ละเล่นลานรัก บทที่ 22 : ขอหวนคืน

ละเล่นลานรัก บทที่ 22 : ขอหวนคืน

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

แม้วันอาทิตย์จะเป็นวันหยุดทำงานตามปกติ ปรียานุชยังตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ หากเมื่อคืนก็นอนไม่ค่อยจะหลับ เพราะครุ่นคิดถึงคนที่เคยคบหาดูใจกันจนถึงขั้นตัดสินใจที่จะครองคู่กันหลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัย แต่ทุกอย่างพังลงไม่เป็นท่า แม้ฝ่ายชายจะจับจองตัวเธอไว้ด้วยแหวนทองวงหนึ่งแล้วก็ตาม

เมื่อเธอตัดใจที่จะไม่รับรู้ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของเอกลักษณ์มาหลายปี จนได้หวนมาพบกันในวันก่อน เธอจดจำอีกฝ่ายได้ดีตั้งแต่แรกเห็นพร้อมทั้งวาจาที่เคยบอกต่อกันไว้ก็ยังแว่วให้ได้ยิน

คงเป็นเพราะวันเวลาผันผ่านหรือสถานการณ์หลายอย่างทำให้ใจของบางคนไม่มั่นคงพอ ทุกถ้อยคำจึงกลายเป็นแค่ลมปากของคน

เธอเคยพบความสุขเกษม ก่อนจะได้รับฟังบางอย่างจากปากเขาซึ่งลบล้างความสุขนั้นให้หายไปในทันที ประหนึ่งเขายื่นของขวัญถูกใจไว้ตรงหน้า จนเธอรับมาถือไว้กับมือแล้วค่อยบอกว่ามอบให้ผิดคน

เขาปล่อยเธอให้อยู่รอด้วยความหวังที่คิดว่าจะแจ่มชัดในสักวัน หากแท้จริงค่อยๆ เลือนราง สุดท้ายความหวังนั้นก็ภินท์พังด้วยน้ำมือของเอกลักษณ์เพียงคนเดียว

ภาพอดีตผ่านเข้ามาในความนึกคิด ยามที่ทั้งสองเป็นคนรักกันราวกับเอกลักษณ์กลับมาขุดภาพเหล่านั้นให้เกิดขึ้นในความทรงจำ ทั้งที่เธอไม่คิดจะนึกถึงมันอีกเลย

วันนั้นเป็นวันที่มีทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในชีวิตจนเธอต้องสะกดกลั้นน้ำตาไว้และยิ้มออกมาอย่างคนที่ยินดีไปกับเขา

เอกลักษณ์ปั่นจักรยานซึ่งมีเธอนั่งบนเบาะหลัง เพื่อมาส่งเธอถึงหอพักใกล้มหาวิทยาลัย หากยังนั่งคุยกันต่อตรงม้านั่งด้านล่างของอาคารเหมือนทุกวัน แม้เขาไม่มีท่าทีผิดปกติใดๆ จนเธอเองก็ไม่คิดเลยว่าสิ้นสุดของการพบกันในวันนั้นจะเป็นเวลาที่ใจตั้งรับไม่ทันกับสิ่งที่จะต้องเผชิญต่อไปในอนาคต

พอคุยกันได้สักพัก เขาก็เริ่มทำตามเจตนาของตน

‘เราขอดูมือซ้ายของปรีหน่อยได้ไหม’ เอกลักษณ์พูดกับเธอ

‘จะดูลายมือให้เราหรือไง’ หญิงสาวยังพูดติดตลก ยื่นมือซ้ายให้อีกฝ่ายโดยดี

เขาจับมือซ้ายของเธอ จากนั้นเอกลักษณ์ก็นั่งคุกเข่าลงกับพื้น ขณะที่เธอยังนั่งบนม้านั่ง

‘เราอยากจะให้แหวนวงนี้กับปรี จะเรียกว่าแหวนหมั้นหรือแหวนขอแต่งงานก็ได้ ปรีจะรับแหวนวงนี้จากเราได้ไหม’ เอกลักษณ์ล้วงหยิบแหวนในกระเป๋ากางเกงยื่นให้เธอได้เห็น

ปรียานุชมองดูแหวนทองไม่มีลวดลายในมือเขาด้วยหัวใจพองโต ความยินดีปรีดาแสนสุขสมใจก่อเกิดขึ้นมาอย่างมหาศาล

