กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 6 : เพลิงริษยา (1)

กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 6 : เพลิงริษยา (1)

โดย : ชีวาพร

Loading

กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว โดย ชีวาพร เรื่องราวของสองพี่น้องที่ชีวิตแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนหนึ่งใบหน้างดงามโดดเด่นเป็นที่ปรารถนาของผู้คน อีกคนใบหน้าสามัญและยังมีชะตากาลกิณีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ชีวิตของทั้งคู่จะดำเนินไปในทิศทางใด อ่านเรื่องราวของพวกเธอได้ในเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co และเพจ anowldotco

เรื่องที่ผกากรองถูกชบาขายไปเป็นทาสเรือนเศรษฐีเพชรดังก้องไปทั่วทั้งย่านชุมชนใกล้วัดท่าเกวียน ทั้งนี้คนสำคัญที่ช่วยกระจายข่าวก็คือ แย้ม แม่ค้าขายขนมกลางตลาดวัดท่าเกวียน

“ข้าได้ยินว่าอีชบามันทั้งด่าทั้งตีก่อนจะเอาอีผกากรองไปขายเป็นทาส”

แย้ม เอ่ยเล่าขณะที่มือก็ขนมะพร้าวห้าวจากสวนของนางสายขึ้นเรือของตน ทว่ายามที่กำลังจะลงเรือกลับเรือน หางตาก็เหลือบไปเห็นคนบนเรือนของนางสาย ดวงตาของแย้มเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจในทันที

“นั่นแม่แก้วมิใช่รึ เหตุใดมาอยู่เรือนเอ็งได้เล่าแม่สาย หรือว่า…”

แย้มจงใจเอ่ยไม่จบประโยค จดจ้องหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันด้วยสายตาหยอกเย้า

“เอ็งอย่าได้เอ่ยวาจาเรื่อยเปื่อย แม่แก้วแค่เอามะม่วงกวนมาฝากข้าก็เท่านั้น หาได้มีเรื่องอัปรีย์อย่างที่เอ็งคิดไม่”

เป็นที่รู้กันว่าแย้มนั้นไม่เพียงเป็นแม่ค้าขายขนมหวาน แต่ยังเป็นหญิงที่ผู้คนเรียกกันว่าฆ้องปากแตก เรื่องราวใดๆ ที่ได้รู้ได้เห็นล้วนไม่อาจเก็บงำเอาไว้ ไม่ทันข้ามวันก็โพนทะนาไปทั่ว ดังนั้นปราบยังไม่ทันกลับที่ท่าน้ำหน้าเรือนก็มีเรือของชบามาเทียบท่า

“อีแก้ว! อีตัวกาลกิณี! ลงมาประเดี๋ยวนี้”

“สมเป็นอีแย้มฆ้องปากแตกจริงๆ”

นางสายที่กำลังนั่งพับกลีบบัวอยู่กับแม่แก้วได้ยินเสียงชบาโวยวายอยู่หน้าเรือนก็คาดเดาเรื่องราวได้ในทันที ถอนหายใจวางดอกบัวในมือลง

“น้าชบาคงมาตามฉันกลับเรือน”

“ตามกลับเรือน หรือมาตามไปขายด้วยอีกคน”

แก้วก้มหน้าเม้มริมฝีปากบางอย่างหวาดกลัวว่าจะถูกคนเป็นน้าขายไปเป็นทาสเช่นผกากรองผู้เป็นพี่สาว นางสายมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสงสาร ทว่าแก้วเป็นคนของเรือนชบาให้ไม่เห็นด้วยอย่างไรหากชบาคิดขายคนนางสายก็ไม่อาจขัดขวาง

“เรื่องใดจะเกิดก็ต้องเกิด ไปเถิดหากยังชักช้าประเดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่”

นางสายเอ่ยปลอบใจคนตรงหน้าก่อนจะเดินนำลงเรือน ทว่ายังไม่ทันก้าวลงบันไดเสียงด่าทอหยาบคายของชบาก็ดังขึ้น

