ละเล่นลานรัก บทที่ 15 : จ้ำชิงหลัก

ละเล่นลานรัก บทที่ 15 : จ้ำชิงหลัก

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

ลานกว้างบริเวณด้านหน้าตัวบ้านเป็นจุดนัดพบของคนที่หญิงสาวเชื้อเชิญให้มาเข้าร่วมกิจกรรมการละเล่นไทยเป็นหนที่สอง แต่ครั้งนี้มีผู้คนบางตาจากคราวก่อนอย่างเห็นได้ชัด เพื่อให้เขากล้าเข้าไปพบปะและร่วมเล่นกับคนอื่นซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก

เธอเลือกเฉพาะคนที่สนิทสนมกัน ส่วนบรรดาเด็กๆ และผู้ปกครองที่เคยมาเล่นด้วยกันก็ยังให้ความสนใจ เฝ้าไถ่ถามถึงวันที่จะจัดกิจกรรมครั้งถัดไปอยู่เสมอ เธอจำเป็นต้องบ่ายเบี่ยงไปว่าจัดเดือนละครั้ง ทั้งที่ใจจริงจะจัดเสาร์เว้นเสาร์อย่างที่เป็นเช่นขณะนี้

ทุกคนมากันพร้อมเพรียงตรงตามเวลานัดหมาย ในยามที่ดวงตะวันลดความร้อนแรงลงไปมากจึงเป็นช่วงเวลาเหมาะสมสำหรับจัดกิจกรรม ทั้งแสงแดดอ่อนลงจนไม่ร้อนเกินไป ทั้งมีสายลมพัดผ่านทำให้รู้สึกเย็นสบายและคลายร้อนไปในตัวยามออกท่าออกทาง

วันนี้ปรียานุชตั้งใจจะเสร็จสิ้นการละเล่นไทยให้พอดีกับเวลารับประทานอาหารมื้อเย็น จึงขอให้มารดาแสดงฝีมือทำอาหารเลี้ยงทุกคนในที่แห่งนี้ ด้วยเหตุผลแอบแฝงสำหรับฝึกให้เขาเข้าร่วมสังคมได้เช่นกัน

หลังจากพี่เขยและพี่สาวมาส่งน้องดรีมไว้กับเธอ ทั้งสองก็ขอตัวไปทำธุระ หากหลานสาวยังร่าเริง หน้าตาสดใสพร้อมจะเล่นด้วยกันเต็มที่ ก่อนที่เธอจะขอตัวไปเตรียมของและสถานที่ ดาราพรก็ยังพูดถึงใครบางคนให้ได้ยินซึ่งวันนี้ไม่ว่างจะมาเล่นด้วยกัน แต่หญิงสาวไม่ได้สนใจนัก เพราะตั้งใจกับการจัดกิจกรรมของวันนี้ที่มีการละเล่นไทยสามอย่างมานำเสนอให้ทุกคนได้รู้จักและร่วมสนุกกัน

ปรียานุชฝากหลานสาวไว้กับผู้คนที่นั่งล้อมรอบโต๊ะหินอ่อนทั้งสี่ด้าน ระหว่างรอให้เริ่มกิจกรรม

เก้าอี้นั่งทางด้านหนึ่ง ศศินั่งตรงกลาง ขนาบข้างด้วยเด็กหญิงกับเด็กชาย ดาราพรส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ข้างๆ ตัวเจ้าของบ้าน ส่วนกีตาร์ยังนั่งก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมจ้องมองหรือสบตากับใคร และศศิจับแขนหลานชายไว้ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้วิ่งหนีเข้าไปในบ้าน

“น้องชื่ออะไรหรือคะ” ดาราพรถามศศิ เมื่อเห็นเด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ด้วยกันมาสักพักหนึ่ง

ศศิหันหน้าไปบอกหลานชายเพื่อให้ตอบคำถามนั้นด้วยตัวเอง “กีตาร์จ๊ะ พี่ดรีมถามว่าชื่ออะไร ตอบหน่อยสิจ๊ะ”

“กีตาร์ ชื่อกีตาร์คาฟ” เด็กชายเงยหน้าขึ้นมาย้ำชื่อตนเอง แล้วนั่งก้มหน้าต่อ

“สงสัยจะขี้อายนะคะ” ธารทิพย์ซึ่งนั่งเก้าอี้ด้านตรงข้ามพูดขึ้น ยามเห็นท่าทีของเด็กชาย “มองดูแล้ว กีตาร์น่าจะอายุมากกว่าแทนไทย”

