กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 10 : ยั่วราคะ (1)
โดย : ชีวาพร
กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว โดย ชีวาพร เรื่องราวของสองพี่น้องที่ชีวิตแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนหนึ่งใบหน้างดงามโดดเด่นเป็นที่ปรารถนาของผู้คน อีกคนใบหน้าสามัญและยังมีชะตากาลกิณีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ชีวิตของทั้งคู่จะดำเนินไปในทิศทางใด อ่านเรื่องราวของพวกเธอได้ในเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co และเพจ anowldotco
“ว่าด้วยโทษตามกฎหมายตราสามดวง พระอัยการลักษณะวิวาทตีด่ากันนั้นมิใช่โทษหนักหนา อีกทั้งแก้วแลทองจีนก็หาได้บาดเจ็บอันใดไม่ ดังนั้นผลการวินิจฉัยคดีความจึงตัดสินให้ก้อนมาขอขมาทำขวัญแลชดใช้ค่าเสียหาย”
หลวงอภัยวานิชแจ้งผลการพิจารณาคดีความให้ปราบฟัง มือหนาที่กำดาบอยู่พลันเกร็งจนสั่นสะท้าน
“หาได้บาดเจ็บอันใดไม่ หึ! ต้องรอให้เจ็บก่อนหรือไรจึงจะสามารถเอาความมันคืนได้”
“พ่อปราบใจเย็นก่อนเถิด โมโหไปจักทำให้เสียงานใหญ่ได้”
แม้จะมิได้สนิทใกล้ชิดแต่หลวงอภัยวานิชที่เห็นปราบมาตั้งแต่ในตลาดยังใช้เงินพดด้วงจนตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นเหรียญเงิน ย่อมรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีนิสัยแค้นฝังหุ่นเพียงใด ดูอย่างคราวไอ้ทดนั่นปะไร ทั้งที่เป็นเครือญาติกับท่านเจ้าคุณรอดซึ่งเป็นขุนนางใหญ่ ชายหนุ่มผู้นี้ก็ยังสามารถเอาผิดจนอีกฝ่ายติดตะแลงแกงได้
“ได้ยินว่าแม่แก้วเองก็มิอยากให้เอาความมิใช่หรือ”
เพราะเห็นว่าคำใดก็ไม่อาจทำให้โทสะของปราบทุเลาลงได้ หลวงอภัยวานิชจึงต้องยกชื่อของแม่แก้วมาแอบอ้าง แลดูคล้ายจะได้ผลไม่น้อยเพราะทันทีที่ได้ยินชื่อของเมียรัก คนที่โมโหจนไฟแทบออกปากก็เสียงอ่อนลงในทันที
“เยี่ยงนั้นก็ให้มันเอาเงินมาทำขวัญแม่แก้วสักสิบบาทก็แล้วกัน”
“พ่อปราบเมตตามันบ้างเถิด มันเป็นทาสจะหาเงินมามากมายเพียงนั้นได้อย่างไร”
“ต่อรองราวซื้อผักซื้อปลา เยี่ยงนั้นก็แล้วแต่คุณหลวงเห็นเหมาะสมเถิด”
เสียงห้วนเอ่ยตอบอย่างขัดใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“เจรจายังมิทันจบจะไปไหนเล่า”
“วันนี้แม่แก้วจักเอาน้ำอบแป้งร่ำมาขายที่ตลาด กระผมจะไปเฝ้า หาไม่เดี๋ยวพวกแมลงหวี่แมลงวันจักมาทำให้หล่อนรำคาญใจ”
เอ่ยจบคนขี้โมโหก็เดินจากไป หลวงอภัยวานิชถอนหายใจยาวมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายอย่างนึกขบขัน สมแล้วที่ผู้คนต่างโจษกันว่าทั่วทั้งพระนครจะหาชายใดหลงเมียได้เท่าพ่อปราบนั้นหามีไม่
