ละเล่นลานรัก บทที่ 19 : งูกินหาง…ห้ามใกล้กัน

ละเล่นลานรัก บทที่ 19 : งูกินหาง…ห้ามใกล้กัน

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

กิจกรรมการละเล่นไทยในครั้งนี้มีจำนวนคนมากขึ้นจากคราวก่อนเพื่อให้เขาได้พบปะกับคนที่ไม่เคยเจอหน้ากัน ปรียานุชจึงชักชวนเด็กในความดูแลของเธอทั้งสามคมและผู้ปกครองมาร่วมเล่นด้วยกัน

หากคนที่ไม่เคยเล่นกับเขาในครั้งก่อนก็ยังมีเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน เมื่อเธอเห็นหลานสาวเดินนำหน้าพร้อมทั้งจูงมือชายคนหนึ่งซึ่งส่งยิ้มให้กันมาแต่ไกล

“ผมชื่อฉัตรพงษ์ครับ เราเคยเจอกันครั้งหนึ่ง จำได้ไหมครับ” อีกฝ่ายแนะนำตัวทันทีที่ดาราพรพามาถึงตัวเธอ

“ลุงฉัตรค่ะ น้าปรี” หลานสาวยังเน้นย้ำชื่อเสียงเรียงนามของผู้ที่มาด้วยกัน

บุคคลที่มาพร้อมกับหลานสาวคือคนที่พี่เขยและพี่สาวเคยเอ่ยถึง เธอจึงเอ่ยถาม

“พี่เปรมกับพี่รามไม่ได้มาด้วยกันหรือคะ”

“สองคนนั้นติดธุระก็เลยให้ผมพาน้องดรีมมาที่นี่ครับ” ฉัตรพงษ์ใช้ข้ออ้างที่เตรียมไว้ตอบเธอ

“ลุงฉัตรอยากมาเล่นกับน้าปรีกับน้องดรีมด้วยคนค่ะ” กามเทพตัวน้อยเริ่มปฏิบัติการ

“ตามสบายเลยนะคะ ถือว่าเป็นคนกันเองทั้งนั้น จะได้เล่นด้วยกันสนุก” เธอเอ่ยในทำนองเดียวกันกับผู้ปกครองของพวกเด็กๆ ที่มาถึงก่อนหน้า

หากบทสนทนาถูกขัดจังหวะโดยมีชายหนุ่มอีกคนเดินเข้ามาใกล้

“สวัสดีครับพี่ปรี เพื่อนของผมยังไม่ลงมารวมตัวกับคนอื่นอีกหรือครับ” ฐานินกล่าวจบก็ยังเมียงมองหาคนที่ถูกถามถึง

“ศิลป์น่าจะรอให้นินมาก่อน ค่อยลงมาหน้าบ้าน ลองขึ้นไปตามสิ” ปรียานุชพูดคุยด้วยความสนิทสนม

ก่อนฐานินจะผละออกไปก็หันหน้าไปส่งยิ้มให้ฉัตรพงษ์และดาราพร

“ใครเหรอครับ” ฉัตรพงษ์อดถามไม่ได้ เพราะเห็นท่าทีของเธอที่แสดงกับอีกฝ่ายซึ่งต่างจากตน

“เพื่อนของศิลป์น่ะค่ะ” ปรียานุชตอบออกไป หากคิดได้ว่าคนถามเพิ่งมาเยือนที่แห่งนี้เป็นครั้งแรกจึงแก้คำใหม่ “เพื่อนของลูกชายของเจ้าของบ้านนี้ค่ะ”

“วันนี้น้าปรีจะเล่นอะไรบ้างคะ อย่าลืมให้ลุงฉัตรเล่นด้วยกันนะคะ” ดาราพรชวนคุย

“เล่นได้ทุกคนเลยจ้ะ แต่น้ายังไม่บอกนะว่าเล่นอะไรกันบ้าง รอให้มาครบทุกคนก่อนค่อยพูดให้ฟังทีเดียว” เธอบอกหลานสาว จากนั้นก็พูดกับฉัตรพงษ์ “พาน้องดรีมไปนั่งพักก่อนก็ได้ค่ะ กว่าจะเริ่มกิจกรรมคงอีกสักพัก”

ฉัตรพงษ์พยายามจะสร้างความคุ้นเคยกันให้มากกว่านี้ แต่หญิงสาวเดินไปหาครอบครัวหนึ่งที่เพิ่งจะมาถึง

