ไฟพ่าย…”พิจิกา” ดวงดาวอันเจิดจ้าและหมองมัว

ไฟพ่าย…”พิจิกา” ดวงดาวอันเจิดจ้าและหมองมัว

โดย : กฤษณา อโศกสิน

Loading

“หลังม่าน” คอลัมน์ที่จะบอกเล่าถึงชีวิตของตัวละครเด่นๆ ในนวนิยายของ กฤษณา อโศกสิน เป็นเรื่องราวเบื้องลึกที่มีแต่นักเขียนเท่านั้นที่จะสามารถรู้ได้ และนำมาบอกเล่าให้ผู้อ่านชาวอ่านเอาได้เห็นชีวิตด้านหลังม่านของตัวละครเหล่านั้น

นวนิยายเรื่อง ‘ไฟพ่าย’ คือเรื่องราวรายละเอียดของตัวละครที่นับว่าเขียนยากที่สุดในจำนวนร้อยกว่าเรื่องที่ฉันร้อยเรียงออกมาสู่สายตาผู้อ่าน แต่ด้วยอาการของผู้ไม่ยอมแพ้แก่อักษรา มิว่าบทบาทใด ฉันจึงตัดสินใจถ่ายทอดความเป็นไปลึกล้ำที่สุดแสนวรรณวิจิตรเรื่องนี้ไว้จนได้

ท้ายที่สุดก็สำเร็จลงสมความปรารถนา

แต่รสชาติเป็นอย่างไรก็สุดแต่ผู้อ่านและผู้ชมจะตัดสินใจ

ฉันเลือกนางเอกได้แล้วจึงเป็นอันว่าหมดกังวล

เป็นหนึ่งในนางเอกเพียงไม่กี่คนในชีวิตการทำงานของฉันที่ตนเองเห็นว่า ‘สมบูรณ์แบบที่สุด’ ด้วยองค์ประกอบอันเพียบพร้อมด้วยสติปัญญาความสามารถและการต่อสู้ที่ช่วยเชิดชูตนเองจนผุดขึ้นมาโดดเด่นเห็นประจักษ์

นับว่าเป็นนางเอกและพระเอกอยู่ในคนคนเดียวกัน

คือสตรีผู้มีนามว่า ‘พิจิกา’

นางเอกนิรันดร์กาลของฉัน

ผู้ล้อมรอบไปด้วยเพศตรงข้ามนามว่า

เลื่อง ลลิต ลักษนันท์ มันตรี

กับเพศเดียวกัน นามว่า

คุณงามพิศ มารดา เพียงออ น้องสาวต่างแม่ เบญจา เพื่อนสนิท

เลื่องเป็นศิลปิน มีครอบครัวแล้ว เป็นเพื่อนเก่าก่อนแต่กาลอันนานมา อาศัยอยู่ในบ้านเช่าเล็กในซอยแคบที่พิจิกามักจะแวะเวียนไปอาศัยสนทนาในทุกยามที่ความหดหู่เหี่ยวแห้งเข้ามาเกาะกินกำลังกายกำลังใจ ส่วนมากจะเป็นยามดึกที่ผู้คนหลับไหลไม่ยอมตื่น

แต่เลื่องมักตื่นอยู่ เพื่อทำงานของเขา

นั่นก็คือเขียนสารคดีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ โบราณสถานโบราณวัตถุอันมีค่าของแผ่นดินไทย

เลื่องรู้จักพิจิกามานาน นับตั้งแต่หล่อนยังรุ่นสาวจนกระทั่งบัดนี้ อายุกำลังย่างเข้าปีที่ 25 หล่อนก็ยังคงเป็นหล่อนผู้เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเองซึ่งนับวันจะทวีสีสันอันผาดโผน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากไปเล่าเรียนหลายหลักสูตรมาจากต่างประเทศจนเลื่องมักจะประชดประชันอย่างขันๆ เพราะรู้ใจ

‘จงเป็นนางแบบ นักดนตรี นักร้อง ดีไซเนอร์ จิตรกร นักแสดง นักอะไรต่ออะไรของเธอไป’