หลังว่าคดีความจบสิ้นก้อนก็ชดใช้ค่าทำขวัญแก่แก้วและทองจีนเป็นเงินคนละสี่บาท แต่เพราะเขาเป็นทาสในเรือนเศรษฐีเพชรดังนั้นค่าชดใช้นี้จึงตกเป็นของเศรษฐีเพชร เรื่องนี้ทำให้ท่านเศรษฐีขุ่นเคืองหนักหนา ทว่าเพราะก้อนเป็นคนสนิทจึงเพียงด่าทอแลตำหนิไปยกใหญ่มิได้ลงหวายให้เจ็บตัวกระไร
“พี่ก้อนต้องมาเจอเรื่องยุ่งยากเพราะข้าแท้ๆ เชียว”
“หาเป็นกระไรไม่ ได้ระบายความแค้นในใจของเอ็งลงบ้างพี่ก็คลายใจแล้ว”
ก้อนเอ่ยปลอบเมียรักที่ร่ำไห้จนตัวโยนแล้วดึงรั้งเธอมาโอบกอด ทั้งนี้เรื่องที่เขาไปทำลายร้านรวงของแก้วนั้นตั้งแต่เริ่มสอบความจนจบก้อนมิได้เอ่ยโยงถึงผกากรองเลยแม้แต่น้อย กล่าวอ้างเพียงตนเมามายจึงขาดสติเท่านั้น
“วันพุกพี่จะต้องล่องเรือไปส่งสินค้ากับท่านเศรษฐีคงคิดถึงเอ็งแย่”
ก้อนเอ่ยรำพันอย่างอาลัยคนในอ้อมแขน ผกากรองขยับตัวที่เปลือยเปล่าลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วเอ่ยเสียงยั่วยวน
“ครานี้จะไปนานหรือไม่”
“น่าจะสักหนึ่งเดือนเห็นจะได้”
“เยี่ยงนั้นก็สะสมไว้ราตรีละหนึ่งรอบดีหรือไม่”
ใบหน้าหวานโน้มลงมากระซิบเสียงยั่วยวน ก้อนยกมุมปากอย่างรู้ทันก็จับไหล่เล็กเปลือยเปล่าหมุนตัวกดลงบนฟูกอีกหน
“เยี่ยงนั้นคืนนี้เอ็งคงไม่ได้นอนแล้ว”
หลังจากตักตวงความสุขล่วงหน้าจนเกินไปหลายหน เช้าวันต่อมาก้อนก็ลงเรือไปส่งสินค้ากับเศรษฐีเพชร ที่ท่าน้ำมีแม่นายเรไรกับแม่อวบแลคุณทองกับคุณเงินมารอส่งอีกฝ่ายลงเรือโดยพร้อมหน้า ขณะที่ผกากรองเองก็มายืนส่งพ่อก้อนเช่นกัน เพียงแต่หางตาของเธอมักชำเลืองมองไปที่แม่นายเรไรอยู่บ่อยครั้ง เสื้อผ้าตลอดจนเครื่องประดับช่างงามตานัก คิดแล้วก็นึกเสียดายข้าวของเงินทองที่ตนหามาได้ แต่กลับถูกชบายึดไปจนหมดสิ้น
เอาของกูไปยังมิพอ ยังขายกูมาเป็นทาสอีก อีชบาวันหน้ากูจะเอาคืนให้สาสมเชียว
เมื่อไม่มีก้อนคอยทำงานแทน ผกากรองจึงต้องตื่นแต่ย่ำรุ่งเข้าครัวมาช่วยงาน ในใจของเธอทั้งแค้นเคือง ทั้งโมโหชะตาชีวิตของตนเอง
กูจะมิยอมตกต่ำอยู่เยี่ยงนี้…ความคับแค้นที่ล้นอกทำให้ผกากรองขบกรามก่นด่าชบาอยู่ในใจไม่หยุด รวมไปถึงแก้วที่ชีวิตได้ดิบได้ดีอย่างที่ไม่ควรจะเป็น…คนที่ควรโชคดีมีวาสนาต้องเป็นกู หาใช่อีแก้ว
“พี่ฝนจะยกสำรับไปไหนหรือจ๊ะ”
ผกากรองอยู่เรือนเศรษฐีเพชรมาหลายเดือน ทุกวันสังเกตเห็นว่าฝนบ่าวในโรงครัวจะต้องยกสำรับแยกหนึ่งชุดเดินไปยังสวนหลังเรือนใหญ่ก็อดที่จะเอ่ยถามอย่างสงสัยมิได้
“ก็ยกไปเรือนเล็กน่ะสิ ไกลก็ไกลกูละเบื่อนัก”
“เรือนเล็ก เป็นเรือนผู้ใดหรือจ๊ะ”
“เรือนของคุณเงิน ลูกชายของท่านเศรษฐีกับป้าอวบ ไม่คุยกับเอ็งแล้วประเดี๋ยวไปส่งข้าวช้าป้าอวบก็มาหาเรื่องโวยวายใส่ข้าอีก”
คุณเงิน ลูกชายของเศรษฐีเพชรกับอวบ อดีตนางทาสหน้าห้องแม่นายเรไรเมียเอกของท่านเศรษฐีเพชร ทว่าแม้มีศักดิ์เป็นลูกชายคนแรกของท่านเศรษฐี แต่ทันทีที่แม่นายเรไรคลอดลูกชายของตนเองออกมาก็กังวลว่าท่านเศรษฐีจะหลงลูกทาสมากกว่าลูกของตน จึงไล่ให้คุณเงินไปพักอยู่ที่เรือนเล็กท้ายสวนเพียงลำพัง
