“จันทร์ยาตรา” ปั้นหยาและลุ่มน้ำ

“จันทร์ยาตรา” ปั้นหยาและลุ่มน้ำ

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

“หลังม่าน” คอลัมน์ที่จะบอกเล่าถึงชีวิตของตัวละครเด่นๆ ในนวนิยายของ กฤษณา อโศกสิน เป็นเรื่องราวเบื้องลึกที่มีแต่นักเขียนเท่านั้นที่จะสามารถรู้ได้ และนำมาบอกเล่าให้ผู้อ่านชาวอ่านเอาได้เห็นชีวิตด้านหลังม่านของตัวละครเหล่านั้น

ก่อนหน้านวนิยายชุดโหราศาสตร์ เรื่อง ‘จันทร์ยาตรา’ นี้ ฉันเคยเขียนเกี่ยวกับดาวอาทิตย์ของแต่ละราศีมาก่อน มี ‘แมลงและมาลี’ เรื่องแรก ตามด้วย ‘ล่องทะเลดาว’ และ  ‘ลมพัดชายน้ำ’

หากก็ตั้งใจไว้ตลอดมาว่า จะต้องนำดาวจันทร์มาเป็นตัวเอกให้จงได้ โดยตั้งชื่อล่วงหน้าไว้ว่า  ‘จันทร์ยาตรา’

ต่อมาจนถึง พ.ศ.2551 จึงได้ฤกษ์จรดปากกา พาเอาดวงจันทร์มาลอยเด่นอยู่ต่อหน้าผู้อ่าน

ครั้นมาถึงวันนี้จึงได้ฤกษ์เปิดม่าน เตรียมนำขบวน ‘ตัวละครของฉัน’ มาบำเรอสายตาและสายใจท่านผู้ชม

ฉากเปิดขึ้นเมื่อ ปการ พาหลานสาวนามว่า ปั้นหยา วัย 16 ปี มาดูดวงกับทองไทเพื่อนของเขา ผู้อยู่ในซอยใกล้ๆกันในละแวกเดียวกัน

ขณะกำลังพูดจาเกี่ยวกับดวงกันอยู่ ก็พอดีชายหนุ่มใหญ่นามว่า ลัด ก็มากดกริ่ง พาความกลุ้มในเรื่องลูกชายวัย 18 นามว่า ลุ่มน้ำ มาหาด้วยเช่นกัน

ทองไทจึงแนะนำปการให้รู้จักกับลัด ก็ได้รู้ว่า ลัดเป็นลูกชายของบรรเลงที่เคยเจอกับปการเมื่อ 20 ปีก่อน ตั้งแต่เขายังไม่แต่งงาน จนกระทั่งบัดนี้แต่งงานแล้ว มีลูกคนโตชื่อ ลุ่มน้ำ ที่หนีออกจากบ้านไปตั้งแต่วันจันทร์

ผู้ที่เดือดร้อนมากมายแต่พึ่งใครไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ต้องพึ่งเทวดาฟ้าดินและหมอดูมีอยู่ล้นพ้น แม้กระทั่งคนมีการศึกษาหรือผู้ไม่เคยข้องเกี่ยวกับโหราศาสตร์มาก่อน ครั้นแล้ววันหนึ่งที่เรื่องร้อนมาถึงตน แม้สอบสวนทวนทบตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังไม่พบว่าเหตุนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นผู้ก่อ ต่อจากนั้นนั่นเอง จึงเริ่มนึกถึงผู้ที่จะมาไขข้อข้องใจให้กระจ่าง

ผู้ที่หอบทุกข์มาหาทองไท มักจะมาแล้วมาอีก มาซ้ำๆ มา ‘ดูดวง’ กันเป็นประจำจนกว่าทุกข์จะเบาบาง

คุณสมบัติของทองไทที่ผู้พานพบทุกข์ภัยชื่นชมมีอยู่หลายข้อ หนึ่งนั้นก็คือ คิดค่าพยากรณ์ย่อมเยา

สอง คำพยากรณ์ของเขาแม่นยำ นับเป็นคำๆจะมีแต่เนื้อหา บอกที่มาที่ไปแห่งทุกข์ โทษ และความโฉดเขลาเบาปัญญาที่เจ้าชะตามีอยู่ สอนให้เล็งรู้ถึงสัจธรรม เนื่องจากบางดวงชะตา คือ ‘บัวใต้น้ำ’

จึงย้ำให้รู้ว่า ‘คนเราเกิดมาไม่เท่ากัน ก็เนื่องด้วยมีบุญและบาปต่างกัน’

‘บางคนลงทุนแล้วรวย แต่บางคนลงทุนแล้วเจ๊ง แค่นี้ก็ต่างกันแล้ว’

‘ขยันแต่โง่ ก็ฟังไม่รู้เรื่อง’

 

