว้ โดยมีหญิงสาวคอยนั่งให้กำลังใจอยู่มิห่าง

“พี่กล้า…ข้าตื่นเต้นเหลือเกิน”

แม่นวลเข้ามานั่งเคียงกายอยู่หน้าเตาเผา ก่อนจะก้มมองลอดปากเตาเข้าไปด้านใน แต่หากมองจากด้านนอกก็จักเห็นเพียงความมืดเท่านั้น เหตุเพราะถัดจากปากเตาเป็นแอ่งเล็กใช้แทงฟืน ส่วนเครื่องถ้วยของเธออยู่บนห้องเผาซึ่งเป็นพื้นยกสูงขึ้น ป้องกันมิให้ท่อนฟืนทำให้เกิดความเสียหาย

“ครั้งนี้คงมิพลาดดอก”

พ่อกล้าจุดไฟติดแล้วจึงใช้มือดันท่อนซุงให้จ่อปากเตาลึกมากขึ้น “เราต้องเผาไล่ความชื้นให้เตาแห้งเสียก่อน หลังจากนั้นความร้อนจักเพิ่มขึ้นทีละน้อย รอจนเตาร้อนพอเหมาะแล้วจึงไปเรียกไอ้จั่นกับไอ้ทดมาช่วย”

“จ้ะพี่กล้า”

นวลพยักหน้ารับท่าทางแข็งขัน สายตาจ้องมองเตาเผาด้วยแววตาสดใส เปิดเตาเผาเครื่องถ้วยครั้งนี้สำคัญกับเธอมากเหลือเกิน นึกไปแล้วก็โกรธแม่หญิงจีนคนนั้นนัก…หากมิถูกนางเล่นสกปรกใส่ เธอก็คงชนะการแข่งขันไปเสียนานแล้ว

แต่ครั้งนี้เธอกับพ่อกล้าระวังตัวมากนัก นับตั้งแต่คอยตรวจดูบ่อหมักดินและน้ำเคลือบตลอดเวลา เหลือเพียงวันนี้ที่จักเป็นการเข้าเตาเผาครั้งสุดท้าย หวังเพียงทุกอย่างจะราบรื่น…เธอกับพ่อกล้าจักได้หายเหนื่อยสักที

 

สองหนุ่มสาวนั่งเคียงกายอยู่หน้าเรือนทั้งวัน สายตาทอดมองท่อนซุงใหญ่ที่ถูกไฟเผาทีละน้อย ก่อนแม่นวลจะถอนหายใจออกมาด้วยความอ่อนเพลีย เพราะนั่งหลังขดหลังแข็งตั้งแต่เช้าจรดค่ำ

ยามจุดไฟในท่อนซุงใหญ่เช่นนี้ ปกติแล้วไฟจักมิได้มอดลงง่ายๆ จึงมิจำเป็นต้องนั่งหน้าเตาเผาตลอดเวลา ที่ผ่านมาพ่อกล้าจึงแค่ลุกมาดูเป็นระยะ แต่เพราะถูกหลี่เฟยหงเล่นงานมาแล้วครั้งหนึ่ง…ครั้งนี้จึงประมาทไม่ได้

“ง่วงก็กลับไปนอนเถิดแม่นวล…” พ่อกล้าเผลอยิ้มเมื่อเห็นนวลตาปรือเจียนจะหลับ

“ไม่เป็นไรจ้ะพี่กล้า ข้าจักอยู่เป็นเพื่อน”

“อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ดอก…คืนนี้ข้าเฝ้าหน้าเตาเองได้ วันพรุ่งเอ็งค่อยมาช่วยแล้วกัน”

เมื่อพ่อกล้ายืนยันเช่นนั้นนวลจึงยอมกลับเรือนโดยดี เห็นด้วยกับเขาที่ควรสลับกันเฝ้าหน้าเตาจักได้มิเหนื่อยมากนัก เพราะสามวันแรกเป็นเพียงการอุ่นเตาต่อเนื่องมิให้ไฟมอดเท่านั้น เธอช่วยเขานั่งเฝ้าระหว่างที่พ่อกล้านอนหลับพักได้ เช่นนั้นยามราตรีจึงยกให้เขาดูแล…หากฟ้าสางเมื่อใดเธอจักกลับมาช่วย

“ข้ากลับเรือนก่อนหนา…” นวลลุกขึ้นพลางบิดกายไปมาให้คลายความปวดเมื่อย “ประเดี๋ยวฟ้าสางข้าจักกลับมาเฝ้าหน้าเตาแทน พี่จักได้กลับไปพัก”

เมื่อชายหนุ่มพยักหน้ารับ นวลจึงหันหลังเดินกลับเรือนตนเองไป

 

เสียงไก่ขันดังแว่วมาไกลๆ ปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากห้วงนิทรา ร่างเล็กพลิกกายไปมาด้วยความอ่อนเพลียก่อนจะลุกขึ้นนั่ง เมื่อได้สติแล้วจึงเก็บที่นอนหมอนมุ้งให้เรียบร้อย เช้านี้เธอต้องออกไปหาพ่อกล้าที่เรือน เขานั่งเฝ้าหน้าเตาทั้งคืนแล้ว ป่านนี้คงอ่อนเพลียไม่น้อย เช่นนั้นเธอจะรีบไปเตรียมสำรับเช้าให้ที่เรือนเขา พ่อกล้าจักได้กินข้าวกินปลาแล้วพักผ่อน

ร่างเล็กเดินตัวปลิวไปเพียงครู่เดียวก็ถึงเรือนพ่อกล้า แต่ก็พลันนิ่งชะงักเมื่อเห็นเพียงความว่างเปล่า

“พี่กล้า…พี่อยู่ไหน”

นวลหันมองซ้ายขวาด้วยความตื่นตระหนก ท่อนซุงเริ่มไหม้ออกมานอกปากเตาเล็กน้อย เธอจึงรีบดันมันกลับเข้าไปแล้วร้องหาพ่อกล้าอีกครั้ง หญิงสาวเดินไปมาพลางร้องเรียกเขาดังลั่นไปทั่วคุ้งน้ำ น้ำตาเริ่มเอ่อออกมาเมื่อมองไม่เห็นเขา

นวลกลับเข้าไปในครัวจึงเห็นหม้อข้าวถูงหุงทิ้งไว้ กับข้าวยังทำมิเสร็จ…ในครัวมีข้าวของกระจัดกระจายราวกับมีการต่อสู้

หรือจะถูกลักพาตัวไป…

“พี่กล้า! พี่อยู่ไหน! พี่ได้ยินข้าหรือไม่” นวลรีบตะโกนหาชายหนุ่มทั่วเรือนอีกครั้ง ความหวั่นกลัวที่เกิดในใจทำให้เธอร่ำไห้ออกมาอีกหน ร่างเล็กเดินไปมาอย่างคนไร้สติ น้ำตาไหลออกมามิขาดสาย

“พี่กล้า…พี่ไปไหน…กลับมาหาข้าที…”



Don`t copy text!