ปรียานุชมองดูภาพพ่อแม่จูงมือลูกชายกันคนละข้างด้วยความสุขสมใจจึงรีบเข้าไปทักทาย

“ขอบคุณนะคะที่ให้ความสนใจ นึกว่าจะไม่มากันแล้วค่ะ”

“คงพลาดไม่ได้หรอกครับ ตั้งแต่วันนั้นที่ได้ยินคุณปรีเล่าให้ฟัง ผมอยากมาดูให้เห็นกับตา” เก่งกาจบอกเธอ

“ขอบคุณคุณปรีมากนะคะ ยังไม่มีโอกาสได้พูดต่อหน้าสักที” สิตางค์เอ่ยกับเธอพร้อมส่งยิ้มให้อย่างมีไมตรีต่างจากวันนั้นโดยสิ้นเชิง

ท่าทีของสามีภรรยาคู่นี้คงเข้าใจกันดี เธอสัมผัสถึงความรักความอบอุ่นในครอบครัว

“กีตาร์ไหว้น้าปรีนะครับ” เก่งกาจนั่งยองเอ่ยกับลูกชาย

กีตาร์ทำตามอย่างว่าง่าย เธอเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของเด็กผู้ชายตรงหน้าซึ่งเป็นไปในทางที่ดี

หลังจากเธอโทรศัพท์ไปแจ้งเก่งกาจถึงวันจัดกิจกรรม เมื่อมีช่องทางที่ใช้ติดต่อถึงกันได้ ทั้งเก่งกาจและสิตางค์จึงขอคำปรึกษาจากเธอ ปรียานุชแนะนำให้ฝ่ายมารดาพาลูกชายมาพบผู้เชี่ยวชาญที่คลินิกที่เธอทำงานเพื่อเป็นประโยชน์กับตัวเด็กมากที่สุด สิตางค์พาลูกมาทันทีหลังจากวางสาย หากวันนั้นเธอติดทำการบำบัดรักษาเด็กในความดูแลจึงยังไม่ได้พูดคุยกัน

คนเราเมื่อรู้ว่าผิดแล้วรู้จักแก้ไข คือเรื่องที่ควรชื่นชมมากกว่าไปซ้ำเติมกันว่าเคยทำผิด

“เข้าไปนั่งรอกันสักครู่นะคะ น้าศิคงอยู่ในบ้าน จะไปทักทายกันก่อนหรือจะลองให้กีตาร์เล่นกับเด็กคนอื่นก็ได้ค่ะ” เธอเอ่ย ขณะเดียวกันก็จดจ้องไปที่บุตรชายของคนทั้งสอง

ในท่าทีที่ดูเหมือนจะนิ่งสงบยังแอบแฝงด้วยความอยู่ไม่เป็นสุข บางช่วงบางตอนที่ยืนสนทนากับฝ่ายบุพการี กีตาร์ยังคงกระโดดโลดเต้น ทั้งที่สองมือนั้นยังมีมือบิดามารดาเกาะกุมไว้

เก่งกาจพาครอบครัวเข้าไปทักทายผู้เป็นเจ้าของบ้าน ก่อนที่จะออกมานั่งรอร่วมเล่นการละเล่นไทย

ธารทิพย์พาสามีและลูกชายมาถึงบริเวณลานกว้างหน้าตัวบ้านที่เคยจัดกิจกรรม ซึ่งเธอเตรียมสถานที่เสร็จเรียบร้อยพอดี

“สองคนนั้นอยู่ไหนล่ะ ฉันเห็นรถของนินจอดอยู่ข้างกำแพง” ธารทิพย์เดินเข้ามากระซิบถามเธอ ปล่อยให้สามีดูแลลูกพร้อมทั้งนั่งคุยกับผู้อื่น

“มาถึงที่นี่ก็ถามถึงก่อนเลยนะ ไม่คิดจะถามถึงฉันบ้างเลยหรือไง” เธอหยอกเพื่อนสาว

“เห็นๆ กันอยู่จะถามทำไม ต้องถามหาคนที่มองไม่เห็นสิ”

“คงอยู่ในบ้าน” เธอตอบแบบขอไปที

“ถ้าจะเริ่มเล่นกันเมื่อไหร่ ฉันขอเข้าไปตามให้นะ จะได้ฟินตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม” ธารทิพย์ขันอาสา

หากภายในบ้าน เมื่อฐานินไปหาไขศิลป์ถึงห้องนอนก็เจอเจ้าของห้องแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย

“ไม่ต้องรอให้ฉันมาถึงในห้องแกก็ได้ มันเสียเวลา” ฐานินเอ่ยขึ้น

“เสียเวลาอะไร หรือจะเสียเวลาได้อยู่กับพี่ปรี” เขาประชดเพื่อน

“ลงไปหน้าบ้านกันเถอะ เป็นเจ้าของบ้านแท้ๆ ยังจะให้คนอื่นรอ มันเสียมารยาท” ฐานินทำเป็นไม่ได้ยินคำของเขา

ก่อนเพื่อนจะก้าวขานำออกจากห้อง ไขศิลป์ยังตั้งคำถาม “คนเยอะไหม”

“แกอย่าเพิ่งกลัวไปก่อนเลย ลองไปเห็นกับตา สัมผัสด้วยตัวเอง แล้วควบคุมมันให้ได้ อย่าให้มันชนะแกเท่านั้นก็พอ ท่องไว้ด้วยว่าเพื่องาน เพื่องาน” ฐานินย้ำกับเขาพร้อมส่งกำลังใจผ่านทางสายตา “แกเคยทำได้แล้วครั้งหนึ่ง ฉันเชื่อว่าแกต้องทำได้อีก คนไม่ได้เยอะมากเหมือนวันแรก แต่ก็ไม่น้อยอย่างครั้งก่อน ไปกันดีกว่า อย่าเพิ่งคิดไปไกลเลย”

ไขศิลป์ก้าวขาไปตามแรงฉุดแขนของเพื่อนโดยไร้ความขัดขืน พอลงมาด้านล่างก็เจอมารดาเข้าพอดี ส่วนบิดาของเขาคงออกไปขับรถแท็กซี่ ทั้งที่แม่ก็เคยเกริ่นให้ฟัง แต่พ่ออยากให้เด็กๆ กับหนุ่มสาวได้สนุกเต็มที่กับการละเล่น

“แม่นึกว่าศิลป์อยู่หน้าบ้าน” ศศิพูดกับบุตรชาย แล้วค่อยหันหน้าไปพูดกับฐานิน “แม่ไม่เห็นเลยว่านินมาถึงตอนไหน”

“ผมรีบเข้ามาลากมันไปนอกบ้าน ก็เลยไม่ได้แวะสวัสดีแม่เลยครับ” ฐานินยกมือขึ้นไหว้ศศิ

“ไม่ต้องมาลากกันก็ได้ แค่มาตามฉันก็พอ” ไขศิลป์แก้คำของเพื่อนชาย

“ดีแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่พูดว่ามาจูงแก” ฐานินชำเลืองมองไปยังมือข้างที่จับแขนของเขาไว้

ไขศิลป์สะบัดแขนออกจากมือของเพื่อนทันควัน

“ไปรวมตัวกับพวกคนที่อยู่หน้าบ้านได้แล้ว หนูปรีจะได้ไม่เสียกำลังใจที่มาจัดกิจกรรมที่นี่” ศศิบอกชายหนุ่มสองคน

เขายังไม่ทันจะก้าวขาออกจากตัวบ้าน เก่งกาจกับสิตางค์ก็พาลูกชายเข้ามาหาศศิที่ยืนมองด้วยความเปรมปรีดิ์

“กีตาร์ยังจำยายศิได้อยู่หรือเปล่าจ๊ะ” ศศิเอ่ยทักหลานชายที่เคยอยู่ร่วมกัน

เด็กชายส่งยิ้มให้ หากสายตาสอดส่ายไปตามจุดต่างๆ ในบ้าน

ศศิเป็นฝ่ายแนะนำให้ทุกคนรู้จักกันไว้

แม้ไขศิลป์จะเริ่มรู้สึกถึงความหวั่นกลัวเล็กน้อยเริ่มก่อตัว ยามเจอสองคนที่ไม่เคยพบกันมาก่อน แต่เขาพยายามไม่คิดเหมือนที่เคยคิด เมื่อบุคคลทั้งสองต่างก็ไม่ได้ให้ความสนใจในตัวเขามากนักและไม่มีทีท่าจะจ้องจับผิดการกระทำของเขา พอนึกถึงเรื่องงานที่จะต้องออกไปดีลด้วยตัวเองให้ได้ ความกลัวที่ตั้งท่าจะคุกคามก็ค่อยๆ หดหายไป