เมื่อรู้ว่าความรักเริ่มจะสุกงอม เธอกับเขาจึงพูดถึงการแต่งงานหลังเรียนจบ แต่อยู่ดีๆ เขาก็ใช้แหวนจับจองตัวเธอไว้เพื่อให้ใครต่อใครรู้ว่าเธอเป็นคนมีเจ้าของแล้ว

เธอตอบตกลงอย่างไร้ข้อกังหาและไม่ได้ฉุกคิดถึงเรื่องใดทั้งสิ้น ปล่อยให้เขาสวมแหวนซึ่งพอดิบพอดีกับนิ้วนางข้างซ้ายของเธอ

เขามอบความหอมหวานด้วยขนมชิ้นโตได้ไม่นาน เขาก็ราดความขมบนขนมชิ้นนั้น ก่อนจะยื่นส่งให้แก่เธอ

‘เรามีเรื่องจะบอกปรี’ เอกลักษณ์เอ่ยขึ้น เมื่อกลับขึ้นไปนั่งข้างๆ เธอ หากเขายังยิ้มให้กันเหมือนปกติ

วันนั้นไม่มีสัญญาณใดๆ บอกกล่าวกันเลยว่าเขากับเธอต้องไกลห่างกัน หรือความสุขสำราญใจนั้นบดบังความผิดปกติหลายอย่างเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกถึง

เธอจึงตั้งใจรับฟังราวกับคาดว่าเขาจะตักขนมชิ้นนั้นป้อนถึงปากให้เธอเคี้ยวด้วยความเบิกบานใจ แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด

‘อีกสองวัน เราต้องไปเรียนที่ต่างประเทศ มันกะทันหันมาก จนเราเองก็ไม่รู้จะทำยังไง จะไม่ไปก็ไม่ได้ เพราะพ่อกับแม่อยากให้เราไป ยังดีที่เราพอมีเวลาไปหาแหวนมาให้ปรี’

ปรียานุชได้ยินเหตุผลแท้จริงที่เขามอบแหวนให้แก่เธอ เมื่อทราบแล้วว่าเขากับเธอต้องอยู่ไกลกัน ภาพหลายสิ่งหลายอย่างก็ผ่านเข้ามาในความคิด หัวใจที่พองโตค่อยๆ ห่อเหี่ยวลงทันควัน ความหวานที่เจือด้วยความขมจนต้องกลืนน้ำลายลงคอ และกลั้นน้ำตาไม่ให้เอ่อท้นขอบตาสองข้างอีกครั้ง เพราะอยากให้น้ำตาที่เคยมีด้วยความปลาบปลื้มใจยังคลอหน่วยอยู่เช่นเดิม

‘ปรีเข้าใจเราใช่ไหม เราขอจองปรีไว้ก่อน พอเราเรียนจบจากที่นั่น เราก็จะกลับมาแต่งงานกับปรี ปรีรอเราได้ใช่ไหม’

เธอไม่ได้รับปากด้วยคำพูด ทำได้แค่เพียงพยักหน้ารับคำของเขา

‘อย่ากังวลไปเลยนะ ถึงเราจะไปอยู่ต่างประเทศ เรายังติดต่อถึงกันได้ สมัยนี้แล้วความห่างไกลไม่ใช่อุปสรรคระหว่างความรักของเราสองคนหรอก’ เอกลักษณ์ยังพร่ำพูดถึงคำที่เตรียมมาบอกเธอ

แรกๆ ที่เขาไปถึงต่างแดนก็ติดต่อถึงกันเป็นประจำ ผ่านไปสักสองเดือนก็เริ่มคุยกันเป็นครั้งคราว จนเขาหายเงียบไปหลายเดือน สุดท้ายเธอจึงได้รู้ว่าทุกคำพูดของเขานั้นไม่เป็นความจริง

แหวนที่เคยนำมาจับจองเธอให้รู้ว่ามีเจ้าของก็ไม่เคยย้ำเตือนเขาได้เลยว่ายังมีคนรักรอการกลับมาของเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ความห่างไกลเหมือนเครื่องบดถนนที่บี้บดขยี้ความรักของเขาไม่ให้หลงเหลือไว้สำหรับเธอ ต่างจากความรักของเธอที่เคยมอบให้เขาซึ่งครั้งหนึ่งยังมีให้เห็นแจ่มแจ้งประจักษ์ในใจเธอจนถึงวันที่จบสิ้นกันเสียที

