ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 22 : ฝาแฝด

ซ่อนรักในรอยกาล “นครลำพูน หริภุญไชย” บทที่ 22 : ฝาแฝด

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

“บิน…อ้ายยัน บิน” เสียงเล็กๆ อ้อแอ้ไม่เป็นคำมาจากร่างน้อยๆ ที่ขี่คอเขาอยู่ ตามด้วยเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจชี้ชวนไปยังว่าวไม้ไผ่ที่กำลังลอยลมอยู่บนฟ้าโดยมีเขาเป็นผู้บังคับ

“วรน้อยลงมา ให้พี่ขึ้นบ้าง” ยุวกุมารอีกพระองค์ยืนเท้าสะเอวแหงนมองอนุชาแฝดอย่างหงุดหงิด

“เจ้าวรน้อย ให้พระเชษฐาเล่นบ้างเถิดเจ้าข้า” ชายหนุ่มกล่าวกับเจ้าอนันตยศด้วยน้ำเสียงปรานี พระกุมารองค์น้องจึงยอมลงจากหลังและปีนขึ้นตักนางกำนัลพี่เลี้ยงแต่โดยดี เจ้ามหันตยศผู้พี่จึงปีนขึ้นหลังเข้าขี่คอรัญชน์เพื่อดูเขาบังคับว่าวบ้าง แม้การละเล่นนี้จะดูน่าหวาดเสียวสำหรับเด็กอายุสองขวบ แต่รัญชน์ก็ทำเปลหลังล็อกแขนขากันพระกุมารตกไว้อย่างดี ทำให้ทั้งสองได้เพลิดเพลินเต็มที่

“อยากทำว่าวบินบ้าง” เจ้าชายผู้พี่หมายถึงเป็นผู้บังคับว่าวเอง

“เช่นนั้นเจ้าวรใหญ่ต้องหม่ำๆ อาหารกลางวันให้หมดก่อน วันหน้ารันรันจะสอนเจ้าข้า”

ข้าหลวงพี่เลี้ยงฟังภาษาประหลาดของขันทีหนุ่มแล้วนิ่วหน้าเล็กน้อย แต่รัญชน์ไม่สนใจ เขาไม่เห็นด้วยกับการใช้ราชาศัพท์ซับซ้อนกับเด็กเล็กตามธรรมเนียมโบราณและยืนกรานจะพูดคุยกับสองฝาแฝดด้วยภาษาธรรมดาง่ายๆ และในเมื่อพระราชมารดาของทั้งสองกุมารทรงเห็นชอบด้วย จึงไม่มีผู้ใดคัดค้าน

ชายหนุ่มทราบดีว่าเขาเป็นที่กังขาสงสัยของข้าราชบริพารในราชสำนักใหม่นี้อยู่ไม่น้อย ด้วยเรื่องขันทีเป็นแนวคิดใหม่ถอดด้ามเกินไปสำหรับยุคนั้น อีกทั้งการที่นางพญาเมืองเรียกหาบุรุษอย่างเขาให้รับใช้ใกล้ชิดประหนึ่งนางในนั้นก็ออกจะเป็นเรื่องที่มิเคยปรากฏมาก่อน แต่หลายคนก็เริ่มเคยชินแล้วเลือกเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียแล้ว เพราะมิได้ปรากฏผลเสียต่อการบริหารปกครองบ้านเมืองแต่อย่างใด

“ขุนเจ้าช่วยทูลให้องค์ชายยอมกลับเข้าตำหนักเถิด ประเดี๋ยวแม่เจ้าจักให้วาสุเทพฤๅษีมาพบองค์ชายเจ้า” นางกำนัลพี่เลี้ยงกล่าว “ข้าเจ้าพูดเท่าไรเจ้าวรใหญ่แลเจ้าวรน้อยก็หาฟังไม่”

เป็นที่ทราบกันทั่วว่านอกจากพระราชมารดาแล้ว ก็มีแต่รัญชน์ที่พระกุมารแฝดยอมเชื่อฟัง แต่ชายหนุ่มก็กล่าวเสมอว่าช่วงอายุสองปีจะเป็นวัยที่เด็กดื้อรั้นงอแงเป็นพิเศษ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรือเป็นความผิดของเด็กเสมอไป คนจึงนำไปพูดกันต่อว่าชะรอยชายถูกตอนนี้มีความรู้เรื่องการผดุงครรภ์และการเลี้ยงดูทารก แม่เจ้าจามเทวีถึงให้อยู่ช่วยหมอตำแยตอนมีประสูติกาล และยังไว้ใจให้ช่วยเลี้ยงดูพระโอรสอีกด้วย

แน่ละ…เป็นใครก็อดแปลกใจมิได้ทั้งนั้น แม้แต่เขาเองก็แทบไม่อยากเชื่อว่าจะได้สัมผัสประสบการณ์แปลกประหลาดระทึกใจ อันเสมือนมาเฝ้าเป็นกำลังใจให้เมียที่กำลังจะคลอดลูก…

