ละเล่นลานรัก บทที่ 42 : หอมปากหอมคอ
โดย : กุลวีร์
ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก
ในที่สุดฐานะน้องชายข้างบ้านที่เธอให้กับเขาตั้งแต่แรกเริ่มนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นคนรักเรียบร้อยสมประดี เวลานับจากนี้คงเป็นตัวช่วยพิสูจน์หัวใจระหว่างกันเพื่อกลายเป็นคู่สามีภรรยาในวันข้างหน้า
เมื่อเขาบอกเธอว่าเพื่อนชายคนสนิทนั้นล่วงรู้แล้วว่าเธอกับเขากำลังอยู่ในช่วงที่พัฒนาความสัมพันธ์ ปรียานุชจึงไม่รอช้าที่จะให้เพื่อนสาวได้รับรู้เช่นกัน
เธอหาโอกาสบอกกล่าวกับธารทิพย์ แต่ธารทิพย์ก็ไม่แสดงท่าทีแปลกใจออกมาสักนิดเดียว
‘ฉันคิดไว้แล้วเชียว ปรีจะต้องมีใจให้น้องศิลป์ ฉันพอจะรู้เป็นเลาๆ แล้วว่าเธอเลือกใคร ฉันนะอุตส่าห์เชียร์พี่ฉัตรที่แสนดีของฉัน แต่เธอก็ไม่เอา’
‘หัวใจคนเรามันบังคับกันไม่ได้หรอกนะ รู้ตัวอีกที ฉันก็รู้ว่ามีศิลป์อยู่ในหัวใจ จะให้ฉันรับใครเข้ามาเพิ่มได้อีกล่ะ’
‘ความรักมันคงเกิดขึ้นมาไม่รู้ตัวหรอกนะปรี รู้ตัวอีกทีเราก็รักเขาเข้าเต็มเป้า ฉันว่าความรักของปรีครั้งนี้คงไปได้สวย มันเป็นความรักที่ไม่ได้เริ่มต้นจากความชอบหรือความเสน่หา แต่มันเริ่มมาจากความห่วงใยที่ปรีมีให้น้องศิลป์ ความรักแบบนี้ไม่ได้เกิดกับใครง่ายๆ นะ’
เธอรู้ซึ้งดีกับคำกล่าวของเพื่อน และเห็นด้วยกับความรักที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
‘ฉันคบกับศิลป์เป็นแฟนกันแล้ว ธารจะฟินได้มากพอหรือเปล่าล่ะ’
‘ถึงไม่มีศิลป์กับนินให้ฉันมองแล้วฟินสุดๆ ฉันก็ยังมีอีกหลายคู่ในซีรีส์ ฉันดีใจเสียอีกที่ปรีมีรักครั้งใหม่ได้เสียที แถมยังเป็นคนบ้านชิดติดกันแบบนี้ ฉันยินดีด้วยจริงๆ อีกอย่างถึงน้องศิลป์จะมีแฟน ฉันยังฟินจิกหมอนได้ในแบบฉัน’
บัดนี้ก็เป็นไปตามคำพูดของธารทิพย์ที่เคยเอ่ยไว้จริงๆ ปรียานุชนั่งมองเพื่อนสาวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับภาพที่เห็น เมื่อฐานินโอบไหล่ไขศิลป์เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกัน
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่เธอนัดหมายให้ผู้คนมาร่วมกิจกรรมการละเล่นไทยในที่แห่งเดิม
ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าซึ่งเป็นคนที่เคยเล่นด้วยกันมาก่อนทั้งนั้น แต่วันนี้พิเศษกว่าทุกวันคือมีบิดามารดาของเธอที่มักจะออกไปทำธุระตรงกับวันที่จัดกิจกรรมก็นั่งรวมกลุ่มพูดคุยกับผู้คนอีกด้วย
หากมีหนึ่งคนที่เธอคิดว่าคงไม่เจอหน้ากันคือเอกลักษณ์ที่วันนี้ก็มาพบกับเธอ
‘เรายินดีด้วยนะ ปรีคงพบคนที่ใช่สำหรับปรีเสียที วันนี้เรามาในฐานะเพื่อนของปรี ไม่ได้คิดหวังเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว’
เอกลักษณ์เข้ามาพูดกับเธอ ก่อนจะไปนั่งรวมกลุ่มกับพวกผู้ใหญ่ ขณะที่บอกกล่าวกับเธอนั้นก็มีทั้งไขศิลป์กับธารทิพย์ยืนขนาบข้างเธอไว้ราวกับเป็นบอดี้การ์ดเพื่อป้องกันไม่ให้เอกลักษณ์ทำไม่ดีกับตัวเธอ
ปรียานุชยินดีอย่างยิ่งที่เอกลักษณ์สามารถตัดใจจากเธอได้ และยังทำใจเป็นเพื่อนกันได้จริงๆ
สำหรับคนบางคนก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเพียงคนรักกันเสมอไป ยังมีความเป็นเพื่อนหรือมิตรภาพดีๆ ที่จะมอบให้แก่กันซึ่งมีความงดงามในความสัมพันธ์ดีกว่าการเป็นได้แค่คนที่เคยรู้จักกันมาก่อน