ธารทิพย์มาพร้อมกับสามีและบุตรชายเช่นเคย ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียวกัน

“หนูจะครบหกขวบค่ะ” ดาราพรบอกอายุตัวเอง

“กีตาร์น่าจะสี่ขวบนะ ถ้าน้าจำไม่ผิด” ศศิพูดถึงหลานชายตัวเอง ก่อนจะหันไปถามเจ้าตัวให้แน่ใจ “กีตาร์สี่ขวบใช่ไหมจ๊ะ”

ศศิเห็นหลานชายพยักหน้ารับก็ยิ้มออกมาได้ เกือบหนึ่งเดือนที่พยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กชายก็ได้ผลอย่างที่เห็น คือพูดคุยและเชื่อฟังกันมากขึ้น อยู่นิ่งเฉยได้นานขึ้น ถ้ามีอย่างอื่นเรียกความสนใจก็ไม่ค่อยจะต้องการโทรศัพท์มือถือบ่อยนัก อย่างเช่นเวลานี้ แม้กีตาร์จะเอาแต่นั่งก้มหน้างุดก็ตาม

“แทนไทยสามขวบกว่าๆ เองค่ะ อย่างนี้ก็ต้องเป็นน้องสุด” ธารทิพย์บอกอายุของลูกชายซึ่งกำลังนั่งเล่นอยู่กับบิดา แล้วหันหน้าไปพูดกับดาราพร “น้องดรีมเป็นพี่สุด ต้องดูแลน้องๆ ด้วยนะคะ”

“แต่ผมว่ายังมีพี่คนโตที่อายุมากกว่าน้องดรีมอีกนะครับ” ฐานินเอ่ยแทรก พร้อมทั้งชำเหลืองตามองชายหนุ่มซึ่งนั่งชิดติดกันในเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเก้าอี้ด้านตรงข้ามนั้นว่างเปล่าเพราะปรียานุชเพิ่งจะลุกออกไป

ผู้ใหญ่ทุกคนขบขันเบาๆ หลังจากรู้ความหมายของคำกล่าวนั้น โดยเฉพาะธารทิพย์ที่แอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ตั้งแต่เห็นชายหนุ่มสองคนเดินออกมาจากตัวบ้านและนั่งเคียงข้างกัน

ธารทิพย์อดไม่ได้ที่จะหันมองบ่อยครั้ง ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกไม่ต่างจากการดูซีรีส์วายที่มีฉากพระเอกนายเอกใกล้ชิดกัน

วันนี้ฐานินมาถึงก่อนใครเพื่อน นั่งคุยกับศศิและปรียานุช เพื่อรอให้ทุกคนมากันพร้อมหน้า จากนั้นก็ขึ้นไปหาไขศิลป์ แต่มีเรื่องคาดไม่ถึง เมื่อได้เจอหน้าไขศิลป์ซึ่งเหมือนจะเตรียมตัวรอให้เพื่อนมาตาม จะได้ลงไปเสียที

เมื่ออีกฝ่ายพูดอย่างว่าง่าย ไม่ต้องเซ้าซี้ให้ออกไปนอกห้องเหมือนอย่างเคย ฐานินจึงสบายอกสบายใจตั้งแต่เดินออกมาหน้าบ้านพร้อมไขศิลป์ อีกทั้งมีหน้าตาแย้มยิ้มยามพูดคุยกับทุกคนอย่างคนอารมณ์ดี จนถึงตอนนี้ที่อดหยอกเย้าเขาไม่ได้

“แกไม่ต้องมาพูดถึงฉันเลย” ไขศิลป์รู้ตัวทันทีว่าถูกเพื่อนเอ่ยถึง

เขานั่งเคียงข้างฐานินจนเกือบจะพิงกันจึงรู้สึกว่าเพื่อนยักไหล่ทำเป็นไม่รับรู้ใดๆ แล้วยังเสวนากับคนอื่นที่นั่งร่วมโต๊ะกันต่ออีก ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่

หากสิ่งหนึ่งที่ยังรบกวนใจของเขาให้ไม่เป็นสุข คือหน้าตาชื่นบานและท่าทางดี๊ด๊าของเพื่อนชาย ตอนที่ได้พูดคุยกับปรียานุช เขาเห็นชัดเจนจึงคิดไม่ผิดที่จะต้องมาขัดขวางคนทั้งสองไม่ให้ใกล้ชิดกันจนเพื่อนหลงเสน่ห์พี่สาวข้างบ้านยากจะหักห้ามใจ