แม้จะเป็นทาสแต่หากถูกยกเป็นเมียของเจ้านายบนเรือน ต่อไปก็มิต้องหยิบจับงานหนัก มีเงินมีทองใช้มิขาดมือ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ในใจของผกากรองก็พลันเกิดความคิดชั่วร้ายบางอย่าง ดวงตาเปล่งประกาย ฉายชัดถึงความเจ้าเล่ห์ ยกมุมปากขึ้น ก่อนที่จะจางหายไปในพริบตา ตีสีหน้าอ่อนโยนไร้พิษสงพร้อมกับเอ่ยเสียงหวาน
“วันนี้ในครัวดูวุ่นวายไม่น้อย ตัวฉันเองก็หยิบจับอันใดมิคล่อง ไม่สู้พี่ฝนให้ฉันไปส่งสำรับแทนจะได้อยู่ช่วยงานทางนี้”
ท่าทางมีน้ำใจนี้ของผกากรองทำให้ฝนขมวดคิ้วเรียวอย่างสงสัย ด้วยอยู่ร่วมเรือนมานานนิสัยหนักมิเอาเบามิสู้ของผกากรองทุกคนต่างรู้ดี ทว่าเพราะมีก้อนที่หลงเมียจนยอมทำแทนเสียทุกอย่างผู้อื่นจึงมิกล้าเอ่ยปากตำหนิออกมา
“ได้ยินว่าป้าอิ่มจะลงมาคุมครัวด้วยตนเองด้วย หากฉันอยู่คงถูกด่าจนหูดับ”
เมื่อผกากรองยกเหตุผลหลบหน้าคนมาอ้างฝนก็พลันคล้อยตามส่งสำรับในมือให้อีกฝ่าย
“เยี่ยงนั้นก็ถือให้ระวังหน่อย คุณเงินไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร เอ็งส่งสำรับเสร็จก็กลับมาได้เลยมิต้องอยู่รับใช้”
ไม่ใช่ว่ามิชอบสุงสิง ทว่าการทำตัวโดดเด่นเกินไปอาจนำภัยมาถึงตัว ดังนั้นหลายปีมานี้คุณเงินจึงหลบอยู่ในเรือนเล็กเป็นส่วนใหญ่
“จ้ะ”
ผกากรองขานรับพร้อมยิ้มกว้าง ก่อนจะเร่งก้าวเดินไปยังเรือนเล็กในสวน วันก่อนก้อนติดตามเศรษฐีเพชรล่องเรือไปส่งสินค้าทางเหนือกว่าจะกลับมาก็ร่วมเดือน ดังนั้นเวลานี้จึงนับเป็นจังหวะดีที่เธอจะลงมือฉกฉวยความรุ่งโรจน์ให้ตนเอง ยามที่มาถึงหน้าเรือนผกากรองก็ปลดดึงผ้าแถบของตนให้ลดต่ำลงเผยเนินเนื้อขาวนวลอวบอิ่มยั่วยวนของตนเอง
“คุณเงินเจ้าคะ บ่าวเอาสำรับมาส่งเจ้าค่ะ”
คุณเงินได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคยก็เดินออกมาจากหอข้าง สายตาพลันหยุดชะงักกับใบหน้างดงามของบ่าวที่ยกสำรับมาให้ตน
“เอ็งคือ…”
“บ่าวชื่อผกากรองเจ้าค่ะ พอดีวันนี้ในครัวยุ่งๆ บ่าวจึงอาสามาส่งสำรับแทนพี่ฝนเจ้าค่ะ”
ผกากรองเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ในแววตามีความเคารพเขาแตกต่างจากบ่าวไพร่คนอื่นๆ ที่มักมองเขาอย่างดูแคลนเพราะสถานะมารดาที่เป็นเพียงทาส
“วันนี้มีแกงส้มสายบัวด้วยนะเจ้าคะ”
เสียงหวานสดใสและรอยยิ้มงามสะกดสายตาของเงินให้ตรึงอยู่กับใบหน้าของผกากรองอย่างที่ไม่เคยเป็น เมื่อถูกจ้องมองไม่กะพริบผกากรองก็แสร้งก้มหน้าเขินอาย เงินจึงเลื่อนสายตาสำรวจเรือนร่างของหญิงสาว ก่อนที่จะหยุดจดจ้องที่เนินเนื้ออวบอิ่มขาวเนียน
“สายมากแล้วคุณเงินมารับข้าวเถิดเจ้าค่ะ”
