ละเล่นลานรัก บทที่ 24 : ต้นเหตุความกลัว

ละเล่นลานรัก บทที่ 24 : ต้นเหตุความกลัว

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

ชายหนุ่มนั่งอยู่ภายในห้องนอนแสนคุ้นเคย ขณะที่พักสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ จึงหันไปมองหน้าต่างซึ่งเปิดทิ้งไว้ตั้งแต่ตื่นนอน ก็นึกถึงเมื่อสามวันก่อนที่ได้ชะโงกหน้าออกไปคุยกับพี่สาวข้างบ้าน

 

เขาเคยปิดหน้าต่างไว้นานหลายเดือน นับจากวันที่มีก้อนหินถูกโยนเข้ามาในห้องจนตกใส่ศีรษะเข้าอย่างจัง หากสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นจนถึงบัดนี้ก็เกินที่จะคาดคิดได้ โดยเฉพาะอาการกลัวที่เคยคุกคามยามพบปะผู้อื่นซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

ไขศิลป์ลุกขึ้นไปยืนข้างหน้าต่าง มองออกไปด้านนอกซึ่งเป็นบริเวณด้านข้างตัวบ้าน มีกำแพงปูนกั้นอาณาเขตระหว่างบ้านทั้งสองหลังไว้ แต่ไม่พบใครเลยสักคนเพราะวันนี้เป็นวันทำงานของเธอ

ชายหนุ่มก่อเกิดคำถามในใจ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องออกไปดีลงานด้วยตัวเอง

ระหว่างที่ค้นหาคำตอบนั้น เรื่องราวต่างๆ ในอดีตก็หวนมาในห้วงคำนึง ทั้งที่ไม่อยากจะนึกถึงมัน แต่หลายเหตุการณ์ซึ่งจดจำฝังใจก็เป็นต้นเหตุทำให้เขาไม่กล้าออกไปพบหน้าใครได้เลย

เริ่มตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียนชายระดับชั้นมัธยมศึกษา วันนั้นก่อนจะเข้าเรียน เขาและเพื่อนร่วมชั้นอีกสามคนได้ออกไปยืนหน้าเสาธงเพื่อรับคำชมเชยจากคุณครู หากเพื่อนคนหนึ่งมีความคึกคะนอง คิดจะแกล้งกันด้วยความสนุก เขาซึ่งสวมชุดพละโดยไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะถูกเพื่อนดึงกางเกงลงไปด้านล่าง จนขอบกางเกงที่เป็นเพียงยางยืดนั้นอยู่ตรงข้อเท้า ท่ามกลางเสียงหัวเราะจากคนจำนวนมากภายในสนาม เขารีบหยิบกางเกงขึ้นมาสวมเร็วไว ทำได้แต่ยืนก้มหน้าก้มตา ไม่กล้ามองหน้าใครด้วยความอับอายที่ทุกคนเห็นภาพเขาสวมเพียงเสื้อพละกับกางเกงชั้นใน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ยังตราตรึงในความทรงจำของผู้ถูกกระทำ หากเท่านั้นยังไม่พอ ยามที่มีนักเรียนคนอื่นเดินผ่านตัวเขาก็จะมองหน้ากันแล้วส่งเสียงขบขันเบาๆ หรือบางคนหัวเราะออกมาให้ได้ยิน

หลังจากนั้น เขาก็รู้สึกแย่และเป็นกังวลกับการออกไปพูดต่อหน้าคนมากมาย ทำให้ไม่กล้าที่จะออกไปยืนเป็นจุดสนใจเดียวของสายตาคนจำนวนมาก รวมทั้งในห้องเรียนซึ่งมักจะหลีกเลี่ยงการออกไปพูดหน้าชั้น หากเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เขาก็ต้องทำ แต่ไม่บ่อยนัก หลายคนเข้าใจว่าเป็นความประหม่าที่เกิดจากความตื่นเต้น แต่เขารู้เพียงคนเดียวว่าความหวั่นกลัวก่อตัวน้อยๆ ในใจ ร่วมด้วยภาพความอับอายตรงด้านหน้าเสาธงก็ยังวนเวียนให้นึกถึงอยู่เสมอ