“หน็อยแน่ะอีแก้ว! อีอัปรีย์ สันดานร่านทั้งพี่ทั้งน้อง”

นางสายที่กำลังพาแก้วลงมาจากเรือนได้ยินคำก็ขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่พอใจ หากแต่อย่างไรเสียแก้วก็เป็นคนของอีกฝ่าย จำต้องอดกลั้นเอ่ยประนีประนอมเพื่อไม่ให้คนกลางลำบากใจ

“ค่อยๆ เจรจากันเถิดแม่ชบา แม่แก้วแค่เอามะม่วงกวนมาให้ฉันก็เท่านั้น มิได้ทำเรื่องเสียหายอื่นใด”

“เอามะม่วงกวนมาให้ หรือเอาตัวมาให้กันแน่ มิน่าเล่าหลายปีมานี้พ่อปราบจึงดูแลมันดีนัก ที่แท้ก็เป็นเยี่ยงนี้นี่เอง แล้วนี่ได้กันมากี่ปีแล้วเล่า คงมิใช่ได้เสียตั้งแต่แรกมีระดูดอกนะ”

“แม่ชบา! พูดจากระไรก็ไว้หน้ากันบ้าง”

“เหตุใดต้องไว้หน้า แม่สายเองก็ระวังเถิด เอาอีกาลกิณีเยี่ยงนี้ขึ้นเรือนชีวิตจักเป็นเสนียด ฉิบหาย ตายห่าเยี่ยงพ่อเยี่ยงแม่มัน”

เสียงของชบาดังก้องเรียกความสนใจของผู้คนที่พายเรือผ่านไปผ่านมาให้หยุดเรือมอง แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นย่อมเป็นเรือของแย้ม ผู้ที่คาบข่าวไปบอกชบาถึงเรือนด้วยตนเอง แก้วได้ยินคำของน้าก็เม้มริมฝีปากก้มหน้าร่ำไห้ นางสายเห็นท่าทางของหญิงสาวข้างกายก็ได้แต่นึกเวทนาสงสารนัก

“ไม่ต้องมาทำสำออยร่ำไห้ มานี่!”

ชบาตวาดพลางสาวเท้าไปกระชากแขนคนอย่างไร้ความปรานี

“หึ! มาให้เขาเอาถึงที่อัฐสักบาทก็มิได้ เลี้ยงเปลืองข้าวสุกนัก”

“ฉันไม่ได้ทำกระไรเยี่ยงนั้นนะจ๊ะ”

แก้วเอ่ยแย้งทั้งน้ำตา หากแต่กลับยิ่งเพิ่มโทสะให้ชบา ง้างพัดในมือฟาดลงบนตัวของแก้วโดยไม่อายผู้คน

“มิได้ทำรึ! มิได้ทำครั้งเดียวละสิไม่ว่า”

“น้าชบาฉันเจ็บ”

แก้วเอนตัวหลบแรงตีของชบา นางสายที่เห็นดังนั้นก็หมายใจเข้าไปช่วยแต่กลับถูกโชคขวางเอาไว้

“หยุด!”

เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาจากท่าเรือหน้าเรือน ก่อนที่ร่างสูงโปร่งของปราบจะเดินขึ้นมาท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายที่หยุดเรือชมเรื่องราวของผู้อื่นอย่างสนใจ

“โผล่หัวมาแล้วรึ ไอ้คนลักกินขโมยกิน”

“ฉันกับแม่แก้วมิได้ทำเรื่องใดผิด น้าชบากล่าวหากันเยี่ยงนี้เห็นจะไม่ถูกนัก”

น้ำเสียงเข้มหนักแน่นและแววตามั่นคงของปราบทำให้ชบาหวาดหวั่นโดยไม่รู้ตัว ทว่ามาถึงขั้นนี้แล้วหากถอยก็จะถูกคนนินทาให้อับอาย ดังนั้นชบาจึงแค่นยิ้มเอ่ยเสียงก้อง

“ในเมื่อพ่อปราบไม่คิดรับผิดชอบ…”