หากก็แกมชื่นชมเอ็นดูสาวเก๋ ผิวบาง ร่างบางผู้พายเรือคล่องที่ยังติดตาเขาไม่หายเนื่องจากบ้านมารดาหล่อนอยู่ในสวนริมคลองใหญ่ ที่เลื่องพบว่าพิจิกากับแม่ของหล่อนต่างก็เป็นขมิ้นกับปูนอยู่ก่อนแล้ว อาจจะก่อนคุณงามพิศหย่ากับคุณเนิ่น บิดาหล่อนจนกระทั่งเขามีภรรยาใหม่ลูกใหม่เป็นสาววัยต้นอีกสองคน คือเพียงออกับกอมณีด้วยซ้ำไป

ดังนั้น จะว่าเรื่องราวแตกร้าวของครอบครัว เชิญชวนให้หัวใจพิจิกาช้ำระบมตรมตรอมมาแต่อ้อนแต่ออกก็ได้ หรือจะเห็นว่าคือกรรมส่วนตนที่ประกอบกันเป็นคนคนหนึ่งขึ้นมาตั้งแต่ภพชาติอันไกลโพ้นก็ได้…ได้ทั้งสองวิถี

ยามเมื่ออยู่บนเวทีในบทบาท ‘นักร้อง’ หล่อนก็คือนักร้องขนานแท้ ยามเมื่อเป็น ‘นักออกแบบ’ หล่อนก็ออกแบบเสื้อผ้าได้ล้ำหน้าสมสมัยจนสามารถเปิดร้านขายเสื้อผ้าในศูนย์การค้าใหญ่ได้ไม่น้อยหน้าผู้ใด ยามเมื่อลงมือเป็น ‘จิตรกร’ หล่อนก็เขียนรูปได้จับนัยน์ตา ยามเป็น ‘นักแสดง’ ก็ไม่แพ้นางเอกคนไหน

ดูเหมือนในหมวดหมู่ที่มีนามว่า ‘ศิลปิน’ พิจิกาจะมีแต่ตำแหน่งอันน่าทึ่ง ไม่เคยเป็นรองใคร

จึงพาชายสองคนกับ ‘อีกคน’ มาพัวพัน

คนแรกนามว่า ‘ลลิต’ เป็นลูกชายนายธนาคารใหญ่ เป็นนักธุรกิจ คิดเรื่องใดก็ต้องมีรายได้ผลประโยชน์นำหน้า คืนที่เปิดม่านแรกนี้ เขามากับมันตรี ผู้เป็นลูกค้าธนาคารของบิดาลลิต ชวนกันมาฟังเพลงที่พิจิกาขึ้นไปร้อง

ต่างก็ต้องใจในนางเอกของฉัน

หากก็เป็นความรู้สึกคนละชั้นกัน เนื่องจากลลิตนั้นมีอาชีพนั่งโต๊ะ คิดดอกเบี้ย ทวงหนี้ ยึดทรัพย์

แต่มันตรีเป็นลูกจ้างนายบุญทวี มีที่อาศัยเป็นตึกแถวบริเวณท่าน้ำราชวงศ์ ส่งสินค้าออกรับสินค้าเข้าโกดังใหญ่ใกล้ๆ นั้น

ครั้นแล้วก็ได้พบพิจิกาหลังจากหล่อนเสร็จสิ้นการแสดงละครบนเวที เก็บกระเป๋าเครื่องสำอางและเสื้อผ้าในขอแขวน ลงมาขึ้นรถที่หล่อนขับเอง

ชายทั้งคู่จึงเดินตามไปส่งหล่อนถึงรถสปอร์ต

ลลิตก็เลยถาม

“คุณว่าเธอเป็นไง”

“ผู้หญิงทำงานเก่งแบบนี้ นานๆ จะเจอสักคน ถ้าเอาจริงเอาจัง ไม่ทำจับจด ผมว่า เขาจะรวยไม่รู้เรื่องเลยเชียวละ”

ลลิตก็มาติดและกะจะรวบรัดขอแต่งงาน ก็เพราะคิดแล้วว่าได้กำไรอย่างไรเล่า

เนื่องจากคุณงามพิศก็เห็นด้วยกับเขาว่า พิจิกาคู่ควรกับคนมั่งมีเท่านั้น จึงเปิดโอกาสให้ลูกชายนายธนาคารเข้านอกออกในใกล้ชิดเพื่อเอาชนะใจลูกสาวให้ได้

แต่ลูกว่าง่ายมิใช่หญิงที่มีนามพิจิกา

จึงมิว่าคุณงามพิศจะเพียร ‘กด’ ไว้เพียงใด ก็ไม่อาจทำให้บุตรีอ่อนลงได้ มิว่าน้อยหรือมาก