ครั้นแล้ว ทองไทกับภรรยานามว่าสุดสีก็ได้ต้อนรับบรรเลง ลัด และลุ่มน้ำอีกค่ำวันหนึ่งที่ปการและปั้นหยาก็มาถึงพอดี

เด็กหนุ่มทำผมทรงหนามทุเรียน เสียบต่างหูเพชรเม็ดเล็กที่ใบหูขวา นัยน์ตาเป็นประกายอย่างรู้สึกสนุกอยู่เสมอ

“ทีหลังลุ่มก็อย่าทำแบบนี้อีกนะ” ทองไทก็เลยกลายเป็นที่พักพิงของคนมีปัญหา

“ถ้าทำละก็จะส่งไปนอก” ลัดท่องคาถาที่คิดว่าชะงัดที่สุดกับลูกชาย ด้วยรู้ว่าลุ่มน้ำไม่ชอบเมืองนอก ไม่อยากอยู่ ไม่อยากไป ถ้าไปเที่ยวละก็ได้ แต่ไปเรียนอยู่เป็นปีๆทนไม่ไหว “ไปทะเลาะกับครูฝรั่งซะให้เข็ด”

“ถ้าพ่อส่งไป ลุ่มก็จะลงกลางทาง”

ทีท่าของเขาช่างเต็มไปด้วยอาการลองดี

“ลุ่มคงเบื่อที่รวยเกินไป” ปการก็เลยแซงยิ้มๆ

“ไม่ใช่ยังงั้นหรอกพี่” บรรเลงถ่อมตน “มันเจ้าสำราญของมันเอง ทั้งๆไม่มีใครสั่งสอนเลย แม้แต่นิดเดียว ตัวอย่างเที่ยวเตร่หามรุ่งหามค่ำ ติดยาเสพติด เล่นการพนัน ไม่เคยมีใครในครอบครัวทั้งสองฝ่าย รับรองได้”

“แล้วลุ่มติดเหรอปู่ เรื่องเสพติดไม่เอาอยู่แล้ว เหล้าจิบมั่ง แต่ไม่เมา การพนันยิ่งน่าเบื่อ ที่เขาพนันๆกัน บอลหรืออะไรก็ตาม เล่นสักครั้งหรือสองครั้งได้มั้ง พอเสียเท่านั้นละ เลิกเลย”

“ขอให้จริงนะเว้ย ไอ้ลูกชาย” ลัดก็เลยวางแขนออกโอบบ่าเด็กหนุ่มไว้พลางส่งยิ้มให้ปั้นหยา ถามว่า “หนูอยู่โรงเรียนอะไร อยู่ชั้นไหน”

เด็กสาวจึงตอบให้ลัดรู้

นัยน์ตาเด็กหนุ่มเริ่มเป็นประกาย…เขาสบตากับหล่อนแน่วนิ่ง

“จบ ม.6 แล้ว จะเรียนอะไรต่อ”

“ยังไม่ทราบเลยค่ะ”

ในที่สุด ขากลับ บรรเลงก็เลยรับอาสาไปส่งปการและปั้นหยาถึงบ้าน

“แล้วเจอกันอีกนะพี่การ” บรรเลงบอกกล่าวอย่างกันเอง ไม่มีอาการเย่อหยิ่งถือตนว่าฐานะดี

เพียงแค่รถคล้อยหลังมา ลุ่มน้ำก็เปรยดังๆ

“หลานปู่การสวยดีนะพ่อ”

“เอาแล้วละซี ไอ้หมอนี่” บรรเลงเอ็ดเบาๆ “เรื่องเรียนละข้าไม่สู้ เรื่องจุ้กกรู้ละก็โผเข้าใส่”

“แหม…ปู่…ของพรรค์นี้มันก็ต้องมีมั่งไงฮะ จะไม่มีเลยได้ไง สมัยปู่เป็นหนุ่มไม่มีเหรอ…จริงไหมพ่อ…ก่อนพ่อมาแต่งงานกับแม่ ไม่เคยมีแฟนเลยหรือไง”

ลัดก็เลยไม่โต้ตอบ…เมื่อนึกถึงครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว

“เอ็งไม่รักดี ก็ไม่ต้องไปดึงคนที่เขารักดีลงมา” บรรเลงจึงเอ่ยปราม เนื่องด้วยความหนักใจไม่คลายลง แม้ทองไทจะพยากรณ์มั่นคงว่า หลานของเขา ‘เอาดีได้’

“ปู่ฮะ ตั้งแต่เป็นปู่เป็นหลานกันมา ปู่ไม่เคยชมลุ่มเลยซักครั้ง” ลุ่มน้ำต่อว่า หากก็ไม่น้อยใจ