เขาสามารถทำได้ตั้งแต่ตอนนี้ ต่อไปเขาก็ต้องทำให้ได้ ยามออกไปเจอคนแปลกหน้าอีกไม่กี่คนที่รอเข้าร่วมกิจกรรม

“คงใกล้ถึงเวลาที่หนูปรีจะเริ่มแล้ว ออกไปตรงลานหน้าบ้านกันเถอะ” ศศิเอ่ยกับทุกคน หลังจากเก่งกาจกับสิตางค์เข้ามาทักทายและถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ

ฐานินนั่งยองตรงด้านหน้ากีตาร์ “ไปเล่นกับน้านินนะครับ”

หากกีตาร์มีสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่พูดจาคำใดเหมือนจะไม่เข้าใจกัน จากนั้นก็แหงนหน้ามองไปที่มารดาตัวเอง

ฐานินแก้เก้อด้วยการลุกขึ้นยืน หันหน้าไปบอกเขา “สงสัยเด็กไม่ชอบให้ฉันเป็นน้า งั้นในที่นี่ฉันคงเป็นพี่ของพวกเด็กๆ” ฐานินพูดจบก็มองไปที่เด็กชายอีกครั้ง ขณะเดียวกันกีตาร์ก็ส่งยิ้มให้ ฐานินจึงย้ำกับเขาอีกหน “หน้าฉันคงยังไม่แก่ เด็กจึงให้ได้แค่ความเป็นพี่”

ไขศิลป์รับฟังเพื่อนชายโดยไร้เสียงคัดค้าน หากคำของฐานินก็เรียกรอยยิ้มให้กับทุกคนที่ได้ยิน ยกเว้นเขาที่ต้องส่ายศีรษะ ก่อนจะเดินตามหลังเพื่อนชายไปยังกลุ่มคนที่รวมตัวกัน

เมื่อหญิงสาวเห็นทุกคนมาพร้อมหน้ากันก็เริ่มชี้แจงถึงการละเล่นไทยที่จะเล่นด้วยกัน

“วันนี้พวกเราจะเล่นงูกินหางกับมอญซ่อนผ้า ปรีเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายท่านคงเคยเล่นหรือเคยได้ยินกันมาก่อน ส่วนพวกเด็กๆ อยากรู้ว่าเป็นยังไง เดี๋ยวคงได้รู้แน่นอน”

“ผมอยากรู้ด้วยคนครับ แต่ผมไม่ใช่เด็กแล้ว” ฐานินเอ่ยแทรกพร้อมทั้งยกมือขึ้น

ไขศิลป์ดึงแขนเพื่อนให้นำมือลงมา แต่ฐานินยังดื้อดึงที่จะยกแขนค้างไว้

ภาพชายสองคนยื้อยุดฉุดแขนกันก็เรียกรอยยิ้มให้กับธารทิพย์ได้เป็นอย่างดี

ปรียานุชพยายามสรรหาหลากหลายการละเล่นทั้งที่มีคนรู้จักและไม่รู้จักมานำเสนอ เพื่อให้พวกเด็กๆ ที่ไม่เคยสัมผัสการละเล่นไทยได้รับรู้ถึงความสนุกสนานที่เกิดขึ้นขณะร่วมเล่นกันเป็นกลุ่มกับผู้อื่น

“ทุกคนไปรวมกันที่ลานหน้าบ้านนะคะ พวกเราเริ่มเล่นงูกินหางกันได้เลย” เธอเดินนำหน้าทุกคนไปยืนกลางลานกว้าง

หลังจากแดดยามบ่ายที่เคยแผดแสงแรงกล้าได้ลดทอนความร้อนแรงให้ผู้คนออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านพลางรับลมโชยมาเป็นระยะ บรรยากาศยามนี้จึงชวนให้ผ่อนคลายและเย็นสบาย ส่งผลให้ทุกคนพร้อมที่จะขยับร่างกายในช่วงแดดร่มลมตก

“ต้องมีพ่องูกับแม่งูใช่ไหมครับ” ฐานินเอ่ยถาม หลังจากที่ทุกคนมายืนรวมตัวกันเรียบร้อย

“แกรู้เหรอว่าต้องเล่นยังไง” ไขศิลป์หันหน้าไปถามเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างเคียงกัน

