ละเล่นลานรัก บทที่ 40 : ชวนเล่นด้วยกัน

ละเล่นลานรัก บทที่ 40 : ชวนเล่นด้วยกัน

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

เกือบสองอาทิตย์ที่เขาจีบเธออย่างเป็นจริงเป็นจัง จนมีวันหนึ่งที่ไขศิลป์พาพ่อแม่ของเขาไปนั่งร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นด้วยกันกับครอบครัวของเธอ สร้างบรรยากาศความเป็นกันเองของเพื่อนบ้านที่อยู่ชิดติดกัน

‘ซ้อมไว้ก่อนนะครับพี่ปรี อีกไม่นานเราคงจะได้กินข้าวอย่างนี้แบบครอบครัวใหญ่’ วันนั้นเขาส่งข้อความถึงเธอ หลังจากกลับมาถึงบ้าน

‘ถ้าอยากให้มันเป็นจริงก็ทำให้ได้ตามที่บอกแล้วกัน’ เป็นข้อความตอบกลับจากเธอ

‘ผมทำได้จริง แต่ขึ้นอยู่กับพี่ปรีด้วย ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว’ เขาส่งข้อความไปอีก

ไขศิลป์เดินออกมายังลานหน้าบ้าน พลางนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา จนเท้าไปสะดุดหินก้อนหนึ่ง เมื่อได้ก้มมอง ภาพวันวานที่ได้หวนกลับมาพบหน้ากันก็เรียกรอยยิ้มขึ้นมาได้

เขาก้มตัวลงไปเก็บหินก้อนนั้นมาไว้ในมือ หากยังเดินเมียงมองบนพื้น หาหินอีกก้อนหนึ่งซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกัน

“ศิลป์ทำอะไรอยู่” ศศิเข้ามาคุยกับลูกชาย เมื่อยืนมองดูอยู่นาน

“ผมหาหินอยู่ แต่ไม่เป็นไร ไม่เจอก็ไม่เจอ”

“เก็บหินไปทำไมหรือลูก”

คำถามของมารดาทำให้เขาถามตัวเอง จนได้คำตอบซึ่งดีต่อใจเหลือเกินที่จะใช้เป็นข้ออ้างในการพบเธอ เพราะรู้ว่าวันนี้เธอไม่ได้ออกไปทำงาน

เมื่อได้ก้อนหินมาอยู่ในมือเรียบร้อย ไขศิลป์รีบเข้าไปในห้องนอนตัวเอง มุ่งไปยืนตรงหน้าต่าง เมียงมองคนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงแต่ยังไม่มีวี่แวว

เขาพยายามวนเวียนไปที่หน้าต่าง จนเห็นเธอเดินมาบริเวณด้านข้างของบ้านเข้าพอดี

“พี่ปรี” ไขศิลป์ตะโกนเรียกเธอพร้อมกับโยนของที่อยู่ในมือไปที่เธอ

ปรียานุชเงยหน้ามองไปทางเสียงเรียก หากยังหลบหลีกบางอย่างที่เขาโยนมาได้ทัน

“โยนอะไรมาให้พี่” เธอมองไปบนพื้นตรงที่ก้อนหินตกลงไป

“พี่ปรีเอาหินมาคืนให้ผมหน่อยสิ ผมจะรออยู่ข้างล่างนะ” เขาพูดจบก็รีบผละจากหน้าต่าง หุนหันออกจากห้องโดยพลันเพราะเชื่อว่าเธอต้องมาพบกันแน่นอน

ปรียานุชไม่เข้าใจการกระทำของเขา แต่ก็ก้มเก็บก้อนหินที่โยนมาให้กัน ก่อนจะเข้าบ้านไปบอกบิดามารดาว่าไปหาไขศิลป์

เมื่อเธอเข้ามาในบ้านของเขา ก็เห็นเขายืนยิ้มแฉ่งต้อนรับด้วยความสุขสมใจ

“นี่ก้อนหินที่อยากให้พี่นำมาให้”

เขาหยิบก้อนหินเอ่ยด้วยเสียงเว้าวอน “พี่ปรีสอนผมเล่นหมากเก็บหน่อยสิ”

เธอแสดงสีหน้าแบบไม่น่าเชื่อว่าจะได้ยินคำนั้นจากปากเขา “แน่ใจนะจะให้พี่สอน” ปรียานุชยังจำคำที่เขาเคยพูดไว้ในวันนั้นได้ทันที “มันก็แค่ก้อนหินธรรมดาจะสนุกอะไรมากมายไม่ใช่เหรอ”

“โธ่! ตอนนั้นที่ผมพูด ผมไม่รู้เลยว่าการละเล่นไทยจะสนุกสนานได้มากกว่าที่คิด” เขาบอกไปตามความจริงที่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง

