แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 26 : การเดินทาง

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 26 : การเดินทาง

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

ราวต้นเดือนกุมภาพันธ์ คณะเดินทางของเจ้าแกมเมืองก็ออกเดินทางไปยัง ‘ปางขอน’ เมืองเล็กๆ ทางภาคเหนือตอนบนของรัฐไทคำหลวงที่อยู่ใกล้กับชายแดนประเทศจีน โดยรถไฟสายเหนือที่วิ่งจากสถานีต้นทางปะหยิ่นอูละวิ่นไปยังสถานีปลายทางเมืองล่าเสี้ยว กินระยะทางกว่า 400 ไมล์ และใช้เวลาเดินทางบนรถไฟทั้งหมด 9 ชั่วโมง

เมื่อรถไฟเข้าเทียบชานชาลาสถานีย่อยระหว่างทางได้เพียงไม่นาน ผู้คนที่รออยู่ก็แห่กรูกันขึ้นไปนั่งและวางของสัมภาระ ก่อนรถไฟจะค่อยๆ เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ออกจากสถานีมุ่งหน้าขึ้นไปทางทิศเหนือ

ผู้คนบนขบวนรถไฟเต็มเสียทุกตู้นั่ง เสียงพูดคุยกันดังระงมจ้อกแจ้กจอแจเพื่อข่มเสียงรถไฟวิ่ง ตรงชั้นธรรมดามีเสียงเด็กทารกร้องไห้จ้า ผสมกับเสียงนักพรตที่เดินเรี่ยไรขอเงินคนโน้นทีคนนี้ที

หญิงสาวนั่งมองเหม่อออกไปด้านนอกหน้าต่าง สดับฟังเสียงเครื่องจักรรถไฟวิ่งบดรางดังฉึกฉักๆ ทัศนียภาพข้างทางเริ่มจากชุมชนบ้านเรือนผู้คน จนกระทั่งเป็นไร่สวนที่นา ผ่านไปได้สักพัก ก็เต็มไปด้วยป่าไม้และหุบเขา ยิ่งเดินทางขึ้นเหนือมามากเท่าไหร่ หมู่แมกไม้ก็มีมากขึ้นเท่านั้น

เมื่อต้องเดินทางร่วมกับคณะซึ่งเป็นแต่บุรุษชาย จันทร์หล้าซึ่งเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มจึงได้รับอนุญาตให้แต่งกายด้วยกางเกงและเสื้อผ้าทะมัดทะแมงคล่องตัว ผมที่เคยมุ่นมวยขึ้นเกล้าบนศีรษะตอนนี้ปล่อยยาวแล้วมัดเป็นหางม้าผูกริบบิ้น ริบบิ้นแดงเส้นนี้เป็นของแทนใจจากเจ้าสุนันต่าที่มอบให้กับนางพร้อมกับหนังสือนิยายเรื่องโปรดที่ทั้งสองเคยอ่านด้วยกันก่อนนอนทุกคืน

เจ้าหญิงบอกว่า บัดนี้ เจน แอร์ ต้องออกเดินทางไปทำงานกับมิสเตอร์โรเชสเตอร์ที่เมืองไกลเสียแล้ว และคงจะไม่ได้อยู่ฟังท่านเล่าตอนจบของนิยายเป็นแน่ ก็จึงมอบหนังสือนิยายให้เอาไปอ่านที่นู่น จันทร์หล้าจดจำอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นเมื่อตอนจากลา ทั้งเจ้าสุนันต่า ม่อนหอมและนางต่างกอดกัน ร้องห่มร้องไห้

การเดินทางไกลครั้งนี้ถือเป็นการเดินทางครั้งที่สองของหญิงสาวนับตั้งแต่ตกพลัดถิ่นมาอยู่ที่นี่ ครั้งแรกคือเมื่อตอนติดตามเจ้านายไปทำบุญที่เมืองหมอกใหม่ การเดินทางโดยรถยนต์ในครั้งนั้นช่างเป็นอะไรที่ยาวนานและสาหัส หากแต่การเดินทางโดยรถไฟครั้งนี้กลับเนิ่นนานและสาหัสยิ่งกว่าเป็นหลายเท่า

