ป่ากามเทพ : รำพรและสดมภ์
โดย : กฤษณา อโศกสิน
“หลังม่าน” คอลัมน์ที่จะบอกเล่าถึงชีวิ
นวนิยายเรื่องนี้ ฉันเขียนลงตีพิมพ์ในนิตยสาร ‘สตรีสาร’ ที่มีท่านอาจารย์คุณนิลวรรณ ปิ่นทอง เป็นบรรณาธิการระหว่าง พ.ศ.2509-2511 รวมเล่มครั้งแรกใน พ.ศ.เดียวกันทันทีที่นวนิยายจบลง ครั้นแล้วจึงได้ตีพิมพ์ครั้งที่ 2 และ 3 ในเวลาต่อมา เมื่อถึง พ.ศ.2565 ที่จะต้องเอ่ยถึงเนื้อหาของเรื่องนี้ จึงเป็นเวลาทั้งสิ้น 56 ปี
ที่จริง ฉันก็เปิดฉากชีวิตตัวละครขึ้นอย่างง่ายๆ โดยใช้นางเอกนามว่า ‘เคลีย’ เป็นผู้บอกเล่า เพราะเห็นว่าสถานภาพของนางเอกน่าจะเป็น ‘คนกลาง’ ที่ดี ที่ซื่อ ที่เรียบร้อย ตรงไปตรงมา สามารถจะเป็นผู้เล่าเรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นภายในชีวิตของตนเองได้ตามที่เป็นจริง เพราะเป็นเพียงเด็กที่คุณรำพร ตัวละครสำคัญที่ฉันขึ้นไว้เป็นหัวเรื่อง เป็นผู้ไปขอจากโรงพยาบาล นำมาเลี้ยงดู แต่มิใช่เลี้ยงอย่างลูก หากก็ไม่ถึงกับเป็นเด็กรับใช้ เพราะเลี้ยงดีกว่าคนใช้ค่อนข้างมาก โดยส่งเสียให้เล่าเรียนจนจบมัธยมบริบูรณ์ นั่นก็เนื่องด้วยคุณรำพรและคุณสดมภ์ ผู้สามีอยู่ด้วยกันมายี่สิบกว่าปี แต่ไม่มีลูก
จนกระทั่ง นางเอกอายุ 18 ปี ทั้งคู่ก็หย่าขาดจากกันเนื่องจากคุณรำพรทนความเจ้าชู้ของคุณสดมภ์ต่อไปไม่ไหว
แบ่งสินสมรสกันเรียบร้อยแล้ว คุณสดมภ์จึงขนของจากไป
ทิ้งบ้านที่ดินที่อยู่ปัจจุบันและหอพัก 1 หลังไว้ให้
คุณรำพรจึงกลายเป็นแม่ม่ายทรงเครื่องที่สะสวยพอตัว
ที่จริงเธอก็ยังรักสามีอยู่มาก หลังจากคุณสดมภ์ไปแล้ว เธอก็เอาแต่หงอยเหงาเศร้าซึม บางหนก็ร้องไห้ บางทีก็เหม่อลอย จึงมักจะเรียกเคลียเข้าไปนั่งคุยด้วยบ่อยๆ เพราะนอกจากเคลียแล้ว เธอก็ไม่มีใคร
“รู้งี้ ฉันยกแกให้เขาเสียก็ดีหรอก” เธอเองก็เพิ่งเปิดเผย “ก็เขาเคยขอแกกับฉันไง ตอนนั้นแกเพิ่งจบ 6 ใหม่ๆ”
เคลียก็เลยถามว่า
“ผู้ชายเป็นยังงี้ทุกคนเลยหรือคะคุณ”
“ย่ะ ผู้ชายน่ะมันสันดานหมูสันดานหมา” ฉันบอกบทให้คุณรำพรว่าเข้านั่น “กาหน้าได้ทุกคน”
“แต่หนูคิดว่าน่าจะมียกเว้นนะคะ” เคลียก็เลยเข้าข้างคุณสดมภ์ไว้บ้างเพื่อมิให้ดูเพศชายเลวร้ายเหลือเกินนัก
แล้วฉันเองนั่นแหละที่ยังมีพระเอกดี๊ดีอยู่ในมือที่จะต้องเอ่ยถึงในเวลาต่อไป
คุณรำพรก็เลยถือโอกาสสอนสั่งแกมป้อนข้อมูลให้ผู้ชายร้ายยิ่งกว่าเสือสางหมูหมาสืบไป
นั่นก็คือ ฉันยังไม่ทันให้เคลียเปิดฉากใหม่ที่ ‘มาจะกล่าวบทไปถึงชายหนุ่มผู้ไม่มีอันจะกินคนหนึ่ง’ เพิ่งมาปรากฏตัวเป็นผู้เช่าหอพักโดยเพื่อนที่อยู่ก่อนพามา
“เขาชื่อ อาชา แปลว่า ม้า” เธอบอกพลางหัวเราะ “ฉันว่าเขาคงเกิดปีมะเมีย…หน้าตาดี๊ดี เรียนกฎหมายที่ธรรมศาสตร์ แต่ทำราชการเป็นเสมียนควบไปด้วย…วันหลังฉันจะเรียกเขามาคุย”
ครั้นคุยแล้ว คุณรำพรก็เกิดปิ๊งหนุ่มหน้าใหม่ ชาวบางปะอินขึ้นมาทันทีทันใด
แม้อายุ 45 แล้ว…แต่ขอโทษ…พอเจอหนุ่มรุ่นหลานเข้าเท่านั้น ก็ให้มีอันเป็นเปลี่ยนไป
เดี๋ยวนี้ เวลาเข้าฉาก ฉันก็เลยเกณฑ์ให้เธอทำผมสวย แต่งหน้างาม อาศัยเรือนร่างสะสวย ก็เลยช่วยให้เธอคล้ายสาววัย 30 อย่างสบายๆ
อาศัยที่ฉันจัดให้พระเอกผู้มาใหม่ค่อนข้างเพียบด้วยคุณสมบัติที่ใครเห็นใครก็ต้องติดใจ นั่นก็คือ ผิวคล้ำ จมูกโด่ง คิ้วยาวเข้ม นัยน์ตาฝัน ท่าทางดี เป็นสุภาพบุรุษ แต่ก็ค่อนข้างเงียบ ไม่ค่อยร่าเริง
ขณะเดียวกัน คุณรำพรก็ยังนินทาสามีเก่าอยู่ได้แทบทุกวัน เป็นต้นว่า
‘คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ ขัดคอคนอยู่ได้วันยังค่ำ นี่เคลีย…แกเคยได้ยินเขาพูดกันบ่อยๆไหมว่า มีเพื่อนกินก็ไม่เหมือนมีเพื่อนตาย มีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนมีเพื่อนชม มีเพื่อนชมก็ไม่เหมือนมีเพื่อนคุย’ …ประโยคท้ายฉันต่อเอง
นั่นก็เพราะยังไม่ทันไร คุณรำพรก็หาทางเรียกอาชามาคุยเป็นวรรคเป็นเวรเสียแล้ว
ผู้ชายอายุแค่ 20 เศษ ผู้หญิง 45 น่าจะทำให้คุณรำพรคิดมาก แต่ไม่ยักกะคิด
ฉันเองกระมังที่คอยยุไม่ให้เธอคิด ยุให้เธอหาเพื่อนคุยเพื่อให้ชีวิตพร้อมสรรพของเธอมีชีวาอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
เรื่องอะไรจะปล่อยให้เธอมาจมปลักอยู่กับความเจ็บปวดเคียดแค้นแต่หนหลังที่คุณสดมภ์ทำไว้
โชคดีที่ยังมีเคลียเป็นผู้ฟัง เป็นต้นว่า
‘ดูแต่ฉันกับไอ้นายสดมภ์ซิ เวลาแต่งงานเอิกเกริกเหมือนจะถล่มแผ่นดิน บทมันหวานละก็น้ำตาลสู้ไม่ได้ แต่ที่ไหนล่ะ…อยู่ๆไปถึงได้รู้ว่า น้ำตาลเมืองเพชร’