นอกจากความสนุกที่ได้รับแล้ว เขาก็ได้อะไรหลายอย่างจากการเข้าร่วมเล่นการละเล่นไทย

“จะสอนให้ก็ได้ แต่ขอไปหาก้อนหินก่อน” เธอยิ้มให้กับคำของเขา

“ผมเตรียมไว้ให้แล้ว นี่ไง ก้อนหิน” เขานำหินอีกก้อนที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง วางลงบนฝ่ามือที่รับหินมาจากเธอ

“หินสองก้อนเนี่ยนะ รู้หรือเปล่า เล่นหมากเก็บต้องใช้หินกี่ก้อน” ปรียานุชถามกลั้วหัวเราะ

เขาจ้องมองก้อนหินด้วยความไม่เข้าใจพร้อมทั้งพูดเสียงอ่อน “ผมนึกว่าจะใช้หินแค่สองก้อนเหมือนเหรียญที่ใช้โยนเส้นก็เลยเก็บมาแค่นี้”

“ถ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นไรหรอก”

“เล่นหมากเก็บต้องใช้หินกี่ก้อน ผมจะได้ออกไปหามาเพิ่ม” เขาถามด้วยความใคร่รู้

“ใช้หินห้าก้อน ถ้าอยากให้สอนเล่น พี่ก็จะรอ” เธอลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ตัว “น้าศิไปไหนล่ะ ยังไม่เห็นหน้าเลย”

“เมื่อกี้แม่กลับเข้าบ้านมาแล้วนะ สงสัยคงออกไปหน้าปากซอย” เขาเองก็ไม่เห็นมารดาเช่นกัน

“รีบออกไปหาหินได้แล้ว ขอเป็นก้อนที่ขนาดไม่ต่างกันนะ ถ้าบ้านของศิลป์หาไม่ค่อยเจอก็ไปดูที่บ้านของพี่ได้” ปรียานุชบอกเขา

ก่อนที่ไขศิลป์จะก้าวขาออกไปหาหินเพื่อทำตามเจตนาของตนก็หันหน้ามาถามเธอ

“พี่ปรีจะไม่ช่วยผมไปหาหินจริงๆ เหรอ แค่หน้าบ้านนี่เอง”

เขาอยากอยู่ใกล้ชิดและเห็นหน้าเธอทุกเวลา

“ออกไปแค่นี้คงไม่หลงหรอก หรือกลัวเจอคนแปลกหน้า แต่ก็ไม่ค่อยกลัวแล้วไม่ใช่เหรอ พี่จะต้องไปด้วยกันทำไมล่ะ” เธอเอ่ยอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว หากพอนึกถึงบางเรื่องราวขึ้นมาได้ก็ลุกขึ้นยืน “พี่ไปช่วยหาก็ได้ แต่มีข้อแม้ ถ้าพี่เล่นชนะ พี่มีสิทธิ์ตั้งคำถามกับศิลป์ได้ทุกเรื่อง และศิลป์ก็ต้องตอบตามความจริง”

ไขศิลป์ไม่ได้คัดค้านใดๆ ปล่อยให้เธอเดินนำหน้าออกไปที่ลานหน้าบ้าน เขาอยากจะฟังคำถามของเธอเสียเหลือเกิน เพราะคนที่เล่นเป็นกับคนที่ไม่เคยเล่นมาก่อนเลย ใครจะเล่นชนะ คงรู้ผลตั้งแต่ยังไม่ได้ลองเล่นเลยด้วยซ้ำ

เมื่อได้ก้อนหินครบตามจำนวนที่ต้องการ เธอมองหาพื้นที่ว่างในบ้าน แล้วบอกให้เขานั่งลงบนพื้น จากนั้นก็สอนวิธีการเล่นหมากเก็บโดยทำให้เขาดูเป็นตัวอย่างประกอบคำพูด

“พี่แนะนำท่าง่ายๆ ดีกว่า จะได้เล่นเป็นเร็วขึ้น เริ่มจากท่าที่หนึ่งเรียกว่า…หมากหนึ่ง”

ปรียานุชกำก้อนหินสี่ก้อนไว้ในมือ ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้จับหินอีกหนึ่งก้อน แล้วโยนขึ้นไป พร้อมกับหว่านก้อนหินสี่ก้อนที่ถูกกำไว้ลงบนพื้น จากนั้นก็นำมือมารับก้อนหินที่กำลังตกลงมาอย่างเหมาะเจาะ