คนต้องตื่นตี 4 มาขึ้นรถไฟแต่เช้านั่งหาวหวอดๆ จนเกือบจะผล็อยหลับบนเบาะนั่งนุ่มๆ ในตู้โดยสารชั้นพิเศษ

“จันทร์หล้า ลุกมานี่ที” เจ้าของเสียงเข้มเรียก ก่อนจะกวักมือเรียกให้นางลุกออกไปหา เขาเดินนำพานางมาแนะนำตัวให้แก่เพื่อนร่วมคณะคนอื่นๆ ได้รู้จัก

“นี่มิสเตอร์แกรแฮม ส่วนนี่ มิสเตอร์ลิ้นช์ ทั้งสองเป็นวิศวกรชาวอังกฤษ”

เขาแนะนำชายทั้งสอง แล้วจึงหันไปแนะนำชายชาวต่างชาติอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่เยื้องๆ กัน “ส่วนนั่น ไมเคิล…เป็นสถาปนิก ไมเคิลเป็นชาวอเมริกันจากบริษัท เพนซิลเวเนีย คอมปะนี ออฟ ลอนดอน เขาจะไปประจำที่ปางขอนกับพวกเรา และจะอยู่ที่นั่นประมาณหกเดือน”

จันทร์หล้าไม่รอช้ารีบยื่นมือออกไปจับมือทักทายคนทั้งสาม หลังจากได้ฝึกฝนภาษากับเจ้าแกมเมืองมาบ้างก่อนหน้า ก็พอทำให้นางรู้จักธรรมเนียมมารยาทแบบตะวันตกและการกล่าวทักทายเป็นภาษาอังกฤษ

“สวัสดีค่ะ ฉันจันทร์หล้า ฉันเป็นเสมียนผู้ช่วยของเจ้าชาย ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน”

“ชื่ออะไรนะ ขอโทษทีผมฟังไม่ถนัด”

“จันทร์หล้า”

“อ้อ ออกเสียงยากอยู่ทีเดียว แต่ช่างเถิด ยินดีที่ได้รู้จัก ผมไม่ค่อยเห็นเสมียนที่เป็นผู้หญิงสักเท่าไหร่ ภาษาอังกฤษของคุณใช้ได้ทีเดียว คุณจบมาจากที่ไหนครับ จากมหาวิทยาลัยในรางกูนหรือเปล่า” มิสเตอร์ลิ้นช์สงสัย

“เปล่าค่ะ ฉันไม่เคยเดินทางไปรางกูนสักครั้ง แต่ฉันเรียนโฮมสกูลกับเจ้าของภาษาที่หอหน้า”

เสมียนสาวหันไปยิ้มให้กับเจ้าชายหนุ่มอย่างรู้กัน ก่อนจะขอตัวกลับมาที่ที่นั่งเพราะรถไฟเริ่มโยกย้ายรุนแรง เจ้าแกมเมืองตามลงมาตรงม้านั่งฝั่งตรงข้าม ใบหน้าคมคายแบบลูกครึ่งดูหล่อเหลาเข้าไปอีก เมื่ออยู่ภายใต้หมวกเบเรต์ใบใหญ่และเสื้อโคตผ้าวูลสีดำตัวยาว ขณะที่ชุดด้านในยังเป็นชุดพื้นเมืองปกติ

“ข้าว่าสูน่าจะมีชื่ออังกฤษ”

“ข้าบ่แม่นคนอังกฤษ จะมีชื่ออังกฤษได้ยังไง”

“จากนี้สูชื่อ ‘ลาน่า’ แล้วกัน ยามที่ต้องแนะนำตัวกับฝรั่ง ก็ให้แนะนำตัวว่าชื่อ ลาน่า…เดินทางขึ้นเหนือหลายร้อยไมล์ครั้งนี้ สูกับข้าต้องสามัคคีกันไว้ มีอะไรช่วยกันได้ต้องช่วยกัน ห้ามอาฆาตมาดร้ายต่อกันเด็ดขาด”

“ใครอาฆาตมาดร้ายต่อใครกันแน่”