“ทำไมจะไม่ชม” ลัดขัดขึ้นเมื่อนึกได้

ตอนที่ทองไทเดินออกมาส่งเมื่อสักครู่ เจ้าของบ้านกระซิบว่า

‘ไงๆก็ต้องยกยอกันหน่อยละลัด…ดวงแบบนี้ชอบเป็นคนสำคัญ’

ในการกำกับ ‘ตัวละครของฉัน’ เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวโหรนี้ ฉันไม่มีตัวเลขใดๆมาเท้าความ นั่นก็เพื่อเก็บสนามโหรไว้แค่ในเล่มที่เปรียบเสมือนคลังแห่งการพยากรณ์ ยามเมื่อเพลินชมจากบทบาทของผู้กำลังลอยร่อนอยู่บนเวที จะได้ไม่มีเสียงอุทธรณ์จากหน้าม่าน

คนอยู่หลังม่านก็พลอยสบายไปด้วยกัน

‘ดวงแบบนี้ชอบเป็นคนสำคัญ ถึงอยากขัดคอก็ต้องขัดแบบอ้อมค้อม เอะอะไม่ได้’

‘นี่ถ้าเอ็งอยู่กับย่า ย่าเอ็งเอาตาย’

ลุ่มน้ำนึกถึงย่าแล้วยังเสียวไส้ไม่หาย

โชคดีเท่าไรแล้วที่เขาได้อยู่กับตา-ยาย ยายใจดี แต่อยู่ไม่ติดบ้าน ต้องออกไปพบปะคนนั้นคนนี้ เนื่องด้วยยายมีตำแหน่งใหญ่ เป็นที่นับถือของคนจำนวนมาก ลุ่มน้ำจึงล้อลายอยู่เสมอว่า ‘ยายไฮโซฯ’ ยายก็ได้แต่หัวเราะชอบใจ…แต่อีกประเดี๋ยวยายก็ไปอีกแล้ว ไปกินเลี้ยงทั้งมื้อกลางวันและเย็น กว่าจะกลับก็ถึงสามทุ่มหรือกว่านั้น แต่ตาไม่ค่อยไป ปล่อยยายไปตามลำพังกับคนรถเก่าแก่

แต่แม้ตาอยู่บ้าน ตาก็ตามใจลุ่มน้ำแบบ ‘ทูนหัวทูนเกล้า’

บรรเลงได้แต่นิ่งฟังพ่อลูกโต้ตอบกัน เรื่องใครตามใจไม่ตามใจ

แต่ยุคสมัยเมื่อเขายังเป็นหนุ่มก็ผ่านไป จนกระทั่งมาถึงรุ่นหลานในวันนี้ ที่การปลูกฝังล้วนด้อยคุณภาพ เพราะชีวิตเร่งรีบเกินไป

ผู้คนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไม่มีเวลาและไม่ให้เวลาแก่การทำความเข้าใจในเรื่อง ‘ชีวิตสุขสงบ’

“ที่จริง ทั้งปู่ย่าตายายก็รักเอ็งทุกคน แล้วก็ไม่เคยให้เอ็งลำบาก เอ็งก็ตอบแทนพระเดชพระคุณเขาเสียหน่อยได้ไหมลุ่ม นี่ถ้าปู่กราบเอ็งแล้วขอให้เอ็งกลับตัว จะว่ายังไง จะตั้งใจเรียนไหมลุ่ม”

“ตั้งใจครับปู่” ก็ใช่ว่าลุ่มน้ำจะไม่รู้ผิดชอบชั่วดี แต่ความสำราญที่มีในนิสัยผลักให้ตามใจตัวเองตลอดมา

แม้ลุ่มน้ำจะนิ่งฟัง หากใจก็กลับหลังหันไปสู่เด็กสาวนามปั้นหยาผู้เพิ่งพบปะกันไม่ถึงสองชั่วโมงคนนั้น

ครั้นแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้น ลุ่มน้ำจึงย้อนไปหาทองไทและสุดสี เพื่อจะถามเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยว่า จะผ่านหรือไม่…ต่อจากนั้นจึงถามถึงเบอร์โทรศัพท์บ้านปการ

ถามแล้วลากลับบ้าน มาโทรศัพท์จากบ้านไปหาปั้นหยา จึงได้พูดกับหล่อนสมใจหมาย

 

ปั้นหยานึกพอใจลุ่มน้ำอยู่เหมือนกัน เนื่องจากชอบทรงผมหนามทุเรียนที่ทำให้เด็กหนุ่มดูเป็นคนทันสมัย แถมเขายังมีเค้าหน้าใกล้เคียงปกรณ์ ลัม อีกต่างหาก แม้ไม่หล่อเท่า ก็จัดได้ว่า หล่อ

ปการตามใจหลานโดยพาทั้งปั้นหยา ลุ่มน้ำ และปรง น้องชายปั้นหยา ไปกินไอติมด้วยกัน เดินไปคุยกันไป ทำความสนิทชิดใกล้โดยมีผู้ใหญ่ร่วมทาง