“ฉันเคยเห็นตอนไปดูงานแสดงอะไรสักอย่าง ตอนนั้นเด็กๆ เล่นกัน มีพ่องู แม่งู มีลูกงูต่อแถวด้านหลังแม่งู พ่องูก็จะถาม แม่งูก็จะตอบ พอถามตอบกันเสร็จ พ่องูก็จะไล่จับลูกงูมาจากแม่งู” ฐานินตอบเขา หากส่งสายตาไปทางปรียานุชราวกับถามว่าที่พูดออกมานั้นถูกต้องหรือไม่

“ตามที่นินพูดเลยค่ะ” เธอสนับสนุน

ฐานินยืดอกอย่างภาคภูมิใจ “ผมขอเป็นพ่องูนะครับพี่ปรี”

“ได้สิ พี่จะเป็นแม่งูเอง”

ไขศิลป์เห็นท่าไม่ค่อยดีที่ปล่อยให้คนทั้งสองมีโอกาสทำความคุ้นเคยกันจึงต้องรีบขัดขวาง “ฉันขอเป็นพ่องูก่อน”

“แกจะเป็นได้ยังไง รู้บทร้องเหรอว่าต้องร้องถามแม่งูยังไงบ้าง” ฐานินแย้งเขา

“แล้วแกรู้ไหมล่ะ” ไขศิลป์ถามกลับ

“รู้สิ ฉันท่องมาแล้ว”

“แกรู้ได้ยังไงว่าจะเล่นงูกินหาง” เขายังไม่หยุดปากถาม

“ของกล้วยๆ แค่โทรถามพี่ปรีก็รู้แล้ว” ฐานินหัวเราะออกมา

แต่ไขศิลป์ไม่ขบขันไปตามเพื่อน เมื่อทราบว่าทั้งสองคนติดต่อถึงกันโดยที่เขาไม่รู้มาก่อน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สนิทสนมกันเร็วนัก คิดได้เช่นนั้น เขาก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาโดยไม่รู้ตัว

“แกอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ พวกเรามาเล่นกันสนุกๆ ฉันเป็นพ่องูให้ทุกคนดูเป็นตัวอย่างก่อน แล้วค่อยให้แกเป็นบ้างก็ได้” ฐานินลูบแขนเขา จากนั้นก็บีบนวดบ่าเบาๆ คล้ายเอาใจกัน

ธารทิพย์ที่ยืนอยู่ด้านหลังสามีซึ่งแอบมองดูชายหนุ่มสองคนนั้น ก็เป็นสุขยิ่งกว่านั่งดูซีรีส์วายผ่านหน้าจอ

“ผมร้องเป็นนะครับคุณปรี เคยได้ยินมาเหมือนกัน ยังจำได้อยู่เลย” ฉัตรพงษ์เรียกความสนใจจากหญิงสาว

แต่ไม่มีใครใส่ใจในคำกล่าวของฉัตรพงษ์ นอกจากดาราพร “ลุงฉัตรเล่นเป็นด้วยหรือคะ น้องดรีมอยากเล่นเป็นบ้างค่ะ”

“เดี๋ยวก็ได้เล่นแล้วค่ะ ฟังน้าปรีอธิบายก่อนดีกว่า ค่อยเล่นไปพร้อมกัน” ฉัตรพงษ์บอกเด็กผู้หญิงที่ยืนแหงนหน้าคุยกัน

ปรียานุชเริ่มชี้แจงวิธีการเล่นงูกินหางอย่างละเอียดเพื่อให้ทุกคนเข้าใจ เด็กบางคนที่ไม่ค่อยจะเข้าใจมากนักก็มีผู้ปกครองเล่นไปพร้อมกับเด็ก อย่างเช่นแทนไทยซึ่งมีบิดาคอยตามประกบอยู่เคียงข้าง ส่วนธารทิพย์นั้นยังคงฟินกับภาพความสนิทสนมและหยอกล้อกันของชายหนุ่มสองคนไม่สร่างซา หรือกีตาร์ก็ยังมีสิตางค์กับเก่งกาจอยู่ไม่ห่าง หากกีตาร์คงจะติดแม่และเชื่อฟังแม่มากกว่าพ่อ ส่วนเด็กคนอื่นก็ปล่อยให้เล่นตามลำพังเหมือนดาราพร

เธอเริ่มต้นสอนบทร้องประกอบการเล่นโดยเฉพาะบทร้องที่คนเป็นลูกงูจะต้องช่วยขานรับพร้อมกันซึ่งสอนอย่างง่ายดาย เนื่องจากพวกผู้ใหญ่เกือบทุกคนต่างร้องได้และยังเป็นต้นเสียงให้พวกเด็กๆ ร้องตาม