เสียงขำขึ้นจมูกหลุดลอดออกมา “…เฮาน่าจะไปถึงล่าเสี้ยวกันเกือบดึกและจะพักที่นั่นหนึ่งคืน เพื่อรอออกเดินทางไปปางขอนในตอนรุ่งสาง คืนนี้จะมีคนขับรถมารับหมู่เฮาที่สถานีรถไฟ เพื่อไปที่พักกัน” เจ้าแกมเมืองอธิบายถึงกำหนดการคร่าวๆ ระหว่างถอดเสื้อโคตตัวยาวแล้วโยนส่งให้จันทร์หล้าเป็นคนถือ เขาคว้าเอาหนังสือนิยายที่วางอยู่บนตักนางไปเปิดดูเพียงไวๆ “ของฝากจากเจ้าปลาหรือ…”

“บาทเจ้า ท่านให้มาเป็นของดูต่างหน้า”

“อย่าเอาแต่ดูอย่างเดียว อ่านมันด้วยก็ดี” เขาว่าก่อนจะส่งหนังสือคืนให้ “ออกมาข้างนอกแบบนี้แล้ว สูจะพูดกับข้าด้วยคำธรรมดาก็ได้นะ บ่ต้องพิธีรีตองมาก แต่เวลาอยู่กับพวกฝรั่งต้องพูดภาษาอังกฤษกัน บ่อย่างนั้นจะถือว่าเสียมารยาท เข้าใจไหม”

จันทร์หล้าพยักหน้า

อากาศภายนอกที่หนาวเย็นห่อหุ้มเจ้าม้าเหล็กตัวโตเอาไว้ขณะกำลังทะยานตัวไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าด้านในขบวนรถกลับอบอุ่นจนรู้สึกร้อน พนักงานเริ่มทำการเดินตรวจตั๋วที่นั่ง

ในตอนนั้นเองความโกลาหลเบาๆ ก็เริ่มก่อตัวขึ้น เมื่อรถไฟกำลังจะแล่นเข้าใกล้สะพานก๊อกเต๊ก ซึ่งเป็นสะพานไม้สูงหลายร้อยเมตรจากพื้นดิน ผู้โดยสารทั้งขบวนต่างพากันเปิดหน้าต่างออกไปดูด้านนอกกันเสียวุ่นวาย บางคนที่รีบวิ่งไปยืนอยู่ตรงประตูก็ถูกเจ้าหน้าที่รถไฟไล่ให้กลับเข้ามา เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นถี่ๆ พร้อมกับความเร็วที่ลดลงจนกลายเป็นจอดแน่นิ่งราวกับกำลังส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง

แกมเมืองหนุ่มไม่รอช้ารีบชักชวนหญิงสาวให้เปิดหน้าต่าง ก่อนจะพากันชะโงกเกือบครึ่งตัวออกไปดูด้านนอก ภาพด้านหน้าขบวนหัวรถจักรที่เห็นอยู่ไกลๆ ปรากฏเป็นสะพานเหล็กขนาดมหึมาที่ทอดตัวเรียงยาวให้รถไฟวิ่งข้ามช่องแคบหุบเขาสูงชัน พื้นด้านล่างเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มเมฆหมอกบดบัง เสียงฮึมๆ ของเครื่องจักร เมื่อกำลังจะเผชิญกับสิ่งสิ่งนั้นทำให้คนด้านในขบวนรถครั่นคร้ามอยู่ในที

“นั่นอะไร”

“สะพานก๊อกเต๊ก ประตูสู่ภาคเหนือ…นี่เป็นหนึ่งในผลงานมาสเตอร์พีชชิ้นเอกของโลกเชียวนะ เป็นความมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมเมื่อเกือบห้าสิบปีมาแล้ว”

“อะไรคือมาสเตอร์พีช” มีเครื่องหมายคำถามแฝงอยู่ในน้ำเสียงที่ถามขึ้นอย่างตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็น

“ก็เป็นสิ่งที่…จะบ่มีใครทำออกมาอีกแล้ว”

เสียงหวูดรถไฟดังก้องกังวานขึ้นอีกครั้ง ขณะค่อยๆ เคลื่อนที่ผ่านสวนมันสำปะหลังและป่ารกทึบด้วยความเร็วที่ลดลงไปเกือบครึ่ง เพียงไม่กี่อึดใจ ขบวนรถไฟก็เคลื่อนตัวเข้าสู่อุโมงค์ถ้ำอันมืดสนิทและเย็นเฉียบ สัตว์ประหลาดแห่งเรขาคณิตสีเงินกำลังลอยคอรออยู่ด้านหน้าที่เต็มไปด้วยความเวิ้งว้างอันไพศาล