นี่ฉันก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้เดี๋ยวนี้เองนะว่า น้ำตาลเมืองเพชรสมัยก่อนมิได้หวานอย่างเดียว แต่แกมขมนิดๆเข้าไว้ด้วย มิรู้ว่าปัจจุบันเปลี่ยนไปหรือไม่
เฮ้อ…ฉันบอกบทไปถอนหายใจไป พอดีเหลือบไปสบตาคุณรำพรผู้กำลังคุยกับเคลีย…เห็นเธอตวัดนัยน์ตาขุ่นเขียวแว่บๆ คล้ายซัดฉันโครมเบ้อเร่อว่าเป็นตัวการ
ฉันกำลังสงสารเธออยู่ทีเดียว
จึงทิ้งสายตามีนัย
อีกประเดี๋ยวคุณก็จะได้อุปการะชายหนุ่มคนนี้แล้วไงจ๊ะ
อย่างน้อยๆคุณก็อ่อยเหยื่อพาอาชากับเพื่อนของเขาผู้เช่าอีกห้องหนึ่ง กับเคลียไปดูภาพยนตร์ด้วยกัน
เคลียก็เลยแอบกระซิบกับฉัน
“คุณคะ ฉากนี้แปลกดีค่ะ”
“แปลกยังไง” ฉันถามไถ่แม้จะนึกรู้ความรู้สึกของนางเอกเป็นอันดี
“หนูรู้สึกว่า ชีวิตหนูกำลังเริ่มต้นไงคะเพราะตั้งแต่เกิดมา หนูไม่เคยมีผู้ชายมานั่งขนาบข้างแบบนี้มาก่อน แม้ตอนที่ยังมีคุณสดมภ์ แกก็ไม่ค่อยกลับบ้าน กลับมาก็มาแต๊ะอั๋ง หยอกเอินหนูอีกแบบ แต่หนูไม่เล่นด้วย”
ฉันอดเอ็นดูหล่อนไม่ได้…โถ…โถ…เคลีย เด็กแสนดีของฉัน
หากก็เจ้ากรรมเสียจริงๆ เพราะตอนที่ออกจากโรงภาพยนตร์นั้น พลันก็ได้ยินเสียงสัญญาณรถดับเพลิง แสดงว่ามีไฟไหม้
เมื่อคุณรำพรขับรถกลับไปถึงตรงนั้น จึงพบว่า ไฟไหม้บ้านอีกฝั่งถนนตรงกันข้ามบ้านของเธอ
แท้จริงแล้ว ก็คือหอพักที่มีอาชากับเพื่อนเขาเช่าอยู่นั่นเอง
คุณรำพรงี้ หันมาตาเขียวเอากับฉัน
‘กระบวนทำเรื่องร้ายๆให้ตัวละครต้องเหน็ดเหนื่อยละก็ยกไว้ให้’
ฉันก็เลยยิ้ม…ยิ้มอย่างชื่น-น-หัวใจ
ก็เลยตอบไปด้วยสายตา
ไม่ดีหรอกหรือ คุณจะได้มีทางอุปการะเขาโดยไม่ต้องเขินนักอย่างไรล่ะ
แต่แล้ว วันรุ่งขึ้นคุณสดมภ์ก็โทรศัพท์มา เคลียเป็นคนรับสาย เมื่อเขาพูดกับคุณรำพร ข้างนี้ก็ตอบกลับอย่างไม่เยื่อใย
“ฉันบอกแล้วไงว่า ชาตินี้ฉันกับไอ้สดมภ์จะไม่เดินทางร่วมกันอีก”
ฉันเอง…ผู้กำกับการแสดงคนนี้เองที่นึกในใจ
ขอให้จริงซักรายละกันนะคุณรำพร
แท้จริงแล้ว ก็ใช่ว่าฉันตั้งใจจะเข่นเขี้ยวกับหญิงดีเช่นคุณรำพรเมื่อไหร่ เคลียเองก็ล่วงรู้ เพราะเด็กคนนี้มักว่าอะไรว่าตามกันแทบทุกอย่างกับผู้อุปการะ ก็ใช่ว่าจะไม่มีความคิดเอาเสียเลย ตรงกันข้าม เคลียคอยติงเตือนทักท้วงโน่นนี่อยู่เรื่อยมา
แต่ฉันให้บทคุณรำพรไว้ในฐานะคนที่ยึดความทุกข์ความสุขของตนเองเป็นที่ตั้ง
ฉันบรรยายความรู้สึกของเคลียไว้เช่นนี้
‘อันที่จริง คุณรำพรมิใช่คนบ้าผู้ชาย เธอเองก็อยู่มาได้ตั้ง 2-3 ปี โดยไม่มีคุณสดมภ์ ความว้าเหว่เปล่าเปลี่ยวนั้นก็ต้องเกิดขึ้นบ้างเป็นธรรมดาของคนเคยมีคู่แล้วขาดไป ถ้าจะพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว ใช่ว่าเธอจะเพิ่งมาขาดคู่เอาเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วเมื่อไหร่ เธอขาดมาตั้ง 6-7 ปีแล้ว เพราะเมื่อคุณสดมภ์เริ่มไปติดพันเจ้าของร้านเสริมสวย เขาก็เริ่มห่างเหินจากคุณรำพร กลับบ้านดึกๆไม่เป็นเวลา บางทีก็ไม่กลับเลย แต่ก็ไม่เคยเห็นเธอนอกรีต คบผู้ชายเพื่อชดเชยอารมณ์ขาดแต่อย่างใด
เพิ่งมีอาชาผู้นี้เป็นคนแรก’
ครั้นแล้ว เพื่อนของอาชาซึ่งเป็นผู้เช่าด้วยกันก็ลาจากไป หลังจากหอพักไฟไหม้แล้วต้องเข้าไปอาศัยบ้านคุณรำพรอยู่ชั่วคราว
แต่อาชาไม่ไป
ฉันเองแหละที่ไม่ให้เขาไป
นอกจากนี้ ยังไห้เพื่อนเขาแถลงไขกับเคลียถึงสภาพของอาชาอย่างหมดจดทุกหยดหยาด…แต่อย่างเพื่อนเห็นใจเพื่อน
“ชีวิตของอาชาน่ะแร้นแค้นแค่ไหน คุณคงไม่ทราบ คือพ่อแม่เขายากจนพอดู ลูกก็หลายคน ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยรู้จักเลยว่า ความสนุกสนานของชีวิตเป็นยังไง คุณคงสังเกตเห็นแล้วว่าเขาเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่ใช่พูดไม่เป็น แต่เขาไม่พูด เพราะคิดว่าคนอย่างเขาถึงพูดก็ไม่มีใครฟัง…ที่เขายอมรับข้อเสนอของคุณรำพร ก็อาจจะเป็นได้ว่า เขาเห็นคุณรำพรเป็นผู้ใหญ่ หรือไม่เขาก็กำลังเหนื่อยอ่อนที่จะสู้ต่อไป…ผมเข้าใจความเหนื่อยอ่อนของเขาดี…เมื่อมีทางใดที่เขาจะเรียนลัดได้ ทำให้เขาเหนื่อยน้อยลง เขาก็ต้องรีบตะครุบไว้ก่อน…
คุณไม่เคยพบความมืด ถ้าพบแล้วก็คงจะรู้หรอกว่า กว่าจะออกถึงที่สว่างได้ไม่ใช่ง่าย
บางคนก็ออกไม่ได้เลย’
เพื่อนของอาชาบรรายายให้เคลียฟัง แล้วจึงขนของจากไป
ทิ้งความเข้าใจในตัวอาชาอีกขั้นตอนหนึ่งไว้กับเคลีย
เท่ากับทุ่นแรงฉันให้เหนื่อยไม่มาก
เนื่องจาก บางเวลาและบางช่วงตอนของชีวิตคน ก็อาจเข้าใจยากพอดู
เพราะแม้แต่คุณรำพรก็ยังตั้งคำถามกับเคลีย
“แกว่าฉันทำผิดพลาดไปบ้างหรือเปล่า”
