ละเล่นลานรัก บทที่ 20 : ฉันจะตีก้นเธอ

ละเล่นลานรัก บทที่ 20 : ฉันจะตีก้นเธอ

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

เสื่อหลายผืนที่วางต่อกันเพื่อใช้เป็นพื้นที่กว้างเพียงพอที่ทุกคนจะนั่งล้อมวงและให้คนวิ่งรอบวงได้

เมื่อทุกคนจับจองที่นั่งและนั่งเป็นวงกลมเรียบร้อยแล้ว เธอจึงอธิบายวิธีการเล่นให้คนที่ไม่เคยเล่นมอญซ่อนผ้าได้ทราบ จากนั้นก็สอนบทร้องประกอบการเล่น ก่อนที่จะเริ่มเล่นเป็นตัวอย่างเพื่อให้ทุกคนเข้าใจกัน

ปรียานุชเป็นมอญหรือคนที่ถือผ้าอยู่ในมือ ยืนรอบนอกวงล้อมของผู้คนที่นั่งบนเสื่อ

ทุกคนช่วยกันร้องบทร้องและตบมือเป็นจังหวะพร้อมเพรียงกัน

มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ไว้โน่นไว้นี่ ฉันจะตีก้นเธอ

ระหว่างที่ทุกคนร้องขับขาน เธอก้าวขาไปทางซ้ายมือตัวเองอย่างช้าๆ อยู่ทางด้านหลังของคนที่นั่งกันเป็นวง

การเล่นมอญซ่อนผ้า คนที่ยืนถือผ้าอยู่นั้นสามารถเลือกได้ว่าจะวิ่งหรือเดิน และจะเวียนซ้ายหรือขวา แต่ต้องเวียนไปทางเดียวตลอดทั้งการเล่นแต่ละรอบ

เมื่อร้องบทร้องมาจนถึงคำสุดท้ายคือคำว่าเธอ ปรียานุชกะจังหวะปล่อยผ้าไว้ที่ด้านหลังธารทิพย์ ซึ่งเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่าซ่อนผ้านั่นเอง

หากการที่มอญจะทิ้งผ้าได้นั้น ไม่จำเป็นต้องร้องบทร้องจนจบแค่รอบเดียว ถ้ายังอยากเดินรอบวงต่ออีก ก็ปล่อยให้ทุกคนร้องวนไปซ้ำๆ แล้วค่อยรอคำสุดท้ายจึงจะปล่อยผ้าทิ้งไว้ด้านหลังคนที่นั่งอยู่ได้

ธารทิพย์รู้ตัวว่ามีผ้าอยู่ด้านหลังจึงรีบคว้ามาถือไว้ ลุกขึ้นวิ่งไล่ตามเธอไปโดยเร็ว ส่วนเธอต้องพยายามวิ่งหนีไปรอบวงเพื่อมานั่งแทนที่เพื่อนสาวซึ่งครบหนึ่งรอบพอดี

เมื่อธารทิพย์วิ่งตามทันเธอก็ใช้ผ้าตีเบาๆ จนกว่าเธอจะได้ลงไปนั่งแทนที่ ปล่อยให้เพื่อนสาวเป็นมอญต่อไป ธารทิพย์ก็จะเดินรอบวงเพื่อทิ้งผ้าไว้ด้านหลังคนอื่นบ้าง

การเล่นมอญซ่อนผ้ามีกติกาสำคัญคือไม่อนุญาตให้ผู้เล่นที่นั่งเป็นวงนั้นหันไปดูเบื้องหลังของตน ต้องใช้วิธีสังเกตเองว่าผ้าในมือมอญได้อยู่ด้านหลังตัวเอง และผู้อื่นที่ร่วมเล่นด้วยกันก็ห้ามส่งสัญญาณบอกว่ามีผ้าอยู่ด้านหลังคนคนนั้น

คนที่นั่งล้อมวงเริ่มร้องบทร้องอีกครั้ง ธารทิพย์ก้าวขาไปรอบวง เล็งด้านหลังบุตรชายไว้เพื่อจะทิ้งผ้าให้พอดีกับคำสุดท้ายของบทร้อง