เสียงล้อเหล็กของรถไฟบดกับรางเหล็กบนสะพานที่ลอยเหนืออากาศดังกึกกึงๆ และเมื่อรู้สึกถึงความโยกเยกไหวเวิ้งและความสั่นสะเทือนอย่างแรงในความสูงระดับนั้น จันทร์หล้าก็ตกใจกลัวจนต้องรีบหันไปกอดแขนคนข้างๆ กระทั่งเมื่อรถไฟแล่นเข้ามาอยู่บนสะพานจนเต็มขบวน นางก็ค่อยๆ คลายวงกอดลงอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไม่มีใครพูดอะไร มีแต่เสียงหัวใจที่เต้นตึกตักของหนุ่มสาวที่ดังไปตามจังหวะรถไฟเท่านั้น

“เจ้าท่านสัญญากับข้าแล้ว ว่าจะรักข้าดั่งสหาย และดูแลข้าเหมือนเหมือนคนในครอบครัวนับจากนี้”

“ข้าก็บ่ได้ผิดสัญญาอะไร”

“สัญญากับข้าอีกครั้งได้ไหม” ดวงหน้านวลเริ่มเจือสีแดงที่โหนกแก้วเมื่อถูกความหนาวเย็นบาด

“สัญญาก็สัญญา”

“ขอบใจ”

เมื่อเดินทางมาจนถึงสถานีปลายทางเมืองล่าเสี้ยวตอนเวลา 4 ทุ่ม คนขับรถในชุดเครื่องนุ่งห่มอุ่นก็เข้ามาแสดงตัวกับหัวหน้าคณะ ก่อนจะพาคนทั้งหมดหอบหิ้วสัมภาระไปขึ้นรถคอกหมูโบราณสีน้ำเงินกลางเก่ากลางใหม่ ที่จอดอยู่ท่ามกลางสายหมอกลงจัด ผู้คนที่ลงปลายทางแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานบรรยากาศโดยรอบสถานีรถไฟก็เงียบสงัด มีเพียงพวกหมาจรจัดนอนขดตัวอยู่รอบๆ กองไฟนอนเฝ้าสถานี

รถคอกหมูค่อยๆ ขับออกไปตามทางสายหลักของตัวเมืองล่าเสี้ยวที่เงียบเชียบ ก่อนจะมาถึงโรงแรมที่พักประมาณ 20 นาที

เมื่อลงจากรถมายืนอยู่ด้านนอก จันทร์หล้าก็หนาวจนปากสั่น ฟันกระทบกันกึกๆ ริมฝีปากม่วงคล้ำหนาวซีด แม้จะมั่นใจแล้วว่าตนใส่เสื้อหนาอย่างดีแล้วก็ตาม หากแต่อากาศหนาวในเมืองล่าเสี้ยวตอนค่ำคืนนั้นกลับบาดใยผ้าทะลุมาถูกผิว ตอนนี้นางทั้งหนาวทั้งหิวจนแทบจะกินช้างได้เป็นตัวๆ

“ที่ล่าเสี้ยวตอนกลางคืนหนาวอย่างกะแช่แข็ง แต่ตอนบ่ายแดดแรงหยั่งกะเตาไฟ แดดร้อนแต่อากาศเย็น บ่รู้ว่าทางภาคกลางจะมีความร้อนแบบทางนี้ไหม” ชายคนขับรถที่ไปรับชวนคนนั่งสูบบุหรี่แก้หนาวคุยระหว่างที่รอคนมาเปิดประตูรั้วของโรงแรมที่พัก “ที่แสนฟ้ายังหนาวอยู่ไหมเจ้าท่าน”

“ก็หนาวเท่ากันนี่แหละ”

ชายชราหัวเราะน้อยๆ “ว่าแต่ เจ้าชายเคยมาเมืองแถบทางเหนือนี้บ้างไหมบาทเจ้า”