ก็ในสมัย พ.ศ.2551 นั้น แม้ไม่ห่างจากปี 2565 มากมาย แต่ทุกอย่างก็ยังไม่เตลิดเปิดเปิงจนกู่ไม่กลับเหมือนสมัยนี้ ยังพอจะพูดจากันรู้เรื่อง ว่างั้นเถอะนะ

ดังนั้น ที่ว่าลุ่มน้ำใจร้อนใจเร็ว แพล็บเดียว ปราดถึงบ้าน ก็ยังประเล้าประโลมกันได้มิให้ความเร็วร้อนลุกลามไปถึงความเสียหายอื่นใด

ลุ่มน้ำกินไอศกรีมอย่างเพลิดเพลิน หากก็เพิ่งแลเห็นเดี๋ยวนี้เองว่า ดวงตาเด็กสาวงามมาก นัยน์ตาขาว ขาวจัดจนเกือบจะอมฟ้า นัยน์ตาดำไม่ดำจัด หากแกมน้ำตาลแก่หน่อยหนึ่ง แต่ก็ทำให้กลายเป็นสีที่สวยซึ้งเมื่อประกอบด้วยขนตาค่อนข้างหนาเป็นแพงอน กับปลายผมม้าที่คลุมลงมาถึงคิ้ว

ขณะที่ถามถึงดวงชะตาของตนเองพร้อมกันไป เนื่องด้วยปการเองก็พอจะรู้เรื่องราศี ลัคนาและอื่นๆอยู่บ้างเพราะพูดคุยกับทองไทเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานพอสมควร

ปการเป็นคนไม่คิดมาก รวมทั้งไม่เห็นว่าเด็กหนุ่มเด็กสาวจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้ เมื่อหวนคิดถึงตนเองสมัยยังเป็นเด็กรุ่นๆ…ขึ้นรถรางเกาะรถเมล์คอยตามดูเพศตรงข้ามจากโรงเรียนใกล้ๆกันเป็นครั้งคราว เพื่อนบางคนยังหนักกว่าเขาด้วยซ้ำ ทั้งแอบถ่ายรูปส่งไป ทั้งข้ามถนนไปมา ดักหน้าดักหลังนักเรียนหญิง ไม่เว้นแต่ละวันเป็นงานอดิเรกหลังเลิกเรียนที่เพิ่มพูนชีวิตชีวาให้เด็กหนุ่มผู้มีแรงขับทางเพศล้นเหลือ…แต่แล้วก็แค่นั้น มิได้สานสัมพันธ์ต่อเนื่องจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา นั่นก็คือ ได้วิวาห์กัน แม้เพื่อนบางคนจะแต่งงานกับเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นประถมหรือมัธยม แต่ก็หาได้น้อยมาก

จึงมิได้ถือสาลุ่มน้ำที่มาและเล็มปั้นหยาสักเท่าไร

แต่ลุ่มน้ำกลับมีท่าทีว่าสนใจโหราศาสตร์

ท้ายที่สุดก็มักจะมาจับกลุ่มคุยกับทองไท ปการและปั้นหยาเกี่ยวกับดาวในราศีต่างๆ

โดยลัด บิดาของเขาก็ไม่ว่ากระไร เพียงแต่บอกกับทองไทว่าอยากให้ลูกชายเรียนหนังสือให้จบก่อนเท่านั้น

ขณะที่ลุ่มน้ำแอบซื้อมือถือมาให้ปั้นหยาใช้ เพื่อว่าจะสื่อสารกับเขาได้สะดวก

หากก็ซ่อนไว้ ไม่ให้ย่ารู้ ส่วนปู่รู้ไม่เป็นไร เพราะปู่ยึดหลัก

‘ขืนเข้มงวดกับมันมาก อีกหน่อยเด็กก็ประสาทเหมือนผู้ใหญ่’ เขาก็ตั้งใจว่ากระทบเมียของเขานั่นเอง

ย่าของปั้นหยาชื่อเยาวนาถ แต่เดิมเคยเป็นช่างตัดเสื้อมีชื่อเสียง แต่บัดนี้ต้องกลับมาอยู่บ้านเพราะไม่มีปัญญาเสียเงินต่อสัญญาหลังจากคูหาที่เช่าอยู่ถึงเวลาสิ้นสุดสัญญา จึงกลับมาอยู่บ้าน อาศัยเงินบำนาญปการกิน จึงสุดแสนจะหงุดหงิดกลัดกลุ้มเนืองๆ เคืองขุ่นใครต่อใครทั้งบ้าน

ครั้นรู้เรื่องลุ่มน้ำมาติดพันปั้นหยา จึงแหวใส่สามี

“เห็นดียังไงถึงยอมให้ผู้ชายมาจีบหลาน มันอายุเท่าไหร่ สมควรแล้วหรือ”