งานวิวาห์กับชุดเจ้าสาวที่เธออยากสวมใส่ก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา ความหวังที่เคยเห็นอยู่ไกลสุดลูกหูลูกตาก็เหมือนกับคนตาบอดซึ่งมองไม่เห็นอีกเลย เมื่อทราบว่าเขาเปิดตัวแฟนใหม่ในต่างแดน

ปรียานุชกลายเป็นแฟนเก่าของเอกลักษณ์นับตั้งแต่วันนั้นจนบัดนี้ เรื่องราวที่เธอถูกทิ้งโดยไม่รู้ตัวก็มีธารทิพย์คอยรับรู้และให้กำลังใจกันเรื่อยมา

จนเธอสมานแผลใจตัวเองด้วยการงานและเด็กๆ ที่มีความใสซื่อบริสุทธิ์ซึ่งต่างจากผู้ใหญ่บางคนที่คิดจะโกหกหลอกลวงกัน

เอกลักษณ์จะกลับเข้ามาในชีวิตเธอเพื่ออะไร

มาดูเธอว่าอยู่ดีมีสุขหรือไม่

มาเพราะยังมีเยื่อใยต่อกัน

มาเพื่ออยากให้รู้จักแฟนคนปัจจุบันของเขา

ความคิดมากมายวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาจนเธอไม่มีความคิดที่จะทำอย่างอื่น และยังต้องเตรียมตัวเตรียมใจที่จะได้พบหน้าเอกลักษณ์ในอีกไม่ช้าแน่นอน

ยิ่งนึกถึงเรื่องในวันวานก็ยิ่งเกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับเอกลักษณ์ หญิงสาวจึงกลับมาอยู่กับปัจจุบันซึ่งนั่งในบ้านตามลำพัง หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน บิดามารดาก็ออกไปซื้อของ แม้ชวนเธอให้ไปด้วยกัน แต่เธออยากพักผ่อนอยู่บ้านดีกว่า

เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นบ่งบอกถึงการมีผู้มาเยือน ปรียานุชเดินไปยังประตูหน้าบ้าน จนได้พบกับคนที่เพิ่งจะนึกถึงซึ่งไม่คิดว่าเขาจะกล้ามาพบเธอเร็วขนาดนี้

“ปรี เราอยากมาคุยกับปรี” เอกลักษณ์ทำเป็นใจกล้า เมื่อได้พบหน้าเธอและพูดออกไปแล้วก็โล่งใจที่กล้ามาเจอเธอได้สักที แม้หญิงสาวจะแค่ยิ้มน้อยๆ ให้กันก็ตาม

เธอบอกตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าจะดีใจหรือแค้นเคืองที่หวนมาพบกับเขาอีกครั้ง หากยังยืนนิ่งรับฟังคำของเขา

“เรารู้ว่าเราทำผิดกับปรี เราสำนึกผิดจริงๆ ตอนนี้เราไม่มีใคร เราก็เลยมาทวงคำที่เคยบอกกับปรีไว้ เราอยากให้ปรีให้โอกาสกับเราอีกครั้ง แค่ปรีไม่โกรธไม่เกลียดเราก็พอ เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม” เอกลักษณ์พูดทุกถ้อยคำที่อยากบอกให้เธอรู้

ปรียานุชรับฟังอย่างคนเข้าใจดีทีเดียว เธอไม่เคยโกรธหรือเกลียดอีกฝ่าย แต่เธอก็ไม่ดีใจที่จะกลับมาคบกับเขาอย่างคนรักกันได้อีก

ความรักที่เคยมอบให้แก่คนบางคน ถ้าวันหนึ่งมันถูกทำลายไปจนหมดสิ้นก็คงไม่เหลือเศษซากที่จะประกอบเป็นความรักได้ใหม่ แม้แต่ความรู้สึกดีดีที่เสียไปก็ยังยากที่จะรู้สึกดีต่อกันได้อีก

สิ่งที่เธอมีให้กับเอกลักษณ์ก็คงเป็นเช่นนั้น เนื่องด้วยอีกฝ่ายเป็นคนเคยรู้จักกัน ทำให้เธอต้องต้อนรับเขาเฉกเช่นมิตรสหายทั่วไป