เหมือนทุกอย่าง ยกเว้น…พระนางมิใช่เมียเขา

รัญชน์ยังจำวินาทีที่เป็นประจักษ์พยานถึงความทรมานของมารดาที่กำลังให้กำเนิดบุตรได้เป็นอย่างดี มือของเขายังบีบกุมพระหัตถ์ชวาลาไว้อยู่ด้วยซ้ำในห้วงเวลาที่บุตรทั้งสองผ่านประตูครรภ์ออกมาดูโลกเป็นครั้งแรก เสียงร้องไห้จ้าของทารกอื้ออึงเต็มสองหูฟังราวเสียงแตรแซ่ซ้องจากสวรรค์ รัญชน์รู้สึกราวกับเด็กทั้งสองเป็นของขวัญที่ฟากฟ้าประทานให้เขาเสียเอง

ได้สัมผัสความรู้สึกประหนึ่งเป็นพ่อของลูกแฝดทั้งสองจริงๆ

และห้วงเวลาเหล่านั้นช่างล้ำค่าตราตรึงมิมีวันลืม

“เจ้าวรทั้งสอง ไปเล่นข้างในกับรันรันเถิด” ชายหนุ่มหันไปจูงใจสองกุมารน้อย “ประเดี๋ยวพระฤๅษีจะมาเล่นกับพวกเราด้วย”

“ยือฉี…” เด็กๆ หัวเราะชอบใจ “ไป ไปกัน ข้าชอบยือฉี ยือฉีใจดี”

เจ้ามหันตยศและเจ้าอนันยศยอมกลับขึ้นตำหนักแต่โดยดี นางข้าหลวงจึงหันมาถามว่า

“ขุนเจ้าจักอยู่ตอนพระฤๅษีมาเฝ้าด้วยหรือไม่เจ้า”

“คงไม่ ข้าต้องไปดูหมู่บ้านพวกเม็งที่จะขยายลงมาทางใต้”

“หม้อไหดินเผาชาวเม็งไปได้ดีกระมังจึงถึงกับต้องขยาย”

“แม่นแล้ว” เขาตอบภาษาถิ่น เหลือบมองผู้พูดแวบหนึ่ง “ได้ยินว่ามีนางกำนัลผู้หนึ่งบุกเบิกสั่งสอนวิชาปั้นหม้อปั้นไหร่วมกับชาวละโว้มิใช่หรือ…เอ้อ” รัญชน์นิ่งไปอึดใจเพราะจำชื่อนางไม่ได้

“ท่านทราบด้วยกา?” เด็กสาวหน้าแดง “หากไปที่นั่น โปรดนำคนโทสักชิ้นกลับมาด้วยนะเจ้า”

“ได้สิ” เขาพยักหน้า “ข้าย่อมต้องนำชิ้นที่งดงามที่สุดกลับมาถวายแม่เจ้าอยู่แล้ว”

“อ้อ…ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น” นางว่า “เข้าไปกันเถิด ประเดี๋ยวข้าเจ้าต้องเปลี่ยนเวรแล้ว”

“พี่เลี้ยงเปลี่ยนเวรตอนนี้ได้กา?”

“ข้าเจ้ามิใช่นางกำนัลพี่เลี้ยง เพียงแต่มาทำหน้าที่แทนนางเอี้ยงที่ลาไปเยี่ยมแม่ที่ป่วยเจ้า” เขารู้สึกเหมือนนางหน้าตึงขึ้นเล็กน้อย “ข้าเจ้าคือชมออน นางกำนัลของแม่เจ้าจามเทวี ขุนเจ้าคงจำมิได้”

นั่นยังไงล่ะ…ชมออน ก็พวกนางกำนัลหน้าตาคล้ายกันไปหมดนี่นะ ชื่อก็เรียกทำนองเดียวกัน มีทั้งนางชมออน นางสะออน เครือออน ชมชื่น

เขาก็จำไม่ได้อย่างที่นางว่าจริงๆ นั้นละจึงมิอยากแก้ตัว เมื่อพาเจ้าชายน้อยทั้งสองกลับตำหนัก หลอกล่อให้ไปอาบน้ำแต่งตัวรอพระฤๅษีสำเร็จแล้ว ชายหนุ่มก็เลี่ยงออกจากเวียงวังมาสู่หมู่บ้านชาวเม็ง