“ให้มันคบกันต่อหน้าเราน่ะดีแล้ว” ปการก็เลยตอบสั้นๆ

“วิเศษละ สอนให้เด็กเป็นหมอดู” เยาวนาถว่า “ตัวเองจะบ้าก็บ้าไปคนเดียวซี ทำไมถึงต้องเอาเด็กไปบ้าด้วย”

“ก็ยังดีกว่าให้มันไปเหลวไหล ฉันล่อมันไว้ไม่ให้พ่อมันปวดหัวมากกว่านี้ เข้าใจเสียใหม่” ว่าแล้วปการก็เดินออกมา ขณะพึมพำ “เบื่อไอ้พวกหัวโบราณ”

แต่แท้จริงแล้ว เขาเองก็ไม่ค่อยรู้สึกว่าลุ่มน้ำเป็นเด็กหนุ่มไม่เอาถ่านสักเท่าไร วันใดวันหนึ่งที่ลุ่มน้ำมาแวะบ้านเขาเหมือนเคย มาคุยกับปั้นหยา เขาก็ยังนำหนังสือโหรไปให้เด็กหนุ่มพลิกดู

หากอุบายของปการก็ได้ผลเกินคาด

ด้วยว่าบัดนี้ ลุ่มน้ำเริ่มจำ ‘เกษตร’ ของทุกๆราศีในนั้นได้

เนื่องด้วยมีปั้นหยานั่งอยู่ตรงหน้า

“แต่ปู่ก็อยากให้ลุ่มไปลงทะเบียนสาขาที่อยากเรียน แต่เรื่องโหราศาสตร์ก็ไม่ต้องทิ้ง จะได้ไหม”

“ลุ่มก็ยังไม่ทราบว่าตัวเองอยากเรียนอะไรนี่ฮะคุณปู่”

“มาทางสายศิลป์ไม่ใช่หรือ”

“ครับ สายศิลป์”

ครั้นแล้ว ลุ่มน้ำก็นำเอาวิชาโหรไปเอ่ยกับคุณตาของเขาขณะที่กำลังสุขใจเพราะหลานชายมากินข้าวด้วยตอนค่ำ

“ลุ่มกำลังเรียนโหราศาสตร์น่ะฮะคุณตา”

“งั้นเหรอ” คุณนรินทร์รีบซ่อนความตกใจไว้มิดชิด “แต่ลูกก็ยังจะต้องเข้ามหาวิทยาลัยอยู่นะ ต้องเรียนทั้งตรีทั้งโท โหราศาสตร์มันคงไม่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นหรอกน่ะ เชื่อซี”

“ดีขึ้นนะฮะ คุณตา แค่ที่เรารู้ว่าจักรวาลแบ่งออกเป็น 12 ส่วน แต่ละส่วนก็มีเพศมีธาตุ มีตำแหน่งที่ทำให้แต่ละคนไม่เท่ากันไม่เหมือนกันนี่ ก็ทำให้ลุ่มรู้สึกดีแล้วละฮะ” ลุ่มน้ำยืนยัน “ลุ่มจะได้ไม่กลุ้มใจว่าที่ลุ่มทำอะไรไม่เหมือนคนอื่นนี่เพราะอะไร”

คุณนรินทร์ก็ได้แต่แปลกใจที่ลุ่มน้ำบัดนี้พูดจาผิดไป เป็นถ้อยคำที่เขาไม่เคยได้ยินและไม่คิดว่าจะได้ยิน

“มีตำราหรือลุ่ม เรียนจากตำราหรือเปล่า”

“เรียนครับ”

“ถ้างั้นไปเอามาให้ตาดู” เขาตามใจหลานทุกอย่างอยู่แล้ว จึงไม่ขัดข้องที่จะลองพบกับวิชาที่เขาคิดตลอดมาว่าเหลวไหล

ลุ่มน้ำจึงวิ่งขึ้นไปนำหนังสือลงมาให้

คุณนรินทร์อ่านดูแล้วจนจบคำนำ และบทที่ 1 อันว่าด้วยการผูกดวง

“อือ…ก็น่าสนใจดีเหมือนกันนี่”

“น่าสนใจเชียวฮะ คุณตา”

“แต่ลูกก็ไม่ควรทิ้งการเรียน เราเรียนหนังสือด้วยเรียนโหรด้วยก็ได้ไม่ใช่หรือ”

“ได้ฮะ ได้อยู่แล้ว”

“ก็ทำไมไม่ทำยังงั้นล่ะ”

“กำลังคิดอยู่เหมือนกันฮะ คุณตา”

แท้จริงแล้ว คุณนรินทร์ก็พะอืดพะอมมิใช่น้อยที่ต้องนำคำว่าโหราศาสตร์มาคล้อยตามหลานเพียงเพื่อปะเหลาะให้เรียนหนังสือ