แทนไทยซึ่งมองตามมารดาตลอดเวลาก็รีบหยิบผ้าลุกขึ้นยืน รวมทั้งบิดาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ก็คอยบอกให้หยิบผ้าวิ่งไล่ตามแม่ แทนไทยทำตามอย่างว่าง่าย วิ่งใช้ผ้าไล่ตีธารทิพย์ที่ยืนรอเพื่อให้ลูกชายทำตามที่เคยเห็น เมื่อแม่ลงนั่งบนพื้น แทนไทยก็เดินรอบวงหลังจากทุกคนช่วยกันขับขานบทร้อง หากด้วยความเป็นเด็กจึงปล่อยผ้าไว้ด้านหลังดาราพร ก่อนที่จะถึงคำสุดท้ายของบทร้อง

พอดาราพรรู้ตัวก็ลุกขึ้นคว้าผ้า วิ่งไล่แทนไทย แต่แทนไทยวิ่งเร็วจี๋ลงไปนั่งแทนที่ดาราพรอย่างรวดเร็ว

หากมีมอญคนใดทิ้งผ้าแล้วยังเดินไปรอบวงด้วยมือเปล่า เมื่อมอญเดินเวียนมาอีกรอบหนึ่งจนถึงผู้ที่ยังไม่รู้ตัวว่ามีผ้าถูกทิ้งไว้ด้านหลัง มอญจะหยิบผ้าขึ้นมาตีหลังคนผู้นั้นแล้ววิ่งไล่ตีตามไปจนกว่าคนคนนั้นจะวิ่งมานั่งที่เดิม แต่มอญจะได้เป็นมอญต่อไปอีกหนึ่งรอบ

เมื่อไขศิลป์เป็นมอญก็ทิ้งผ้าไว้เบื้องหลังเพื่อนชาย แต่ฐานินทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพื่ออยากให้แตกต่างจากหลายรอบที่เคยเกิดขึ้น

เขาเดินผ่านหลังเพื่อนอีกรอบก็หยิบผ้าขึ้นมาตีหลังเพื่อน ฐานินซึ่งเตรียมตัวไว้แล้ว จึงไม่รอช้าที่จะลุกขึ้นวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว ไม่ให้เขาตามทันจนกลับมานั่งตรงที่เดิม

ฐานินหัวเราะออกมาเสียงดังที่ได้แกล้งเขาจนสมใจ ไขศิลป์จึงต้องเป็นมอญซ้ำอีกรอบ หากไม่คิดทิ้งผ้าไว้ข้างหลังเพื่อนชายเพราะกลัวเหตุการณ์จะซ้ำรอยเดิม

ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ต่างก็ได้สลับกันเป็นมอญ วิ่งไล่ใช้ผ้าตีหลังกันสนุกสนาน ยิ่งร้องบทร้องกันหลายรอบ เด็กบางคนก็ร้องตามได้จนคล่องปากก็สนุกยิ่งขึ้น ใบหน้าจึงแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มแสนสดใส

เธอมองเห็นกีตาร์ที่ไม่ได้นั่งอยู่เคียงข้างบิดามารดาเหมือนตอนแรก พอมีคนอื่นนั่งประกบข้าง กีตาร์ก็ยังแย้มยิ้มและให้ความสนใจกับการเล่นมอญซ่อนผ้าไปจนจบการละเล่น

แม้แต่ช่วงเวลาพัก ระหว่างรอให้หญิงสาวเริ่มการละเล่นถัดไป กีตาร์ยังชวนพ่อแม่ร้องบทร้องมอญซ่อนผ้าไม่หยุดปาก เด็กๆ ที่พักหายเหนื่อยแล้วจึงร่วมร้องตามและตบมือกันอย่างสนุกสนาน

““มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ไว้โน่นไว้นี่ ฉันจะตีก้นเธอ”

“แกตีก้นฉันทำไม” ไขศิลป์หันหน้าไปถามเพื่อนชาย เมื่อเสียงร้องของเด็กหลายคนร้องวนมาถึงบทร้องท่อนสุดท้าย