ขณะนี้บ้านเมืองลำพูนที่เขาเคยเห็นเป็นเมืองดิบร้างเมื่อสองปีก่อนได้กลายเป็นอาณาจักรหริภุญไชยอันรุ่งเรืองรุ่มรวยอย่างน่าอัศจรรย์ และอันตัวเขาก็ได้เป็นประจักษ์พยานต่อการก่อร่างสร้างเมืองนั้นได้ด้วยตาตัวเอง ได้เห็นพระปรีชาสามารถของพระนางชวาลาเทวีหรือจามเทวีผู้เก่งกาจ ว่าผู้หญิงคนหนึ่งได้ฟันฝ่าอุปสรรคทุกข์ยากทั้งปวงเพื่อก่อกำเนิดบ้านเมืองใหม่ขึ้นมาได้อย่างสมพระเกียรติ

ตามตำนานที่เคยเรียนรู้มา ยกย่องแซ่ซ้องว่าพระนางเป็นยอดสตรี รอบรู้ฉลาดเฉลียว สามารถจัดการบริหารทุกอย่างได้ด้วยตนเอง เขาได้ประจักษ์ชัดแล้วว่าไม่ผิดความจริงสักนิด เพียงแต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้นมีข้าราชบริพาร ขุนนาง ทวยราษฎร์อีกมากมายรวมถึงตัวเขาที่คอยสนับสนุนช่วยเหลือให้ราชพันธกิจอันยิ่งใหญ่นั้นสำเร็จลุล่วงไปได้ และพวกเขาเหล่านั้นมิได้ถูกจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์

แต่สิ่งเหล่านั้นหาสำคัญไม่ เพราะเพียงได้เห็นบ้านเมืองเจริญขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างไกลเกินคาด เขาก็ซาบซึ้งอิ่มใจที่สุดแล้ว

ชายหนุ่มมาถึงหมู่บ้านเครื่องดินเผาของชาวเม็ง รู้สึกเองว่าน่าจะเข้าใกล้บริเวณที่เป็นหมู่บ้านของเขาในโลกปัจจุบัน เพราะหลายครั้งที่สัมผัสถึงความสัมพันธ์อันเข้มข้นกับบางสถานที่ในนครแห่งนี้ได้ เบื้องลึกในใจเขาเชื่อว่าคำตอบของประตูกาลเวลาย่อมหนีมิพ้นเมืองลำพูนแห่งนี้ มิเช่นนั้นกงล้อแห่งโชคชะตาคงไม่นำพาให้เขาไปถึงลวปุระและพากลับมายังหริภุญไชยได้

แต่เขายังอยากกลับไปสู่โลกนั้นอยู่หรือไม่…

ณ โลกแห่งนั้น เขาคือชายผู้ล่มสลายในความรัก ฝันที่วาดไว้กับผู้หญิงแต่ละคนไม่เคยไปถึงฝั่ง

แม้กับญาดาที่เขามั่นใจนักหนาว่าไม่เหมือนความรักที่ผ่านมา ก็กลับทำโลกทั้งใบของเขาพังทลายลงอย่างง่ายดาย

‘พี่รัญชน์อยากมีลูก อยากให้ลูกโตในชนบทลำพูน แต่เคยถามแยมไหมว่าคิดยังไง แยมไม่ได้อยากมาดักดานอยู่บ้านนอกสักหน่อย’

แต่หล่อนไม่เคยท้วง ได้แต่ยิ้มแย้มพยักหน้าเออออด้วยทุกครั้งที่เขาวาดฝันถึงอนาคตร่วมกัน ถ้าหล่อนไม่ชอบ หรือเขาไม่ใช่ก็น่าจะพูดออกมาตั้งแต่แรก ไม่ควรปล่อยให้เวลาล่วงเลยจนกระทั่งจะแต่งงานด้วยซ้ำ

สามปีกว่าที่ผ่านมาในโลกโบราณที่เขาต้องดิ้นรนเอาตัวรอดทำให้ไม่มีเวลาเศร้าโศกเสียใจ ครั้นรู้ตัวอีกทีบาดแผลที่ญาดาก่อไว้กลับแห้งสนิทดีอย่างไม่น่าเชื่อ เหลือเพียงแผลเป็นให้เห็นบางครั้งบางครา แต่ลูบก็ไม่รู้สึกเจ็บอีกแล้ว

ชีวิตเขาในโลกนี้เวลานี้เสมือนจำลองภาพฝันที่เขาเคยวาดไว้…สร้างครอบครัว มีเมีย มีลูก

เพียงแค่ชวาลามิใช่เมียเขาและเขาคงไม่อาจเอื้อม เด็กทั้งสองเองก็มิใช่ลูกแท้ๆ

นอกเหนือจากนั้น ก็มิต่างอะไรกับการมีครอบครัวสักนิด

การได้คอยอยู่ข้างหลังชวาลา ได้ดูแลและเห็นกุมารทั้งสองค่อยๆ เติบโตทีละน้อยกลายเป็นความสุขที่รัญชน์มิอยากสูญเสียไป