แต่บทนำและบทที่ 1 ที่เขาเพิ่งอ่าน กระตุ้นความสนใจ

วิชานี้ไม่น่าจะเหลวไหลอย่างที่คิด

“ตาชักอยากรู้ขึ้นมามั่งแล้วซีว่าตัวเองอยู่ราศีอะไร ลุ่มล่ะราศีอะไร”

“ราศีเมษไงคุณตา” ว่าพลางเขาก็หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา ดึงกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าแผ่นเล็กส่งให้

“มันหมายความว่ายังไงล่ะ”

“หมายความว่าลุ่มก็มีทั้งความสุข ความเจริญไงล่ะฮะ”

คุณนรินทร์ก็เลยขอยืมหนังสือโหราศาสตร์ของหลานไว้ สัญญาว่าพรุ่งนี้จะคืน

ลุ่มน้ำจึงมีโอกาสโทรศัพท์ไปออดอ้อนฉอเลาะออเซาะกับปั้นหยา

ครั้นแล้ว ทุกคราวที่เขาไปรับเด็กสาวก็จะต้องมีปการติดไป ไปหาทองไทด้วยกัน ไปเรียนวิชาโหราศาสตร์จากครูโหร

 

สุดสีภรรยาของทองไทนั่นเองที่ใช้ยามว่างและวิชาโหรที่ถ่ายทอดมาจากสามี นำดวงชะตาที่มี ‘จันทร์’ ในราศีต่างๆ มารวมกันไว้ในสมุดอีกเล่มหนึ่งเรียบร้อยแล้ว จึงพบว่า

‘อาทิตย์ของปั้นหยา เล็งจันทร์ของลุ่มน้ำ’

ทั้งคู่มีลัคนาเล็งกัน

ลุ่มน้ำอยู่ราศีเมษ ปั้นหยาอยู่ราศีตุลย์

แต่ทั้งสองดวงก็มีดาวเสาร์ 7 ยืนจังก้าเบียน 6 กับ 2 ทั้งคู่

ฝ่ายเด็กทั้งชายหญิงต่างก็กำลังถ้อยทีถ้อยคุยกันทางมือถือแทบจะทุกเวลา โดยลุ่มน้ำเข้าห้องส่วนตัว ปั้นหยาจะเดินห่างย่าออกไปให้ไกลจากสายตา

“ลุ่ม” ปั้นหยาเพียงแต่เริ่มงานเกลี้ยกล่อม “ฉันว่าเธอน่าจะรีบไปลงทะเบียนเรียนดีกว่า…ถ้าฉันจบหกแล้วอย่างเธอละก็ ฉันไปแน่”

“ก็ฉันจะรอเธอไง รอปลายปีหน้า รอเธอจบหก แต่ปีนี้ฉันจะเรียนโหราศาสตร์ไปพลางๆ พอถึงปีหน้า เราค่อยไปลงทะเบียนเรียนพร้อมกันไม่ดีเหรอ ฉันจะได้ไปๆมาๆบ้านปู่ไท มาอยู่ใกล้ๆเธอทุกวันไงล่ะ”

“ทุกวันได้ไงในเมื่อเปิดเทอมใหม่ ฉันก็ต้องไปเรียนแล้ว ไม่มีเวลาไปดูดวงแล้ว”

“เสาร์อาทิตย์ค่อยเรียนก็ได้”

“เสาร์อาทิตย์ก็ต้องทำการบ้าน ดูหนังสือ…เอ้อ…เธอไปกวดวิชาเพิ่มเติมก็ได้นี่นา จะได้ไม่ว่าง ไม่เหงา”

ในที่สุด ลุ่มน้ำก็เลยหักอกหักใจไปลงทะเบียนเรียนท่ามกลางความยินดีของทุกคนในบ้าน

ครั้นโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเปิดแล้ว ทั้งคู่จึงต้องห่างกันไปในวันธรรมดา แม้ในวันที่ลุ่มน้ำไม่ได้เรียนโหร คุณตาก็ไม่อนุญาตให้หลานไปรับปั้นหยาเพราะแม้เด็กหนุ่มจะลงทะเบียนแล้ว หากก็ไม่ไปเรียน จนคุณนรินทร์ต้องพยายามทำใจให้ปลงตกในพฤติกรรมของหลานชายคนเดียว แต่ก็ค้นคิดหาทาง

“เรามาแข่งกันดีกว่าลุ่ม ว่าใครจะเรียนโหราศาสตร์ได้เร็วกว่ากัน” ในที่สุด เขาจึงต้องนำเรื่องนี้มาต่อรอง รวมทั้งลองตามใจโดยแวะไปรับปั้นหยาจากโรงเรียนมาส่งบ้าน