“ผิดเรื่องอะไรคะ” ฉันให้เคลียถาม
“ก็เรื่องเก็บเขามาเลี้ยงไงล่ะ”
“หนูก็ยังถูกคุณเก็บมาเลี้ยงนี่คะ” นางเอกของฉันย้อนตอบ
ในที่สุด คุณรำพรก็ขอให้อาชาพาเธอไปรู้จักบ้านของเขาที่บางปะอิน
แต่อาชาห้ามเสียงหลง
“บ้านผมเป็นกระต๊อบ อยู่กลางกอไผ่ ข้างหน้าเป็นแม่น้ำ ข้างหลังเป็นท้องนา ไม่มีอะไรน่าดูหรอกครับ”
“คุณรู้ได้ไงว่ามันไม่น่าดู” ประโยคนี้ฉันเอาใจฉัน ใส่เข้าไปในใจคุณรำพร “ความจริงแล้ว ไปๆมาๆก็ธรรมชาตินั่นแหละดีกว่าอะไรทั้งหมด ไม่ปลอมไม่มีมายา
คุณลองสังเกตวัตถุที่มาจากวิทยาศาสตร์ก็ได้ บางทีเราก็บอกไม่ได้ทันทีว่ามันคืออะไร ผสมกับอะไร ฉาบด้วยอะไร บางทีก็รู้สึกว่าเป็นเหล็ก แต่ก็ไม่ใช่เหล็ก บางทีมองคล้ายกับเป็นตึกก็กลับไม่ใช่ตึก กลายเป็นกระเบื้องกระดาษทาสีให้ดูเหมือนก่อด้วยอิฐด้วยปูน ทุกอย่างในเมืองศิวิไลซ์ มันลวงตาเราทั้งนั้น ไม่เหมือนบ้านนอก เราจะรู้ได้ทันทีว่านั่นกอไผ่ นั่นอิฐ นี่ไม้”
ในที่สุด อาชาก็เลยพาคุณรำพรไปบ้านเขาที่บางปะอิน
“ใครวะ ไอ้ชา เมียเอ็งเรอะ มีเมียเมื่อไหร่ไม่ยักบอกให้รู้มั่ง” เสียงถามดังๆ ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
เล่นเอาคุณรำพรหน้าแดง
เมื่อพ่อแม่อาชากลับจากธุระฝั่งโน้น คุณรำพรก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“นี่ถ้าฉันไม่ห่วงบ้าน ก็จะค้างที่นี่สัก 10 วัน” เธอหมายถึงค้างบนเรือนไม้เก่าๆ ใต้ถุนสูงหลังนั้น
ว่าแล้วจึงหันมาสบตากับฉันด้วยรอยหรรษาเป็นที่สุด คล้ายจะถาม
‘คุณทราบไหมคะว่า ฉันอยากแสดงบทนี้มานานแล้ว…คุยกับชาวนาที่เขาไม่มีการเสแสร้งน่ะค่ะ จะแย่หน่อยก็ตรงที่พวกเขาคิดว่าอาชาพาเคลียมาเปิดตัวแค่นั้น…ฮือ ฮือ”
ฉันก็เลยนึกขำขึ้นมา…หากก็ส่ายฝ่ามือปลอบใจ
คุณรำพรก็เลยพยักหน้า
บัดนี้ บทบาทของเธอกับหนุ่มวัย 24 กำลังเริ่มต้นขึ้นอย่างได้เรื่องได้ราว ถึงกับเรียกเขาอย่างอ่อนหวานว่า
“ชาคะ ดิฉันบอกเคลียแล้วนะเกี่ยวกับเรื่องของเราน่ะ”
หารู้ไม่ว่า ฝ่ายชายได้แต่พึมพำออกมาอย่างไม่สู้ชื่นบาน
“หรือครับ”
เคลียได้ยินถนัดเพราะเขานั่งคู่กับคนขับคือคุณรำพร มีหล่อนนั่งหลัง กำลังจะพากันไปชมพระราชวังบางปะอิน
หากก็มีคำถามถามอยู่ในใจเคลียนับแต่วันที่คุณรำพรออกอาการเจ็บแค้นแน่นหัวอกตั้งแต่วันก่อนนั่นแล้ว เธอเอ่ยกับเคลียอย่างที่เห็นได้ชัดว่าความขุ่นขึ้งแต่หนหลังยังไม่มีวันคลาย
จึงมิรู้ว่าบัดนี้เธอกำลังทำร้ายคุณสดมภ์ หรือทำลายตัวเธอเอง
‘ฉันอยากให้นายสดมภ์มันรู้เหลือเกินว่า ฉันกำลังทำอะไรอยู่…หมายความว่า ฉันกำลังใช้จ่ายชีวิตของฉันอย่างเสรีตามใจชอบยังไง มันจะได้รู้ว่าไม่ใช่ผู้ชายฝ่ายเดียวที่ทำได้ ผู้หญิงก็ทำได้เหมือนกัน…มันนึกว่าเราเป็นหมูเป็นหมา…เป็นปลาเป็นผักหรือยังไง…’
ตอนที่ฉันบอกบทให้คุณรำพรพูดนั้น เพิ่งพ.ศ.2511 เองนาคะ เพศหญิงส่วนใหญ่ยังเป็นกุลสตรีอยู่เลย
เคลียก็เลยห้ามเสียงหลง
‘คุณคะ คุณ มีประโยชน์อะไรที่คุณจะประชดชีวิตด้วยวิธีนี้’
ก็น่านน่ะซี้…ฉันได้แต่นึกในใจ
แต่ในที่สุด คนอย่างคุณรำพรก็เอาชนะกลอนสอนใจของท่านสุนทรภู่เข้าให้จนได้
นั่นก็เนื่องด้วยฉันแอบปูทางให้เธอเดินตามอัธยาศัยไว้ก่อนหน้า
ก็เพราะฉันไม่ยอมให้คนเหล่านี้สบายนักอย่างไรเล่า
ดังนั้น เมื่อเสร็จสิ้นการชมพระราชวัง คุณรำพรอยากเลยไปอยุธยา ฉันก็เลยให้เคลียขอกลับบ้าน ปล่อยให้คุณรำพรกับอาชาไปด้วยกันสองคน
จะได้จู๋จี๋อี๋อ๋อต่อโยงสายใจ
เคลียก็เลยกลับมานั่งคุยกับน้องสาวของอาชา
ฉันจึงเริ่มปล่อยคำเชยๆของอีกฝ่ายออกมา
‘โบราณเขาถือนะจ๊ะ ผู้หญิงแก่กว่าผู้ชาย” ครั้นแล้วก็ยังบ่นต่อ ‘เขาควรจะได้เมียสาวกว่านี้…รู้ไปถึงไหนก็ขายขี้หน้าเขาวันยังค่ำ ชาวบ้านเขาจะนินทาเอาได้ว่า ผู้หญิงทั้งเมืองหาไม่ได้อีกแล้วหรือไง ถึงได้ไปคว้าเอาแม่ม่ายอายุตั้งสี่สิบห้ามาเป็นเมีย เกือบจะไปบ้านเก่าอยู่รอมร่อ’
ยังจ้ะยัง…ฉันเพียงแต่ส่ายหน้าอยู่ ‘หลังม่าน’ แค่นั้น ไม่ทันเปล่งเสียงออกมา
แต่หน้าม่านยังคงโอดครวญ…อดเสียดายพี่ชายตัวเองไม่ได้
ฉันก็เลยป้อนอีกประโยคให้เคลียบอก
‘กรุงเทพฯกว้างค่ะ เลยไม่มีใครสนใจใคร ต่างคนต่างอยู่…’
สมัยก่อนน่ะซี…ลองมาดูสมัยนี้บ้างปะไร ฉันเลยขำก้ากอยู่ในใจ
แต่ยังไม่ทันไร คุณรำพรก็กลับมา ครั้นแล้วก็จับไข้ อาชาก็เลยต้องลงเรือไปตามหมอที่รู้จักกันมานาน นามว่าหมอโอภาส
มาตรวจอาการไข้คุณรำพรแล้วให้ยา…ขากลับอาชาจึงชวนเคลียพายเรือไปส่ง
แต่ขากลับนั่นเอง เรือสำปั้นของอาชาก็ถูกเรือประทุนลำหนึ่งแจวตัดหน้าเรือใหญ่ จึงพุ่งเข้าชนเรือของอาชาเต็มที่ พาทั้งเขาและเคลียดิ่งลงสู่กระแสน้ำอันเชี่ยวกรากท่ามกลางความมืด