เขาอาจไม่อยากกลับโลกอนาคตข้างหน้าแล้วก็เป็นได้…อย่างน้อยก็ ณ ขณะนี้

“เครื่องดินเผาของหมู่เฮาเป็นที่ต้องการนักแล แว่นแคว้นใดก็ใคร่ได้หม้อไหหริภุญไชยไปทั้งนั้น” พ่ออุ๊ยบ้านหนึ่งปรารภอย่างภาคภูมิใจ “ฝั่งกระโน้นเพิ่งเผาเสร็จใหม่ ทำลวดลายดังที่ในวังสั่งสอน ขุนเจ้าโปรดเลือกชิ้นที่ถูกใจถวายแม่เจ้าเถิด”

รัญชน์กวาดตาดูภาชนะดินเผาชุดใหม่ทั้งหมดแล้วสามารถบอกได้ทันที ว่าไม่มีชิ้นใดเหมือนชิ้นที่ครอบครัวเขาขุดเจอ โดยเฉพาะคนโทที่เขาใช้กรอกเหล้าดื่มในวันพระจันทร์เต็มดวงสีเลือด

เขาจำรายละเอียดภาชนะนั้นได้ค่อนข้างแม่นยำว่าเป็นคนโทดินเผาสีชมพูอ่อนอมเหลืองนวล คล้ายเจือทินต์สีขาวจนเหมือนสีพาสเทลซึ่งเป็นสีที่ไม่น่ามีผสมใช้ในโลกโบราณยุคนั้น ตัวคนโทมีรูปร่างเชิงกลมกว้าง คอเพรียวสูง ปลายผายออกคล้ายแจกันขนาดใหญ่ มีริ้วฟันปลาและรอยกรีดลงลายตรงคอ ไหล่ภาชนะ ส่วนปากคนโทใช้เทคนิคขั้นสูงหลายวิธีทั้งคว้าน ขีด กดลาย ทำให้สมาชิกในครอบครัวเขาลงความเห็นว่าเป็นภาชนะพิเศษกว่าชิ้นอื่น สมควรเก็บไว้เป็นสมบัติพิเศษบนที่ดินของตระกูล

“พ่ออุ๊ยเป็นผู้ลงมือทำย่อมรู้ดีกว่าข้า เชิญพ่อเลือกถวายแม่เจ้าดีกว่า”

พ่อหลวงบ้านยิ้มกว้างเมื่อได้รับเกียรติ จึงบรรจงคัดของที่สมบูรณ์งามที่สุดให้รัญชน์ขึ้นถวายพระเทวีเมือง ชายหนุ่มพินิจถ้วยโถโอชามดินเผาประณีตนั้นก็คิดว่าพระนางน่าจะพึงพระทัยมิน้อย จึงผิดคาดเมื่อจอมนางเพียงแต่แย้มโอษฐ์พอเป็นพิธี ตรัสฝากขอบน้ำใจพ่อหลวงบ้านแล้วก็เมินพักตร์จากเขาดื้อๆ

“มีสิ่งใดรบกวนพระทัยหรือเจ้าข้า”

“ไม่มี ท่านไปพักเถิด คงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” รับสั่งแล้วก็เลี่ยงกลับเข้าที่ประทับ ระยะหลังชายหนุ่มสังเกตว่าพระนางทรงแสดงอากัปกิริยาประหลาด คล้ายทรงพยายามวางองค์ห่างเหินมากขึ้น และครั้งนี้ทรงแสดงออกชัดเจนว่ามีเรื่องในพระทัย รัญชน์จึงถามคุณท้าวเกษวดี

“ตั้งแต่พระฤๅษีมาเข้าเฝ้าพระนางก็ดูแปลกไป มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นงั้นรึ”

“มิเกี่ยวกับพระฤๅษีหรอก” เกษวดีมองเขาด้วยสายตาครุ่นคิด “ขุนเจ้าลองไปถามพระนางเถิด”

ครั้นอยู่กันตามลำพัง พระนางก็ประทับอยู่ไกลจากเขากว่าเดิมและไม่ทรงพยายามเรียกเขาว่าเจ้าพี่เขนอีก ยังคงเรียกอย่างสุภาพว่าขุนเจ้า แต่ทั้งที่ทุกครั้งรัญชน์จะเป็นคนคอยห้ามปรามพระนางด้วยการยืนกรานว่าเขาไม่ใช่เจ้าพี่เขน หากกระนั้นเมื่อพระนางเกิดเลิกรบเร้าเว้าวอนเข้าจริง ชายหนุ่มกลับรู้สึกหน่วงหนึบในใจขึ้นมาอย่างประหลาด

“มีเรื่องใดก็ว่ามาเถิด เราก็เหมือนครอบครัวเดียวกันไม่ใช่หรือ หรือว่ามิใช่” แม้เริ่มต้นด้วยวาจาสามหาวแต่ประโยคท้ายเขาก็กลับไม่แน่ใจ