พิจิกาไม่รักบ้านก็ด้วยเหตุนี้ บ้านที่ดูหรูอยู่สบาย บ้านที่มีห้อง มีเตียง มีที่นอนอย่างสักแต่ว่ามี แต่ไม่เคยได้รับความอบอุ่นเชื่อมั่นได้มากกว่าเป็นเพียงอิฐฉาบปูนธรรมดาที่ใครต่อใครก็สามารถมีได้

ตั้งแต่แรกที่ลืมตารู้ว่าตัวเองมีชีวิต ต้องทำสารพัดสิ่งเพื่อชีวิตนี้ พิจิกาก็ได้พบมารดากับบิดาปีนเกลียวกันอยู่ก่อน มารดาหล่อนนั้นใฝ่ฝันอย่างแรงกล้าทุกนาทีที่จะได้เป็น ‘เศรษฐี’ มีทุกสิ่งที่คนเหล่านั้นมี จึงไม่เคยพอใจเงินเดือนข้าราชการจำนวนน้อยที่บิดาได้รับ จึงทั้งแอบแฝงความดูถูกเหยียดหยามว่าบิดาต่ำศักดิ์ไว้ในทีในท่า พ่อและแม่จึงมีลักษณะตรงกันข้าม คือคุณงามพิศขยันขันแข็ง ตระหนี่ถี่ถ้วน ตั้งแต่เช้าเฝ้าไล่เบี้ยคนใช้ กระเบียดกระเสียรข้าวของทุกชนิดมิวายเว้น ฝ่ายบิดาหล่อนเป็นคนทำงานแบบ ‘เช้าชามเย็นชาม’ อยากจ่ายก็จ่าย อยากนอนก็นอน อยากไปไหนก็ไป

ดังนั้น เพียงแต่พิจิการู้ความ จึงแลเห็นการต่อสู้ของทั้งคู่ว่าด้วยเรื่องใครเหนื่อยกว่า ใครสบายกว่า จนหัวใจตนเองเต็มแน่นด้วยเรื่องนี้

โตขึ้นอีกนิด มารดาร่ำรวยขึ้น จึงขอหย่าขาดจากบิดา

ต่อจากนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับบิดาก็ขาดตอนไปอย่างง่ายและเงียบ

นานทีปีหน หล่อนจึงจะแวะไปเยี่ยม

แต่บิดาก็ยังเป็นชายคนเดิม

ทักหล่อนเพียงสั้นๆ

‘อ้อ… พิ้งค์หรือ’

แล้วก็แค่นั้น… นาทีต่อมาก็โยนหน้าที่พูดจาให้มารดาเลี้ยงหรือไม่ก็น้องเล็กๆ

บาดแผลเหล่านี้เองกระมังที่ค่อยๆ ฟูมฟักหล่อนจากเด็กหญิงบอบบางไร้ความผิด…กลายเป็นหญิงสาวผู้มีน้ำจิตน้ำใจอันกล้าแข็งมีทุกข์ หากลำคอก็ตั้งบ่า โผผินออกไปในโลกกว้างอย่างนกที่เตลิด เกลียดรัง จะกลับก็ต่อเมื่อง่วงหรือจำเป็น

 

ชายสองคนที่กำลังมาติดพัน กับอีกคนที่คล้ายเกินเข้ามาโดยมิได้ตั้งใจ ต่างก็มีบุคลิกลักษณะอุปนิสัยที่ไกลไปจากกันและกันมากมาย ช่วยให้ผู้กำกับสุดแสนจะหายใจเข้าออกไม่ติดขัด ด้วยว่าไม่รู้สึกเบื่อหน่ายหรือคล้ายจะหมดแรงเหมือนยามที่มีตัวละครอ่อนหัดมาเข้าฉาก

เนื่องด้วยทั้งสามเพิ่งเข้ามาแทนที่ชายติดการพนันผู้ที่หล่อนหลงควงอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งครั้งสุดท้ายเขานำพระเครื่องที่บิดาให้มาขอจำนำไว้กับหล่อน พิจิกาจึงขอแยกทาง

ด้วยว่า เกลียดนักเกลียดหนาพวกที่ถูกสิงด้วย ‘ผี’ การพนัน

ดังนั้น วันคืนถัดมา หล่อนจึงรับเอามิตรภาพใหม่เอี่ยมจากชายสามคน ลลิต ลักษนันท์ มันตรี ลอยลำเข้ามาเทียบท่า