หากในความมืดนั้น หล่อนก็เหนี่ยวคออาชาไว้ จนกระทั่งลุงจากเรือประทุนที่ลำใหญ่กว่ามาก ช่วยดึงทั้งคู่ขึ้นมา ผ่านความตายมาได้พร้อมกัน
นี่คือสาเหตุสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยจับจูงความรู้สึกอันเร้นลับได้ผุดผ่านจากรอยพับของหัวใจ ไปสู่ดงดอกไม้คลี่บาน เลยล่วงไปเคล้าคลึงกับความตระการรมณีย์
‘ขอบตาเคลียจึงร้อนผ่าวขึ้นมาด้วยความซาบซึ้งโสมนัสจนมิอาจสะกดน้ำตาไว้ได้’
พฤติกรรมระหว่างเขากับคุณรำพรลบลาไป เหลือแต่บุญคุณที่หล่อนจะต้องจารึกไปจนชั่วชีวิต
ครั้นแล้ว เขาก็สารภาพ
‘คุณเคลียครับ…เมื่อผมเป็นเด็ก ผมเคยฝันว่า ผมจะโตขึ้นมาอย่างชายชาตรี แต่นั่นมันก็เป็นเพียงความฝันเท่านั้นเอง เพราะเมื่อผมโตขึ้นมาจริงๆ ผมจึงได้รู้ว่า บางครั้งความทุกข์ยากที่น่าเหนื่อยหน่ายนี่ มันก็บีบเสียจนเราเป็นไม่ได้ ผมรู้ดี ผมกำลังจะเป็นแมงดาทะเลที่อาศัยอยู่บนหลังตัวเมีย’
เมื่อมาถึงตรงนี้ ฉันก็ได้แต่สงสารเขา
โธ่เอ๋ย อาชา
ฉันก็เลยทำให้ประโยคนี้กึกก้องอยู่ในสมองของเคลียนับแต่นั้น
เคลียเดินออกจากฉากมาพอดี ฉันก็เลยดึงมือหล่อนมากุมไว้
“เธอแสดงได้ดีมากเลยเคลีย”
แต่เคลียสิ กลับหันมาเขม็งมองราวกำลังหาทางจองเวร
“มากแค่ไหน หนูก็ว่าไม่มากเท่านิสัย ดีต่อหน้า ร้ายลับหลังของผู้กำกับ”
“น่า-น่า…เคลีย…ฉันร้ายน่ะเคลีย กลับดีรู้ไหม…เอา…ใครไม่ให้ตุ๊กตาทอง ฉันให้” ฉันก็เลยต้องปะเหลาะตัวละครจนแล้วจนรอด…ก็ไม่ใช่อะไร…นอกจากเก็บไว้ใช้งานในโอกาสต่อไป ไม่ยอมให้นึกเข็ดเสียก่อน
ก็คงต้องต้อนเข้าต้อนออกแบบนี้ต่อไป ไม่มีวันผันแปรเป็นอื่นได้ ในเมื่อเป็นอาชีพของฉันเสียแล้ว
แต่จะอย่างไรก็ตาม ณ บัดนี้ ฉันก็เนรมิตความรู้สึกใหม่มอบให้อาชาและเคลียโดยเรียบร้อยไร้กังขา
ขณะที่ห้องนอนคุณรำพรก็ได้เพื่อนร่วมเตียงคนใหม่…เป็นห้องที่ไม่ไกลเกินไปกับห้องของเคลีย จึงสามารถได้ยินเสียงหยอกเอินของคุณรำพรเล็ดลอดออกมา
ฉันเองต่างหากที่มัววุ่นกับการเสกสรรถ้อยคำ ทำจนเสียงคุณรำพรเหมือนสาวๆอายุคราว 20
“ชาจ๋า เธอรู้ไหมว่าฉันรักเธอหมดหัวใจแล้วนะ ให้เธอหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว อย่าทำให้ฉันผิดหวังนะจ๊ะ”
คิดดู…ยิ่งนับวัน นักเขียนก็ยิ่งผูกเงื่อนปมแน่นขึ้น
ใคร้…จะมีเรี่ยวแรงมากระตุกให้หลุดได้
ยิ่งอาชาก็ยิ่งไร้น้ำยา ในเมื่อความเป็นชายของเขาถูกแลกเปลี่ยนกับค่าไถ่ถอนที่นาของพ่อแม่ ค่าเล่าเรียนของน้องๆและของตนเองจนหมดความหมาย
เฮ้อ…ผู้กำกับได้แต่ทอดถอนหายใจ ยกมือท่วมหัว
เจ้าประคู้น…เกิดชาติใดฉันใดก็ขออย่าเป็นเลย ทั้งเจ้าหนี้ลูกหนี้…ถือว่ามีเวรกรรมทั้งสิ้น
ครั้นแล้ว ฉันก็ได้แต่ดำเนินเรื่องราวสืบไป ทั้งๆตัวเองก็ใจหายใจคว่ำ…หากก็จำใจจริงๆที่จะต้องเสกเป่าฉากเด็ดๆให้เข้าที่ มิฉะนั้นก็จะไม่สมจริงดังใจหมาย
ฉันพาคุณรำพร อาชา เคลีย เข้าฉากพร้อมหน้ากัน ชวนไปชนแก้วเบียร์ เชียร์ตัวเองหลังจากบรรเลงรสรักแก้อาการอกหักครั้งก่อนกับหนุ่มอ่อนวัยกว่าเกือบสองรอบ
“สำหรับวันเริ่มต้นระหว่างฉันกับชา” คุณรำพรยกแก้วเบียร์ขึ้นชู ขณะที่อาชากุมแก้วนิ่งอยู่
ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยเลือดฝาดเปล่งปลั่ง ทั้งๆเมื่อไม่นานมานี้เอง คุณรำพรยังดูหงุดหงิดโทสะร้าย แต่บัดนี้ เมื่อมีชายวัยเยาว์มาเคียงข้าง ความอ้างว้างในอกจึงบรรเทา กลายเป็นใครอีกคนที่บริวารในบ้านแทบจะไม่รู้จัก
ขณะที่น้ำตาเคลียใกล้จะหยด
หยดเป็นหยดกันซีน่ะ เคลียเอ๊ย…ทำไงได้…ฉันก็เลยเอ่ยกับหล่อนหลังจากฉากในร้านอาหารผ่านไป
แต่หล่อนไม่เล่นด้วย เอาแต่สะบัดหน้าพรืดพราด
หารู้ไม่ว่าฉันสงสารใจจะขาด…หากความจำเป็นก็บังคับไงเคลีย
จะบอกให้รู้ไว้แล้วกันว่า เธอควรเห็นใจคุณรำพรให้มากๆ มากเข้าไว้ ก็ไม่เสียหายกระไรนักหรอกน่า
ฉันจะร่ายยาวให้เธอฟังก็ยังได้นี่นา
‘คุณรำพรเหมือนคนเดินทางเสี่ยงโชคที่ออกไปแสวงหาขุมทรัพย์ตามลายแทงเท่านั้นละเธอเอ๋ย…แต่ขุมทรัพย์ที่คิดว่าจะพบได้ง่ายๆ นี่มันบังเอิญอยู่ไกลสุดเอื้อม เกินกว่าที่เธอจะคว้าไว้ได้ไงเคลีย…ท้ายที่สุดก็เลยรู้แล้วว่าทางที่เธอจะบุกบั่นฟันฝ่าต่อไปจะต้องผ่านป่าดงพงไพรใหญ่กว้าง อาจทำให้เธอสิ้นชีวิตได้ ความปรารถนาที่จะขุดให้ได้ขุมทรัพย์ก็เลยเหลือแค่ขอให้พบบ่อน้ำใส ได้อาบกินอย่างสบายก็พอใจจะได้บรรเทาความแห้งผากในหัวใจเธอได้บ้างไงล่ะ’
เรื่องนี้ก็จบลงแค่อาชาคือบ่อน้ำน้อยๆของคุณรำพร ก็เท่านั้น