ผกากรองเอ่ยพลางหยิบชามล้างมือส่งให้เขา ทว่ายามที่คุณเงินนั่งลงแลหมายจะจุ่มมือลงในน้ำ ถ้วยในมือของผกากรองก็หลุดหกจนกางเกงอีกฝ่ายเปียกชุ่ม
“ว้าย! คุณเงินบ่าวขออภัยเจ้าค่ะ”
ผกากรองเอ่ยอย่างร้อนรนก่อนจะปลดชายผ้าของตนออกมาซับที่ขาของเขาอย่างนอบน้อม คุณเงินเห็นเช่นนั้นก็จับมือนุ่มห้ามปราม ทว่ากลับกลายเป็นดึงรั้งจนผ้าแถบบนตัวของผกากรองหลุดลุ่ย ผกากรองพลันวางสองมือทาบลงบนอกทว่าก็ปกปิดผิวกายได้บางส่วนเท่านั้น
ภาพเรือนร่างอันเย้ายวนที่เผยอยู่เบื้องหน้าทำให้ร่างกายของคุณเงินตื่นตัวร้อนรุ่ม ผกากรองแสร้งผินหน้าหันหลังเพื่อนุ่งผ้าแถบของตนเองให้รัดกุม หากแต่มุมปากกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจกับท่าทีของบุตรชายท่านเศรษฐีตรงหน้า
“ขะ…ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
“บ่าวทราบเจ้าค่ะ คุณเงินเร่งรับมื้อเช้าเถิด”
เงินพยักหน้ารับแล้วเร่งกินข้าวตรงหน้า หากแต่สายตาก็มักจะเผลอเหลือบมองหญิงสาวอยู่เสมอ ยามที่ผกากรองเก็บสำรับลงเรือนจากไปในใจก็ยังคงคะนึงหาเรือนร่างอันเย้ายวนของอีกฝ่ายจนต้องจัดการอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตนด้วยตนเอง
ผกากรองกลับมาที่โรงครัวช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ก็กลับเรือนพักราวกับว่าเรื่องบนเรือนคุณเงินมิได้มีกระไรเกิดขึ้น
วันต่อมาผกากรองก็อาสาไปส่งสำรับเช้าให้คุณเงินอีกเช่นเดิม แลกกับการไม่ต้องเข้าไปช่วยงานครัว หลังเดินพ้นสายตาผู้คนผกากรองก็ดึงผ้าแถบของตนลงต่ำ ริมฝีปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ก้าวเดินไปยังเรือนเล็กอย่างรวดเร็ว
คุณเงินอยู่ในหอนั่งเห็นคนที่เขาคะนึงหามาทั้งคืนกำลังยกสำรับขึ้นเรือนมาก็ยกยิ้มกว้าง ก่อนจะค่อยๆ เดินออกมาจากหอนอนด้วยท่าทางสงบนิ่ง
ผกากรองที่รั้งรอจังหวะอยู่ในทีแสร้งหมุนตัวจนแกงจืดในมือชนกับต้นแขนแกร่ง น้ำแกงจืดพลันหกใส่มือ เสียงถ้วยกระเบื้องตกกระทบพื้นพร้อมกับเสียงร้องอย่างตื่นตกใจของผกากรอง
“ว้าย! ขออภัยเจ้าค่ะ”
คุณเงินตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเล็กน้อย ยังไม่ได้เอ่ยบอกว่าไม่เป็นกระไร ผกากรองก็ทรุดตัวลงคุกเข่า ปลดชายผ้าแถบของตนซับลงบนหลังเท้าเขา ท่าทางเช่นนี้ของเธอทำให้คุณเงินคิดถึงเรื่องเมื่อวาน ย่อตัวลงนั่งจับหลังมือนุ่มเอ่ยห้ามปราม
“มิเป็นกระไร”
“แต่ว่า…”
เสียงของบ่าวสาวติดขัดเล็กน้อย ก้มหน้าลงมองพื้นเรือนด้วยดวงตาเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำ
“บ่าวทำคุณเงินเจ็บตัว บ่าว…จะโดนลงหวายไหมเจ้าคะ”
“ข้าดูเป็นคนใจร้ายถึงเพียงนั้นเชียวรึ”
ผกากรองเม้มริมฝีปากเล็ก ค่อยๆ ช้อนตาขึ้นมองชายหนุ่มด้วยท่าทางตื่นกลัว
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว : บทส่งท้าย