“จำแหวนที่เราให้ไปวันนั้นได้ไหม” เอกลักษณ์เอ่ยถาม เมื่อเธอยังไม่มีคำใดให้แก่กัน

ในที่สุดปรียานุชก็บอกออกมา “อยากจะพูดกับเราแค่นี้ใช่ไหม”

“เราขอโทษจริงๆ ที่บอกให้ปรีรอ เราผิดเองที่ไปคบคนใหม่จนไม่สนใจปรี” เขารู้อยู่เต็มอก

เธอไม่อยากให้เขาตอกย้ำเรื่องราวในอดีต แค่รู้เจตนาของอีกฝ่ายที่หวนมาเจอกันเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว “เราขอเวลาสักพัก แต่เราไม่ได้โกรธหรือเกลียดเอก อดีตมันผ่านมาแล้ว อย่ารื้อฟื้นจะดีกว่า เราอยากอยู่กับปัจจุบันมากกว่าที่จะสนใจอนาคตหรือมัวแต่นึกถึงอดีต”

เอกลักษณ์แย้มยิ้มมากขึ้น หลังจากได้ยินคำกล่าวของเธอ เขาเริ่มเห็นหนทางที่จะได้คบกันอีกครั้ง ก่อนที่จะเอ่ยคำใดก็มีเสียงหญิงสาวอีกคนดังขึ้นอยู่ด้านหลัง

“ปรีคุยกับใครอยู่เหรอ” ธารทิพย์เดินมาหาเธอ พอมองเห็นหน้าชายหนุ่มชัดเจนก็เอ่ยขึ้นอีก “ทำไมหน้าตาคุ้นๆ แต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน”

ธารทิพย์ไม่เคยเจอหน้าเอกลักษณ์มาก่อน เพราะตอนที่เธอกับเขาคบกันนั้น ปรียานุชยังไม่เคยพาคนรักมาที่บ้านตัวเองเลยสักครั้งเดียว จึงมีแต่รูปภาพของเอกลักษณ์เท่านั้นที่เพื่อนสาวเคยเห็นผ่านตา

“เอกหรือเอกลักษณ์ คนที่ฉันเคยเล่าให้ฟัง” ปรียานุชพูดเสียงอ่อน แต่ก็ตอบเพื่อนไปตามความจริงซึ่งยังไม่จริงทั้งหมด ขาดแค่คำว่าแฟนเก่าของฉันเอง

ธารทิพย์นึกตามคำที่ได้ยิน พอรู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้านั้นเป็นใครที่เคยเข้ามาในชีวิตเธอ ก็โพล่งออกมา “คนที่ทิ้งปรีไปเรียนเมืองนอกแล้วไปคว้าของนอกเป็นแฟนนั้นเหรอ ปล่อยให้ปรีรอแล้วรอเล่า จะมาหากันทำไมอีก หรือเบื่อของนอกแล้วก็บอกมาเถอะ”

ประโยคท้ายๆ ธารทิพย์หันไปพูดกับเอกลักษณ์แบบไม่ไว้หน้ากัน

เขาเห็นท่าไม่ค่อยดี เมื่อมีคนอื่นมาขัดจังหวะและยังรู้สึกถึงทิฐิที่มีต่อกัน จึงคิดจะล่าถอยเพื่อไปตั้งหลัก “วันนี้เราขอรบกวนเวลาปรีเท่านี้ก่อนนะ แล้วเจอกันวันที่ปรีจัดกิจกรรม เราขอมาเล่นกับปรีด้วยคน”

เอกลักษณ์รีบจ้ำอ้าวไปที่รถยนต์ของตนเอง เมื่อยังเห็นธารทิพย์คอยยืนทำตาดุใส่อยู่อย่างนั้น

“เอกกลัวจนหนีไปแล้ว พอเถอะธาร” เธอพูดกับเพื่อนสาวที่ยังจำฝังใจไม่ต่างกัน หลังจากเอกลักษณ์ขับรถห่างออกไป

“คนแบบนั้นต้องเจออย่างฉัน พูดกันตรงๆ จะได้รู้เรื่องกันไป” ธารทิพย์ยิ้มเยาะให้กับคนที่ไม่ได้อยู่เสวนากันต่อ จากนั้นก็พูดกับเธอ “ปรีไปชวนมันให้มาร่วมกิจกรรมกันด้วยเหรอ”

“ฉันไม่ได้เป็นคนชวนเอกเองหรอก แต่คุณเก่งเคยบอกฉันว่าจะให้เพื่อนมาร่วมเล่นด้วยกัน ฉันก็ตอบตกลงไป เพื่อนคนนั้นของคุณเก่งคือเอก”