เธอจงอย่าโศกตรมวุ่นวาย
รักษาเนื้อรักษาตัวเตรียมไว้
เถอะน่ะ…ทำไปตามที่ฉันสั่ง แล้วดีเอง
เคลียก็เลยหายโกรธ เช็ดน้ำตา
ฉันก็เลยมีกำลังเดินหน้าต่อไป
แต่แล้ววันหนึ่ง ฉันก็ทำให้เกิดเรื่องขึ้นมา
ขอให้รับรู้ไว้เถิดว่า เมื่อมาถึงยามนี้ ถึงอย่างไร เรื่องต่างๆก็รอเกิดอยู่แล้ว
ถ้าไม่เกิดน่ะซี สุดจะแปลก
แม้ฉันจะปูพื้นเคลียไว้แล้วอย่างแน่น ชนิดที่คำสอนหญิงของคุณรำพรหรือท่านสุนทรภู่ก็ต้องยกนิ้วให้ แต่ยามเมื่อหัวใจตกเป็นทาสของความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ตรึงหล่อนไว้ราวตะปูตัวใหญ่ หญิงสาววัย 21 ปี หรือจะเอาชนะอำนาจนั้นได้
นั่นก็เนื่องด้วยคืนหนึ่ง อาชาอ้างว่าเขานอนไม่หลับ เลยลุกขึ้นมายืนตากลมตรงหน้าต่างห้องบันได
พบเจอเคลียผู้นอนไม่หลับ จึงออกมายืนรำพึงรำพันฝันหาอยู่กับตัวเองเช่นกัน
ก็ถ้าทั้งชายและหญิงพร้อมใจกันนอนไม่หลับขนาดนี้ จะมีเรื่องอื่นใดอีกนอกจากเรื่องลึกลับจับหัวอก
ครั้นแล้วอาชาก็เลยระบายความนัยออกมา ทั้งๆก็หาได้จำเป็นจะต้องมาบอกกล่าวอันใดไม่
“ผมไม่ได้นอนกับเธอหรอกนะคืนนี้”
ฉันเองคอยกระตุ้นให้เขาอุตริพูดยังงั้นเอง ทั้งๆไม่จำเป็นแต่อย่างใดที่ใครจะนำการบรรเลงบนเตียงมาขยาย
“เพราะรู้สึกว่ามีอะไรหลายอย่างไม่สู้สบายใจ เธอเองก็ออกจะเชื่อโชคลางอยู่เหมือนกัน เลยให้ผมอยู่ห้องเดิมไปก่อน ตกลงผมก็เลยยังเป็นอิสระ”
อ้อเหรอ…ผู้กำกับเองก็ไม่ยักรู้ นึกว่าเสร็จเรื่องกันไปแล้ว
เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเธอยังคงบาดเจ็บจากรถเกือบชนกับแท็กซี่หลังจากกินอาหารภัตตาคารจบลงไงล่ะ กระจกหน้ารถแตกเป็นเสี่ยง หน้าผากถูกกระแทกเต็มรักจนเลือดออก อาชาก็เช่นกัน แต่เคลียนั่งหลัง เลยรอดไป ต่อจากนั้นจึงนั่งแท็กซี่ไปทำแผลที่โรงพยาบาล คุณรำพรเย็บ 5 เข็ม อาชา 3 เข็ม
ครั้นกลับถึงบ้าน เธอก็ยังรู้สึกเจ็บที่ยอดอก
คืนแห่งความสุขก็เลยกลายเป็นคืนแห่งโชคร้าย
‘เคราะห์ดี คุณเคลียไม่เป็นอะไร’ อาชาเอ่ยขึ้น
ก็ฉันอีกนั่นแหละคอยใส่ไฟ
คิดดูก็ได้…จะมีคนสมองพิการคนไหนทะลุทะลวงใส่หูคนที่เขาปรารถนาจะเลี้ยงดูตัวขนาดนี้
แต่ฉันนี่แหละ…เป็นคนใส่
ไหนๆก็บ้ามาจนถึงวันนี้แล้วนี่นา…อาชา…ขืนไม่บ้าต่อไป จะมีเรื่องมันๆตามมาได้ไฉน
อย่าลืมก็แล้วกันว่า ผู้กำกับคนนี้มีแต่ไม้เด็ด ไม่มีไม้ด้วน
ฝ่ายคุณรำพรได้ยินเต็มหู จึงย้อนตอบพร้อมหัวเราะดุๆ
‘ไม่ยักเป็นห่วงนะว่าฉันจะเป็นหรือตาย นี่ถ้าฉันตายคงดีใจละซี แต่ฉันไม่ตายง่ายๆหรอก ขอให้รู้ไว้’ เธอก็เลยย้อนเข้าให้อย่างหยันเยาะ
นี่ก็เลยเป็นเหตุให้เธอยังไม่นอนกับอาชา…
ปล่อยให้คนสองคนจินตนาการกระเจิดกระเจิงไปด้วยกันว่า…บัดนี้ มีสิ่งใดรออยู่ข้างหน้า
จนกระทั่งมาถึงคืนนี้
คืนที่อาชาและเคลียมีโอกาสมายืนประจันหน้ากับสองต่อสองท่ามกลางชั่วโมงนาทีดึกสงัด
มีโอกาสที่อาชาจะกล่าวถ้อย
“คุณเคลีย ผมรักคุณ ไม่ได้รักคุณรำพร แต่ผมต้องขายตัวให้คุณรำพร”
เออ…ดี…อาชา…เธอพูดตามฉันได้ก็ดีแล้ว
นายพระเอกได้ยินชัดก็หันมาวัดดวงกับฉันทันที
“คุณนี่ร้ายนะ…ทำไปทำมาก็เอาบทผู้ชายขายตัวมาอัดไว้กะผมจนได้…ไม่เคยพบเคยเห็นนักเขียนอะไร ร้ายสิ้นดี ร้ายตั้งแต่สาวจนแก่”
“ฮูเรฮุย…” ฉันก็เลยล้อหัวเราะๆ “ก็ฉันเห็นว่าเธอน่ารักดีอบอุ่นดี พูหญิงชอบไง…พูหญิงแก่…แต่ยังอ่อนกว่าฉัน 12 คูณ 4 น่ะ…ฮิฮิ”
เจ้าพระเอกของฉันก็เลยสะบัดหน้าหายเข้าไปในฉาก ไปสู่ร่างนางเอก
ฉันรู้นะ…เธอเองก็รอฉากนี้มานาน
โดยเร็วพลัน เขาก็จับไหล่สาวสวยหมุนไปหา แล้วรั้งร่างนั้นเข้าไว้แนบแน่น ริมฝีปากกดลงบนริมฝีปากของเคลียอย่างรุนแรงดุดันราวจะประชดประชันหยันเย้ยบางอย่าง…อั๊ยย่ะ…
“ทำยังไงดี ผมรักคุณ”
ก็รักน่ะซีเล่า…เธอเอ๊ย…อย่าลืมก็แล้วกันว่า เคลียน่ะเขาฉลาดนะ…เห็นนิ่งๆทำตามคำสั่งคุณรำพร ไม่มีตกหล่นแบบนั้น ก็ใช่ว่าเขาไม่รู้อะไร เพียงแต่เขากลายเป็นกุลสตรีสมัยเก่ามากเกินไปเท่านั้นละ…แต่ก็ใช่ว่าไม่ดี
ไม่งั้นเขาคงไม่อยู่เป็นผ้าขาวแสนสะอาดหอมกรุ่นมาจนถึงมีชายจนๆอย่างเธอหรอกน่า อาชา…ฉันได้แต่นึกอยู่ในใจ…หากล้าเปล่งเสียงหมิ่นประมาทออกไปดังๆในฐานะผู้แจกบทให้เขาแสดงไม่ เดี๋ยวมิรู้ว่าวันไหนพี่แกจะแอบมาดักทักทายฉันด้วยมีดพร้ากระท้าขวาน…ฮึ่ย…แค่คิดก็ยังกลัวคนสมัยนี้แทบตายแล้ว
แต่ถึงอย่างไร ฉันก็จะต้องทำหน้าที่ของฉันเต็มความสามารถ
นั่นก็คือพาเรื่องนี้เข้าสู่ ‘ป่าดงแห่งความรัก’ อย่างแสบสันต์อนันตกาลให้จงได้
ครั้นแล้ว ฉันก็เลยพาหมอโอภาสมาเข้าฉาก