ชบาเว้นวรรคประโยค ตวัดสายตามายังหญิงสาวที่ตนเองจับยึดเอาไว้

“เยี่ยงนั้นกูก็จะเอามึงไปขายที่โรงรับชำเราบุรุษ”

ปราบเมื่อได้ยินว่าชบาจะขายแก้วไปยังโรงรับชำเราบุรุษมือหนาก็กำเข้าหากันแน่น ดวงตาแข็งกร้าวอย่างแค้นใจ เอ่ยเสียงลอดไรฟันเยือกเย็น

“เท่าไหร่”

เท่าไหร่ คำพูดสั้นๆ เพียงคำเดียวก็ทำให้ใบหน้าของชบายกยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ เพราะแม้จะบอกว่าคิดขายคนไปยังโรงรับชำเราบุรุษ แต่แก้วนั้นเป็นหญิงที่ผู้คนต่างร่ำลือว่ามีดวงกาลกิณี ต่อให้เป็นโรงรับชำเราบุรุษก็ไม่แน่ว่าจะยอมซื้อตัวคน

“ฉันถามว่าน้าต้องการขายแม่แก้วเท่าไหร่”

“ห้าบาท! เอ็งจะซื้อรึ!”

ด้วยอายุของแก้ว ห้าบาท แม้จะเป็นราคาที่น้อยไปสักหน่อย แต่ด้วยชื่อเสียงอัปมงคลของแก้ว ชบาที่เอ่ยบอกราคาไปแล้วก็ยังลำบากใจกลัวคนจะไม่ยอมจ่ายเงิน

“แต่เห็นแก่ไมตรีในอดีต เยี่ยงนั้น…สักสามบาทก็แล้วกัน”

“นี่เงินสิบบาท!”

ปราบปลดถุงเงินที่เอวส่งให้ชบา พร้อมกับเดินไปดึงตัวคนมาไว้ในอ้อมแขนด้วยท่าทางหวงแหน

“นับจากนี้แม่แก้วถือเป็นเมียฉัน เป็นคนของเรือนฉัน ผู้ใดก็มิอาจแตะต้องอีก”

เมีย ทันทีที่ได้ยินคำนี้หัวใจของแก้วก็เต้นระรัว สองแก้มร้อนผ่าวขึ้นมา

“ได้! แต่ต่อไปหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจากความกาลกิณีของอีแก้ว เอ็งก็อย่าได้มาโทษข้าก็แล้วกัน”

ชบาที่ได้เงินถุงใหญ่พลันยิ้มกว้างกอดถุงเงินเดินลงเรือไปในทันที เช่นเดียวกับบรรดาชาวบ้านหน้าเรือนเมื่อไร้เรื่องให้สนใจก็ต่างแยกย้ายกันพายเรือจากไป

“พี่ปราบเงินนั้น…”

เงินสิบบาทมิใช่จำนวนน้อยๆ และการที่ปราบพกเงินมากมายเพียงนี้ติดตัวย่อมต้องมีเรื่องบางอย่างที่เขาจำเป็นต้องใช้เงินเป็นแน่

“เดิมทีพี่ตั้งใจจะไปไถ่ตัวแม่ผกากรอง”

ทันทีที่ได้ยินคำตอบของปราบความยินดีในใจเมื่อครู่ก็พลันจางหาย ในดวงตาร้อนผ่าวจนต้องก้มหน้าหลบสายตาของปราบ หลายปีมานี้เธอรู้ดีว่าปราบนั้นมีใจรักใคร่ในตัวผกากรองผู้เป็นพี่สาว ครั้งนี้ที่เอ่ยปากช่วยเธอก็คงเพราะสถานการณ์บังคับ จะว่าไปเมื่อครู่ก็คล้ายเป็นการเจรจาซื้อตัวทาสผู้หนึ่งเท่านั้น หาใช่การเจรจาสู่ขอตบแต่งเมียไม่ ในใจของแก้วพลันเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา

“เช่นนั้นพี่ปราบไปเอาเงินคืนจากน้าชบาเถิด จะได้เอาเงินไปไถ่ตัวพี่ผกากรอง”

“ถึงเอาเงินคืนมาก็คงไม่พอไถ่ตัวผกากรองอยู่ดี”