“เอ่อ…” คีบมวนบุหรี่ออกจากปาก ชะงักไปนิด ครั้นจะบอกว่าเคยมาเพราะธุระเรื่องฝิ่นก็ดูไม่ดี คนถูกถามจึงตัดจบที่ว่าไม่เคย แล้วทำทีเป็นถามไปเรื่องอื่นแทน “…แล้วคนทางนี้ท่านแก้หนาวกันอย่างไร”

“ดื่มสาโทเจ้าท่าน สาโทพื้นเมืองของที่นี่รสแรงแต่นุ่มคอ แก้หนาวดีนักแล ข้าเตรียมใส่หลังรถมาด้วยหลายไห จะรับพร้อมอาหารมื้อดึกเลยไหมเจ้าท่าน”

“จัดมาที คงจะชื่นใจดีนัก คนอื่นหิวข้าวแล้วก็หนาวกัน”

สักพัก เจ้าของรีสอร์ตที่เป็นชายเชื้อสายจีนก็ออกมาต้อนรับคณะเดินทาง ยิ่งเมื่อรู้ว่าคณะที่มาเป็นคณะของเจ้านายแห่งเมืองใหญ่ทางภาคกลาง เขาก็จึงรีบสั่งลูกน้องให้เปิดครัวเป็นการจำเพาะเพราะอยากต้อนรับขับสู้เจ้านายให้สมเกียรติในฐานะเจ้าบ้าน

จันทร์หล้าตัวสั่น ไม่รู้ว่าสั่นหนาวหรือสั่นหิว แต่ใจจดจ่อรออยู่แค่อาหาร จนเมื่อได้บะหมี่ไก่และหมั่นโถวเข่งใหญ่สมใจแล้ว นางจึงนั่งแยกโต๊ะออกมาจากกลุ่มของพวกผู้ชายที่ตั้งวงกินข้าวพร้อมกับไหเหล้าต้มพื้นบ้าน

ไม่สนใจอะไรแล้วเวลานี้ นอกจากอาหารที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น หญิงสาวตั้งหน้าตั้งตาซดน้ำซุปร้อนๆ ในชามจนตาแป๋วด้วยความหิวโหย จนไม่ทันสังเกตว่ามีใครหลายคนแอบมองเป็นอาหารตา ทั้งหนุ่มๆ ลูกจ้างของเถ้าแก่ หรือแม้แต่พวกนายช่างในคณะที่นั่งล้อมวงดื่มสุรา ต่างก็แอบมองแก้มแดงๆ ยวงนั้น

“อี่นาย กลับเข้าห้องไปได้แล้วไป ดึกแล้วนะ” เจ้าแกมเมืองเดินมาบอกจันทร์หล้าที่โต๊ะแบบอ้อมๆ หากแต่ถูกหญิงสาวที่ยังคงซดบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อยทำตาละห้อยใส่

“แต่ข้ายังกินบ่อิ่ม”

“ก็เอาเข้าไปกินในห้องซี ข้างนอกมีแต่พวกผู้ชายกับคนเมา มันอันตราย”

“ก็ได้”

ท้ายที่สุด จันทร์หล้าก็จำต้องยกชามบะหมี่และเข่งหมั่นโถวของตัวเองหลบลี้เข้าไปกินอยู่เหงาๆ ในห้อง ภายหลังแกมเมืองหนุ่มรู้สึกผิด จึงเดินถือจานอาหารมาส่งให้อีกสองสามอย่าง ก่อนจะบอกให้นางลงกลอนประตูปิดหน้าต่างให้แน่นหนา คืนนี้ เขาไม่อนุญาตให้นางเปิดประตูห้องออกมาด้านนอกอีกแล้ว

ครั้นยามฟ้าใกล้สาง ไก่แจ้ของเถ้าแก่ที่เลี้ยงไว้ในสุ่มก็ขันเบิกดวงตะวันและเรียกแขกให้ตื่นขึ้นคณะเดินทางเก็บข้าวของอย่างรวดเร็วและออกเดินทางกันอีกครั้ง

รถคอกหมูโดยสารยังคงแล่นขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงทางแยกระหว่างทางไปเมืองปางขอนและเมืองแสนหวีตรงถนนใหญ่ รถบรรทุกหลายคันมักจะขับตรงไปเพราะนั่นคือทางไปด่านชายแดนจีน แต่รถคันนี้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นทางถนนขรุขระ จนสัมภาระเด้งกระเด็นกระดอนตามจังหวะรถตกหลุมบ่อจนต้องช่วยกันจับไว้