หลังจากทุกคนมารวมตัวกันในลานกว้าง ปรียานุชเริ่มชี้แจงวิธีการเล่นของการละเล่นไทยที่เรียกขานกันว่า…โพงพาง
ผู้เล่นทั้งหมดยืนจับมือกันเป็นวงกลม ยกเว้นฐานินที่ขอเป็นเสือปลาหรือคนที่มีผ้าผูกปิดตาทั้งสองข้างไว้ซึ่งต้องออกไปยืนอยู่กลางวง
ฐานินยืนหมุนรอบตัวเองสามรอบเรียบร้อยแล้ว ผู้เล่นที่จับมือกันเป็นวงกลมก็จะช่วยกันร้องเพลงตามบทร้องประกอบการเล่น
โพงพางเอย นกกระยางเข้ารอบ เสือปลาตาบอด เข้ารอบโพงพาง
ขณะที่ทุกคนเอ่ยปากขับขาน ขาสองข้างก็ก้าวเดินหมุนไปในทางเดียวกัน
เมื่อร้องเพลงจบลง ผู้ที่จับมือกันไว้ต้องหยุดเดินพร้อมทั้งปล่อยมือออกจากกัน บางคนเลือกที่จะยืน บางคนเลือกที่จะนั่งยอง
ทุกคนช่วยกันถามเสือปลาว่าปลาเป็นหรือปลาตาย
ฐานินเลือกตอบออกไปว่าปลาตาย และเดินไปทางเสียงที่จำได้ขึ้นใจ
แม้จะถูกปิดตาไว้ แต่ฐานินก็คลำไปเจอผู้เล่นคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่กับที่ ก่อนที่ฐานินจะทายชื่อของคนผู้นั้นก็ขอสัมผัสแขน ไล่มือไปด้านบนจนถึงใบหน้าและเส้นผม
คนที่ถูกเสือปลาแตะต้องตัวได้ก็ห้ามขยับเขยื้อนหรือยืนขยุกขยิกอยู่ไม่นิ่ง
ฐานินรู้แน่ชัดแล้วว่าคือผู้ใด แต่อยากจะหยอกเอิญ โดยทำเป็นอ้อมแขนไปด้านหลังให้เหมือนโอบกอดกัน หากผู้ที่มองเห็นเหตุการณ์มาตลอดโดยเฉพาะธารทิพย์ก็เกิดความฟินสมใจ เมื่อภาพชายหนุ่มสองคนกอดกันกลมอยู่ประมาณเกือบหนึ่งนาที หากพวกเด็กๆ ยังส่งเสียงขบขันออกมา เมื่อเห็นผู้ที่ถูกปิดตาทำตัวพิเรนทร์กับคนที่ยืนนิ่งเฉย
“ศิลป์ใช่ไหม” ฐานินทายชื่อคนที่ตั้งใจจะคลำให้เจอ พอแกะผ้าที่ปิดตาออกก็เป็นไขศิลป์มีสีหน้าบอกบุญไม่รับยืนอยู่ตรงหน้า
“แกรู้ว่าเป็นฉันตั้งแต่แรก อย่าทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย”
“โดนจับได้เสียแล้ว”
ทุกคนหัวเราะให้กับท่าทีของชายหนุ่มสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน
ฐานินยังพูดต่อ “ฉันทายถูกว่าเป็นแก แกต้องมาเป็นเสือปลาแทนฉัน”
ไขศิลป์เดินไปยืนกลางวง ฐานินเดินตามหลังไปเพื่อที่จะผูกผ้าปิดตาให้กัน
เมื่อฐานินกลับมายืนจับมือล้อมวงเหมือนผู้เล่นคนอื่น การเล่นโพงพางก็เริ่มต้นขึ้นอีกรอบ
ไขศิลป์ยืนหมุนตัวสามรอบ คนที่ยืนจับมือกันก็ขับขานบทร้องพร้อมทั้งก้าวขาเดินตามกันไป
เขาพยายามฟังเสียงของหญิงสาวคนเดียวที่อยู่ในใจซึ่งยังเป็นต้นเสียงที่นำร้องเพลงให้ทุกคนร้องตาม
“ปลาเป็นหรือปลาตาย” ทุกคนประสานเสียงถามเสือปลาอย่างเขา
ไขศิลป์ลองเลือกตอบต่างจากเพื่อน “ปลาเป็น”
เขาพูดจบก็เริ่มก้าวขาไปตามทิศทางที่เสียงถามของเธอดังขึ้น ถึงแม้คำตอบว่าปลาเป็นจะทำให้ผู้เล่นอื่นนั้นมีสิทธิ์จะขยับได้ แต่เขาก็ใช้มือควานหาจนพบเธอ แม้จะมีผ้าปิดตาอยู่ก็ตาม
“พี่ปรี” เขาทายชื่อคนที่มือสัมผัสได้เพียงท่อนแขนของอีกฝ่าย
ไขศิลป์ใช้มือแกะผ้าปิดตาด้วยตัวเอง ส่งยิ้มให้เมื่อรู้ว่าทายได้ถูกต้อง
“รู้ได้ไงว่าเป็นพี่”เธอถามขึ้นทันที
“ต่อให้ผมถูกปิดตา ผมก็ยังเห็นพี่ปรีชัดเจนเสมอ”
เป็นคำตอบที่เรียกความหวาบหวามในอกขึ้นมาได้ฉับพลัน และยังทำให้ผู้อื่นที่ได้ยินมีรอยยิ้มไปตามๆ กัน