ฐานินเป็นพ่องู ปรียานุชเป็นแม่งู ทั้งสองยืนหันหน้าเข้าหากันและอยู่ห่างกันเพียงหนึ่งช่วงแขน ส่วนคนที่เหลือเป็นลูกงูไปยืนด้านหลังแม่งู โดยเกาะเอวต่อกันเป็นแถวยาวเรียงหนึ่ง

คนทั้งสองเริ่มเจรจาพาทีโดยพ่องูเป็นฝ่ายถามก่อน

“แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน”

“กินน้ำบ่อทราย” แม่งูตอบ

“ย้ายไปก็ย้ายมา” บรรดาลูกงูช่วยกันร้องรับแม่งูซึ่งส่วนใหญ่เป็นเสียงของผู้ใหญ่ พร้อมทั้งทำท่าก้าวขาไปด้านซ้ายและขวาประกอบคำกล่าว

“แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน” พ่องูถามอีก

“กินน้ำบ่อโศก” แม่งูตอบรับ

“โยกไปก็โยกมา” ลูกงูขานรับพร้อมกันและทำท่าโยกตัวไปมา

“แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน” พ่องูถามต่อ

“กินน้ำบ่อหิน” แม่งูกล่าวตอบ

“บินไปก็บินมา” ลูกงูร้องรับพร้อมทั้งกางแขนออกมาสองข้างทำท่ากระพือปีกบิน

“แม่งูเอ๋ย กินหัวกินหาง” พ่องูเอ่ย

“กินกลางตลอดตัว” คำตอบจากแม่งูซึ่งเป็นการปิดท้ายบทร้องประกอบการเล่นในแต่ละรอบ

ปรียานุชเลือกตอบเช่นนั้นเพื่อให้พ่องูจับลูกงูคนไหนไปก่อนก็ได้

หากมีอีกสองคำตอบ ถ้าแม่งูตอบว่ากินหัวตลอดหาง พ่องูจะต้องจับลูกงูตั้งแต่หัวแถวไปหาหางแถว หรือถ้าแม่งูตอบว่าให้กินหางตลอดหัว พ่องูจะต้องจับลูกงูตั้งแต่หางแถวขึ้นมา ซึ่งจะเลือกจับลูกงูคนไหนก่อนก็ได้ แต่ลูกงูหางแถวต้องเอาไว้สุดท้าย

ฐานินพยายามวิ่งหลอกล่อเพื่อที่จะไล่จับตัวลูกงูที่อยู่ด้านหลังแม่งู

ขณะหลบหลีก ลูกงูต้องจับสะเอวคนข้างหน้าไว้ให้ดี อย่าให้หลุดมือหรือหลุดออกมาจากแถว หากถูกพ่องูจับได้ก็จะต้องไปอยู่ด้านหลังพ่องู

ปรียานุชพยายามไม่ให้ฐานินจับคนที่อยู่ในแถวทางด้านหลังไปได้ โดยการเบี่ยงหลบซ้ายขวา คนที่อยู่ด้านหลังก็เบี่ยงตัวหลบไปตามๆ กัน สร้างความสนุกสนานให้กับเด็กๆ ที่เหมือนได้วิ่งเล่นไล่จับกัน

ฐานินล่อหลอกให้พวกเด็กรู้จักหลบหลีบมากกว่าที่จะต้องจับตัวให้ได้ พอผ่านไปสักพักผู้ใหญ่บางคนก็ปล่อยมือออกจากเอวคนข้างหน้าขอไปนั่งพักและเฝ้าดูอยู่ข้างๆ ศศิที่ไม่ได้เข้ามาร่วมเล่นด้วยกัน

หากมีคนหนึ่งที่ฐานินมาดมั่นในใจต้องจับให้ได้ด้วยมือตัวเองคือไขศิลป์ จนทำได้สำเร็จ

“แกเล็งฉันอยู่คนเดียว” เขาเอ่ยเหมือนเด็กที่เสียดายไม่ได้เล่นต่อ

“แกไปเกาะหลังฉันสิ” ฐานินไม่ฟังคำของเขา ส่งยิ้มให้อย่างคนได้ชัยในครั้งนี้

เขาทำตามคำของเพื่อนอย่างว่าง่าย เกาะเอวเพื่อนทางด้านหลัง เพราะคนอื่นที่ออกไปจากแถวก่อนนั้นยังไม่มีใครมาต่อหลังฐานินเลยสักคน