หลานของเขาถึงกับโผเข้ากอดคอ

“ปั้นขอบพระคุณคุณตามากค่ะที่มารับปั้น” เด็กสาวพนมมืออยู่บนเบาะด้านหลัง

คุณนรินทร์จึงเอี้ยวตัวมาบอกอย่างปรานี

“ไม่เป็นไรหรอกหนู ลุ่มเขาก็อยู่ว่างๆ ตาเดี๋ยวนี้ก็ว่างงาน โรงเรียนหนูก็แค่ทางผ่าน ไม่หนักหนาอะไร”

“ลุ่มยังไม่ยอมไปมหาวิทยาลัยเสียทีเลยค่ะ” เด็กสาวบ่นอุบอิบ

“รอปั้นไงล่ะ” อีกฝ่ายพูดหัวเราะๆอย่างสบายใจ “แต่ถึงไม่ไปก็เปิดหนังสืออ่านเหมือนกันนะปั้น เพียงแต่อ่านแล้วปวดหัวเท่านั้นละ”

คุณนรินทร์ก็เลยต้องพยายามทำใจให้บันเทิงไปกับหลาน

ที่จริง ถ้าไม่พูดถึงการเรียน คุณนรินทร์ก็ไม่เคยนึกรังเกียจปั้นหยา แม้จะปรากฏว่าหล่อนมิได้ร่ำรวยกระไรเลยก็ตาม เนื่องด้วยพอใจความเป็นคนธรรมดาที่สุภาพของปการ โดยความสุภาพนั้นเผื่อแผ่มาถึงหลานของเขาด้วย

อีกอย่าง ขณะนี้เขาเองยังต้องพลอยเรียนโหราศาสตร์กับทองไทไปด้วยกันกับหลานชาย ทำให้ได้ความรู้อีกหลากหลายเกี่ยวกับดวงดาวในจักรวาล

“พอรู้สึกว่า เราเรียนดาวเหมือนเรียนคน เรียนสันดานมนุษย์ ผมก็ยิ่งสนุกใหญ่” คุณนรินทร์บรรยายให้ทองไทฟัง

แต่ปการไม่สบายใจเลยที่คุณตาของลุ่มน้ำถูกหลานเซ้าซี้จนต้องตามใจ โดยก่อนไปเรียนโหราศาสตร์จะต้องแวะรับปั้นหยาที่โรงเรียนสตรีอันเป็นทางผ่านแล้วจึงมาส่งหลานของเขาถึงบ้าน ต่อจากนั้นจึงจะเลยไปบ้านทองไท

วันใดวันหนึ่ง ปการจึงออกมายืนรอพร้อมกับบอกกล่าวถึงความร้อนใจ

แต่นรินทร์ห้ามไว้ เพราะ

“เราเองก็มีหลานรุ่นๆเหมือนกัน นึกเสียว่าช่วยกันผ่อนภาระจะดีกว่า”

ปั้นหยาจึงพนมมือขอบคุณ

หลังจากรถคล้อยมาแล้ว คุณตาจึงถามหลานชาย

“ชอบเขามากเหรอ ปั้นหยาน่ะ”

“ชอบมากเลย…ลุ่มตั้งใจว่าอีกหน่อยลุ่มจะขอเขาแต่งงาน”

ฉันเองก็ยังต้องแอบขำอยู่ ‘หลังม่าน’

แล้วนี่ก็ยังไม่ทันจะเอ่ยถึง ‘ดาวจันทร์’ และอิทธิพลของดาวดวงนี้ซึ่งแท้ๆแล้วคือนางเอกของเรื่องแม้แต่น้อย

แม้ว่าสุดสีจะได้จัดลำดับ ‘จันทร์’ แต่ละราศีไว้จนครบทุกราศีแล้วก็ตาม

‘จันทร์ยาตรา’ ก็หาได้ง่ายดังที่เธอและทองไทคิดไม่

เพราะจะมุ่งเขียนถึงดาวจันทร์เพียงหนึ่งเดียวย่อมเป็นไปไม่ได้ เนื่องด้วยดาวทุกดวงในจักรวาลนี้มีหรือไม่ที่ไม่ข้องเกี่ยวกันและกัน

ไม่มี

ฉันเอง เขียนเอง หากเมื่อจำเป็นต้องนำมาอ่านทวน ก็ยังปวดหัวแทบแย่…พลางก็นึกว่าตัวเองมีพละกำลังขนาดไหนสมัยนั้น จึงบรรยายความเป็นมาเป็นไปอันคือหลักการของโหราศาสตร์เกือบจะทุกแง่มุมจนเมื่ออ่านแล้ว แม้อาจารย์โหรบางท่านยังเอ่ยชมได้ขนาดนี้