“ระวังจะเหยียบมดกันนะทุกคน เพราะแถวนี้มีคนทำตัวหวานอย่างออกนอกหน้าเกินไป” ฐานินตะโกนบอก
เสียงขบขันของผู้คนก็เกิดขึ้นให้กับคำหยอกเย้าของเพื่อนที่มีให้กัน
“พี่เป็นเสือปลาต่อจากศิลป์” เธอแก้อาการเขินอายโดยการเริ่มเล่นโพงพางอีกครั้ง
“ผมขอผูกผ้าปิดตาให้พี่ปรีก็แล้วกัน” ไขศิลป์ทำตามอย่างปากว่าทันทีโดยไม่มีผู้ใดขัดข้อง
“ไม่ต้องปิดตาหรอก แค่นี้คงมองไม่เห็นอะไรแล้วเพราะความรักมักจะทำให้คนตาบอดจริงไหม” ธารทิพย์เอ่ยขึ้นบ้าง ก็เรียกรอยยิ้มให้กับทุกคนที่ได้ยินโดยเฉพาะเขากับเธอ
หลายคนที่เพิ่งจะรู้ความสัมพันธ์ของเธอกับเขา ต่างก็ส่งสายตาแสดงความยินดีมาให้คนทั้งสอง
หลังจากปรียานุชตอบว่าปลาตายก็เริ่มออกเดิน คลำหาผู้เล่นคนอื่น จนเจอเด็กชายผู้หนึ่ง เธอยังสัมผัสเนื้อตัวและลักษณะเสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันนี้ จนพอจะคาดเดาได้ว่าเป็นใคร
“กีตาร์ใช่ไหมจ๊ะ”
“ใช่คาฟ น้าปรีเก่งจังเลยครับ” กีตาร์ตอบเธอทันที
ทุกคนพร้อมใจกันตบมือให้กับเธอที่ทายได้ถูกต้อง
ปรียานุชยิ้มให้เด็กชาย หลังจากไขศิลป์รีบมาแกะผ้าปิดตาให้
“กีตาร์ต้องถูกปิดตาเหมือนน้านะจ๊ะ แล้วลองทายชื่อคนที่คลำหาเจอ จำชื่อทุกคนได้ใช่ไหม” เธอย้ำกับเด็กชาย
“ได้คาฟ กีตาร์จำได้หมดทุกคนเลย”
“เก่งมากจ้ะ น้าจะผูกตาให้นะ”
เธอรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจกับท่าทีของเด็กชายผู้นี้ที่เริ่มอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อื่นได้ดี ไม่มีความเคอะเขิน ไม่หลบสายตาใคร กล้าสู้หน้าคนอื่น และที่สำคัญกล้าพูดกล้าคุยกันมากขึ้น
ความเบิกบานสดใสแสดงออกมาทางสีหน้าและท่าทางของพวกเด็กๆ รอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุขสมภิรมย์ใจ หลังจากเข้ารับการบำบัดโดยใช้กิจกรรม คือพลังอย่างหนึ่งที่ส่งผลให้เธอประกอบอาชีพเป็นนักกิจกรรมบำบัดต่อไปอย่างมีความสุขและมุ่งหวังด้วยความปรารถนาดีที่มีให้เด็กทุกคนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในหนทางซึ่งมีชีวิตดีขึ้นจากเดิม
กีตาร์เป็นเสือปลาอย่างคนที่เข้าใจวิธีการเล่น หลังจากตอบว่าปลาตายก็ค่อยๆ ก้าวขาไปหาผู้เล่นคนอื่นอย่างระแวดระวัง
โสมส่องเดินไปคว้าแขนหลานชายให้เดินไปคลำคนผู้หนึ่งซึ่งยืนนิ่งเฉย และคอยจับตาดูอยู่ด้านหลังเพื่อเอาใจช่วยหลานให้ทายชื่อคนผู้นั้นได้ถูกต้องพร้อมกับทำมือให้คนที่ถูกคลำนั่งยองเพื่อให้กีตาร์มีโอกาสสัมผัสส่วนอื่นได้ง่าย
“พ่อเก่ง” กีตาร์เอ่ยชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“อย่าเพิ่งแกะผ้านะจ๊ะ ยายจะพากีตาร์ไปหาอีกคนหนึ่ง ทายให้ถูกนะ” โสมส่องจูงแขนหลานชายให้ก้าวขาตามกันไป
พอเดินได้หลายก้าวเพื่อสร้างความสับสน โสมส่องก็พาหลานชายมาหยุดยืนตรงหน้าคนที่อยู่เคียงข้างเก่งกาจ กีตาร์ใช้มือลูบคลำได้ไม่นานก็ทายชื่อคนผู้นั้นออกมาโดยไม่ลังเล
“แม่สิตางค์”
ทุกคนปรบมือให้กีตาร์ที่คาดเดาได้แม่นยำ โสมส่องยังพาหลานชายไปยืนอยู่กลางวงทั้งที่มีผ้าปิดตา กีตาร์เดินสะเปะสะปะจนไปเจอเด็กผู้หญิง หากหยุดคิดตัดสินใจสักพักหนึ่ง
“พี่ดรีม”
เสียงร้องไชโยของกีตาร์ดังขึ้น หลังจากแกะผ้าผูกตาด้วยตัวเอง เมื่อทายชื่อคนตรงหน้าได้ถูกต้อง