พระนางชวาลาเลิกขนงกับคำกล่าวนั้น

“หรือบัดนี้มิทรงต้องการข้าพระองค์เสียแล้ว” เขาได้ยินตนเองโพล่งออกไป “เพราะอันที่จริงข้าก็เป็นคนนอกเท่านั้น หรือหากได้กระทำสิ่งใดผิดพลาดไปก็โปรดแถลงไขให้ทราบเถิด”

“ท่านคิดไปถึงไหนเชียว” สีพระพักตร์พระนางฉงน “เราเห็นท่านเป็นคนในครอบครัวเสมอ แม้ว่า…” รับสั่งแล้วก็ทรงนิ่งไป พลางโบกพระหัตถ์ “ช่างเถิด เราก็มิได้พร้อมเผชิญหน้าความจริงได้ทุกเรื่องหรอก”

“แสดงว่าสิ่งนั้นเกี่ยวกับข้า”

พระนางยังทรงพยายามไม่สบตาเขา “พระอาจารย์กลับจากธุดงค์ครานี้ นำข่าวมาแจ้งสองเรื่อง ท่านใคร่ทราบเรื่องใดก่อน”

“เรื่องที่ทำให้ท่านงอนข้าพระองค์เช่นนี้เจ้าข้า”

“งอน? งอนแปลว่ากระไร”

“แปลยาก แต่ก็หมายถึงอาการที่ทรงกระทำต่อข้านั่นละ”

พระนางทรงนิ่งไปอึดใจ ครั้งนี้ทรงสบตาเขา “ท่านสุกกทันตะแจ้งข่าวจากทางละโว้ให้พระอาจารย์วาสุเทพว่าเอกชายาทั้งสามของพระเจ้าจันทรโชติทรงมีประสูติกาลไล่เลี่ยกันทั้งสามพระองค์”

ดวงเนตรชวาลาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ทั้งสับสน เศร้าสร้อย สงสัย และอาวรณ์

“บุณฑราเทวีแม้เป็นอัครเทวี แต่ได้พระธิดา ฐานะจึงยังมิสู้มั่นคงนัก ส่วนทิพกฤตาได้โอรส ย่อมหมายถึงชัยชนะก้าวแรกอย่างมิต้องสงสัย ส่วนวิมุทราได้โอรสธิดาฝาแฝด…”

ครานี้เขาเริ่มเข้าใจท่าทางอึดอัดของพระนางแล้ว

“หากพ่อหรือแม่มิได้มีฝาแฝดแล้วนั้น ยากจักมีลูกแฝดได้”

ให้ตายเถอะ…คนโบราณรู้เรื่องนี้เชิงวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร หรืออาจเป็นการเก็บสถิติข้อมูลเหมือนการอ่านดวงดาวก็เป็นได้

“ทางศรีเทพมิปรากฏเชื้อพระวงศ์แฝดมายาวนานเกินสิบชั่วโคตร ส่วนศรีวิชัยนั้น เราทราบมาว่ามีเจ้านายฝาแฝดหลายพระองค์…ที่เราจักบอกก็คือ เรื่องนี้จักเข้าใจได้มิซับซ้อนสักนิดถ้าเจ้าพี่เขนทรงมีแฝด”

พระนางเจ้าทอดพระเนตรเขาอย่างค้นคว้า

“อันว่าหากสวามีเราใช้บุรุษตัวปลอมที่รูปร่างหน้าตาละม้ายพระองค์ตบตาชาวละโว้ได้สำเร็จโดยมิมีผู้สงสัยแล้วไซร้ ตัวปลอมนั้นก็ย่อมมิสามารถให้กำเนิดฝาแฝดได้ เว้นแต่ว่าจักทรงมีฝาแฝดจริง”

เกมแล้ว…รัญชน์นึกก่นด่าตัวเองในใจ บทจะถูกจับได้ก็ง่ายดายเพียงนี้

“เรามิทราบว่าเจ้าพี่ทรงมีเหตุผลใดที่ปิดบังเราเรื่องนี้ แต่เมื่อนึกย้อนถึงพิรุธในเรื่องชายปิดหน้าแล้ว เราก็เชื่อเป็นอย่างอื่นมิได้ว่าเจ้าพี่ทรงมีฝาแฝดจริง และหากฝาแฝดของพระองค์คือกษัตริย์จันทรโชติแห่งละโว้แล้วละก็…เท่ากับขุนเจ้ารัญชน์ที่อยู่ต่อหน้าเราตรงนี้ก็คือเจ้าพี่เขนของเราดังที่เราเชื่อมั่น หากในทางกลับกัน…ถ้าเจ้าพี่คือผู้ที่ครองบัลลังก์ลวปุระอยู่ ชายเบื้องหน้าเรานี้…ย่อมเป็น…ฝาแฝดของพระองค์”

“ข้าพระองค์…”