หมอโอภาสผู้เคยรักษาไข้คุณรำพรคราวไปบางปะอินนั่นไง เป็นคนรู้จักสนิทกับอาชา…ที่เคยรักษาไข้คุณรำพรตอนที่เธอไปพักบ้านเขา แล้วเลยแอบติดใจเคลียอย่างเงียบๆ
วันนี้ก็เลยขับรถมาเยี่ยมเยือนถามข่าว
เคลียจึงบอกเขาอย่างจริงใจ
“แหม…ดีใจจังที่คุณหมอมา”
แท้จริงแล้ว ฉันเองต่างหากที่ดีใจ
เอาละนะ…เป็นไงเป็นกัน
หมอโอภาสนี่ละที่ฉันจะจับเอามาเป็นตัวการ
ฉันก็เลยให้เคลียห้าวหาญพอตัวเมื่อตอบรับที่เขาอาสา
นับเป็นสายฟ้าแลบที่แล่นเข้ามาในสมองของผู้กำกับ
เป็นเหตุให้อาชาอารมณ์ไม่ดี
แม้กระนั้น นางเอกผู้แสนเป็นกุลสตรีก็ยังครุ่นคิดถึงความควรหรือมิควรที่จะไปดูหนังกับชายหนุ่มสองต่อสอง
ปัทเธ่อ…เคลียเอ๊ย…แล้วเธอจะรอไปสองต่อสามสองต่อสี่งั้นเหรอ ธ่อ ธ่อ ธ่อ เดี๋ยวตีตาย
หากท้ายที่สุด ฉันก็ผลักแกมดันหล่อนให้แต่งกายชุดเลิศหรูฟู่ฟ่า ไปกับนายแพทย์โอภาสจนได้
แล้วฉันก็ยังบังคับให้ฝนตกหนักหลังหนังจบซะงั้น เพื่อให้เคลียกับหมอโอภาสกลับบ้านยังไม่ได้ไงล่ะ ก๊อต้องไปนั่งหลบฝนที่ห้องขายไอศกรีมด้วยกัน
แต่หัวใจเจ้ากรรมของเคลียก็ทำพิษตามเคย เมื่อหมอโอภาสถามว่า ต่อจากดูหนัง เคลียอยากไปไหน แต่ด้วยความที่ไม่เคยออกไปพบแสงสว่างบนท้องถนน ในที่สุดหมอโอกาสจึงต้องเลือกด้วยตนเอง ตกลงใจไปลองอาหารฝรั่งในโรงแรมหรูแห่งพระนคร
คุณหมอถึงกับเอ่ยออกมา
“คุณเคลียครับ วันนี้เป็นวันแรกที่ผมมีความสุขมาก…มากเหลือเกิน”
คืนนั้น ฉันก็เลยให้หมอโอภาสพาเคลียมาส่งถึงบ้านตอน 3 ทุ่ม เมื่อฝนขาดเม็ดแล้ว
เคลียจึงพาเขาเข้าไปนั่งในห้องรับแขก ตัวเองขึ้นบันไดจะไปบอกคุณรำพรเชิงขออนุญาต
ก็ฉันเองอีกตามเคยที่ออกความคิด…จะได้พาพระเอกนางเอกหาเรื่องกันยามดึกไงล่ะ
แล้วก็จริงดังคาด
พ่อพระเอกของฉันยืนดักอยู่แล้วจึงปราดเข้ามาต่อว่า เสร็จสรรพก็เอาแต่คร่ำครวญ
“เคลีย คุณกำลังจะฆ่าผม”
ไม่ใช่เคลียหรอก…อาชา…ฉันเอง…ฉันอยู่นี่…อยู่ ‘หลังม่าน’ นี่…กำลังรำดาบป้อๆอยู่นี่…กำลังยุแยงตะแคงรั่วให้เคลียตอบกลับไป
“ฉันน่ะหรือกำลังฆ่าคุณ…คุณน่ะซีกำลังฆ่า ‘ใครๆ’ คุณขายตัวให้คุณรำพร ยังมีหน้ามาบอกว่ารักฉัน คุณเป็นมนุษย์อะไรกัน…ปล่อยฉันนะ บอกให้ปล่อย…ขอให้รู้ไว้ด้วยนะว่าฉันเกลียดคุณ ขยะแขยงความเห็นแก่ตัว ลวงโลกอย่างไม่เคยขยะแขยงใครเท่านี้…”
ใส่ใหญ่เลย แม่คุณ แม่ทูนหัว…ฉันแทบจะตบมือออกมาดังๆ สั่งนางเอกต่อไป
“รู้ไว้ด้วยนะว่า หมอโอภาสรออยู่ข้างล่าง เขานั่นแหละคือคนที่ฉันจะมอบชีวิตให้ เพราะเขาคือสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว”
นี่ก็ไม่รู้ว่าเชยมากไปหรือไม่
แต่ก็เอาละ…เชยเป็นเชย…ฉันนึกในใจ
คงสมเหตุสมผลดีอยู่หรอกน่า ก็นางเอกของฉันเห็นโลกแค่ฝุ่นผงเท่านั้น จะเกณฑ์ให้ล่วงรู้ถึงไส้ในได้อย่างไร
ฉันก็เลยให้อาชาเชยพอกัน
“ขอแสดงความยินดีด้วย ถ้าคุณจะแต่งงานกับเขา” ว่าพลางจึงก้มศีรษะอย่างเยือกเย็น พลันหันหลังกลับ
ปล่อยให้นางเอกใจวูบวับตกหล่น
แล้วนี่จะรู้หรือมิรู้ว่าเป็นเพียงกลเม็ดของผู้กำกับ…เอิ๊บเอิ๊บ…
หากก็จำเป็นต้องลงมาบอกหมอโอภาสว่าคุณรำพรหลับแล้ว คนใช้ก็เตรียมปิดบ้าน
เอากะนางเอกของฉันซี…เริ่มหงุดหงิดแล้วไหมล่ะ…เริ่มไล่หมอซะอีกแล้ว
แต่หมอก็ไม่ไหวทัน ยังอุตส่าห์บอกนางเอก
“ความจริงก็ยังไม่อยากกลับเลย อีกตั้งอาทิตย์ ไม่รู้ว่าผมจะรอไหวไหม”
ตายแล้ว-ว-ว
แค่อุบายของผู้กำกับนิดเดียว เพียงไม่กี่เสี้ยววินาที ฉันก็ชวนชายเข้ามาหลงรักหัวปักหัวปำในตัวนางเอกถึงสองคน
มิหนำซ้ำ ยังให้หมอโอภาสอาลัยอาวรณ์ถึงแก่เปล่งเสียงออกมา
“รอผมนะ”
“ค่ะ…ฉันจะรอหมอ” นางเอกบอกกับตัวเองขณะที่น้ำตาไหลพราก “หมอคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยฉันได้ เราจะต้องแต่งงานกันโดยเร็วที่สุด”
ช่วยได้จริงเหรอเคลีย…ฉันก็เลยถามแกมขำนิดๆ ขณะที่เจ้าตัวหันหลังกลับ หากต้องพบกับเงาทะมึนของอาชาผู้ให้คุณรำพรกินยานอนหลับเรียบร้อย จะไม่ตื่นอีกเลยจนเช้าหรือสาย
ทิ้งให้หญิงชายคู่หนึ่งผู้บัดนี้อยู่ด้วยกันตามลำพังในตึกใหญ่เล่นไล่จับกันไปตามอัชฌาสัย ท่ามกลางความมืดและความสงัดยามดึก
“ถ้าจะปล่อยให้คุณตกเป็นของหมอโอภาสละก็ ผมตายเสียดีกว่า” เขาคำรามอย่างดุดันหลังจากไล่จับหล่อนมาไว้ในอ้อมอกได้ “เคลีย ผมรักคุณ รักจนเกินกว่าจะเห็นคุณตกเป็นของใครได้”
อกอีปุกจะแตกตาย…นักเขียนโบราณเสแสร้งร้องออกมา
อะฮ้า…ครั้นแล้วในที่สุด ฉันก็ต้องออกแบบอยู่ดีเมื่อทั้งคู่พบตัวเองในวงแขนของกันและกัน
พระเอกก็เลยเปล่งเสียงออกมา