ดาราพรถูกผ้าปิดตา หลังจากตอบว่าปลาตายก็เดินคลำหาผู้คน จนไปเจอเด็กผู้ชายคนหนึ่ง คนที่ถูกคลำพยายามอยู่นิ่ง ยกมือสองข้างปิดปากไม่ให้เสียงขบขันเล็ดลอดออกมา แต่พอดาราพรเผลอใช้มือลูบคลำมาจนถึงสะเอวของเด็กชายผู้นั้นซึ่งอดกลั้นเสียงหัวเราะมานานก็ระเบิดเสียงขบขันออกมา เรียกความครื้นเครงให้ทุกคนที่เห็นได้เป็นอย่างดี
ดาราพรรู้ได้ทันทีว่าคือผู้ใด จึงตอบออกมาด้วยความมาดมั่น “น้องแทน”
เมื่อคนมีอายุน้อยที่สุดได้เป็นเสือปลา ทุกคนต่างก็เอาใจช่วยให้การเล่นโพงพางผ่านไปได้ด้วยความสำเร็จและยินดีที่แทนไทยทายชื่อคนที่สัมผัสตัวได้ถูกต้อง
แทนไทยเลือกตอบว่าปลาตาย เพราะเคยได้ยินใครหลายคนตอบเช่นนั้น หากพอได้เวลาเดินเข้าไปหาคนที่ยืนล้อมวง ธารทิพย์ก็คอยส่งเสียงบอกให้ลูกชายเดินไปข้างหน้าบ้าง หรือทางที่ใช้มือขวาตักข้าวใส่ปาก หรือทางที่ใช้มือซ้ายล้างก้น แทนไทยก็ก้าวขาไปตามทิศทางที่ผู้เป็นมารดาบอกได้ไม่มีผิดพลาด
ปรียานุชหยุดยืนอยู่ไม่ไกลจากทิศทางที่แทนไทยกำลังมุ่งหน้าไปจนได้สัมผัสขาของเธอ
“แทนรู้ไหมว่าเป็นใคร ตอบออกมาเลยลูก” ธารทิพย์บอกบุตรชาย
“คนที่สวยที่สุดในที่นี่” ไขศิลป์ตะโกนบอกออกมา เรียกเสียงฮือฮาของผู้คนได้ดีทีเดียว
“คนที่เป็นนางฟ้าของเด็กๆ” ฐานินบอกใบ้ให้เด็กเข้าใจง่าย
“ก็แม่ของแทน แต่นั่นไม่ใช่แม่นะ” ธารทิพย์เอ่ยรับคำเหล่านั้น
ระหว่างที่พวกผู้ใหญ่ช่วยกันเต็มที่เพื่อให้รู้ว่าเป็นเธอ แทนไทยก็ยังคลำตามขา จนจับมือของเธอให้มาใกล้จมูก
“คว้ามือสาวไม่ได้เลยนะ ต้องรีบดมทันที” ธารทิพย์เอ่ยแซวลูกชาย
“สงสัยจะได้เชื้อพ่อไปเต็มๆ” ชาญชัยเอ่ยเสียงเบา หากเรียกเสียงหัวเราะของคนที่ได้ยิน
“ทายชื่อได้แล้ว ดมมากเดี๋ยวมือจะช้ำหมด” ไขศิลป์เอ่ยกับตัวเอง แต่ยังเข้าหูเพื่อนชายซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ
“น้องแทนยังเด็กอยู่เลยนะ อย่าทำเป็นหวงกับเด็กหน่อยเลย อิจฉาละสิ ที่แกทำอย่างนั้นไม่ได้” ฐานินกระซิบบอกข้างๆ หูเขา
“แกหุบปากไปเลย อย่ามาทำเป็นรู้ดี” ไขศิลป์ค้อนให้เพื่อนชายหนึ่งที
ภาพชายหนุ่มสองคนหยอกเอิญกันก็เรียกความสนใจของธารทิพย์ให้ละสายตาจากลูกชายชั่วขณะหนึ่ง รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงตอบจากลูกชาย
“น้าปรีใช่ไหมคาฟ”
เสียงผู้คนเฮลั่นพร้อมทั้งตบมือด้วยความดีใจที่แทนไทยทายชื่อคนที่ได้สัมผัสนั้นถูกต้อง โดยไม่ต้องมีใครบอก
เหตุผลที่เธอนำโพงพางมาให้ทุกคนได้เล่นกัน เนื่องด้วยคาดว่าเมื่อได้เจอหน้ากันบ่อยครั้ง ทุกคนไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่คงจะจดจำชื่อเสียงเรียงนามกันได้ และน่าจะจำลักษณะภายนอกของแต่ละคนได้เช่นกัน เธอจึงใช้การละเล่นนี้เพื่อลองดูว่าจะรู้จักกันมากน้อยแค่ไหน
เมื่อเล่นโพงพางกันเสร็จสิ้น ปรียานุชขอให้ทุกคนแนะนำตัวเองก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน เพื่อให้ได้ทำความรู้จักกันอีกสักครั้ง และยังสามารถนำไปใช้ในการละเล่นไทยอย่างอื่นได้อีกด้วย
เมื่อการแนะนำตัวดำเนินมาจนถึงเพื่อนสาวของเธอ
“ธารนะคะ เด็กๆ เรียกน้าธารก็ได้ค่ะ อย่าเรียกป้าเลย เป็นแม่ของน้องแทน”
ส่วนฐานินซึ่งชิงพูดก่อนเขา “นินครับ เด็กๆ เรียกพี่นิน เหมือนที่เรียกกันอยู่แล้วก็ได้ เป็นเพื่อนของลูกชายเจ้าของบ้านนี้ ฝากตัวด้วยนะครับ”