เขามองเห็นหนทางที่ขัดขวางไม่ให้เพื่อนมีโอกาสลอยหน้าลอยตาหยอกเอิญหญิงสาวที่เป็นแม่งู โดยการฉุดหลังฐานินไม่ให้เข้าใกล้ปรียานุช

“แกอย่ามาเป็นตัวถ่วงของฉันหน่อยเลย” ฐานินหันหน้ามาต่อว่าเขา

“แล้วแกอยากจะจับตัวฉันให้มาอยู่ด้วยกันทำไมล่ะ” เขาโทษเพื่อนชายอย่างหน้าตาเฉย

ฐานินพยายามออกแรงให้ชนะเขา เพื่อที่จะได้เข้าใกล้แม่งูซึ่งพยายามปกป้องและเลี่ยงหลบไม่ให้พ่องูจับลูกงูไปได้อีก แต่เขาก็ออกแรงดึงตัวเพื่อนชายให้ออกห่างจากปรียานุช ฐานินจึงเดินหน้าและถอยหลังสลับกันไปมา กลายเป็นภาพที่เรียกเสียงหัวเราะให้กับคนชมได้เป็นอย่างดี

เมื่อพ่องูไม่สามารถจับลูกงูได้หมดทุกตัวก็ต้องถือว่าพ่องูเป็นฝ่ายแพ้และหาผู้อื่นมาเล่นเป็นพ่องูต่อไป

ฐานินขอยอมแพ้ หันหน้าไปบอกคนที่อยู่ด้านหลัง “แกมาเป็นพ่องูแทนฉันเลย”

“ไม่เป็นแล้ว ให้ใครเป็นก็ได้ ฉันรู้ว่าแกจะต้องทำแบบฉัน อย่าหวังเลย” เขารู้ทันเพื่อน แต่ผิดคาด เมื่อได้ยินคำตอบของเพื่อน

“ฉันอยากไปเกาะเอวพี่ปรีต่างหาก” ฐานินหัวเราะออกมา เพราะรู้ว่าเขาพยายามกระทำสิ่งใด

“เฮ้ย! ทำอย่างนั้นไม่ได้นะ” ไขศิลป์ฉุดแขนเพื่อน

ชายหนุ่มสองคนยื้อยุดฉุดตัวกันอีกครั้งโดยไม่มีใครรู้สาเหตุ

ปรียานุชมองคนสองคนที่อาจจะเป็นหวานใจกันก็อดคิดไม่ได้ว่าจะเล่นหยอกล้อกันจนไม่เผื่อแผ่ความสำราญให้คนอื่นบ้างเลยเหรอ ธารทิพย์ที่ยืนมองดูชายหนุ่มสองคนนั้นยังรู้สึกฟินไม่ต่างจากกำลังดูพระเอกนายเอกในซีรีส์วายจู๋จี๋กันหวานฉ่ำ

ฉัตรพงษ์ไม่สนใจใคร นอกจากเธอคนเดียวก็รีบเสนอตัว “ผมเป็นพ่องูให้ก็ได้ครับ”

เธอจึงต้องให้พ่องูคนใหม่ ไล่จับลูกงูที่ยังเกาะเอวต่อแถวอยู่ด้านหลังซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกเด็กๆ ที่ยังสนุกเริงร่า แม้แต่กีตาร์ก็ยังร่วมวิ่งหนีให้พ้นมือพ่องู

การเล่นงูกินหางสิ้นสุดลง เมื่อพ่องูคนใหม่เริ่มเหนื่อยหอบและยังจับลูกงูได้ไม่ครบทุกคน เธอเห็นว่าทุกคนสนุกกันพอสมควรจึงให้นั่งพัก ก่อนจะเข้าสู่การละเล่นไทยอีกหนึ่งอย่าง

“คุณปรีเหนื่อยไหมครับ” ฉัตรพงษ์ถามเธอ โดยมีดาราพรจูงแขนฝ่ายชายให้เข้ามายืนใกล้ๆ น้าสาว

“เห็นทุกคนสนุก ปรีก็หายเหนื่อยแล้วค่ะ” เธอตอบ ขณะที่ส่งสายตามองกีตาร์ซึ่งอยู่นิ่งและยอมมองหน้าใครต่อใครซึ่งส่อแววพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้นจากครั้งก่อน