“เราควรต้องรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด หรือเราควรจักเพิกเฉยทำมิรับรู้ต่อไปเล่า” สุรเสียงพระนางสั่นเครือ แววเนตรไหวระริก “คิดว่าเรามิรู้แต่แรกหรืออย่างไร…ขุนเจ้า ว่าท่านมิใช่เจ้าพี่เขนของเรา”

แวบแรกรัญชน์ตกใจ หากอึดใจถัดมาเขาก็ระลึกได้ว่าสตรีฉลาดเฉลียวอย่างจามเทวีย่อมจับพิรุธเรื่องนี้ได้ง่ายดายในวันหนึ่ง สมดั่งที่สวามีของพระนางเคยรับสั่งไว้ว่ารัญชน์ไม่มีทางตบตาชวาลาโดยการสมอ้างเป็นกัษษกรได้เด็ดขาด

“แล้วเหตุใด…”

“เรามิได้เก่งกาจไปทุกเรื่องหรอกท่าน เราเป็นเพียงสตรีที่มีหัวใจผู้หนึ่งนั้นแล” ครานี้พระนางสบตาเขาไม่หลบเลี่ยง “เราก็แค่อยากมีความหวังให้ดำรงชีวิตต่อได้เท่านั้น…แต่บัดนี้เมื่อสารจากท่านสุกกทันตะเดินทางมาส่งความจริงต่อหน้า เราจักทำเป็นมิรับรู้ต่อไปมิได้อีกแล้ว”

“แต่ข้าพระองค์มิเคยหลอกว่าเป็นสวามีท่าน”

“ถูกแล้ว ท่านมิเคยหลอก มีแต่เราที่พยายามหลอกตัวเอง”

“ถ้ายอมรับความจริงดังนั้นแล้ว ท่านจะหมดหวังในการดำรงชีวิตต่อน่ะหรือ” เขาผายมือไปนอกพระบัญชร “ทอดพระเนตรอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่ท่านสร้างขึ้นมาเถิด ท่านก็ทราบมาตั้งนานแล้วยังทรงทำได้ขนาดนี้ เพียงแค่มิต้องหลอกตัวเองอีกแล้วจะทำให้ท่านสิ้นหวังต่อทุกสิ่งได้จริงน่ะหรือ พระนางชวาลาที่ข้าพระองค์รู้จักมิได้ใจอ่อนถึงเพียงนั้นหรอก”

“เรามาไกลเกินกว่าจักถอดใจสิ้นหวังแล้วละ ปัจจุบันแลอนาคตของเราอยู่ที่หริภุญไชยแห่งนี้”

“เช่นนั้นก็กลับเป็นเหมือนเดิมเสียเถิด ข้ายังปรารถนาจะดูแลรับใช้ท่านไปอีกนานแสนนาน…จนกว่าท่านจักเสือกไสมิต้องการข้าอีกแล้ว”

“เหมือนเดิม…” พระนางทวนคำ พลางสรวลเบาๆ “ให้ท่านเป็นขันทีอย่างนี้น่ะหรือ รู้หรือไม่ ขุนเจ้าขันติมาตัดพ้อเราว่ามิน่าบัญญัติเรียกชายถูกตอนว่าขันที เพราะฟังดูคล้ายขันติจนข้าราชบริพารชาวลำพูนพากันเข้าใจว่าเขาเป็นชายถูกตอนเหมือนอย่างท่าน ใคร่จักมีเมีย บ้านสตรีก็กังขา เราจึงว่าจะเปลี่ยนให้เรียกว่าขัณฑบุรุษดีหรือไม่ ขัณฑะ คือ การตัด ขัณฑบุรุษคือชายที่ถูกตัดออก”

รัญชน์ย่นคอ จะเรียกอะไรก็ตาม เขาก็ต้องเล่นเป็นขันทีต่อไปอยู่ดี

“เหมือนเดิม…คืออยู่เคียงข้างท่าน ในฐานะอะไรตามแต่ท่านจะบัญชา ข้ารับใช้ไพร่ทาสก็ไม่ว่า”

“เราอยากให้ท่านเป็นตัวท่าน มิได้อยากให้ท่านเป็นใครอื่น หากท่านเป็นฝาแฝดของเจ้าพี่เขน ท่านยิ่งควรมีสิทธิ์ในการดำรงตัวตนตนเอง เอาอย่างนี้เถิด…ท่านค่อยๆ ลดการแต่งแต้มดวงหน้าท่านลงก็แล้วกัน จนวันหนึ่งก็จะไม่มีข้าราชบริพารฝ่ายในชาวละโว้คนใดประหลาดใจอีกแล้วที่เห็นเจ้าพี่เขน”