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 15 : สิ้นรักไร้สวาท (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 15 : สิ้นรักไร้สวาท (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 14 : ทำหน้าที่เมีย (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 14 : ทำหน้าที่เมีย (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 13 : เล่ห์มารยา (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 13 : เล่ห์มารยา (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 12 : มีเงินท่วมหัว มิเท่ามีผัวพระยา (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 12 : มีเงินท่วมหัว มิเท่ามีผัวพระยา (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (3)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 11 : ยวนสวาท (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 10 : ยั่วราคะ (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 10 : ยั่วราคะ (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (3)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 9 : เปื้อนราคี (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 8 : กลรักดอกแก้ว (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 8 : กลรักดอกแก้ว (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 7 : เล่ห์ร้ายผกากรอง (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 7 : เล่ห์ร้ายผกากรอง (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 6 : เพลิงริษยา (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 6 : เพลิงริษยา (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 5 : ไฟรัญจวน (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 5 : ไฟรัญจวน (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 4 : อวลกลิ่นดอกแก้ว (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 4 : อวลกลิ่นดอกแก้ว (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 3 : กรุ่นกลิ่นผกากรอง (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 3 : กรุ่นกลิ่นผกากรอง (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 2 : ดวงบริพัตร (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 2 : ดวงบริพัตร (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 1 : ดวงกาลกิณี (2)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 1 : ดวงกาลกิณี (1)
- READ กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว : บทนำ