“แกไม่ได้ยินหรือไงว่าฉันจะตีก้นเธอ” ฐานินบอกอย่างหน้าตาเฉย แล้วเอ่ยต่อ “จะไม่ให้ตีได้ยังไง แกลากฉันมายืนตรงนี้ทำไมล่ะ เมื่อกี้ยังรวมกลุ่มกับคนพวกนั้นก็ดีอยู่แล้ว”

เขาดึงแขนเพื่อนชายออกมาให้ห่างจากบรรดาคนเหล่านั้นเพื่อไม่ให้ใกล้ชิดกับปรียานุชมากเกินควร

ธารทิพย์ที่เห็นภาพชายหนุ่มตีก้นกันก็เผลอให้มือจิกต้นขาเธอด้วยความฟิน เป็นเหตุให้ปรียานุชหันมองเพื่อนสาวที่มีสายตาเคลิบเคลิ้มขณะมองไปที่ชายหนุ่มสองคนอย่างเข้าใจดี จึงปล่อยให้เพื่อนมีความสุขกับภาพที่ได้เห็นอย่างคนเพ้อฝันไปไกล แล้วค่อยกู่เรียกกลับมา

เมื่อยืนอยู่กันเพียงสองคนจึงได้ทีพูดถึงบุคคลหนึ่งโดยไม่มีผู้อื่นได้ยิน

“แกเห็นพี่ฉัตรไหม” ไขศิลป์ตั้งใจเปลี่ยนประเด็น

ฐานินมองไปยังคนที่เขาเอ่ยถึงก็เห็นภาพชายหนุ่มพูดคุยฉ้อเลาะกับปรียานุชด้วยความเบิกบานใจ “พี่ฉัตรคุยสนุกดีนะ เป็นกันเองอีกด้วย โดยเฉพาะตอนคุยกับพี่ปรี”

“แกคงเสียดายละสิ ที่มีคนมาแย่งความสนใจของพี่ปรีไปจากแก” เขาเอ่ย หากสายตามองไปที่ฉัตรพงษ์ซึ่งนั่งคุยกับปรียานุช “แต่ก็ดีแล้ว แกอย่าไปสู้หรือแข่งเอาใจพี่ปรีเลย แกมีแฟนแล้ว รู้ตัวบ้างสิ”

ไขศิลป์เห็นท่าทีของฉัตรพงษ์ก็พอจะรู้ว่าสนใจปรียานุช ซึ่งอาจเป็นอีกคนที่กำลังหลงเสน่ห์พี่สาวข้างบ้านไม่ต่างจากเพื่อนชายของเขา

“ฉันมีแฟนแล้ว ทำไมฉันจะทำตัวสนิทกับพี่ปรีไม่ได้ แกคิดอะไรแปลกๆ”

“แกจะไปขวางคนที่กำลังจีบกันทำไม” เขาบอกตรงๆ และย้ำกับเพื่อนอีกครั้ง “ปล่อยให้จีบกันไปสิ แกมีแฟนแล้วนะ”

“แกมีตาก็ได้แต่มอง มองแล้วคิดบ้างสิ ฉันดูออกว่าพี่ปรีไม่เล่นด้วย หรือฉันจะเอาตัวไปขวางไว้ก็ดีเหมือนกัน ถ้าพี่ฉัตรไม่ท้อไปซะก่อน ฉันค่อยหลีกทางให้”

ไขศิลป์เตือนเพื่อนด้วยความหวังดี แต่เหมือนจะชี้ช่องทางให้เพื่อนคิดไปอีกแบบ หากยังพูดให้เพื่อนฉุกคิดถึงท่าทีของเธอ “นี่แค่วันแรกๆ ถ้าผู้หญิงเล่นด้วยก็ใจง่ายเกินไปหน่อยแล้ว”

“แต่กับฉัน พี่ปรีก็ดูจะสนิทสนมกันตั้งแต่แรกๆ เลยนะ” ฐานินเข้าใจไปอีกอย่าง

พอได้ฟังคำของเพื่อนชาย ไขศิลป์ก็คาดว่าเธอคงสนใจในตัวฐานินมากกว่าผู้ชายคนใหม่ที่เพิ่งได้รู้จักกัน