ไขศิลป์ซึ่งถูกเพื่อนชายมองมาให้แนะนำตัวต่อก็เอ่ยขึ้น “ศิลป์ครับ”
“พูดน้อยจังเลย” ฐานินแทรกขึ้นมา
“จะให้พูดอะไรอีกก็รู้กันอยู่แล้ว” เขาบอกอย่างหน้าตาเฉย
“ฉันพูดต่อให้ก็ได้ ไม่ต้องปิดแล้ว ถ้าจะจีบกันออกนอกหน้าขนาดนั้น ก็บอกให้ทุกคนรู้กันไปเลย” ฐานินเอ่ยกับเขาจบก็หันหน้าไปบอกทุกคนด้วยเสียงดังฟังชัด “ศิลป์เป็นแฟนของพี่ปรีด้วยครับ”
ปรียานุชยืนหน้าแดงโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นก็ถึงคราวเด็กๆ ซึ่งแนะนำตัวเองได้เป็นอย่างดี กล้าแสดงออก ไม่มีอาการเคอะเขิน ยามอยู่ต่อหน้าผู้คน เมื่อกิจกรรมในวันนี้จบลง ต่างคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
โสมส่องเดินมาพูดกับเธอ “น้าดีใจจริงๆ นะที่หนูปรีกับศิลป์คิดจะลงเอยกัน ขอให้รักกันนานๆ ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร มีลูกมีหลานสืบสกุลต่อไปในเร็ววัน”
“แม่ นั่นคำอวยพรที่ใช้พูดในงานแต่งไม่ใช่เหรอ มาพูดอะไรตอนนี้ สองคนเพิ่งจะเป็นแฟนกันเองนะ” สิตางค์ได้ยินก็รีบบอกมารดา
“บอกกันล่วงหน้าอย่างนี้แหละ แม่ไม่ถือหรอก ดูโหงวเฮ้งแล้ว ยังไงสองบ้านนี้ก็ต้องเป็นทองแผ่นเดียวกัน” โสมส่องหันหน้ามาพูดกับลูกสาว
“อย่าถือสาแม่พี่เลยนะ ถ้ารักกันจริง ก็เชื่อมั่นกันและกันไว้ มีอะไรก็หันหน้ามาพูดกัน ไม่เข้าใจกัน ก็รีบเคลียร์ ดูแลกันและกันเรื่อยไปอย่างนี้แหละดีแล้ว” สิตางค์บอกเธอกับเขาอย่างคนที่ผ่านการมีคู่ครองมาก่อน
“มาบอกแม่ให้เก็บไว้พูดวันแต่ง ทีแกก็ไม่ต่างกันหรอก” โสมส่องค้อนให้ลูกสาว แล้วพูดกับเธอ “น้ากลับก่อนนะ คงมาดูเด็กๆ เล่นกันอีก สนุกดีเหมือนกัน”
เธอกับเขาได้แต่ส่งยิ้มให้ผู้คนที่เดินผละออกไป โดยไร้ถ้อยคำวาจาที่จะเอ่ยต่อกัน
เอกลักษณ์ก็เดินเข้ามาพูดกับเธอ “เราดีใจด้วยนะที่ปรีได้พบคนที่ใช่เสียที เรารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าปรีไม่ได้รอเราหรอก ปรีอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ว่าสายตาของปรีมองแต่ศิลป์ เรารู้มาตลอด แต่เราก็แค่ลองดู ทั้งที่ไม่มีทางจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก แต่งงานกันเมื่อไหร่ อย่าลืมบอกเพื่อนอย่างเราด้วยนะ”
“เราขอบคุณมากนะเอก” เธอบอกได้เพียงแค่นั้นก็ต้องหันมองหน้าเขาที่ยืนแนบชิดกันราวกับกลัวเอกลักษณ์จะมาแทรกกลางระหว่างเขากับเธอ
เอกลักษณ์ขบขันให้กับท่าทีของคนหวงแฟน ก่อนเดินห่างออกไป
“เป็นอะไร ที่กว้างขนาดนี้ไม่ต้องยืนเบียดกันก็ได้” เธอถามเขา
“อยากให้คนอื่นได้รู้ว่าเราสองคนจะอยู่เคียงข้างกันแบบนี้ตลอดไป” เขายิ้มให้เธอ
“จำคำที่พูดออกมาให้ได้หมดทุกคำก็แล้วกัน ไม่ใช่แค่คิดจะหยอดคำหวานเพื่อให้หลงกันง่ายๆ แค่ช่วงเริ่มต้นก็พอ”
“พี่ปรีจะให้ผมลองทวนคำพูดที่เคยบอกไปไหมครับ ผมจำได้หมดทุกคำเลย แต่กว่าจะบอกหมด คงไม่ได้กินข้าวเย็นกันพอดี”
“เก็บไว้เตือนตัวเองก็พอ เพราะพี่ยังจำทุกคำที่เคยได้ยินเสมอ จะรอดูต่อไปก็แล้วกัน”
ก่อนที่ทั้งสองจะเดินเข้าไปในบ้านของเขา เปรมยุดากับพิรามก็จูงมือลูกสาวเดินเข้ามาหาเธอ พร้อมด้วยฉัตรพงษ์เดินตามอยู่ด้านหลัง
“น้าปรีกับน้าศิลป์ น้องดรีมกลับบ้านก่อนนะคะ” ดาราพรยกมือไหว้คนทั้งสอง