ก่อนที่เขาจะออกมานั่งประกบข้างเพื่อนชายและทำตามที่คิดไว้ได้นั้น ไขศิลป์ยังเป็นกังวลกับอาการกลัวที่เริ่มก่อเกิดเล็กน้อยในความรู้สึกนึกคิดและจิตใจเหมือนครั้งแรกที่ได้เห็นบุคคลที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

พอเริ่มรับรู้ว่าความกลัวเข้ามากล้ำกราย เขาจึงทำตามคำของเธอที่เคยบอกกันไว้ คือพยายามไม่คิดไปเองหรือคิดในแง่ลบ บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าไม่กลัวและต้องเข้มแข็งไว้ รวมทั้งนึกถึงแต่ข้อดีของการออกไปพบผู้คน โดยเฉพาะงานที่กำลังรออยู่

พอรู้สึกถึงอาการมือสั่นน้อยๆ หัวใจเต้นถี่กว่าปกติ ภายในท้องเริ่มปั่นป่วนบางเบา เขาจึงพยายามจะไม่นึกถึงความกลัวและควบคุมมันไม่ให้กล้าแกร่งเหมือนที่เคยเป็น รวมทั้งกำหนดลมหายใจตามที่เคยฝึกกับเธอ คือสูดลมหายใจเข้าเต็มที่จนหน้าท้องและหน้าอกไม่สามารถพองต่อไปได้อีก จากนั้นค่อยๆ ปล่อยลมหายใจออกมายาวๆ ช้าๆ จนไม่เหลือลมอยู่ในปอด เขาทำซ้ำสี่ครั้งเหมือนจะได้ผล ความกลัวค่อยๆ ลดลง และเริ่มใจเย็นโดยไม่คิดฟุ้งซ่านไปไกล

ไขศิลป์จึงก้าวขาไปรวมกลุ่มกับผู้คนที่นั่งตรงโต๊ะหินอ่อน แม้ความหวั่นกลัวคล้ายจ้องจะปะทุขึ้นมาเป็นระยะยามเขาอ่อนแอ แต่เขาก็พยายามยืนหยัดด้วยความมาดมั่นว่าไม่ให้มันชนะเขาได้ เพราะนี่คือในบ้านของเขา อีกทั้งยังมีคนจำนวนน้อยและทุกคนก็ไม่มีใครสนใจที่จะจ้องมองจับผิดเขาหรือรอดูเขาทำเรื่องอับอายขายหน้า นอกจากนั้นยังชวนเขาคุยด้วยความเป็นกันเอง ทั้งที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก

ยิ่งมีเรื่องเรียกร้องความสนใจมากแค่ไหน เขาก็ไม่นึกถึงความกลัวที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของฐานินกับปรียานุชซึ่งว่ายวนในความนึกคิด จึงไม่ใส่ใจเสียงคนอื่นที่พูดคุยกัน

แทนไทยผละจากบิดาลงจากที่นั่ง เดินเข้าไปใกล้กีตาร์ จับข้อมือชวนให้ไปวิ่งเล่นด้วยกัน หากกีตาร์ได้แต่มองหน้า แล้วนั่งนิ่งเหมือนอย่างเคย

“ไปวิ่งเล่นกับน้องไหมจ๊ะกีตาร์” ศศิปล่อยแขนหลานชาย

กีตาร์เหมือนรู้ว่าเป็นอิสระก็ทำตามที่ตั้งใจ คือยืนบนพื้น มือเกาะที่นั่ง กระโดดอยู่ตรงนั้น แทนไทยเห็นเป็นเรื่องสนุกก็กระโดดตามด้วยความชอบใจ

“ปล่อยแขนเมื่อไหร่ก็เป็นแบบนี้แหละ อยู่เฉยๆ นิ่งๆ ไม่ได้เลย” ศศิเอ่ยขึ้น

“เด็กผู้ชายก็เป็นอย่างนี้ ซนเหลือเกินครับ” ชาญชัยพูดกลั้วหัวเราะ หากสายตายังเฝ้ามองดูบุตรชาย