แก้วเงยหน้าขึ้นสบสายตาคมด้วยความสงสัย หรือว่าคนเป็นน้าจะขายพี่สาวของเธอไปในราคาที่มากกว่าสิบบาท

“เดิมทีพี่ได้ยินคนในตลาดพูดกันว่าน้าชบาขายแม่ผกากรองไปด้วยราคาสิบบาท จึงได้ไปหยิบยืมเงินพ่อสินหมายใจเร่งไปไถ่ตัวคน แต่พอไปถึงเรือนท่านเศรษฐีเพชรกลับบอกว่าด้วยอายุของผกากรองหากตีราคาไถ่ถอนตัวย่อมต้องจ่ายที่สี่สิบบาท”

อย่างไรเสียปราบก็เป็นเพียงไพร่สามัญ เงินสี่สิบบาทมิใช่จะหามาได้ง่ายๆ แก้วมองใบหน้าที่ผิดหวังของเขาแล้วจุกแน่นในอก หากแม้วันนี้คนที่ถูกขายคือเธอ แลคนที่ยืนเคียงข้างเขาคือผกากรอง ปราบจะมีความกังวลผิดหวังเยี่ยงนี้หรือไม่

“เฮ้อ! กรรมของผกากรองมันแท้ๆ มีน้าเยี่ยงอีชบานี้”

เรื่องที่ชบาลอบนัดหมายชายมากหน้ามาพบเจอผกากรองแบบลับๆ นั้นนางสายที่อยู่เรือนข้างย่อมรู้ดี ทว่ารู้แล้วอย่างไร เรื่องในเรือนคนอื่นตัวเธอเป็นคนนอกจะยื่นมือเข้าไปสอดหาควรไม่

“เอาเถิด รอเก็บเงินเก็บทองอีกสักหน่อยค่อยคิดเรื่องไถ่ตัวแม่ผกากรองก็แล้วกัน”

ปราบเอ่ยบอกพร้อมกับถอนหายใจยาว หันมาสนใจคนในอ้อมแขน ยามที่เห็นรอยแดงบนไหล่บางในใจของเขาก็เกิดโทสะขึ้นมา ทว่าบนใบหน้ายังคงราบเรียบเอ่ยเสียงนิ่งสงบราวกับไร้อารมณ์ขุ่นเคืองใดๆ ในใจ

“แม่แก้วขึ้นไปทาหยูกทายาบนเรือนก่อนเถิด ประเดี๋ยวพี่จะเอาเงินไปคืนพ่อสิน”

เอาเงินไปคืน มิใช่ว่าเงินที่เขาหยิบยืมมาถูกใช้ซื้อตัวเธอไปหมดแล้วดอกหรือ เช่นนี้แล้วปราบจะเอาเงินที่ไหนไปคืนสหายกัน

“ฉันพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้างเล็กน้อย ประเดี๋ยวฉันไปเอามาให้พี่นะจ๊ะ”

หลายปีมานี้นอกจากช่วยชบาเก็บผลหมากรากไม้ไปขายที่ตลาดน้อยแล้ว แก้วยังนำเอาผลไม้ที่สุกเกินกินมากวนขายแม้ได้เงินมาไม่มากแต่ก็ไม่น้อย

“พี่มิใช่คนไร้ยางอาย จะให้เอาเงินของเมียมาขอเมียได้อย่างไร”

เมีย ทุกครั้งที่ได้ยินปราบเอ่ยคำนี้ในใจของแก้วก็สั่นไหวอย่างประหลาด ก้มหน้าหลบแววตาคมที่มองมา

นางสายมองลูกชายที่จดจ้องหญิงสาวข้างบ้านแล้วยกยิ้มอ่อน ตัวเธอเป็นคนเลี้ยงพ่อปราบมาตั้งแต่เยาว์วัย จะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าในใจของลูกชายนั้นคิดต่อแม่แก้วอย่างไร

หวังเพียงให้พ่อลูกชายรู้ตัวก่อนจะเสียแม่แก้วไปก็เท่านั้น



Don`t copy text!