ถ้ายังมีเขาอยู่ตรงนี้ หญิงสาวไม่มีวันสมหวังแน่นอน

เมื่อกิจกรรมที่เล่นกันเป็นกลุ่มในวันนี้สิ้นสุดลง เธอขอบคุณคนทุกคนที่สละเวลามาร่วมเล่นด้วยกัน ทุกคนรื่นเริงสนุกสนานไปตามๆ กัน โดนเฉพาะพวกเด็กๆ ที่เหมือนจะอยากเล่นกันต่อ

ปรียานุชเดินออกไปส่งเด็กสองคนกับผู้ปกครองซึ่งขอบคุณเธอที่ทำให้เห็นความสดใสของบุตรหลานในยามที่ร่วมเล่นกับผู้อื่น

ก่อนเธอจะเดินกลับเข้าไปในบ้านของศศิก็พบฉัตรพงษ์ที่ยืนรออยู่เคียงข้างดาราพรตรงประตูหน้าบ้าน

“วันนี้พี่สนุกมากๆ เลยครับ” ฉัตรพงษ์เอ่ยด้วยเสียงสดใส “พี่ขอตัวกลับก่อนนะครับ ต้องแวะไปส่งน้องดรีมให้คุณเปรมที่ร้านก่อน”

“ฝากบอกพี่เปรมกับพี่รามด้วยนะคะ ว่างๆ ก็มาเล่นด้วยกันบ้าง” เธอเอ่ย

ดาราพรเอ่ยถามด้วยความใสซื่อ “น้าปรีเล่นกับลุงฉัตรไม่สนุกหรือคะ”

ฉัตรพงษ์ดีใจ เมื่อกามเทพตัวน้อยเริ่มทำงาน

“ก็สนุกจ้ะ” เธอยิ้มน้อยๆ ให้หลานสาว “ถ้ามีหลายคนคงสนุกมากกว่านี้นะ”

“ขอให้ลุงฉัตรมาเล่นกับน้าปรีบ่อยๆ ได้ไหมคะ” ดาราพรยังถามอีก

ฉัตรพงษ์รู้สึกว่าหัวใจพองโต เมื่อเด็กผู้หญิงเอ่ยเข้าทางตน

“จะมาก็มาได้เลยนะจ๊ะ น้าไม่ติดขัดอะไรอยู่แล้ว”

“ลุงฉัตรได้ยินแล้วนะคะ มาหาน้าปรีได้ตลอดเวลาเลย” ดาราพรสรุปไปตามความเข้าใจ

ฉัตรพงษ์จูงแขนเด็กผู้หญิงให้เดินออกห่างจากเธออย่างคนอารมณ์ดี ปรียานุชยืนโบกมือให้หลานสาวที่ยกมือขึ้นมาโบกลาเช่นเดียวกัน

“สองคนนั้นกลับไปแล้วหรือปรี” ธารทิพย์เดินเข้ามาคุยกับเธอ “ฉันดูออกนะว่าคุณฉัตรของปรีกำลังจะทำคะแนนกับปรีอยู่ รู้ตัวหรือเปล่า”

ปรียานุชรู้ดีว่าฉัตรพงษ์ให้ความสนใจและพยายามจะทำตัวสนิทสนมกันให้มากกว่าที่เป็นอยู่ หากยังไม่เอ่ยออกมา เพื่อนสาวก็พูดขึ้นอีก

“ปรีล่ะคิดยังไงกับพี่ฉัตร ฉันว่าก็เข้าท่าดีนะผู้ชายคนนี้ น่าจะเป็นคนดี ไม่ต้องทำให้ปรีรอนาน”

“รู้เหรอว่าฉันรออะไร ฉันไม่รออะไรแล้ว อยู่กับเด็กๆ สบายใจดี”

“ถึงตอนนี้จะเลิกรอแล้ว แต่อดีตก็เคยรอไม่ใช่เหรอ”