รัญชน์เผลอระบายยิ้มกว้างออกมาโดยไม่รู้ตัว โล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก ไม่ต้องรู้สึกผิดต่อการปิดบังพระนาง หรือรู้สึกผิดต่อกษัตริย์จันทรโชติที่อาศัยความหวังของพระนางชวาลาว่าเขาคือสวามีเข้าใกล้ชิดชายาของพระองค์อีกแล้ว ด้วยทั้งหมดทั้งมวลเขาย่อมรู้ดีแก่ใจว่าตัวเองคิดอย่างไรกับชวาลาเทวี

“ส่วนเรื่องที่ท่านเป็นฝาแฝดแต่ต้องถูกซ่อนเร้นอำพรางนั้น หากยังมิอยากเล่าให้เราฟัง เราก็จักไม่บังคับ เราจะรอวันที่ท่านพร้อม”

แล้วเขาจะตอบได้อย่างไรว่าเขามิใช่กระทั่งฝาแฝด แต่เป็นชายหน้าเหมือนที่มาจากอนาคตกาล

นึกแล้วรัญชน์ก็รู้สึกผิดต่อฝาแฝดตัวจริงของกษัตริย์ละโว้องค์ปัจจุบัน…เขาเข้าข้างตัวเองว่าใช้ชีวิตแทนเจ้าชายรัตตกร โดยที่เจ้าตัวยังติดอยู่ในกรงขังกาลเวลา และเขาก็ไม่สามารถติดต่อสื่อสารใดๆ กับฝ่ายนั้นได้อีกนับตั้งแต่ชวาลาทรงมีประสูติกาลโอรสแฝด

ชีวิตที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดนั้นเป็นชีวิตที่น่าเศร้า เขาไม่อยากมีเรื่องต้องปิดบังซ่อนเร้นใครอีก

ทว่าชีวิตนั้นมักนำพาบททดสอบมาให้มนุษย์เลือกอยู่เสมอ และบังคับให้มนุษย์ต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจเลือกนั้น เช่นเดียวกับที่เขาต้องเลือกอยู่ขณะนี้ว่าจะ ‘เลือกเป็นใคร’

“แล้วอีกเรื่องล่ะเจ้าข้า”

“เรื่องสวัสดิภาพของหริภุญไชยในเพลานี้ เราก็เพิ่งหารือกับคุณท้าวทั้งสองไป” ชวาลาถอนพระทัย “ท่านก็คงเห็น บ้านเมืองขณะนี้ร่มเย็นเป็นสุข ดูแล้วมิน่าต้องห่วงเภทภัยใด”

ราชสำนักลำพูนโบราณไม่ซับซ้อนนัก ทั้งยังวางระบบระเบียบการปกครองตรงไปตรงมา กอปรกับผู้นำแสนปราดเปรื่องและดำรงในทศพิธราชธรรม จึงทำให้นครหริภุญไชยสงบร่มเย็น หากก็เจริญรุ่งเรืองในทุกด้าน ไม่ว่าศาสนา ศิลปะ ไปจนถึงเศรษฐกิจ เนื่องจากทำเลที่ตั้งนครลำพูนเป็นประตูหน้าด่านจากแผ่นดินตอนในของภาคเหนือ ลงไปสู่ภาคกลางไปจนถึงใต้ สินค้าจากดินแดนตอนในจะส่งออกได้ต้องลำเลียงผ่านลำพูน เช่นเดียวกับทางใต้ที่เมื่อจะค้าขายกระจายสินค้าขึ้นเหนือก็ย่อมต้องผ่านแคว้นหริภุญไชย บ้านเมืองยามนี้จึงคึกคักขวักไขว่ มองทางใดก็เจริญตาไปทุกแห่งหน

“แต่ยิ่งบ้านเมืองเจริญเท่าไรก็ยิ่งเป็นที่ริษยาของแคว้นรอบข้าง ท่านถึงให้มีการฝึกกำลังตั้งกองทัพอยู่เนืองๆ ใช่ไหม”

“ใช่ อย่างพวกมิลักขุนอกเวียงนั้นปะไร” พระนางหมายถึงชาวลัวะป่า “พระอาจารย์วาสุเทพพำนักในแดนเหนือเป็นเวลานาน เป็นที่เคารพเลื่อมใสของทั้งชาวลัวะบนป่าบนดอยแลลัวะที่สร้างบ้านสร้างเมืองข้างล่าง ท่านทราบมาว่าพวกเขาเห็นสตรีปกครองหริภุญไชยจนรุ่งโรจน์จึงริษยา ทำกระด้างกระเดื่องก่อเรื่องก่อราวไม่เว้นแต่ละวัน นับว่ายังดีที่เป็นกลุ่มชาวบ้านตามป่าตามดอย มิใช่พวกมีกองกำลังเข้มแข็ง แต่ท่านว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ เกรงจะมีผู้เอาเยี่ยงอย่าง” พระนางถอนปัสสาสะอีกหน