แม้ภาพอดีตฝังใจยังปรากฏในความทรงจำให้นึกถึงราวกับสายลมพัดผ่านเป็นครั้งคราว ถ้าเขาสนใจอย่างอื่น ไม่มัวแต่คิดถึงภาพอดีตนั้น ความกลัวก็แทบจะเบาบาง ยิ่งแต่ละคนไม่ค่อยจะสนใจตัวเขา ต่างให้ความสนใจกับบรรดาเด็กๆ ในที่แห่งนี้ ทำให้เขาเบาใจและความกลัวที่ตั้งท่าจะประเดประดังเข้ามา ซึ่งเคยทำให้เกิดอาการต่างๆ นั้นก็แทบจะไม่ปรากฏให้เห็น

“พี่ปรีเดินมานี่แล้วครับ สงสัยจะพร้อมแล้ว” ฐานินกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส เมื่อเห็นปรียานุชเดินมุ่งหน้ามาที่โต๊ะหินอ่อน

“ต้องเดินมานี่อยู่แล้ว จะให้เดินออกไปนอกบ้านหรือไงล่ะ” เขาเอ่ย หลังจากเห็นอาการดีอกดีใจแบบออกนอกหน้าของเพื่อนชาย

หากทุกคนไม่ได้ให้ความสนใจคำพูดของเขา

ดาราพรวิ่งไปหาน้าสาว แทนไทยเห็นมีคนวิ่งก็วิ่งตาม จนเด็กสองคนไปถึงตัวปรียานุชพร้อมๆ กัน

“น้าปรีจะเล่นกันได้หรือยังคะ”

“เล่นกันได้ยังคาฟ”

เสียงถามของดาราพรเกิดขึ้นก่อน ตามด้วยเสียงถามของแทนไทย

“เดินไปกับน้านะ วันนี้เราจะเริ่มเล่นกันบนโต๊ะก่อน” ปรียานุชตอบเด็กทั้งสองคน จูงแขนคนละข้าง เดินเข้ามาใกล้ทุกคนที่นั่งรอกันอยู่

หญิงสาวเห็นกีตาร์เดินวนเวียนอยู่รอบๆ โต๊ะหินอ่อนที่มีคนนั่งล้อมวงกัน และยังใช้มือตีพนักพิงของเก้าอี้จนครบทุกตัว

“มานั่งกับยายต่อนะ กีตาร์ พี่ๆ น้าๆ จะเล่นสนุกกันแล้ว” ศศิคว้าแขนหลานชายที่เดินเข้ามาใกล้พอดี เมื่อเธอลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่เคยนั่ง

“วันนี้พี่ปรีจะเล่นอะไรหรือครับ” เสียงถามของฐานินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ

เขาเห็นท่าทีกระตือรือร้นและให้ความสนอกสนใจหญิงสาวมากเป็นพิเศษของเพื่อนชาย ก็อดที่จะอยู่เฉยไม่ได้ นั่งขยับตัวไปมาน้อยๆ เพราะไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านี้

ฐานินรู้สึกว่าเขามีท่าทางแปลกๆ ก็ก้มหน้ามากระซิบถามข้างหู “แกเป็นอะไร หรืออาการกลัวจะกำเริบ เมื่อกี้ยังนั่งนิ่งดี”

ภาพชายหนุ่มสองคนที่ใกล้ชิดกัน อีกทั้งยังพูดคุยกระซิบกระซาบ ใบหน้าฝ่ายหนึ่งเกือบจะแนบแก้มอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้ธารทิพย์ที่แอบมองอยู่บ่อยๆ ก็คาดว่าทั้งสองคนคุยกะหนุงกะหนิงกัน จึงนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับความฟินที่เกิดขึ้นเหมือนตอนดูซีรีส์วาย

“ธารได้ยินที่ฉันพูดไหม” เธอเห็นเพื่อนสาวนั่งทำหน้าเหม่อลอย เคลิ้มฝัน มองตาพริ้มไปทางชายหนุ่มสองคนที่นั่งพูดคุยกันด้วยเสียงเบา แต่ทุกคนรอบโต๊ะคงได้ยินไม่ต่างกัน

“วันนี้เราจะนั่งเล่นที่โต๊ะกันก่อน ค่อยไปเล่นในสนามที่ปรีเตรียมสถานที่ไว้ให้” ปรียานุชย้ำอีกครั้งสำหรับคนที่อาจจะยังไม่ได้ยิน จากนั้นก็เอ่ยต่อ “เราจะเล่นจ้ำจี้กันนะคะ ที่จริงถ้าพวกเรานั่งล้อมวงกันบนพื้นน่าจะสะดวกกว่า แต่ตรงนี้ก็ได้ ไม่เป็นไร”