ปรียานุชไม่อยากให้ธารทิพย์พูดถึงเรื่องวันวานจึงเฉไฉไปเรื่องอื่น เมื่อมองที่ลานหน้าบ้านไม่เห็นมีใคร นอกจากครอบครัวของเพื่อนสาว “ผู้ชายสองคนของธารพากันไปไหนแล้วล่ะ”

“นั่งรอฉันอยู่ตรงนั้นไง” ธารทิพย์บุ้ยปากไปทางสามีและบุตรชาย

“ไม่ใช่สองคนนั้น ฉันหมายถึงพระเอกนายเอกของธารที่เฝ้ามองไม่คลาดสายตาเลย”

“อ่อ นินกับศิลป์ ฉันต้องเห็นภาพทุกช็อตไม่พลาดหรอก มันฟินยิ่งกว่านั่งดูผ่านหน้าจออีกนะ” เพื่อนสาวเพิ่งเข้าใจที่เธอถามถึง “สองคนนั้นเห็นพากันเดินเข้าไปในบ้าน”

ธารทิพย์กวักมือเรียกสามีกับลูกชายให้เดินมาหา แล้วพากันเดินกลับบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

ปรียานุชก้าวขาเข้าไปด้านในอาณาเขตของบ้านก็พบเก่งกาจเดินสวนออกมาพอดีซึ่งกำลังพูดคุยกับคนอื่นผ่านทางโทรศัพท์มือถือ

“ผมนึกว่าคุณปรีกลับบ้านไปแล้ว” เก่งกาจทักขึ้น หลังจากกดวางสาย

“ปรีจะเข้าไปหาน้าศิค่ะ ค่อยลากลับบ้าน” เธอบอกความประสงค์ของตน

เก่งกาจคิดจะถ่วงเวลาเพื่อให้เธอยังยืนอยู่ด้วยกัน “ผมต้องขอบคุณคุณปรี เมื่อเรามีเวลาให้ลูก ชวนลูกทำหลายอย่างร่วมกัน ตอนนี้ผมดีใจมากที่กีตาร์เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เหลือแต่เรื่องพูดที่ยังต้องค่อยเป็นค่อยไป”

“ทุกอย่างต้องใช้เวลาฝึกฝนจนให้เด็กเรียนรู้ได้เองค่ะ พาไปในที่ต่างๆ ด้วยนะคะ ไม่ใช่ทำกิจกรรมอยู่แต่ในบ้าน เด็กจะได้รู้จักการเข้าสังคมและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ดีขึ้น” ปรียานุชชื่นชมพวกเขาในใจสำหรับความตั้งใจจริงที่จะทำให้ลูกหายดีในเร็ววัน

“ถ้าผมจะพาเพื่อนมาเล่นด้วยกันจะได้ไหมครับ” เก่งกาจได้ทีก็ลองถามออกไป

“เชิญเลยค่ะ มีคนหลายคนคงจะสนุกดี” เธอตอบรับด้วยคำพูดติดปาก

“นั่นไง เพื่อนของผมมาถึงพอดีเลย” เก่งกาจเห็นรถยนต์ของเพื่อนกำลังเข้ามาจอดตรงด้านข้างกำแพงบ้าน หลังจากโทร.มาถามทาง

ตอนแรกปรียานุชจะแค่หันไปส่งยิ้มให้ผู้มาใหม่ แต่พอได้เห็นหน้าอีกฝ่าย เธอกลับต้องยืนนิ่งราวกับหุ่นปูนปั้นซึ่งไม่รู้จะทำอะไรได้มากไปกว่านั้น แล้วปล่อยให้ชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึงนั้นเดินเข้ามาใกล้จนหยุดยืนอยู่ตรงหน้า

เธอจำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือคนที่เคยคบกันเมื่อหลายปีก่อน

“นี่เอกครับ เพื่อนของผมที่อยากมาเล่นการละเล่นไทยกับคุณปรี” เก่งกาจแนะนำผู้มาใหม่ แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวระหว่างคนทั้งสอง