“ก้อนหินที่ใช้โยนขึ้นไปด้านบนจะเรียกว่า…หมากโยน” เธอเงยหน้ามาอธิบาย

“ต้องเลือกหินก้อนไหนในห้าก้อนล่ะครับ” เขาถามพลางมองหน้าเธอ แล้วค่อยมองหินสี่ก้อนบนพื้นที่อยู่ห่างกันพอประมาณ

“ศิลป์ชอบก้อนไหนก็ใช้ก้อนนั้นเป็นหมากโยน หรือคิดว่าใช้ก้อนไหนจะชนะพี่ได้ก็เลือกก้อนนั้น” เธอบอก หากสายตาจ้องไปที่ก้อนหินบนพื้น “นี่เป็นหมากหนึ่ง ดังนั้นเราจะเก็บหินทีละก้อน”

พอเธอพูดจบก็แสดงให้เขาได้เห็น ปรียานุชโยนหมากโยนขึ้นไป พร้อมกับใช้มือรีบคว้าหินหนึ่งก้อนบนพื้นมาไว้ในมือ แล้วรีบไปรับหมากโยนที่ตกลงมา

เธอโยนหินแล้วเก็บหินทีละก้อนจนครบสี่ก้อน

“ยากไหม ของง่ายๆ แค่นี้เอง” เธอยิ้มให้กับเขา “แต่หมากหนึ่งอาจจะง่ายไปสำหรับศิลป์ก็ได้ หมากเก็บยังไม่หมดแค่นั้น ยังต้องมีหมากสอง หมากสาม หมากสี่อีก ก็โยนหินแล้วเก็บก้อนหินให้เท่าตามจำนวนชื่อหมากเลยนะ”

จากนั้นเธอสาธิตให้เขานั่งดูต่อไป

เขามองเธอโยนหมากโยนขึ้นไปด้านบน พร้อมหว่านหินที่เหลือในมือ หนนี้แต่ละก้อนไม่ค่อยห่างกันมากนัก เธอรับหินที่โยนขึ้นไปก็โยนขึ้นไปอีก พร้อมกับใช้มือเก็บหินขึ้นมาทีเดียวสองก้อน แล้วจึงไปรับหินที่ตกลงมาได้ทันเวลาพอดี แล้วก็โยนหมากโยนขึ้นอีก จากนั้นเธอก็รีบเก็บหินสองก้อนที่เหลือโดยไว เพื่อนำมือไปรับหินให้ได้ทันท่วงที นี่คงเป็นหมากสอง

พอถึงหมากสาม เธอโยนหมากโยนพร้อมหว่านหินลงพื้น รับหินที่โยนไปได้แล้ว จึงโยนขึ้นไปใหม่ จากนั้นก็ใช้มือรวบหินบนพื้นให้ได้สามก้อน แล้วค่อยไปรับหินที่ตกลงมา ดังนั้นจะต้องเหลือหินหนึ่งก้อนบนพื้น เธอก็โยนหินแล้วรีบเก็บอีกหนึ่งก้อนไว้ในมือ ก่อนจะไปรับหินที่ตกลงมา

จากนั้นเธอก็โยนหมากโยนพร้อมกับหว่านหินในมือ ครั้งนี้หินกระจุกตัวอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน พอเธอรับหินมาได้ก็โยนขึ้นไปอีก แล้วใช้มือเก็บหินทั้งสี่ก้อนในครั้งเดียว ก่อนจะรีบไปรับหินที่ตกลงมา

เขาเห็นถึงความช่ำชองของเธอสำหรับการเล่นหมากเก็บ พอนึกถึงเวลาที่ตัวเองเล่น จะรอดไปถึงหมากสามได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย

“นี่แหละหมากเก็บที่พี่จะสอนศิลป์ พอทำได้ใช่ไหม ลองเล่นดูก่อนก็ได้ ค่อยมาแข่งกับพี่” เธอยื่นหินทั้งห้าก้อนให้กับเขา

ไขศิลป์รับก้อนหินมาได้ก็ไม่รอช้าที่จะฝึกปรือฝีมือ แต่เพียงแค่โยนหมากโยนพร้อมกับหวานหินลงพื้น เขาก็เกือบจะนำมือมารับหินไว้ได้ไม่ทัน โยนหิน เก็บก้อนหินทีละก้อน แล้วไปรับหิน ก็ยังถือว่าง่ายสำหรับเขา แต่พอต้องเก็บหินทีละสองก้อนซึ่งอยู่ห่างกับเกือบหนึ่งฝ่ามือ เขามองแล้วทำใจลำบาก

“ถ้าหินมันอยู่ไกลกันมาก ต้องโยนหมากโยนให้สูงขึ้นไปอีก จะได้เก็บหินแล้วมารับหินได้ทัน แต่การโยนขึ้นไปสูงมากเท่าไหร่ ก็กะจังหวะที่จะต้องมารับยากขึ้นไปอีก” เธอบอกเขา