ลลิตมาอย่างนักธุรกิจ

ลักษนันท์มาอย่างพ่อหม้ายเมียเบื่อ ลูกติดสาม มันตรีมาอย่างชายผู้ ‘คมในฝัก’

ลลิตเป็นลูกชายนายธนาคารใหญ่ พาเอาหัวพ่อค้ามาเต็มเพียบ เนื่องด้วยตระหนักดีถึง ‘ความเป็นศิลปินเด่น’ ผู้ ‘ขายได้’ ของพิจิกา

ฝ่ายลักษนันท์มาอย่างศิลปินด้วยกันผู้กำลังเพียรเยียวยาดวงใจอันบอบช้ำที่เคยมอบไว้กับนัดดา ภริยาสุดที่รัก แต่เมื่อถึงปีที่ 7 หล่อนของเขาก็มีอันเป็นเบื่อหน่ายในหน้าที่เมียแสนดี แม่ผู้ประเสริฐอย่างไม่มีสิ่งใดเยียวยาได้ จึงขนของออกจากบ้านบินไป ทิ้งลูกให้อยู่ในการปกครองดูแลของเขา

“กลับมาแล้ว ถ้ายังไม่สบายใจ กลับไปอีกก็ได้นะ” พระเอกบนจอภาพยนตร์หลายเรื่องผู้กำลังกระเดื่องดัง แต่กลับ ‘ดับ’ เรื่องหัวใจบอกอีกฝ่ายอย่างมิรู้จะว่าอย่างไรได้ เนื่องด้วยหมดสิ้นแล้ว…ทางไป… หรือจะให้ชัดก็คือวิธีสรรค์สร้างชีวิตคู่ให้อยู่ด้วยกันอย่างยั่งยืนเป็นสุขนั้น เขาแลไม่เห็นอีกต่อไป

แม้นัดดาจะยืนยัน

“ฉันเองผิดเองที่ไม่ยอมบอกคุณว่า ฉันไม่ชอบชีวิตแบบนี้ ชีวิตแม่บ้านทั้งกลางวันกลางคืนนี่”

“แต่คุณก็อยู่มาตั้งเจ็ดปี” เสียงของพระเอกบนจอ แต่เป็นคนตกอับในชีวิตจริง ตอบอย่างแสนเจ็บ

“ใช่ค่ะ ฉันหลอกตัวเอง หลอกคุณ หลอกชาวบ้าน… ก็ฉันแค่ ‘แสดง’ ไงคะ ไม่ใช่ของจริง”

แล้วนี่ผู้ชมละครเรื่องนี้จะยอมเข้าใจ หรือไม่ว่าหญิงอย่างนัดดาก็มีจริง พอๆ กับมีพิจิกาอยู่จริงบนเวทีโลก

หากฉันก็ไม่โศกสลดแต่อย่างใด เนื่องด้วยรู้เห็นความเป็นไปเป็นมาอันสลับซับซ้อนในชีวิตของใครต่อใครหลากหลายที่ ‘เบื้องหน้า’ ไม่เหมือน ‘เบื้องหลัง’

มีเบื้องหลังสิ่งละอันพันละน้อยอยู่บนเส้นทางสู่ดวงดาวกับเส้นทางสู่ทะเลบ้าตลอดกาล โดยไม่มีผู้ใดฝืนได้

ฉันจึงเอาแต่พยักพเยิดกับหล่อนและเขา จาก ‘หลังม่าน’ อย่างเข้าใจ

“นี่ถ้าไม่คิดถึงลูก ก็จะไปนาน” นัดดาย้ำคำ

แต่ลักษนันท์ก็พยักหน้าตามใจ ส่งหล่อนที่ท่าอากาศยาน

“ทำยังไงก็ได้ ถ้าคุณมีความสุข ผมก็ยอมทุกอย่าง คุณฉลาดแล้วที่ทำอย่างนี้ ก็เมื่อคุณไม่ได้เป็นอย่างที่คุณอยากเป็น แต่เป็นอย่างที่ผมให้เป็น แล้วอดกลั้นเอาไว้ได้ตั้งเจ็ดปี ก็นับว่าคุณเป็นยอดหญิงแล้วละ”

“อย่าประชดประชันกันดีกว่าค่ะ”