ก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน ทราบเพียงว่า ‘จันทร์ยาตรา’ คืออีกหนึ่งนวนิยายเกี่ยวกับโหราศาสตร์ที่ฉันเขียนอีกไม่ได้ไม่ว่าเมื่อไร

แต่ในที่สุด ลุ่มน้ำก็ได้พบเด็กสาวอีกคนนามว่า เจมินา ครั้นแล้วจึงหันไปละเมอเพ้อพกกับคนใหม่

พอดีกับขณะนั้น กำลังจะมีการชุมนุมทางการเมืองครั้งใหญ่ ใหญ่เหมือนทุกครั้งที่ว่าใหญ่ในวันที่ 26

ทองไทกับสุดสีก็เลยแทบไม่มีอันเขียนถึง ‘จันทร์ยาตรา’ เพราะมัวแต่เปิดโทรทัศน์คอยตามข่าวชุมนุมทางการเมือง จนกระทั่งรัฐบาลได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา แต่นายกฯคนใหม่ก็ถูกต่อต้านอย่างหนักอีกเช่นกัน

ขณะที่ลุ่มน้ำกำลังฝึกดู ‘ดวงเมือง’ จึงเปรยขึ้นมา

“ช่องว่างมี 4 ช่อง” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากสรุปความคิดของผู้ใหญ่ รวมทั้งเป็นคนรุ่นใหม่ จึง ‘ท่องเน็ต’ ค่อนข้างมาก รู้ว่าใครคิดอะไร ประมาณไหน

“ไหม…ลองว่ามาซิ” คุณตาพยักหน้า แววนัยน์ตาสดใสเมื่อได้ยินถ้อยคำน่าสนใจของหลานชายผู้มีฉายาอย่างลับๆว่า ‘ไม่เอาถ่าน’

“ช่องว่างที่ 1 ระหว่างความคิดผิดและคิดถูก ช่องว่างที่ 2 ระหว่างการพูดผิดและพูดถูก ช่องว่างที่ 3 ระหว่างการทำผิดและทำถูก ช่องว่างที่ 4 คนทำผิดไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด คนทำผิดคิดว่าสิ่งที่ตัวคิด พูด ทำ ถูกหมด คนอื่นต่างหากที่ผิด”

คุณนรินทร์ถึงกับมองหน้าลุ่มน้ำราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน

“ไปเอามาจากใครหรือลุ่ม”

“ก็จากวิชาโหราศาสตร์ไงฮะ” หลานชายตอบพร้อมยืดตัวผึ่งผาย

ครั้นแล้ว ท่ามกลางวิกฤตทางการเมืองอันสับสนอลหม่าน สุดสีก็ชวนทองไทออกไปชม ‘พระจันทร์ยิ้ม’ ส่งท้ายการเมืองเรื่องร้อนแรงขณะนี้

“ไปดูเลย สวยมากๆเลย เพื่อนบ้านเพิ่งมาบอกเดี๋ยวนี้เอง”

วันนี้เป็นวันจันทร์แรกแห่งเดือนธันวาคม คุณนรินทร์กับลุ่มน้ำรับปั้นหยาไปส่งบ้านเรียบร้อยแล้ว จึงกลับมาหาทองไท

ทั้งสามจึงตามสุดสีออกไปยืนหน้าบ้าน มองไปทางทิศตะวันตก ก็ได้เห็นภาพอันงดงามน่ารักที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างชัดเจนเต็มตา

ภาพพระจันทร์เสี้ยวเรียวบางวางอยู่บนฟ้าที่เพิ่งมืดสนิทเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ประดุจริมฝีปากงอนงามกำลังคลี่ยิ้มจนปลายสองข้างโค้งขึ้น รับกับดวงตาอันสุกใสทั้งคู่ คือดาวศุกร์หรือดาวประจำเมือง เคียงกับดาวพฤหัสบดี ดาวทั้งสองดวงงามพิศุทธิ์สดใส

คืนนี้ วันที่ 1 ธันวาคม ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 1 จันทร์ทับศุกร์เวลา 08.20 น. ทับพฤหัสเวลา 17.46 น.

จันทร์จะย้ายจากราศีธนูขึ้นสู่ราศีมังกรทับราหู ในเวลาทุ่มตรง คือในอีก 45 นาทีข้างหน้า

ลุ่มน้ำจึงโทรศัพท์ไปบอกปั้นหยากับเจมินา

“ปั้น เดี๋ยวออกมาคอยเราหน้าบ้านนะ ดูพระจันทร์ยิ้มด้วยกัน”

ทุกชีวิต มิว่าอยู่บนถนน ในรถ ในบ้านหรือที่อื่นใด ต่างก็ออกมาดู ‘พระจันทร์ยิ้ม’ ร่วมกัน ด้วยอารมณ์อันเบิกบานสราญใจ แม้จะอยู่ในยามคับขัน

 

– จบ –

 

 

Don`t copy text!