“ป้าเคยเล่นนะ พูดแล้วก็นึกถึงสมัยตอนที่ป้ายังเป็นเด็กๆ ” ศศิบอกออกมา

ปรียานุชลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นคนทั้งหลายให้ความสนใจ ยกเว้นกีตาร์ที่นั่งโยกตัวไปมา ยกแขนสองข้างราวกับกำลังสนุกอยู่ในโลกของตัวเองเพียงลำพัง “ปรีจะให้ทุกคนคว่ำมือสองข้างลงบนโต๊ะ ส่วนปรีจะทำหน้าที่จ้ำ”

เธอต้องเป็นคนจ้ำเพราะร้องบทร้องจ้ำจี้ได้ และวางมือของตนในท่าคว่ำเฉพาะมือซ้ายลงบนโต๊ะ

คนทุกคนทำตามคำกล่าวของเธอ รวมทั้งแทนไทยก็ทำตามบิดามารดา หลังจากถูกผู้เป็นพ่ออุ้มให้ไปยืนบนที่นั่ง

“กีตาร์เห็นพี่ดรีมกับน้องแทนไหม ทำเหมือนยายนะ จะได้ร่วมเล่นกันทุกคน ไหนๆ ก็นั่งอยู่ด้วยกันแล้ว” ศศิเอ่ยกับหลานชายซึ่งนั่งอยู่เคียงข้าง

กีตาร์หันมองศศิ ลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ตามแทนไทย วางมือบนโต๊ะพร้อมทั้งโยกตัวไปมา

ปรียานุชมองเด็กชายซึ่งอยู่ไม่เป็นสุข ก็ยังดีที่ไม่วิ่งไปไหนต่อไหนต้องไล่ตามจับตัวกันให้วุ่น

“ตอนที่ปรีกำลังร้องบทร้องจ้ำจี้ ในแต่ละพยางค์ของบทร้อง ปรีจะชี้นิ้วหรือจ้ำไปบนหลังมือของแต่ละคน จ้ำวนไปจนถึงคำสุดท้ายของบทร้อง หยุดที่มือของใคร คนนั้นต้องนำมือออกไปจากโต๊ะ แล้วก็เริ่มต้นจ้ำกันใหม่ จนกว่าจะเหลือมือเดียวคว่ำอยู่บนโต๊ะ ถ้าเป็นมือของใครก็ต้องตายหรือถูกทำโทษ อาจจะนึกภาพไม่ออก เริ่มเล่นกันเลยดีกว่า”

บทร้องประกอบการเล่นจ้ำจี้มีหลายบท เธอเลือกบทร้องจ้ำจี้มะเขือเปราะมาใช้ในวันนี้ เพราะเป็นบทร้องที่บางคนอาจคุ้นหูมาก่อน แม้มีบางท่อนที่เธอเองก็ไม่ค่อยจะคุ้นหู แต่เวลานี้จำได้ดีเพราะฝึกท่องมาสองวัน

“จ้ำจี้มะเขือเปราะ กะเทาะหน้าแว่น พายเรืออกแอ่น กระทั่งต้นกุ่ม เห็นเด็กหนุ่มหนุ่ม ดีเนื้อดีใจ ขอด้ายขอไหม เย็บผ้ายายชี เขาโห่กาลี เขาตีโม่งครุ่ม ขยุ้มหน้ากลอง นางสายบัวทอง อาบน้ำท่าไหน อาบน้ำท่าวัด เอาแป้งที่ไหนผัด เอากระกระจกที่ไหนส่อง เยี่ยมเยี่ยมมองมอง นกขุนทองร้องเน้อ” เสียงเธอขับขานบทร้อง ขณะเดียวกันมือขวาก็ชี้นิ้วไปบนหลังมือของแต่ละคนวนตามเข็มนาฬิกาไปตามแต่ละพยางค์ที่เอื้อนเอ่ย จนคำว่าเน้อ มาหยุดลงตรงมือซ้ายของศศิ

ศศินำมือซ้ายออกไปจากบนโต๊ะอย่างคนเข้าใจดี จากนั้นเธอก็ร้องบทร้อง พร้อมกับจ้ำไปตามมือของผู้อื่น หากรอบสองยังไม่ทันร้องจบ กีตาร์ก็กระโดดลงบนพื้น ออกวิ่งมุ่งหน้าเข้าไปในตัวบ้าน