อีกหนึ่งสถานการณ์ที่ตอกย้ำให้ความกลัวในใจมีมากขึ้น คือตอนเรียนในมหาวิทยาลัย วันนั้นเขาถูกเลือกเป็นตัวแทนของชั้นปีต้องออกไปพูดต่อหน้าสาธารณชน คนที่นั่งฟังมีจำนวนมากจนเขาเริ่มวิตกกังวล เขาพยายามทำเป็นไม่กลัว พอได้พูดผ่านไมโครโฟนไปสักพัก ความกลัวก็หายไป แต่ไม่มีใครสนใจเรื่องที่เขาพูดเลยสักคนเดียว คนฟังหันหน้าไปคุยกันเองบ้าง บางครั้งยังมีเสียงหัวเราะแทรกขึ้นมา เขาเริ่มรู้สึกแย่ไม่ต่างจากเรื่องอับอายที่เคยเกิดขึ้นหน้าเสาธง แม้ก่อนพูดจะเกรงสายตาหลายคนจดจ้องเขาเป็นจุดเดียว แต่เมื่อไม่มีใครสนใจก็สร้างความวิตกในใจที่ตนทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร พอวิตกมากๆ ก็เกิดเป็นความกลัวที่จะพูดให้คนจำนวนมากได้ฟังเสียงเขาอีก

หากวันนั้นไม่ได้สิ้นสุดลงเมื่อเขาพูดจบ ความหวังดีของเพื่อนที่อยากเรียกความสนใจจากคนฟัง แต่กลับกลายทำให้เขาเป็นตัวตลกในสายตาผู้อื่น เขาจึงต้องอับอายขายขี้หน้ายิ่งกว่าที่เคยเป็น เสียงหัวเราะของคนมากมายดังก้องในหูนานนับเดือน ปลุกความกลัวที่แอบซ่อนในมุมลับได้แสดงตัวให้เขารับรู้มากขึ้น หลังจากนั้นเขาก็ไม่กล้าพูดต่อหน้าคนจำนวนมาก รวมทั้งยังเลี่ยงที่จะอยู่กับผู้คนในสังคมทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักกัน จนค่อยๆ แยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อน แต่ก็ดั้นด้นเรียนจนจบ ซึ่งมีฐานินเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่เข้าใจกันเรื่อยมาจนถึงบัดนี้

ระหว่างที่ความกลัวค่อยๆ เพิ่มระดับในตอนที่ออกไปเจอกลุ่มคนแปลกหน้าตามสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะความหวั่นกลัวที่จะสร้างเรื่องอับอายต่อหน้าคนอื่น แต่ไม่รอดพ้น ขณะเดินซื้อของในห้างสรรพสินค้าก็เกิดเรื่องขายหน้าจนได้ เพราะความไม่รู้โดยแท้จริงซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่คนที่ได้เห็นก็เกิดความขบขันมากกว่าที่จะมองข้ามไป และสร้างรอยแผลให้กับชีวิตจนยากที่จะหายดี ทำให้เขาไม่กล้าออกไปไหนอีกเลย ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

แค่นั้นยังไม่พอที่จะสร้างความวิตกในใจ ยังมีอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ช่วยสนับสนุนให้ไม่อยากออกจากบ้านไปรับงานด้วยตัวเอง เขาเคยสมัครงานกับบริษัทแห่งหนึ่งจนถูกเรียกตัวเข้าสัมภาษณ์ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายก่อนที่บริษัทจะรับคนเข้าทำงาน วันนั้นจึงตื่นเต้นและหวาดกลัวเป็นธรรมดาเพราะไม่เคยอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นมาก่อน ตอนแรกคิดว่าจะสัมภาษณ์อยู่ในห้องที่มีแค่เขากับคนของบริษัท แต่ความเป็นจริงคือคนทั้งหมดที่ถูกเรียกมาสัมภาษณ์จำนวนยี่สิบคนนั่งรวมกันในห้องประชุม แล้วเรียกให้ออกไปพูดหรือนำเสนอตัวเองและผลงานทีละคน แม้เขาจะเตรียมตัวมาดีพร้อมเพราะอยากทำงานในตำแหน่งสายงานตรงกับที่ได้ร่ำเรียนมา รวมทั้งยังเป็นบริษัทที่หมายตาไว้ แต่ไม่มีใครสนใจรับฟังสิ่งที่เขาพูดออกมาเลย รวมทั้งคนของบริษัทก็ยังคุยกันเอง ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนในที่แห่งนั้น เขาจึงเสียใจและคิดผิดที่มาสมัครงาน จนไม่กล้าไปสมัครงานที่ใดและไม่อยากพูดกับใครทั้งนั้น