ฉัตรพงษ์ยังชวนคุยต่อ “ผมนี่แย่เลยนะครับ วิ่งรอบเดียวก็หอบมากแล้ว สงสัยจะเริ่มแก่”

“คุณฉัตรยังดูหนุ่มอยู่เลยนะคะ” เธอรู้ว่าฉัตรพงษ์นั้นมีอายุพอๆ กับพี่เขย แต่บุคลิกและหน้าตาอ่อนวัยกว่าอายุจริง

“คุณปรีอย่าชมผมอย่างนั้นเลยครับ ตอนนี้ก็ได้เป็นลุงไปแล้ว ใช่ไหมคะน้องดรีม” ฉัตรพงษ์หันหน้าคุยกับเธอ ก่อนนั่งยองลงไปถามดาราพร

ดาราพรได้แต่พยักหน้าเออออไปตามคำที่ได้ยิน “ลุงฉัตรกับพ่อรามเป็นเพื่อนกันเหมือนน้านินกับน้าศิลป์”

ชายหนุ่มสองคนที่ถูกพูดถึงก็เข้ามาร่วมวงสนทนากับพวกเธอ โดยมีฐานินเป็นฝ่ายเดินนำหน้าเข้ามาใกล้และนั่งยองลงไปคุยกับดาราพร “พูดอะไรถึงน้าสองคนอยู่หรือครับ”

“น้องดรีมบอกว่าลุงฉัตรกับพ่อรามเป็นเพื่อนกันเหมือนน้านินกับน้าศิลป์ใช่ไหมคะ” ดาราพรย้ำความเข้าใจของตัวเองอีกครั้ง

แม้เธอจะทำเป็นไม่สนใจ หากหูผึ่งรับฟังคำตอบของฐานินว่าจะพูดจริงกับเด็กหรือไม่ แต่ไขศิลป์เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน “ถ้าอย่างงั้นคุณก็เป็นรุ่นพี่พวกเราหลายปีเลย ผมนึกว่าจะอายุพอๆ กับพี่ปรี”

“จะเรียกผมว่าพี่ฉัตรก็ได้ แต่ลุงฉัตรหรือน้าฉัตรเก็บไว้ให้พวกเด็กๆ เรียกกันเท่านั้นพอ” ฉัตรพงษ์หัวเราะออกมา จากนั้นก็บอกกับปรียานุชซึ่งๆ หน้า โดยตั้งใจโมเมไปตามน้ำ “ส่วนน้องปรีเรียกพี่ว่าพี่ฉัตรได้เลยนะครับ ถือว่าสนิทกันแล้ว จะได้คุ้นเคยกันมากกว่านี้”

เธอยิ้มน้อยๆ ให้คนที่คิดตีสนิทอย่างหน้าตาเฉย ทั้งที่เพิ่งเจอกันเพียงสองครั้ง

ฐานินดึงความสนใจจากทุกคน ถามด้วยเสียงดังพอสมควร “พี่ปรีจะพาพวกเราไปเล่นมอญซ่อนผ้าใช่ไหมครับ”

“ยืนใกล้แค่นี้ จะตะโกนทำไม ไม่มีใครหูตึงหรอก” ไขศิลป์บอกเพื่อนชาย

ปรียานุชได้โอกาสผละออกไปจากวงสนทนา เดินไปหยิบเสื่อหลายผืนที่เตรียมมาปูบนลานกว้างเพื่อให้ทุกคนนั่งเล่นกันได้โดยไม่มีเศษดินเศษหินเปรอะเปื้อนกางเกง

ฉัตรพงษ์รีบเดินไปช่วยเธอ ฐานินก็เช่นกัน หากไขศิลป์ยังไม่วายแย่งเพื่อนทำทุกอย่าง และพยายามไม่ให้คนทั้งสองใกล้ชิดกัน

ธารทิพย์ซึ่งนั่งอยู่กับสามีและลูกชายก็เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอ แต่ยังไม่มีโอกาสจะคุยกันสองต่อสอง หากภาพชายหนุ่มสองคนแย่งยื้อเสื่อในมือ ก่อนจะช่วยกันปูเสื่อบนพื้นก็เป็นภาพที่ทำให้ฟินจนอยากจะหาหมอนมาจิกแทบไม่ไหว

“ทุกคนคะ มานั่งล้อมวงบนเสื่อได้เลยค่ะ ถอดรองเท้าด้วยนะคะ” เธอเรียกคนทุกคนในที่แห่งนี้รวมตัวกันอีกครั้ง



Don`t copy text!