“นี่พูดด้วยใจจริง ผมบ้าเองที่อุปโลกน์ฉากละครขึ้นบนเตียงของเรา”

แสบสุดเลยนะลักษนันท์ แสบที่สุด ผู้กำกับชูนิ้วร่อนเกือบจะพ้นหลืบรอมร่อ

“ก็คุณเป็นนักฝัน ตระกูลคุณทั้งตระกูลก็เป็น”

นี่ยิ่งแสบหนักขึ้นไปอีกเท่าตัว

แต่ฉันก็ชอบนะ…ชอบที่ทั้งคู่ดูกึ๋นกันออก

ครั้นแล้ว เขาก็กลับบ้านพร้อมหยาดน้ำตาไหลเป็นทาง พักใหญ่ มันตรีจึงแวะมาหา ครั้นรู้ว่าพี่สะใภ้ขอตัวไปสิงคโปร์เพื่อพักชีวิต อีกฝ่ายก็วิจารณ์

“ผมยังจำท่าทางที่เขาวิ่งตามหลงใหลใฝ่ฝันพี่ได้ดี ตอนนั้นพี่ก็กำลังอกหัก”

ชีวิตก็ประมาณนี้แหละเจ้าค่ะ คำว่า ไม่เคยเป็นทุกข์นั้น อย่าหา ทำอย่างไรเสียก็ไม่มีวันพบ

“ฉันรู้แล้วละน่าว่าแกจะไม่มีเมียเป็นนักแสดง ก็เหมือนฉันน่ะแหละ ตั้งเข็มไว้อย่างดี แต่แล้วเดี๋ยวนี้เป็นไง นักอะไรมันก็เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าลงว่าจะเบื่อกันซะอย่าง…แปลว่าวันนี้ แกกำลังจะลากฉันไปพบคนมีไฟอะไรของแกนั่นใช่ไหม”

ผู้พูดพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่นนิดๆ ดูเหมือนความขมชนิดนี้จะซ่อนอยู่อย่างลึกในหัวใจของคนที่เคยกระเดื่องสูงสุดมาแล้วทุกคน เพราะเมื่อกาลเวลาล่วงเลย ก็มิได้เพียงแต่พาเอาวัยลาลับไปอย่างเดียว หากแต่ยังโฉบเฉี่ยวเอาความสามารถบางส่วนหรือแทบทั้งหมดเลื่อนไหลผ่านไปอีกด้วย

แม้ว่าบางคนจะโชคดีที่รักษา ‘เชื้อเพลิง’ เอาไว้ได้

“เห็นพี่ลักษ์ไม่สบายใจ ก็เลยคิดว่าจะพาไปหย่อนใจสักหน่อย”

นั่นก็คือ มันตรีตั้งใจพาพี่ชายไปสัมผัสสตรีผู้กำลังดังเปรี้ยงปร้างบนเวทีคืนนี้

หล่อนกำลังร้องเพลงประจำคืนหลายต่อหลายเพลงอยู่ทีเดียว

พบลลิตมาถึงแล้ว พลางเปรยราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหญิงร่างบาง

“ก็บอกเขาแล้วว่า ควรทำงานให้น้อยลง ไม่ไหวละคุณ วันนึงมียี่สิบสี่ชั่วโมง เขาทำงานตั้งยี่สิบชั่วโมงเข้าไปแล้ว ทำแบบนี้ไปนานๆ ร่างกายจะทรุดโทรม…ใช่… เขาอาจจะนึกว่าตัวเขายังสาว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่จะเอาความสาวสดชื่นมาทิ้งไว้กับงานหามรุ่งหามค่ำแบบนี้…อ้อ…” ประโยคท้าย เขาหันมาทางลักษนันท์ “คุณก็เป็นนักแสดง ทำงานมากไหม ผมหมายถึงหนังน่ะ ตอนนี้คุณเล่นหนังกี่เรื่อง”

ผู้ถูกถามอดรู้สึกมิได้ว่า น้ำเสียงผู้ถามไม่สู้จะยกย่องนัก

“ก็หลายเรื่องครับ”

“แล้วคุณไปถ่ายหนังทุกวันหรือเปล่า”

“ทุกวันครับ”

“วันนี้ล่ะ”