ความกลัวที่จะทำเรื่องน่าอายพลอยให้เสียหน้า หรือกลัวถูกคนมองเห็นท่าทีของเขาเหมือนจ้องจะหัวเราะเยาะกัน หรือพูดไปก็ไม่มีใครรับฟัง ทุกอย่างสั่งสมมาจนทำให้ไม่อยากออกไปพบผู้คน

ยามสนทนากับคนไม่คุ้นหน้าหรือไม่รู้จักกันเลย เขาจะรู้สึกอึดอัดใจ มัวพะวงว่าคู่สนทนาจะเห็นท่าทีน่าอับอายของเขาตลอดเวลา จนก้าวผ่านความรู้สึกนั้นไปไม่ได้ จึงพยายามเลี่ยงสถานการณ์นั้นๆ เพื่อไม่ให้เป็นทุกข์หรือทรมานใจตัวเอง

หลังจากเรียนจบ เขาเลือกใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน เพราะมีพ่อแม่คอยดูแลเรื่องอาหารการกินและความเป็นอยู่ รวมทั้งการงานก็มีเพื่อนคอยติดต่อหางานมาให้ทำ ซึ่งเป็นการพัฒนาความคิดและฝีมือการออกแบบของตนอยู่เสมอ พอไม่เห็นความจำเป็นของการออกไปข้างนอก ความกลัวที่จะเข้าไปร่วมสังคมหรืออยู่ต่อหน้าผู้อื่นตามที่ต่างๆ ก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย

เมื่อค้นพบที่ที่ปลอดภัยสำหรับตัวเอง เขาจึงอยู่ในห้องนอนเป็นส่วนใหญ่ หลายวันต่อกันจนเป็นหลายเดือน โดยรวมร่วมสองปี

แต่พอถึงคราวจำเป็นที่ต้องออกไปเจอคนแปลกหน้า เพียงแค่เห็นสายตาคนอื่นที่จ้องมองมาที่ตน ความกลัวก็ทวีความรุนแรงจนก่อเกิดอาการต่างๆ ที่สงบลงได้ยากยิ่ง ภาพอดีตฝังใจก็หวนให้นึกถึงอยู่เสมอ รวมทั้งเสียงหัวเราะยังดังก้องข้างหู ทำให้เขาไม่กล้าออกนอกบ้าน จนในที่สุดไขศิลป์ก็รู้ว่าเป็นโรคกลัวการเข้าสังคมซึ่งหาทางแก้ไขได้ หลังจากพบเจอปรียานุชที่ชี้แนวทางการรักษาและเอาชนะความกลัวในใจตน

เขาพร้อมแล้วหรือยังที่จะออกไปรับงานนั้นด้วยตัวเอง ชายหนุ่มถามในใจอีกครั้ง ก่อนประตูห้องจะถูกเปิดจากฝีมือแขกผู้มาเยือนที่เข้าห้องนอนของเขาได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเคาะประตู

“ผิดคาด นึกว่าแกจะนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ กำลังยืนรับลมอยู่หรือไง” ฐานินเบนสายตามาตรงหน้าต่าง เมื่อพบว่าเก้าอี้ที่ประจำของเขานั้นไม่มีคนนั่งอยู่

“มีอะไรหรือเปล่า” เขาถามเพื่อน

“ฉันแวะมาถาม จะเอายังไงกับงานนั้น ทางนั้นเร่งฉันมาแล้ว ให้แกรีบไปดีลงานเร็วๆ ฉันบอกให้รออีกสักหน่อยเพราะแกยังมีงานอื่นค้างอยู่ ช่วงนี้ฉันพยายามหางานให้แกอยู่เหมือนกัน แต่มีงานนั้นงานเดียว และทางนั้นก็ระบุต้องเป็นแก ถ้าได้ทำงานนั้นก็มีหลายงานรอให้แกทำไปอีกยาว ฉันไม่อยากให้พลาดเลยจริงๆ” ฐานินย้ำกับเขา และพูดปิดท้ายด้วยความหวังดี “ออกไปคุยกับทางนั้นเร็วๆ หน่อยก็ดีนะ”

“แกก็รู้ว่าฉันเคยเจออะไรมาบ้าง จนฉันต้องเป็นแบบนี้”