“ไว้มาเล่นด้วยกันอีกนะ น้องดรีม” เขาพูดขึ้นมา
“พี่ยินดีมากเลยนะที่ได้รู้ว่าสองคนกำลังคบกันอยู่” เปรมยุดาพูดกับเธอ จากนั้นก็หันหน้ามาบอกเขา “พี่ไม่คิดเลยว่าจะมีน้องเขยเป็นน้องที่อยู่ข้างบ้าน เห็นกันมาตั้งแต่เล็กๆ ขอต้อนรับเข้าสู่ครอบครัวของเรานะ”
“พี่เปรม เราเพิ่งคบกันเป็นแฟนได้ไม่ถึงเดือนเองนะ จะเชิญชวนกันขนาดนี้แล้วเหรอ” เธอเอ่ยขึ้น
“น้องสาวของพี่มีดีขนาดนี้ จะให้พลาดไปได้ยังไงล่ะ” เปรมยุดาหัวเราะออกมาเบาๆ
“น้าปรีชอบกับพี่ศิลป์ แล้วลุงฉัตร น้าปรีจะชอบได้ไหมคะ” ดาราพรเงยหน้าถามเธอ
“ลุงฉัตรเป็นพี่ของน้าอีกหนึ่งคน เหมือนพ่อรามแม่เปรมไงล่ะจ๊ะ น้าชอบลุงฉัตรเหมือนที่น้องดรีมชอบ คงพอใจแล้วนะ” ปรียานุชมองไปทางฉัตรพงษ์ที่ส่งยิ้มให้กันด้วยความเข้าใจในสิ่งที่เป็น
“น้องดรีมบอกแล้ว ลุงฉัตรเป็นคนดีที่ทุกคนต้องชอบเหมือนน้องดรีม” ดาราพรยิ้มอย่างพึงใจ
แม้เขาจะพอใจมากกับคำตอบของเธอ หากยังไม่วายที่จะพูดกับหลานสาวของเธอ “แต่น้าปรีชอบน้ามากกว่าใครเพื่อนเลย”
“น้องดรีมก็ชอบน้าศิลป์เหมือนกันนะคะ แต่น้อยกว่าลุงฉัตรกับพี่นิน”
ทุกคนต่างพร้อมใจกันหัวเราะให้กับคำกล่าวของดาราพรที่ออกมาจากใจด้วยความใสซื่อ
ฐานินมักจะให้พวกเด็กๆ เรียกว่าพี่นินกันถ้วนหน้า จนตอนนี้ดาราพรก็เรียกจนติดปาก ทั้งที่เพื่อนชายอายุไม่ต่างจากเขาเลย
เมื่อครอบครัวพี่สาวเดินห่างออกไปได้ไม่นาน ฐานินก็เดินมาหาคนทั้งสองที่ยังยืนอยู่ตรงประตูหน้าบ้าน
“แม่ให้เข้าไปกินข้าวได้แล้วนะ แต่วันนี้ฉันขอกลับก่อน อยากไปนั่งกินข้าวกับแฟนเหมือนกัน”
ไขศิลป์คิดจะเดินไปส่งเพื่อนถึงรถยนต์ แต่ต้องชะงักขาที่จะก้าว เมื่อฐานินเอ่ยขึ้นมาอีก
“ไม่ต้องไปส่งฉันหรอก แกอยู่กับพี่ปรีไปเถอะ ช่วงนี้ต้องทำตัวติดกันเข้าไว้ ฉันเข้าใจ”
พอเพื่อนชายเดินห่างออกไปจนลับสายตา ไขศิลป์ก็หันหน้ามาพูดกับเธอ
“พี่ปรีรู้ไหม เราสองคนเหมือนคู่บ่าวสาวกำลังยืนรอส่งแขกที่มาร่วมงานเลยนะ”
“คบกันให้ได้ครึ่งปีก่อน ค่อยคิดถึงเรื่องนั้นก็ยังไม่สาย เข้าบ้านกันดีกว่า” ก่อนเธอจะออกอาการขัดเขินให้เขาได้รู้ก็รีบหมุนตัวเพื่อไปยังในบ้านของเขาซึ่งมีพ่อแม่ของคนทั้งสองนั่งรอกินข้าวพร้อมกัน แต่เขาคว้าแขนเธอไว้ก่อนที่เธอจะก้าวขาออกไป
“แขกยังกลับกันไม่หมดเลยครับ พากันเดินมาหาเราอีกครอบครัวหนึ่งแล้ว”
เธอมองเห็นเพื่อนสาวเดินนำหน้าสามีที่อุ้มลูกไว้ในอ้อมแขน
“ฉันกลับบ้านก่อนนะปรี ลูกเหมือนจะง่วงนอนแล้ว สงสัยจะเพลีย วิ่งเล่นมากไปหน่อย” ธารทิพย์พูดกับเธอ หากยังเอ่ยต่อ “ที่ไม่ยอมเข้าไปในบ้าน ยังยืนจีบกันไม่เสร็จใช่ไหม ฉันมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า เห็นจับมือถือแขนกัน”
ปรียานุชมองมือเขาที่ยังจับแขนกันไว้ไม่ยอมปล่อย
ธารทิพย์หันหน้าไปถามเขา “นินกลับไปแล้วเหรอศิลป์”
“เพิ่งกลับไปเมื่อกี้นี่เองครับ” เขาตอบโดยดี แม้จะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะถามถึงเพื่อนเขาเพื่ออะไร
เมื่อถูกเพื่อนสาวหยอกเย้าต่อหน้าเขา ปรียานุชจึงบอกความจริงบางอย่างของเพื่อนสาวให้เขารับรู้ เมื่อหันมาเห็นสีหน้าข้องใจของเขา “ธารชอบดูซีรีส์วาย ชอบอ่านนิยายวายเป็นชีวิตจิตใจเลยนะ ทุกทีที่ได้เห็นศิลป์กับนินอยู่ใกล้ๆ กันก็จะจิ้นจะฟินมากเป็นพิเศษ”