“เล่นกันต่อได้เลย ป้าขอไปดูกีตาร์ก่อนนะ” ศศิรีบผละออกไปจากโต๊ะหินอ่อน

ปรียานุชเริ่มร้องบทร้องและจ้ำมือของคนรอบโต๊ะใหม่อีกครั้ง เพียงสามรอบก็มีคนช่วยร้องตาม เพิ่มความครื้นเครงขึ้นมาได้ และยังต้องลุ้นว่ามือใครจะเหลือเป็นคนสุดท้าย

จนเหลือมือขวาของดาราพรและมือซ้ายของฐานินวางไว้บนโต๊ะ

“พี่ปรีจะทำโทษอะไรกันหรือครับ” ฐานินถามขึ้น ก่อนที่เธอจะเริ่มต้นขับขานบทร้อง

“พี่เตรียมไว้แล้ว” หญิงสาวตอบ

“ต้องเป็นน้องดรีมแน่ๆ เลยค่ะ” ดาราพรเอ่ยขึ้นมาบ้าง

ในที่สุดรอบแรกของการเล่นก็เป็นมือของฐานินที่วางอยู่บนโต๊ะเป็นคนสุดท้าย

“ปรีจะทำโทษคนที่ตายในรอบนี้ โดยใช้แป้งผัดหน้าเหมือนในเนื้อร้อง” ปรียานุชหยิบกระป๋องแป้งฝุ่นขึ้นมาจากกระเป๋าผ้าที่วางอยู่ใกล้มือ

“ผัดหน้าคืออะไรคะ” ดาราพรถามขึ้น

“ก็ทาหน้าไงจ๊ะน้องดรีม” ธารทิพย์เป็นคนอธิบาย แล้วพูดกับเธอ “ขอให้ศิลป์ทาหน้าให้นินได้ไหม นั่งอยู่ใกล้ๆ กัน”

ปรียานุชรู้ความต้องการของเพื่อนสาว จึงมองไปทางไขศิลป์ให้ทำตามคำกล่าวนั้น

ไขศิลป์จำเป็นต้องยื่นมือไปรับแป้งที่หญิงสาวเทลงบนฝามือของตน หากเขาได้ยินเสียงถอนหายใจของเพื่อน

“เสียดายหรือไงที่ไม่ใช่พี่ปรีผัดหน้าให้แก” เขาบอกฐานิน “เอียงแก้มมาสิ”

ภาพไขศิลป์ยกมือทาแป้งตรงแก้มฐานินก็เรียกสายตาให้ทุกคนจ้องมอง หากอยู่ดีๆ ฐานินก็นำมือป้ายแป้งบนฝ่ามือของเขา ทาแก้มเขาโดยไว

“แกทำอย่างนี้ได้ยังไง”

“แค่แป้ง แกจะกลัวอะไร จะได้เหมือนๆ กัน” ฐานินลอยหน้าลอยตาบอกออกมา

ภาพสองหนุ่มหยอกล้อกันสร้างความสุขสมให้กับธารทิพย์เป็นยิ่งนักจนเธอสัมผัสได้

ปรียานุชเอ่ยแทรก “พวกเรามาเริ่มเล่นกันใหม่ ทุกคนคว่ำมือบนโต๊ะกันได้เลย”

เธอเริ่มร้องบทร้องจ้ำจี้ใบโพซึ่งสั้นและกระชับ เพื่อย่นเวลาให้เหลือคนสุดท้ายได้เร็วยิ่งขึ้น “จ้ำจี้ใบโพ โสนใบไผ่ จระเข้ขึ้นไข่ แมงดาขึ้นฟัก อ้ายเขียวขาหัก ยักขึ้นยักลง”

จนเหลือมือของแทนไทยคว่ำไว้บนโต๊ะเพียงมือเดียว แทนไทยส่งเสียงดีใจราวกับเป็นผู้ชนะ หากแท้จริงแล้วคือคนที่ต้องถูกทำโทษ โดยธารทิพย์นำแป้งมาผัดหน้าลูกชายด้วยตัวเองให้ขาววอกเหมือนพอกดินสอพองทั่วทั้งใบหน้า แทนไทยยังดีใจที่เรียกเสียงขบขันให้แก่ทุกคน

สำหรับไขศิลป์ เมื่อทุกคนต่างให้ความสนใจในเรื่องอื่นๆ โดยไม่ได้สนใจตัวเขาเลยแม้แต่น้อย เขาก็รู้สึกสบายใจจนไม่ได้นึกถึงความกลัว