“แกเอาแต่พูดประโยคนี้ แล้วเมื่อไหร่จะกล้าออกไปนอกบ้านสักทีล่ะ เคยได้ยินไหม หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง กัดฟันสู้กับมันสักครั้ง ถ้าแกแพ้แล้วกลับบ้านไม่ไหว ฉันจะเป็นคนแบกแกกลับมาเอง” ฐานินจับบ่าเขาเพื่อให้กำลังใจ จากนั้นก็พูดเสียงอ่อน “สมัยนี้งานมันไม่ได้เข้ามาหาฉันเหมือนแต่ก่อน ฉันต้องวิ่งโร่ออกไปหาหรือเสนอหน้า ถึงได้แต่ละงานมาทำ”

ไขศิลป์เห็นใจเพื่อนและซึ้งในน้ำใจที่มีให้กันเสมอที่เป็นฝ่ายดีลงานให้เขามาตลอด

“อีกไม่กี่วันหรอก ฉันคงจะไปคุยงานด้วยตัวเอง” เขาบอกด้วยความมั่นใจ ก่อนจะเปลี่ยนประเด็น “ฉันถามแกตรงๆ แกคิดยังไงกับพี่ปรี”

“แล้วแกคิดยังไงถึงถามพรรค์นั้นกับฉัน”

“ฉันเห็นแกกับพี่ปรีดูจะสนิทสนมกันดี คุยโทรศัพท์กันบ่อยเหรอ”

ฐานินไม่ยอมรับ หากเฉไฉไปเรื่องอื่น “อิจฉาฉันก็พูดมาเถอะ แกเองอยู่บ้านข้างๆ พี่ปรี ยังไม่สนิทเท่าฉันเลย”

“ตกลงแกแอบคิดอะไรกับพี่ปรีหรือเปล่า” เขาถามซ้ำ

“ถ้าจะคิด ฉันไม่ต้องแอบหรอก แกก็รู้ว่าฉันมีแฟนแล้ว จะให้ฉันคิดอะไรได้อีกล่ะ นอกจากเป็นพี่เป็นน้องกัน”

ไขศิลป์รู้ว่าเพื่อนพูดจริง ไม่ใช่แค่พูดเพื่อให้เขาสบายใจ ดังนั้นก็หมดกังวลไปได้เลยว่าฐานินจะหลงเสน่ห์หญิงสาวจนลืมไปว่ามีคนรักเป็นตัวเป็นตน

“สมมุติว่าพี่ปรีคิดกับแกมากกว่าพี่น้องล่ะ” เขาอยากทราบความเห็นของเพื่อน

“แกเอาความคิดนั้นมาจากไหน พี่ปรีไม่คิดอะไรกับฉันแบบนั้นหรอก ฉันดูออก” ฐานินหัวเราะออกมา “หรือแกคิดจะสนใจพี่ปรีจึงหลอกถามฉัน อย่าให้รู้เชียวนะว่าแกแอบชอบพี่ปรี”

“พูดอะไรไม่เข้าท่า แค่ฉันไม่อยากให้แกลืมตัวว่ามีแฟนแล้ว”

“แกไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมฉันจึงรู้ว่าพี่ปรีไม่ได้สนใจฉัน” ฐานินเอ่ยขึ้น

ไขศิลป์ไม่ตอบ หากนิ่งเฉยรับฟังคำของเพื่อนที่พูดต่อทันที

“แกลองมองดูพี่ปรีดีๆ ก็แล้วกันว่าจะมองมาที่ใครบ่อยๆ ไม่ใช่มัวแต่จะคอยจับผิดฉัน บางทีความห่วงใยอาจเป็นปุ๋ยให้ต้นรักได้เช่นกัน”

ฐานินพูดจบก็ขอตัวกลับไป ปล่อยให้เขาคิดถึงคำกล่าวที่แอบแฝงความหมายบางอย่างไว้ซึ่งเขายังคิดไปไม่ถึงความหมายนั้น

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขามักจะมองเห็นเธอในตอนที่อยู่กับเพื่อนชายและตอนที่เธอพูดคุยกับเขา ส่วนเวลาอื่นเขายังไม่เคยมองไปที่เธอบ่อยนัก

พอถึงเวลาที่เขาคิดจะมองเธอให้มากกว่าแต่ก่อน คงได้รู้ได้เห็นช่วงหนึ่งของชีวิตเธอซึ่งมีชายหนุ่มสองคนรุมล้อม แต่ขณะเดียวกันเธอก็ยังมองมาที่เขาด้วยความห่วงใยไม่ว่างเว้น



Don`t copy text!