“ผมจะหาทางไปจากที่นี่ ตราบใดที่มีคุณรำพร เราสองคนจะต้องกลายเป็นทาสของเธอ”
นางเอกเองคงไม่เคยคิดไม่เคยนึกว่าปัญหาชีวิตที่ใครลิขิตก็มิรู้ เหตุไฉนจึงผูกแล้วแก้มิได้
เหตุไฉนจึงจะต้องแอบกอดกันลับหลังคุณรำพรต่อไป
แต่ฉันก็ต้องหัวเราะกับตัวเอง เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น คุณรำพรกะจะพาอาชาไปไถ่ถอนที่นาของพ่อแม่เขาที่ติดจำนอง
เตร็ง…เตร่ง…เตร๊ง เตรง เตร่ง เตร๋ง เตรง เตร่ง…
แต่แล้ว คุณรำพรกลับผิดคาด นั่นก็เนื่องด้วยอาชาเข้ามาบอกเธอว่าเขาคงยังไปไม่ได้เพราะไม่สบาย
“ผมคิดว่าเงินมันมากมายจนเกินกว่าจะรบกวนคุณได้” พระเอกจำนรรจา “ผมอายคุณเคลีย เธอจะนึกว่าผมเป็นอะไร เข้ามาที่นี่มือเปล่า แต่กลับออกไปดูภูมิฐาน”
แต่คุณรำพรก็แย้ง
“ฉันจะดูภูมิฐานอยู่คนเดียวได้ไง ก็ต้องแบ่งความภูมิฐานไปให้คนข้างเคียงด้วยซีจ๊ะ”
แล้วนี่ฉันจะทนฟังต่อได้ไง ก็เลยสั่งนางเอกให้ตัดสิน โดยบอกชายหนุ่มว่า
“คุณควรสนองเจตนาคุณรำพรนะคะคุณอาชา อย่าอายเลยค่ะ เชื่อฉัน ถึงยังไงคุณก็เป็นคนเดียวกันแล้ว ถึงไม่ตามกฎหมายก็ไม่แปลก ถ้าคุณฉลาดพอ คุณต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด”
เฮ้อ…หายหงุดหงิดไปที เพราะฉันให้คุณรำพรตอบว่า
“อย่าไปคิดอะไรมากเลยชา…ถ้าเธอมาเป็นฉัน ถึงจะรู้ความทุกข์ทรมานอันนี้ รู้ว่าฉันไม่ได้รักเธอแค่เธอเป็นชาย แต่รักด้วยชีวิตจิตใจ หากฉันจะต้องตายไปเพราะคนด้วยกัน ก็ตายเพราะความรัก ไม่ใช่ความใคร่”
เฮ้อ…ฉันเองเขียนเองกำกับเองยังแสนเหนื่อยกับการบรรเลงเพลงยาวทำนองนี้
แล้วนี่ก็จะต้องวกไปหาคุณสดมภ์
เพราะชายผู้นี้จะต้องเป็นผู้มาตบท้ายฉากสำคัญที่ทำให้เงื่อนปมแสนยากที่มองเผินๆจะแลไม่เห็นความลำบากในการแก้แต่ละเงื่อนให้หลุดออก
“แกว่าจริงไหม เด็กหนุ่มๆนี่มันน่ารักกว่าเสือเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างไอ้สดมภ์” ท้ายที่สุด คุณรำพรก็หลุดปากออกมาอย่างเห็นได้ชัดว่า เธอนั่นเองคือบ่อขังความแค้น
แต่แท้ๆแล้ว ก็ฉันอีกนั่นแหละที่ทอดสะพานให้ตัวละครเดินไว้แล้วอย่างแน่นหนา
เชื่อหรือไม่ว่า ในที่สุด เคลียก็ออกไปของานคุณสดมภ์ทำ ครั้นแล้วสดมภ์จึงนำไปฝากไว้ที่ร้านเสริมสวยของผกาแก้วเมียใหม่
ป่าดงแห่งความรักความใคร่เริ่มฉายส่องขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อคุณสดมภ์รู้ความจริงว่า เคลียกับอาชารักกัน แต่เคลียจำใจจำยอมถอยออกมาด้วยปรารถนาจะตอบแทนบุญคุณคุณรำพร
นั่นเอง คุณสดมภ์จึงเอ่ยออกมา
“เอาเถอะ แล้วฉันจะหาทางช่วย”
แต่คุณสดมภ์ก็หงุดหงิดอยู่ดีจนผกาแก้วแคลงใจว่าผู้ชายของเธออาจกำลังเสียดายคุณรำพรก็เป็นได้ที่บัดนี้มีสามีใหม่เป็นหนุ่มอายุเยาว์ ดีไม่ดีอาจปอกลอกจนคุณรำพรหมดตัว
เคลียก็เลยตีบังกั้นว่าชายหนุ่มคนนี้คงมิได้คิดปอกลอก อาจเพียงแต่ขอให้อุปการะเขาและน้องที่ยังเรียนไม่สำเร็จแค่นั้น
“แต่นั่นมันก็สมบัติของฉันทุกชิ้น” คุณสดมภ์ก็เลยสารภาพว่าเมื่อคืนตนเองลองโทรศัพท์ไปหาอาชา วันนี้ก็เลยนัดชายหนุ่มไปพบกันที่ที่ทำงาน โดยสัญญาว่าจะไม่แพร่งพรายให้คุณรำพรล่วงรู้
ครั้นแล้วสดมภ์จึงนำความรู้สึกหลังจากพบปะกันแล้วมาถ่ายทอดให้เคลียกับผกาแก้วฟัง
“เขาบอกว่าเขาไม่ได้รักรำพรเลย เขารักคนอื่น แต่ความจำเป็นทำให้เขาต้องทำแบบนี้ ฉันถามว่าเขารักใคร เขาก็อ้ำๆอึ้งๆ จนท้ายที่สุดถึงได้สารภาพว่าเขารักเคลีย…เธอเองก็รักเขา”
หากเคลียก็ยังยืนยัน
“แต่หนูทรยศต่อคุณผู้หญิงไม่ได้”
ฉันงี้…อยากจะกอดเด็กคนนี้ไว้ด้วยความรักและเอ็นดูเอาทีเดียว
เลยยกนิ้วให้เมื่อเคลียเดินตามสดมภ์และผกาแก้วออกจากฉาก
“สมบทบาททั้งสามคนเลย” ฉันได้แต่ชมเชย แต่สดมภ์ดูเหมือนจะไม่เล่นด้วย
จะเล่นได้ไงล่ะ ในเมื่อเขารู้ดีนี่นาว่า ฉากต่อไป เขาจะร้ายขึ้นขนาดไหน
ใครเสียอีกที่หาทางให้เขาร้าย
แต่ในร้ายก็มีดีแสนดีนี่เธอเอ๋ย…ฉันก็เลยส่งเสียงตามหลัง
ที่ว่าร้ายก็อาจจะเพราะคนในบ้านคุณรำพรมาส่งข่าวให้เคลียรู้ในวันหนึ่งว่า บัดนี้ คุณรำพรไปยกพยุหะโยธาทัพพ่อแม่น้องหลานของอาชามาอยู่อาศัยด้วยเป็นการถาวรแล้วนะเจ้าคะ นี่แหละคือไม้ตายที่จะทำให้คุณอาชาไปไหนไม่รอด
หากก็…ถึงอย่างไร เรื่องก็ยังไม่จบอยู่ดี เพราะอาชาไปหาสดมภ์ที่ที่ทำงาน สมัครเป็นพนักงานทำหน้าที่สำรวจตลาดภาคเหนือที่บริษัทประกาศรับแค่เดือนเศษ
สดมภ์จึงรับไว้พร้อมยิ้มกริ่มอย่างผู้มีชัย
เคลียอดนึกไม่ได้ว่า หรือคุณสดมภ์จะอิจฉาอาชา พร้อมกันนั้นก็ต้องการแก้แค้นภรรยาเก่า
ฉันก็เลยยิ่งชื่นชมนางเอกเอามากๆ มากยิ่งขึ้นทุกเวลานาที