เอกลักษณ์ส่งยิ้มให้เธอ แม้เธอจะยืนนิ่งเฉยก็ตาม

ก่อนที่ทั้งสองจะได้พูดคุยกัน กีตาร์วิ่งนำหน้ามารดามาหยุดอยู่ข้างบิดา มองเอกลักษณ์ด้วยความสงสัยเพราะยังไม่เคยเจอกันมาก่อน

เก่งกาจจึงได้โอกาสแนะนำเอกลักษณ์ให้คนในครอบครัวได้ทำความรู้จักกันเสียที

เด็กชายยกมือไหว้ผู้มาใหม่ตามคำของมารดา ก่อนจะใช้มือลูกท้องตัวเอง “หิวคาฟ หิว หิว”

“กลับกันเถอะนะคุณ ลูกหิวข้าวแล้ว ไว้คราวหน้าค่อยมาคุยกันใหม่ก็ได้” สิตางค์บอกสามี

เก่งกาจจึงต้องพาครอบครัวเดินออกไปจากบ้านของศศิ รวมทั้งผู้ที่เพิ่งมาถึง

“ครั้งหน้าเราจะไม่พลาด ขอมาเล่นกับปรีด้วยคนนะ” เอกลักษณ์เอ่ยกับเธออย่างคนรู้จักมักคุ้นกัน ก่อนจะเดินตามหลังเก่งกาจไป

ปรียานุชไม่ได้ร่ำลาใครเลยสักคน ยังยืนอึ้งกับการได้เจอชายหนุ่มซึ่งเป็นแฟนเก่า จนรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงทักจากฐานินซึ่งดังอยู่ด้านหลัง

“พี่ปรีมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ ผมจะกลับแล้วครับ”

“พี่ขอตัวกลับบ้านก่อนนะ” เธอบอกชายหนุ่มสองคนที่เดินมาด้วยกัน แล้วมองไปทางไขศิลป์ “พี่ฝากบอกน้าศิด้วยนะว่าขอบคุณมากๆ ที่ให้พี่มาจัดกิจกรรมในวันนี้”

ปรียานุชยังทำตัวไม่ถูกกับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงรีบไปตั้งสติที่บ้านของตัวเองเร็วไว

คนทั้งสองสงสัยในท่าทีของหญิงสาวซึ่งดูแปลกๆ ไปซึ่งไม่ค่อยพูดค่อยจากันเหมือนเคย

“พี่ปรีคงเหนื่อย หน้าตาดูเพลียๆ อาจจะรีบกลับไปพัก” ฐานินพูดกับเขา เมื่อเห็นหญิงสาวผละห่างออกไปมากแล้ว

“แกไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนั้นหรอก พี่ปรีคงไม่เป็นอะไรมาก” ไขศิลป์บอกเพื่อนชายซึ่งมีท่าทีเป็นห่วงเป็นใยหญิงสาว

“คนรู้จักกันจะไม่ให้เป็นห่วงกันได้ยังไงล่ะ แกล่ะไม่ห่วงพี่ปรีบ้างเหรอ อยู่ข้างบ้านเป็นเพื่อนบ้านกันแท้ๆ อย่าใจจืดใจดำหน่อยเลย” ฐานินทิ้งคำกล่าวไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินไปที่รถยนต์ของตัวเอง

ไขศิลป์สังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของปรียานุชเช่นกัน แม้จะสร้างความฉงนในใจ แต่เขาก็ได้คำตอบให้แก่ตัวเองว่าคงเป็นเพราะมีผู้ชายคนใหม่ให้ความสนใจ เธอจึงใช้แรงบริหารเสน่ห์มากเกินไปจนทำให้อ่อนเพลีย ส่งผลให้ความเป็นห่วงในตัวรุ่นพี่ข้างบ้านอันตรธานไป กลายเป็นความสบายใจที่เพื่อนชายอาจจะตัดใจจากเธอได้ง่ายขึ้น

นอกจากคนที่เพิ่งเจอหน้ากันในวันนี้แล้วก็ยังมีผู้ชายอีกคนที่จะกลับเข้ามาพิชิตใจเธอเช่นกัน แต่ใครจะได้ชัยไปนั้น ไขศิลป์อาจไม่รู้เลยว่าเป็นตัวเอง



Don`t copy text!