“ผมก็แปลกใจเหมือนกัน ทำไมหน้าตาพี่ธารดูมีความสุขตอนมองมาทางผมกับนิน คงคิดไปไหนต่อไหน มันเป็นอย่างนี้นี่เอง” ไขศิลป์เพิ่งจะกระจ่างใจในท่าทีของธารทิพย์ “ผมกับนินเหมือนพี่เหมือนน้องเหมือนเพื่อน ไม่มีทางเป็นอย่างที่พี่ธารคิดไว้แน่ๆ”
“พี่รู้อยู่แล้ว แม้ความจริงจะเป็นไปไม่ได้ ขอให้เกิดในความคิดของพี่ก็พอ แค่นี้พี่ก็ฟินจนอยากจะถือหมอนมาจิกให้เห็นแล้ว” ธารทิพย์บอกด้วยท่าทีที่เหมือนคนถูกจับได้ว่าแอบคิดไปไกลทั้งที่ไม่ใช่อย่างที่คิดเลย จนหันหน้ามาพูดกับเธอ “ปรีบอกศิลป์ให้รู้อย่างนี้ ต่อไปฉันคงจะแอบมองแล้วฟินอีกไม่ได้แล้วสิ”
“ลองเปลี่ยนมามองคู่ของฉันบ้างก็ได้ อาจจะฟินกว่าที่เคยมอง” ปรียานุชยื่นข้อเสนอให้เพื่อนสาว
“ตามสบายเถอะนะ ฉันชอบฟินชอบจิ้นคู่ชายชาย ไม่ใช่ชายหญิง” ธารทิพย์ค้อนขวับให้เธอหนึ่งที
“พี่ธารฟินต่อได้เลยครับ ผมกับนินไม่ได้ถือสาอะไรเลย แต่ผมอาจจะอยู่ใกล้พี่ปรีมากกว่า คงไม่เหมือนแต่ก่อนที่จะเกาะติดกับนินตลอดเวลา”
“เรื่องนั้นพี่เข้าใจ แต่อย่าลืมให้พี่ฟินบ้างแค่หอมปากหอมคอก็พอ” ธารทิพย์เอ่ย
“ผมกับนินต้องถึงขั้นหอมปากกับหอมคอกันเลยเหรอครับ” เขาแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ
“พี่ว่าทำอย่างนั้นได้มันก็ดี พี่คงฟินกระจายไปหลายวัน” ธารทิพย์ตามน้ำไปกับเขา “แต่ก่อนจะหอมปากกันให้พี่เห็น อย่าลืมขออนุญาตแฟนก่อนนะ”
“พวกเราเข้าไปกินข้าวกันได้แล้วศิลป์” ปรียานุชเอ่ยตัดบทเพื่อนสาว ก่อนที่จะชวนเขาคุยเลยเถิดกันไปไกล
ธารทิพย์หัวเราะออกมา ยามเห็นท่าทีของเธอที่เห็นตนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับไขศิลป์ แต่ยังไม่วายที่จะหยอกเย้าเธอก่อนจะผละออกไป “ปรีอนุญาตให้ศิลป์หอมปากกับนินได้เมื่อไหร่ บอกฉันแต่เนิ่นๆ เลยนะ วันนั้นฉันจะได้เตรียมหมอนมาฟินให้เต็มที่ไปเลย”
เธอหันมองหน้าเขาที่ยิ้มให้กับคำกล่าวของธารทิพย์ จากนั้นก็มองเพื่อนสาวเดินนำหน้าสามีที่ยังอุ้มแทนไทยซึ่งมีท่าทางง่วงเหงาหาวนอนไปยังบ้านฝั่งตรงข้าม
“อยากหอมปากนินมากนักเหรอ” เธอหมั่นไส้ที่เขายังไม่หุบยิ้มสักที
ไขศิลป์มองหน้าเธอ “จูบแรกของผม ขอเก็บไว้ให้พี่ปรีคนเดียว พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกผมได้เสมอ”
ปรียานุชรู้ตัวดีว่ามักจะหน้าแดงในทุกครั้งที่ได้ยินคำหวานจากปากเขา ก่อนที่เธอจะเขินอายจนตัวม้วนไปมากกว่านี้ก็ก้าวขาไปยังบ้านของเขา โดยไร้คำตอบว่าเมื่อไหร่เขาจะได้หอมปากของเธอ
- READ ละเล่นลานรัก บทส่งท้าย : ความรักในลานละเล่น
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 42 : หอมปากหอมคอ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 41 : หมากเก็บ...ขอเก็บเธอไว้เป็นคนพิเศษของใจ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 40 : ชวนเล่นด้วยกัน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 39 : แมวจับหนู...จะรู้กันบ้างหรือยัง
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 38 : ยังไม่บอกให้รู้ดีกว่า
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 37 : lucky in game and lucky in love