“วันนี้… คิวที่นัดไว้บังเอิญล้ม เพราะเมื่อเย็นวาน คนที่จะเข้าฉากกับผมเช้านี้ขับรถไปชนบาดเจ็บ เลยต้องเข้าโรงพยาบาล”

“คุณคงไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัวเลยซีนะ”

ประโยคนี้เอง…ถึงแม้จะหลุดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ตามวิสัยของคนปากเบาอย่างลลิต แต่ก็สะเทือนความรู้สึกของเขาแรงพอดู

พร้อมกับความเย็นวาบวิ่งมาจุกอยู่แค่คอ

“ผมไม่เคยยอมเสียเงินดูหนังไทยเลย… นี่พูดจริงๆนะ… เคยเห็นแว่บๆ ที่เอามาออกทีวี แม้แต่แว่บๆ ผมก็ว่ามันห่วยสิ้นดี บรมห่วย ไม่รู้จะว่ายังไงถูก เหมือนจับคนปัญญาอ่อนมาทำบท เอาคนปัญญาอ่อนมากำกับ แล้วก็เอาคนปัญญาอ่อนมาแสดง”

แหะ แหะ… ต้องจำไว้ให้แม่นๆ นะท่านผู้ชม มิใช่อิฉันเพ้อพกเอาเองนะเจ้าคะ มีคนเขากรอกหูมาอีกทีน่ะเจ้าค่ะ

ว่าแต่ว่า ‘หลังม่าน’ ขณะนี้มีใครย่องเข้ามาข้างหลังหรือไม่ อิฉันจะได้หนีทัน

 

ลักษนันท์ฟังแล้ว รู้สึกว่าตัวเขาและวงการภาพยนตร์ไทยถูก ‘กระทืบ’ อีกครั้ง

“แต่ ‘ยุคใหม่’ ของภาพยนตร์กำลังเริ่มแล้วนะฮะ” อีกฝ่ายพยายามอธิบาย แต่ชายหนุ่มคนนั้นไม่ยอมฟัง

ก็ช่างเขาเถอะ คุณลักษ์ นั่นมัน พ.ศ. นั้น 2518 จะเถียงกันให้เป็นอะไรขึ้นมา

แต่ลลิตก็บ่นต่อ

“ผมไม่เข้าใจเลยว่า คุณพิ้งก์แกคิดยังไงถึงได้โดดไปเล่นหนังแบบนี้ แต่เรื่องที่แกเล่นคุณไม่ได้เล่นใช่ไหม”

“ฮะ…ผมไม่ได้เล่น”

“คนเก่าๆ กำลังตกกระป๋องละซี”

เฮ้อ… หมอนี่ก็… นะ

มันตรีนั้นได้ยินคำว่า ‘เงิน’ ออกจากปากของลลิตบ่อยจนแทบทนไม่ไหว

เขาพบคนอย่างลลิตมาบ้างเหมือนกัน ทุกครั้งที่พบก็ออกจะขำขัน พลันก็รู้แน่ว่า ความรู้หรือฐานะไม่ช่วยคนบางคนให้เป็นอะไรดิบดีขึ้นมาได้มากมาย

ตั้งแต่พบกันด้วยวิถีทางของธุรกิจ มันตรีมีหน้าที่อยู่สองสามอย่าง คือ จ่ายค่ากิน ดื่ม และนั่งฟังลลิตอวด

แต่นายบุญทวีนายจ้างของเขา บอกให้อดทน

ฉันชอบเขียนเรื่องนี้มากเพราะเหตุใด… ก็เพราะเต็มไปด้วยการชิงรักหักเหลี่ยมอย่างแยบยลแกมอลเวงอย่างชวนให้สะใจน่ะซี

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พิจิกาที่เปล่งวาจาออกมาคราหนึ่ง

“ฉันชอบโกลาหล สนุกดี” เป็นคำตอบที่ดื้อดึงเมื่อเพื่อนฝูงบอกว่า

“พิ้งค์น่าจะเจอคนดีๆ สักคน แล้วก็ต้องจัดระบบชีวิตใหม่ไม่ให้มันโกลาหลขนาดนี้ ไม่ใช่ไปทางไหนกับใครก็ไม่ได้เลยซักคนเดียว แม้แต่กับพ่อแม่”

“ช่างปะไร ก็ฉันชอบเรียนคน” เป็นคำตอบที่เจ้าตัวค้นจนพบแล้วจบลงง่ายๆ

“เลิกกับเอกแล้วก็อย่าไปคว้าเอานักแสดงมาอีกล่ะ”