“พวกเขามองว่าเราเป็นสตรีต่างเผ่า จู่ๆ ก็เข้ามาครอบครองดินแดนที่พวกเขาเคยเป็นใหญ่ ย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา แต่จะให้เรานำกำลังเข้าปราบปราม เราก็เห็นจะทนมิได้ เราเข็ดหลาบกับการสงครามเต็มที หวังใจว่าวิถีสันถวไมตรีจักพอให้พวกเขาเห็นน้ำใจขึ้นมาบ้างกระมัง แต่พระอาจารย์ท้วงว่า ถ้าเป็นพวกกลุ่มชนยิบย่อยก็พอทำเนาอยู่หรอก ขอเพียงมิใช่มิลักขุพวกกุนาระแห่งระมิงค์นครก็แล้วกัน มิเช่นนั้นเราคงต้านทานลำบากทีเดียว”

พระนางเห็นเขามีปฏิกิริยาขึ้นมาเมื่อได้ยินนามนั้นก็ตรัสถาม “ท่านได้ยินมาบ้างแล้วกระมัง”

ระมิงค์นคร…ดินแดนในอดีตกาลก่อนจะเป็นเวียงเชียงใหม่และอาณาจักรล้านนาในอีกหลายร้อยปีข้างหน้านั้นน่ะหรือ

“อันขุนวิลังคะผู้เป็นเจ้านครนั้นขึ้นชื่อเรื่องความบ้าระห่ำ ทั้งยังครองกำลังไพร่พลมหาศาล หากเทียบกันแล้วทหารหริภุญไชยนั้นมีเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น อย่างไรเสียวันหนึ่งเขาก็ต้องมา”

“ขุนวิลังคะ!” ชายหนุ่มตกใจ นึกถึงตำนานอันลือลั่นหลายเรื่องแล้วก็ใจเต้นระทึก มีหลักฐานสงครามระหว่างพระนางจามเทวีแห่งหริภุญไชยกับขุนวิลังคะแห่งระมิงค์นครอยู่กระจัดกระจาย แต่เล่าเป็นตำนานแตกต่างกันจนไม่อาจยึดถือว่าเรื่องใดเป็นเรื่องจริง

“เขาย่อมมาแน่”

แต่ไม่ว่าเป็นตำนานเรื่องใด เขาก็มิปรารถนาให้เกิดความเสียหายตามนั้น ยิ่งหากพระนางทรงเข็ดขยาดจากการทำสงครามด้วยแล้ว ย่อมทำให้เสียเปรียบอาณาจักรที่มีรี้พลมหาศาล

“ข้าพระองค์จะไปสืบความที่ระมิงค์นครเองเจ้าข้า”

“ท่านเอ่ยอันใดออกมาน่ะขุนเจ้า”

“เอ่ยตามที่ทรงสดับนั้นแล” เขาตอบเสมือนยียวน “หากเราเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียวจักเสียเปรียบได้ง่าย จำต้องรู้จักฝ่ายตรงข้ามเสียให้แตกฉาน รู้เขารู้เราเจ้าข้า”

“ส่งขุนพลหรือจารชนสักคนไปสืบมิง่ายกว่าหรือ ท่านมิได้ถูกฝึกฝนให้ทำเรื่องเช่นนี้ จักต้องเสี่ยงชีวิตตนไปเพื่อเหตุใด”

“ใครว่าข้าไม่ถูกฝึกฝน…นางยมลนั่นข้าก็เปิดปากมาจนได้” รัญชน์โอ่ “แล้วที่ข้าเป็นคนเลี้ยงม้าหน้าด่าง เป็นขันทีชาวลัวะมาได้ถึงทุกวันนี้ มิเรียกฝึกฝนจนเชี่ยวชาญอย่างจารชนแล้วงั้นหรือ”

พระนางเงียบไป ดวงเนตรไหวระริกจนใจเขาอ่อนยวบ และยิ่งละลายลงกว่าเดิมเมื่อได้ยินถ้อยรับสั่งต่อมา “เราเป็นห่วงท่าน…ห่วงในฐานะที่ท่านเป็นท่าน มิใช่เจ้าพี่เขน”

“ข้าจะระวังตัวอย่างดี”

พระนางทำท่าเหมือนจะตรัสบางอย่างที่เกี่ยวกับสวัสดิภาพของเขา แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนใจ ราวกับควบคุมพระอารมณ์อ่อนไหวได้สำเร็จ

“เช่นนั้นก็ไปพบพระอาจารย์วาสุเทพให้ท่านสอนสั่งหรือให้สิ่งติดตัวสักหน่อยก็แล้วกัน” ทรงเม้มพระโอษฐ์อยู่อึดใจหนึ่ง “และอย่าลืมไปลาวรใหญ่กับวรน้อยด้วยตัวเอง พวกเขา…รักท่านมาก”



Don`t copy text!