ปรียานุชเลือกจ้ำจี้เป็นการละเล่นแรกของวันนี้เพราะขณะเล่นต้องนั่งล้อมวงใกล้ๆ กัน ซึ่งอาจจะช่วยให้เขาเข้าร่วมกลุ่มกับคนน้อยๆ ได้โดยไม่กลัว เสมือนการเริ่มต้นฝึกให้เขาเคยชินกับการรวมกลุ่มกับผู้อื่น

กีตาร์ที่วิ่งหนีออกไปจากกลุ่มก็กลับเข้ามาใหม่ โดยศศิจูงแขนให้เดินตามหลังมาด้วยกัน

“พวกเราย้ายไปเล่นในลานหน้าบ้านดีกว่าคะ เห็นเสาไม้ที่ปรีนำมาวางไว้ไหมคะ ไปรวมตัวกันตรงนั้นได้เลย” ปรียานุชบอกทุกคน

แต่ละคนเดินมุ่งหน้าไปยืนในบริเวณดังกล่าว หากธารทิพย์เข้ามาพูดกับเธอเบาๆ ให้ได้ยินกันเพียงสองคน “เห็นเหมือนที่ฉันเห็นไหมล่ะ ศิลป์กับนินนั่นไง ดูสิ ทำตัวติดกันเหมือนแฟนกันไม่มีผิด ยิ่งตอนทาแป้งตรงแก้มให้กัน ฉันเห็นแล้วฟินมากเลย”

เธอเดินรั้งท้าย ส่ายศีรษะให้กับเพื่อนสาว แต่ก็มองไปยังสองหนุ่มที่อยู่เคียงข้างไม่ห่างกันเลย

“พี่ปรีจะเล่นอะไรหรือครับ” ฐานินถามขึ้น เมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้

“แกอยู่เฉยๆ เดี๋ยวพี่ปรีอธิบายเองแหละ” ไขศิลป์ขัดเพื่อน ยามเห็นท่าทีที่แสดงออกมาซึ่งบ่งชัดว่าอยากคุยกับหญิงสาวเสียเต็มประดา แต่เขาทำเป็นจูงแขนเพื่อนให้ออกมายืนห่างๆ กัน

ปรียานุชนำไม้ไผ่สูงแค่เอวโดยมีฐานเป็นปูนซีเมนต์ทรงสี่เหลี่ยมเพื่อให้ตั้งบนพื้นได้ซึ่งเป็นฝีมือของบิดาที่เธอขอให้ทำขึ้นมาเมื่อสามวันก่อนเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

“ทุกคนเห็นเสาไม้ไผ่กันไหมคะ ปรีจะเรียกว่าหลัก” เธอชี้ไปที่เสาไม้ไผ่ทั้งห้าเสาโดยวางเรียงกันไว้เป็นวงกลมห่างกันพอประมาณ

ปรียานุชเดินเข้าไปในที่ว่างของวงกลมซึ่งล้อมรอบด้วยเสาไม้ไผ่ทั้งห้าต้น เริ่มอธิบายวิธีการเล่น “เราจะเล่นลิงชิงหลักกันโดยให้คนที่เป็นลิงมายืนอยู่กลางวงแบบนี้ ส่วนคนที่เหลือก็ไปยืนจับหลักของตัวเองไว้ เลือกได้เลยค่ะ ใครจะเอาหลักหรือเสาไหน”

เธอให้เวลาผู้เล่นเลือกจับจองหลักที่ตั้งไว้ให้ครบทั้งห้าหลักซึ่งแต่ละหลักจะมีคนยืนอยู่ดังนี้ ไขศิลป์ ฐานิน น้องดรีม แทนไทยอยู่กับบิดาในหลักเดียวกัน และศศิอยู่กับกีตาร์ซึ่งยังไม่ปล่อยมือจากแขนหลานชายเพื่อหวังให้เล่นสนุกกับทุกคน ส่วนธารทิพย์นั้นยืนดูอยู่ใกล้ๆ

“เมื่อได้หลักของตัวเองเรียบร้อยแล้ว คนที่เป็นลิงจะพูดว่าใครไม่เปลี่ยนหลักเป็นลิง ขอให้ทุกคนเปลี่ยนหลักกัน ขณะที่ทุกคนเปลี่ยนหลัก คนที่เป็นลิงก็จะวิ่งไปชิงหลักที่ว่าง คนที่ไม่มีหลักต้องมาเป็นลิงต่อ คงเข้าใจกันนะ”