เมื่อผ่านเส้นทางขรุขระนั้นมาได้ รถก็แล่นเข้าสู่เส้นทางที่คดเคี้ยวสูงต่ำจนมองเห็นทุ่งนาและหมู่บ้านชนบท ชาวเมืองทางนี้ส่วนใหญ่เป็นชาว ‘ไทเหนือ’ มีอาชีพหลักเป็นการเพาะปลูกทำไร่ไถนา ชาวไทเหนือเป็นชาวไทพื้นเมืองอีกกลุ่ม ที่มีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกันกับวัฒนธรรมจีน

การเดินทางอันแสนยาวนานสิ้นสุดลง เมื่อรถเลี้ยวเข้าสู่อาณาจักรไร่ส้มอันแสนกว้างใหญ่ไพศาล ต้นส้มสามหมื่นกว่าต้นยืนกินเนื้อที่หลายร้อยไร่ไกลสุดลูกหูลูกตา แปลงปลูกส้มแบ่งออกเป็นสัดส่วนอย่างมีระเบียบแบบแผน สีเขียวของต้นส้มตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้าและผลส้มที่ยังเก็บไม่หมด

ลูกจ้างนับร้อยกำลังขมีขมันเร่งเก็บผลส้มใส่ในตะกร้า พอเห็นรถผู้มาเยือนเลี้ยวเข้ามา ก็มีเสียงตะโกนบอกต่อกันเป็นทอดๆ ว่า ‘เจ้าชายมาแล้ว เจ้าชายมาแล้ว’ เมื่อนั้น คนงานทั้งหลายก็จึงรีบทิ้งงานในมือตัวเอง แล้วหันไปหอบลูกจูงหลานวิ่งตามรถขึ้นมาตรงลานด้านบน ตรงนั้นมีอาคารเรือนหลังใหญ่ที่มีป้ายกระดาษเขียนด้วยอักษรมงคลภาษาจีนสีแดงตั้งเด่นตระหง่าน ต่างนั่งลงยกมือไหว้ท่วมหัวแล้วว่า

‘ไหว้สา ไหว้สาเจ้าชาย โจมโหมฮับต้อนอยู่ข้า (ยินดีต้อนรับ)’

เจ้าชายผู้สูงศักดิ์เดินลงมาจากหน้ารถออกแสดงตัวรับไหว้ ลูกจ้างสวนส้มมองท่านด้วยความเคารพชื่นชม เมื่อได้เห็นว่าเจ้านายคนใหม่เป็นคนหนุ่มแน่นที่จะมารับช่วงต่อสวนส้มจากเจ้าของคนเก่า

คณะเอาของไปเก็บยังเรือนนอนซึ่งอยู่ในอาคารบริวารหลังจากนั้น จันทร์หล้าจะนอนร่วมเรือนใหญ่กับเจ้าแกมเมืองและเลขาฯ ของเจ้าฟ้าที่พักอยู่บนชั้นสอง มินตูขอแยกออกไปนอนห้องเล็กๆ ที่แยกจากเรือนใหญ่ออกไป เมื่อเก็บข้าวของและเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเสร็จสรรพ ทุกคนก็ออกมานั่งจิบน้ำชาคลายหนาวกันอยู่ที่ศาลาหลังใหญ่บนเนินที่สามารถมองเห็นสวนส้มในมุมสูง

ไม่นาน แม่ครัวและลูกมือก็ยกถาดอาหารเข้ามาต้อนรับ อาหารส่วนใหญ่ที่นำมาเป็นอาหารจีนที่ค่อนข้างมันเยิ้มไปด้วยน้ำมัน ซึ่งพวกฝรั่งกินไม่เป็น อย่างเช่นขาหมูและหมั่นโถว ไก่คั่วพริกแห้ง พริกหนุ่มทอดน้ำมัน ผัดถั่วแขกดอยใส่เครื่องในไก่ หรือผัดใบกระเทียมและรากชูหมูสามชั้น ถึงแม้แม่ครัวจะเอาหมั่นโถวไปทอดน้ำมันให้แล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังกินกันเป็นของทานเล่นอยู่ดี