สมแล้วที่อยู่มากับคนมีสีสันดุจดังรำพรและสดมภ์
แต่แล้ววันหนึ่ง ไม่นานเกินไป คุณรำพรก็มาจอดรถรออยู่หน้าร้านเสริมสวย มารับเคลียกลับบ้าน
นั่นก็เนื่องด้วยอาชาไปต่างจังหวัด ไปสำรวจตลาดนั่นเอง
เห็นไหมว่า…การบรรเลงของฉันใกล้จะถึงจุดจบเข้ามาทุกขณะ
เมื่อถึงเย็นวันนั้น คุณสดมภ์กลับถึงร้านผกาแก้ว รู้ข่าวแล้วว่าคุณรำพรจะมาเอาตัวเคลียไป ก็ออกคำสั่งห้ามทันทีทันใด
แต่สุดท้ายแล้ว คุณรำพรก็มารับเคลียไปจนได้
คุณสดมภ์ถึงแก่มากดกริ่งแต่เช้า ขอพบคุณรำพร โดยบอกกล่าวว่า
“ฉันอยากพูดกับเขาให้แตกหักไปเสียที คนคนเดียวที่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ผกาแก้วเขาอาลัยอาวรณ์เธอมาก เขารักเธอไม่แพ้รำพร เชื่อฉันดีกว่า มาวันนี้ ฉันอยากให้เธอตัดสินใจให้เด็ดขาด ถ้ากลับก็ไปเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่กลับก็ไม่ต้องไปเลย”
ก็พอดีคุณรำพรเดินออกมา จึงส่งเสียงเกรี้ยวกราดกับสามีเก่า
“อย่าให้ไอ้มนุษย์ตัวนี้เข้ามาที่นี่อีก”
ฉันเกือบจะหัวเราะกลิ้งออกมาแล้ว
ประเดี๋ยวเถอะ…รออีกประเดี๋ยวละกัน คุณรำพร
รอให้ถึงคืนวันแต่งงานของน้องสาวหมอโอภาสที่ครอบครัวของอาชารวมทั้งเคลียต่างก็ยกขบวนกันไปงาน
ก็นั่นละ คือ…
จะเรียกว่าวันเกิดของคุณสดมภ์หรือวันตายของคุณรำพรดี
เพราะ…เอ้อ…เพียงแต่เคลียกับอาชาและพ่อแม่ญาติๆกลับถึงบ้านเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงคุณรำพรร้องไห้ฟูมฟาย นอนฟุบอยู่บนเตียง จมจ่อมอยู่กับความวิปโยค
ถึงคราวโศกแล้วใช่ไหม
แต่ฉันก็ได้แต่ปลอบใจเธอดังๆ
“ไม่ต้องเจ็บอกเจ็บใจไปหรอกคุณ…”
โฮ โฮ โฮ…คุณรำพรฟังแล้วยิ่งตะบึงตะเบ็งจนแก้วหูฉันลั่น พลางเธอก็ร้องเสียงแหลม
“ฉันจะชั่วช้ายังไงก็ขอมีผัวคนเดียว”
คนฟังได้แต่เสียวปลาบไปถึงไหนๆ
รู้ได้ทันใดว่า บัดนี้ เกิดเรื่องใดขึ้น
คุณสดมภ์นั่นเอง คือโจรใหญ่ที่ย่องเข้ามา จะด้วยความแค้นหรือไรไม่รู้ละ
แต่ได้เข้ามาทำมิดีมิร้ายกับเมียเก่าจนเศร้าไปตามกัน
นอกจากฉัน
เออน่า…คุณรำพร คุณสดมภ์รวมทั้งเคลียและอาชา
‘พงไพรแห่งกามเทพ’ ของพวกคุณปิดฉากลงแล้ว
เหลือเพียง ‘อุทยานรมณีย์’ ที่มีเคลียกับอาชา มีคุณสดมภ์กับคุณรำพร เพียงสองคู่ที่จะจูงมือกันสืบไป
โดยฉันจะขอฝากเด็กชายเล็กๆวัย 2 ขวบ ที่เกิดมาด้วยความเอาแพ้เอาชนะจนชนะในที่สุดของบิดา จูงมาเป็นอภินันทนาการแด่ท่านผู้ชมในฉากสุดท้าย
เด็กชายนามว่า ‘คล้อง’ ปฏิสนธิ์มาจากพ่อแม่คู่เดิมที่เติมความหึงสาพยายาทกันและกันอย่างไม่ถูกวิธี แต่ก็เป็นวิธีที่อาจจะถูก ในเมื่ออยู่กันมาแสนนาน ไม่มีลูก
ครั้นลองใช้วิถีที่ขุกเข็ญเช่นนี้ กลับได้เด็กชายคล้องมาคนหนึ่ง
“คิดดู เขาด่าผมเป็นไฟแลบหาว่าเป็นพวกสี่ตีนห้าตีน…พูดขนาดนี้ ผมจะเอาไว้ได้ไง ก๊อ ‘เก็บ’ ซะเลยละกัน” คุณสดมภ์เล่าให้ชาวละครด้วยกันฟังอย่างสะใจ
โอย…แล้วก็ยังมีที่แสบไปถึงทรวงในยิ่งกว่านั้น
แต่ผู้กำกับจะไม่เอ่ยถึงในที่นี้
ที่ที่หนูคล้องของฉันเดินออกมาพนมมือ
“ป๋มชื่อก๊องกั๊บ…เป็นลูกคุณสดมภ์กะคุณรำพร”
– จบ –
- READ "หลังลับแล" เบื้องหลังแสงสว่างมีความมืด...เบื้องหลังความมืดมีแสงสว่าง
- READ ประจิมและอรอินทรา จาก "พฤกษาสวาท"
- READ รู้จักกับ 'เทียนธารา' ให้มากขึ้นใน "ควันเทียน"
- READ "รัด" จาก พญาไร้ใบ
- READ ไฟพ่าย..."พิจิกา" ดวงดาวอันเจิดจ้าและหมองมัว
- READ ข้ามสีทันดร “เดือนสิบและเที่ยงวัน”
- READ "วิมานไฟ" ความคั่งแค้นในใจ 'ภุมเรศ'
- READ วิมวิริยา แห่ง "วิหคโสภา"
- READ "อุโมงค์เวลา" สำปันนีและแคว
- READ "รอบรวงข้าว" ก่องและอัญชัน
- READ "จำหลักไว้ในแผ่นดิน" เจ้าหญิงโสคนเทียและสู
- READ "จันทร์ยาตรา" ปั้นหยาและลุ่มน้ำ
- READ "ไฟทะเล" เรื่องของ 'ชับ' และ 'สิชล'
- READ 'มัลลิกา' มารดายืนหนึ่งใน "กิ่งมัลลิกา"
- READ เรื่องราวของ "ศศิน" ใน "เงาจันทร์"
- READ "ทองลงยา" นางเอกของฉันจาก "กระจกขอบทอง"
- READ ข้ามเมฆา และนางเอก ‘บ้านๆ’ นาม "สีทับทิม"
- READ รสรักปักอุรา "มฤคีและอุบากอง"
- READ ป่ากามเทพ : รำพรและสดมภ์
- READ ตะวันตกดิน : วิธูและโสรวาร
- READ 'บนฟ้า' และ 'สมุทรไท' ณ ขอบฟ้าจรดขอบน้ำ
- READ เมื่อ "ขอบน้ำจรดขอบฟ้า" บนฟ้าและสมุทรไท
- READ ข้ามมหาสาคร 'ดูรา' และ 'กันตัง'
- READ 'ระย้า' เด็กสาวแห่งวังอาชาไนย
- READ "รสอมฤต" การสืบสวนที่พา 'ปูนปั้น' และ 'ร้อยรัด' มาพบกัน
- READ ‘ตวง’ ตัวละครวัยเยาว์ใน 'เมรัยสีกุหลาบ'
- READ "รำนำ" ฤทธิ์เดชจาก ‘กระเช้าสีดา’