ไขศิลป์โยนหินให้ขึ้นไปสูงกว่าเดิม รีบใช้มือรวบหินสองก้อนแล้วก็ไปรับหินได้ทัน เขาดีใจที่ทำสำเร็จ พอลองหมากสาม หมากสี่ ก็ทำได้ผ่านฉลุย

“ถือว่ามีฝีมือพอตัวกับการเล่นครั้งแรก อย่างนี้ถือว่าจะได้เล่นกันสนุก” เธอชมเชยเขาเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เขาหลงระเริงมากไปว่าเป็นคนมีฝีมือดี เพราะบางครั้งคนเราถ้ามั่นใจในตัวเองจนมากเกินก็ไม่ได้ส่งผลดีเสมอไป

“จะรู้ได้ยังไงว่าใครแพ้ใครชนะล่ะครับ” เขาถามเธอ

“พอเล่นจนถึงหมากสี่ ต้องทำแบบนี้”

ปรียานุชรับก้อนหินมาจากเขา จากนั้นก็แบมือให้เห็นหินทั้งห้าก้อนบนฝ่ามือ แล้วโยนหินทั้งหมดขึ้นไป รีบพลิกฝ่ามือให้หินตกลงมาบนหลังมือ จากนั้นก็โยนหินจากหลังมือขึ้นไปอีก แล้วรีบพลิกมือ ใช้ฝ่ามือรับหิน ก่อนที่ก้อนหินจะตกลงพื้น

“เห็นแล้วพอทำได้ไหมล่ะ แต่ละรอบ ใครรับหินได้มากกว่ากันก็จะเป็นผู้ชนะ ถ้ารับหินได้เท่ากันก็เล่นต่ออีกรอบ จนกว่าจะได้ผู้ชนะ จึงจะถามคำถามได้” เธอปรับเปลี่ยนการเล่นหมากเก็บให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันซึ่งเธออยากรู้ใจจริงของเขาที่ออกมาจากปากเขาตอนอยู่ซึ่งๆ หน้า

ไขศิลป์ขอลองทำบ้าง แต่เขาก็ไม่เคยรับหินได้ครบห้าก้อนเหมือนเธอเลยสักครั้งเดียว เพราะในช่วงที่หินตกลงมาบนหลังมือ จะมีก้อนหินกลิ้งตกลงไปบนพื้นหนึ่งก้อนหรือสองก้อนแทบทุกครั้งที่ทำ

“เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า ท่าที่โยนหินห้าก้อนจากฝ่ามือไปบนหลังมือ โยนขึ้นอีก แล้วค่อยรับมาไว้ในมือ เป็นท่าที่ใช้กำหนดได้ว่าใครจะเริ่มเล่นก่อน ใครรับหินได้จำนวนมากกว่าจะเป็นผู้เล่นก่อน”

อย่างที่คิดไว้ เธอรับหินได้ห้าก้อน ส่วนเขารับหินไว้ในมือเพียงสามก้อน ดังนั้นเธอเป็นฝ่ายเริ่มเล่นก่อนเขา

ปรียานุชเอ่ยขึ้นก่อนจะโยนหมากโยน “แต่การแพ้ ไม่ใช่แค่จำนวนหินที่รับได้เท่านั้น หากระหว่างที่เล่นแต่ละหมาก ในการเก็บหินทุกครั้ง ถ้ารับหมากโยนไม่ได้ หรือเก็บหินตามจำนวนที่กำหนดไว้ไม่ได้ หรือขณะเก็บหินแล้วหินกระเด็นหลุดออกจากมือ หรือตอนเก็บหิน แล้วมือไปโดนหินก้อนอื่นที่อยู่ใกล้กัน ทุกอย่างที่พี่บอกก็คือการตายระหว่างเล่น เข้าใจไหม”

เขาพอจะเข้าใจจึงทำได้แค่พยักหน้ารับรู้ โดยไร้คำพูดคำจา

“ถ้าใครตายก่อนก็ถือว่าแพ้เหมือนกัน” เธอเอ่ยขึ้นอีก

“ผมอยากอยู่กับพี่ปรีไปนานๆ ไม่ขอตายก่อนได้ไหม” เขายิ้มให้เธอ

คำพูดนั้นไม่ได้หมายถึงการเล่นหมากเก็บ แต่หมายถึงทั้งชีวิตของเขา

เธอแก้ความเขินอายกับคำหยอดให้ใจสั่นไหวจากปากเขาด้วยการทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “ตอนเล่นหมากเก็บ ก็อย่าเผลอทำตามที่พี่พูดให้ฟังแล้วกัน จะได้ไม่ต้องตายก่อน”



Don`t copy text!