กระทั่งช่วงสายๆ หัวหน้าคนงานก็นำรถกระบะมารับคณะเพื่อออกไปสำรวจพื้นที่โดยรอบ และดูหลักเขตแนวสวนส้ม ก่อนช่วงบ่ายจะเดินทางไปสำรวจกันต่อที่ลำน้ำและขึ้นดอยไปวัดทิศทางลมกันในช่วงเย็น

จันทร์หล้าอยู่เฝ้าเรือนที่พัก มีหน้าที่เก็บกวาดเช็ดถูเรือน กว่าชาวคณะจะกลับเข้าที่พักอีกครั้งก็เกือบมืด และในเย็นนั้น แม่ครัวก็ยังจัดสำรับเป็นอาหารจีนให้เหมือนเดิม พวกฝรั่งทำหน้าอิหลักอิเหลื่อมองหน้ากันไปมา

เสียงเคาะเรียกที่หน้าประตูห้องพักดังขึ้นสามครั้งตามมารยาท จันทร์หล้าที่กำลังตากเสื้อผ้าหลังจากอาบน้ำสระผมเสร็จใหม่ๆ ก็รีบวิ่งมาเปิดประตูด้วยความสงสัย เจ้าแกมเมืองนั่นเอง

“นอนหรือยัง”

“ยัง เจ้าท่านมีอะไร”

“ฝรั่งหิวข้าว วันนี้ออกไปทำงานข้างนอก อาหารแทบบ่ตกถึงท้อง”

หญิงสาวชะเง้อไปมองศาลาหน้าบ้านที่ก่อกองไฟไว้ เห็นพวกฝรั่งนั่งสูบบุหรี่กันอย่างหมดเรี่ยวแรง แน่ละสิ นางไม่เห็นพวกเขาแตะอาหารที่แม่ครัวทำให้เลยสักนิด ตอนแรกก็คิดว่า พวกเขาอาจจะยังไม่หิว

“งั้นเดี๋ยวข้าจะไปบอกแม่ครัวให้”

เจ้าแกมเมืองรีบยั้ง “แม่ครัวกลับเข้าหมู่บ้านไปแล้ว จะขึ้นมาที่นี่อีกทีก็เช้ามืด…สูไปทำอาหารมาที”

“แต่ข้าทำอาหารฝรั่งบ่เป็นเจ้าท่าน”

“สูเป็นผู้หญิงประสาอะไรทำกับข้าวบ่เป็น” คิ้วเข้มๆ ขมวดเข้าหากัน

“อ้าว ก็ถ้าเป็นกับข้าวพื้นเมืองก็พอได้ แต่กับข้าวฝรั่งข้าบ่เคยกินนี่นา ข้านึกบ่ออกว่าจะต้องทำยังไง”

“งั้นไปช่วยข้าทำที”

เจ้าชายสรุป ก่อนทั้งคู่จะพากันเดินเข้าไปในครัว ทว่าเมื่อเปิดประตูครัวไฟเข้าไปแล้วก็ต้องผงะ สภาพในครัวนั้นสะอาดสะอ้านโล่งโจ้ง จนแทบหาวัตถุดิบหรือภาชนะเครื่องปรุงไม่เจอ ไม่รู้ว่าของแต่ละอย่างถูกไปซุกซ่อนอยู่ที่ใด เจ้าชายหนุ่มยกมือกุมขมับ

“ไยฝรั่งถึงกินยาก อาหารวันนี้ก็อร่อยดี เหตุใดพวกเขาถึงกินกันบ่ได้”

“ก็ดูอาหารแต่ละอย่างสิ ทั้งเครื่องเทศ เครื่องในสัตว์ ผักฉุน คนพวกนี้เขาบ่กินอะไรทำนองนี้กัน”

“ถ้างั้นจะกินอะไรได้ล่ะเวลานี้ มืดค่ำแล้วด้วย จะไปไหนมาไหนก็บ่สะดวก”