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 36 : คุยกันแบบเปิดอก รับฟังแบบเปิดใจ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 35 : ใครเห็น...ใครก็ต้องคิด
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 34 : สุดแสนเสียดาย
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 33 : คนหนึ่งแพ้ย่อยยับ หนึ่งคนชนะขาดรอย
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 32 : ช่วงชิงชัย
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 31 : ขอลงแข่ง
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 30 : ตัวเลือกไม่รู้ตัว
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 29 : ต้องลองอีกสักครั้ง
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 28 : คืนของให้แก่กัน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 27 : ดมดอกไม้
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 26 : ท่าควายกับท่าสีซอ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 25 : คิดผิดถนัด
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 24 : ต้นเหตุความกลัว
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 23 : แหวนแฟนเก่า
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 22 : ขอหวนคืน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 21 : มัวรอรี ไม่รีรอ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 20 : ฉันจะตีก้นเธอ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 19 : งูกินหาง...ห้ามใกล้กัน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 18 : หลายอย่างช่างถูกจังหวะ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 17 : ผิดทั้งสองคน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 16 : สัญญาณเหมือนจะดี
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 15 : จ้ำชิงหลัก
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 14 : หลานชายก่อกวน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 13 : กำทายขอถาม
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 12 : ต้องตาต้องใจ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 11 : ตัดไฟแต่ต้นลม
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 10 : กิจกรรมวันแรกเริ่ม
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 9 : ปัญหาเกินกว่าหนึ่ง
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 8 : ตบแผละแซะคำตอบ
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 7 : เด็ก (เริ่ม) มีปัญหา
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 6 : เด็กชายวุ่นวาย
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 5 : ร่วมด้วยช่วยกัน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 4 : หาทางเข้าหา
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 3 : เหตุจากหิน
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 2 : หินเข้าห้อง
- READ ละเล่นลานรัก บทที่ 1 : เสียงลือเสียงเล่าอ้าง