“ผมเข้าใจครับพี่ปรี แต่ผมขอเป็นลิงแทนพี่ปรีดีกว่าครับ” ฐานินเอ่ยขึ้น

เธอเข้าไปยืนข้างหลักแทนฐานิน ปล่อยให้อีกฝ่ายเดินมาหยุดอยู่กลางวง

ฐานินมองไปโดยรอบเพื่อเล็งหลักที่จะเข้าไปชิง “ใครไม่เปลี่ยนหลักเป็นลิง”

สิ้นเสียงของฐานินทุกคนก็เปลี่ยนหลัก โดยแต่ละคนรีบก้าวขาไปทางขวามือของตัวเอง ส่วนคนพูดก็ยังยืนอยู่ที่เดิมเพื่อดูท่าทีของคนเล่น

“ใครไม่เปลี่ยนหลักเป็นลิง” อยู่ดีๆ ฐานินก็เอ่ยขึ้นมาอีก และวิ่งไปชิงหลักที่ไขศิลป์จ้องจะวิ่งไป ทำให้ไขศิลป์ไม่มีหลักของตัวเอง

“แกไปเป็นลิงแทนฉันเลย อย่าลืมร้องเจี๊ยกๆ ด้วยล่ะ” ฐานินบอกเขา

“แกไม่เห็นร้องเลย จะให้ฉันร้องทำไม” เขาแย้งเพื่อน พลางเดินไปที่กลางวง

ปรียานุชเอ่ยแทรกเพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ “ไม่จำเป็นต้องวิ่งไปทางขวามือนะ จะวิ่งไปทางตรงข้าม หรือไปทางซ้าย หรือจะไปหลักไหนก็ได้ แต่อย่าวิ่งชนกันก็พอ” เมื่อเธอทำความเข้าใจของทุกคนเสียใหม่ก็หันหน้าไปบอกไขศิลป์ “ลิงเริ่มชิงหลักได้เลยนะ”

“ใครไม่เปลี่ยนหลักเป็นลิง”

สิ้นเสียงของเขา เธอลองวิ่งตัดตรงกลางไปขวางหลักที่ชาญชัยกำลังพาลูกชายวิ่งมุ่งหน้าไปเพื่อจับจองซึ่งทำเป็นตัวอย่างให้ทุกคนได้เห็น หนนี้คนที่ไม่มีหลักจึงเป็นแทนไทยกับบิดา

ศศิยังจูงแขนกีตาร์ไปยังหลักที่ว่าง กีตาร์เหมือนจะเริ่มสนุกไปด้วยกัน

จากนั้นคนเป็นลิงก็สลับกันไปมา มีการชิงหลักของผู้เล่นในแบบแผนไม่ซ้ำกัน

พอทุกคนเข้าใจการละเล่นและรู้วิธีที่จะสร้างความสนุกให้มีมากขึ้นคือการช่วงชิงหลักมาเป็นของตนให้ได้ก่อนที่จะมีใครอีกคนมาชิงไปได้ แค่อย่าให้ตนเป็นคนไม่มีหลักก็พอ

ไขศิลป์มองเพื่อนชายไม่ให้คลาดสายตา พยายามขวางกั้นไม่ให้เพื่อนกับปรียานุชได้ใกล้ชิดกัน จนเขากับเพื่อนชายเป็นคนช่วงชิงหลักเดียวกันบ่อยครั้งถ้าหลักนั้นอยู่ใกล้ปรียานุช จึงเรียกเสียงหัวเราะให้กับทุกคนได้ดี และยังเรียกความฟินให้กับธารทิพย์อีกเช่นกัน

“วิ่งให้ทันพี่ๆ ให้ได้นะ” ศศิปล่อยให้กีตาร์ลองเล่นตามลำพัง แต่เหมือนเด็กชายจะไม่เข้าใจก็วิ่งไปหาหลักที่มีคนอยู่ก่อนแล้ว ศศิจึงจำเป็นต้องเข้าไปร่วมเล่นด้วยกัน พอไม่นานกีตาร์ก็ร้องขอมือถือ

ศศิเห็นท่าไม่ค่อยดี กลัวเสียบรรยากาศของความสนุกจึงพากีตาร์เข้าไปในบ้าน

ปรียานุชให้เพื่อนสาวเข้ามาเล่นด้วยกัน คนที่เหลือจึงเล่นลิงชิงหลักกันต่อจนถึงเวลาที่เธอให้นั่งพักดื่มน้ำที่จัดเตรียมไว้ให้ ก่อนจะเข้าสู่การละเล่นถัดไป



Don`t copy text!