เจ้าแกมเมืองยืนคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะให้จันทร์หล้าตามไปส่องไฟให้เขามุดเข้าไปในเล้าไก่ พวกไก่ที่กำลังหลับแตกตื่นตกใจกันระนาว ในที่สุดก็ได้ไก่หนุ่มมาเชือดทำอาหารง่ายๆ อย่างไก่ทอดและมันหวานต้ม ให้ฝรั่งพอกินประทังหิวพอผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ จันทร์หล้าที่คอยเป็นลูกมือช่วยหยิบจับนั่นนี่และคอยเติมฟืนเป็นครั้งคราว แอบลอบมองเขาที่กำลังทำอาหารอย่างขมีขมัน

“ข้าจะสอนสูทำกับข้าวฝรั่ง จากนี้ต่อไปสูช่วยดูแลกับข้าวสามมื้อให้พวกฝรั่งที ข้าจะให้สูถือถุงเงินไว้เพื่อจ่ายตลาดในเมือง ข้าต้องการอาหารเช้าแบบง่ายๆ ให้พวกเขา ตอนกลางวันเป็นแซนด์วิชหรือขนมปังเอาไปส่งให้ที่แคมป์คนงานบนดอย ตอนเย็นจัดอาหารให้เป็นประเภทเนื้อสัตว์ ซุบข้นและแป้ง”

จันทร์หล้าอ้าปากค้าง ไม่รู้จักอาหารอะไรสักอย่างที่เขาพูดมา

แรกๆ ช่วงที่ยังไม่ได้ลงงานและตั้งแคมป์ก่อสร้าง เจ้าแกมเมืองก็มีเวลามาสอนจันทร์หล้าทำอาหารฝรั่ง ทั้งพวกมันฝรั่งบดและทำเส้นสปาเกตตีสด วัตถุดิบต่างๆ ดัดแปลงจากที่มีอยู่ในตลาดที่ทั้งสองออกไปซื้อด้วยกันทุกวันศุกร์ ในเมืองจะมี ‘กาด’ หรือตลาดนัดที่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปทุกอาทิตย์
จันทร์หล้าลองฝึกผสมแป้งทำขนมปังแบบฝรั่งและฝึกทำแยมส้มด้วยตัวเอง และด้วยเตาอบถ่านที่เจ้าแกมเมืองทำขึ้นมาจากอิฐและดิน นั่นจึงทำให้พวกฝรั่งมีชีวิตอยู่รอดได้ในแต่ละวันและมีแรงออกไปทำงานที่แคมป์คนงานก่อสร้าง

การวางแปลนทำฝายและอ่างเก็บน้ำเป็นโครงการแรกที่เจ้าของสวนส้มคนใหม่กำลังจะเริ่มทำการสำรวจและวางแปลนภูมิทัศน์กำลังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการ ก่อนจะจัดสั่งวัสดุอุปกรณ์และจัดหาแรงงานเพื่อให้เสร็จทันหน้าแล้งที่ใกล้จะมาถึง

ช่วงนี้เจ้าแกมเมืองงานยุ่งและมักจะออกไปทำงานตั้งแต่เช้ามืด กลับมาอีกทีก็มืดค่ำในสภาพอิดโรยและมอมแมม วิศวกรเขาทำงานหนักกันแบบนี้หรือ จันทร์หล้าเคยสงสัย ส่วนนางหันไปใช้เวลาส่วนใหญ่ในสวนส้มและผูกมิตรกับพวกลูกจ้าง ตอนเย็นก็ต้องมาตระเตรียมอาหารไว้ให้ทั้งเจ้าชายและคณะ ส่วนคนอื่นๆ แม่ครัวก็ทำอาหารให้กินตามปกติ

เจ้าแกมเมืองมอบหมายงานให้จันทร์หล้าทำอีกอย่าง นั่นคือการสำรวจรายชื่อและจัดทำบัญชีครอบครัวลูกจ้างทั้งหมดที่มีอยู่ในสวนมีจำนวนเกือบห้าสิบกว่าครอบครัว ไม่นับรวมลูกจ้างรายวันที่จะเข้ามาเฉพาะช่วงเก็บเกี่ยวผลส้ม จันทร์หล้าจะต้องทำบัญชีและจ่ายเงินเดือนให้กับพวกเขาในแต่ละเดือน ทั้งหมดเหล่านี้ เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นในหน้าที่เสมียนอันยุ่งเหยิง

 



Don`t copy text!