“เคยได้ยินคนอื่นบอกโลกมันกลม ฉันว่าโลกมันกลมจริงๆ แหละ ถึงได้มาเจอกันอีก มันมาหาปรีทำไม” ธารทิพย์ถามถึงเรื่องที่อยากรู้

“เอกมาขอให้ฉันเริ่มต้นคบกันใหม่” ปรียานุชไม่เคยมีเรื่องใดปกปิดเพื่อนสาวผู้นี้

“คิดจะรีเทิร์นกับแฟนคนก่อนเหรอ” ธารทิพย์ลองถามยันเชิงเธอ

“ฉันยังไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น ตั้งแต่ได้กลับมาเจอกัน ฉันยังบอกตัวเองไม่ได้สักทีว่าดีใจที่ได้เจอเอก ทั้งที่หลายปีก่อนก็หวังมาตลอดว่าเอกจะกลับมาหากัน แต่ตอนนี้เลิกหวังไปนานแล้ว ฉันยังเฉยๆ ที่เอกมาขอคืนดี” เธอบอกไปตามความรู้สึกที่เกิดขึ้น

“ถ้าคิดจะรีเทิร์นก็คิดให้ดีๆ นะปรี หากคนเรามีใจมั่นคงพอ คงไม่คิดทิ้งกันไปมีใหม่ง่ายๆ หรอก สมมุติวันหนึ่งมันไปเจอคนที่พอใจกว่า มันอาจจะทิ้งไปอีกก็ได้ เรื่องแบบนี้จะให้แน่นอนกับใจคนพรรค์นั้นไม่ได้หรอกนะ”

“แต่เราควรให้โอกาสคนใช่ไหม อย่างน้อยก็คบกันเป็นเพื่อนได้ อย่าเพิ่งเอาความผิดครั้งเดียวมาตัดสินคนคนหนึ่งสิ” เธอเหมือนจะแก้ตัวแทนเอกลักษณ์

“ฉันไม่ห้ามหรอกนะ ถ้าปรีคิดจะกลับไปคบกับมัน แต่คนเราเจ็บแล้วต้องจำนะ ยังมีคนที่ดีกว่ามันรอให้ปรีพบเจอ ถ้าอยากเป็นเพื่อนกับมัน ฉันไม่คัดค้าน แต่ต้องบอกมันให้รู้ว่ากลับมาเป็นได้แค่เพื่อนกันไม่ใช่เป็นแฟน ลองคิดดูดีๆ มีอะไรก็มาปรึกษาฉันได้เสมอ” ธารทิพย์บอกเธอด้วยความห่วงใย เมื่อนึกถึงสาเหตุที่เดินมาที่บ้านของเธอก็พูดต่อ “ฉันจะไม่อยู่บ้านสักอาทิตย์หนึ่งนะปรี ฝากดูบ้านให้ด้วยนะ”

เมื่อเพื่อนสาวผละไปบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เธอก็เดินกลับเข้าบ้านพร้อมทั้งนึกถึงหลายถ้อยคำของเพื่อนสาวที่เหมือนจะเตือนสติกันอยู่เสมอ

แต่คนเราย่อมให้โอกาสกับคนอื่นบ้าง เพื่อให้อีกฝ่ายได้แก้ตัวหรือแก้ไขในความผิดพลั้งที่เคยกระทำลงไป

พอนึกถึงเรื่องแหวนที่เขาถามถึง ปรียานุชก็รีบขี้นไปบนชั้นสอง มุ่งสู่ห้องนอนตัวเอง ซึ่งเธอรู้ดีว่าแหวนวงนั้นยังซุกตัวอยู่ที่เดิม นับตั้งแต่ที่เธอตัดใจจากเขาได้สำเร็จ

ความรักที่ปรียานุชเคยมีให้เอกลักษณ์นั้นหมดสิ้นจนแทบไม่เหลือใยบางๆ ให้มองเห็น ถ้าอีกฝ่ายจะตั้งใจถักทอเยื่อใยนั้นให้เกิดขึ้นใหม่อีกครา เธอจะยินยอมโดยดีหรือไม่

หรือเยื่อใยของความรักในใจเธอนั้นกำลังถักทอขึ้นมาใหม่จากความห่วงใยใครบางคนที่เธอเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ



Don`t copy text!