“ก็อย่าหวังว่าฉันจะไม่”

พิจิกาก็เป็นเช่นนี้กับใครทุกคนนอกจากเลื่อง เพื่อนศิลปินเก่าแก่ผู้ที่หล่อนกำลังจะช่วยประสานงานซื้อบทประพันธ์สำหรับแสดงภาพยนตร์ที่คราวนี้ลลิตจะเป็นเจ้าของและผู้อำนายการสร้าง โดยพิจิกาพามาเชื่อมต่อ

ขณะที่พบกับมันตรี จึงมีโอกาสคุยกันถึงเลื่อง

“เลื่องเป็นคนมีไฟ แต่ไฟของแกมาจากความทุกข์ระทม สมัยที่เขายังเป็นหนุ่ม เขาปราดเปรื่องเลื่องลือ เขียนบทละคร กำกับการแสดง แปลหนังสือ วิจารณ์ศิลปะอะไรต่ออะไรหลายอย่าง แต่ชีวิตของเขาลำเค็ญ” พิจิกาเล่าย่อๆ พอให้อีกฝ่ายแลเห็นภาพเพื่อนเก่าที่หล่อนชื่นชม

ขณะนั่งสนทนาอย่างเพลิดเพลินมาในรถของฝ่ายชายที่ค่ำคืนนี้เขาดอดพาหล่อนออกจากบริเวณโรงถ่ายภาพยนตร์ที่ลักษนันท์ต้องเข้าฉาก นั่งกินลมมาในพาหนะที่หมุนกระจกลง คุยกันออกรสจนเกือบถึงนครปฐม

ในที่สุด มันตรีจึงถาม

“คุณมีผู้ชายมากี่คนแล้ว”

“ก็คุณล่ะ มีผู้หญิงมากี่คน แต่ฉันไม่ได้หมายถึงผู้หญิงที่มีค่าชั่วโมงนะ”

ขณะที่กำลังถาม หล่อนก็คิดถึงผู้ชายคนที่หนึ่งถึงคนที่สี่ของตนเอง

“คุณอาจจะยังไม่ได้รักใครจริง” มันตรีคาดคะเน

“แต่ฉันก็เครซี่ทุกครั้งนะคะ ก็คุณล่ะคะ ตอนคุณพบใครใหม่ๆ คุณไม่เครซี่หรอกหรือ”

“เหมือนเราเห่อเสื้อใหม่ยังงั้นใช่ไหม” มันตรีถาม “แต่พอใส่แล้วสักสองครั้งก็เบื่อ แต่ผมน่ะร้ายกว่านั้น คือทันทีที่ผมได้มาเป็นกรรมสิทธิ์ ผมก็นึกเบื่อแล้วละ”

“ถึงยังงั้นเชียวหรือคะ”

“ผมว่าผมเป็นอย่างนั้น” เขาตอบอย่างไม่ทำให้ผู้ฟังนึกว่าเขาพูดจริงหรือเล่น

ผู้อ่านหรือผู้ชมก็คิดดู  ฉันต้องอยู่กับใครหลายอุปนิสัยหลายความสลับซับซ้อนภายใน อยู่กับหมู่เหล่าหลากหลายอย่างไรบ้าง ถ้ามิได้ยืนอยู่ ‘หลังม่าน’ หรือตรงหน้าแผ่นกระดานแก้วกับดินสอมีไฟ ก็คงยากที่จะพาตัวละครเหล่านี้ผ่านไปได้

หรือแม้จะผ่านยากแสนยากเพียงไร หัวเด็ดตีนขาด ฉันก็จะต้องรักษาเกียรติยศและศักดิ์ศรีของนักเขียนนวนิยายไว้ให้ได้ โดยไม่นำเอา ‘เอไอ’ หรือที่คำเต็มภาษาอังกฤษว่า Artificial Intelligence แปลว่าปัญญาประดิษฐ์ มาแอบใช้แทนปัญญา ภาษาและจินตนาการอันเป็นศิลปะบริสุทธิ์ของมนุษย์อย่างเด็ดขาดและเด็ดเดี่ยว

ไม่มีวัน!

อย่างมันตรีผู้นี้ก็เช่นกัน ใครว่าเขาดูง่าย แม้ว่าอาชีพของเขาจะเป็นเพียงลูกจ้างพ่อค้าค่อนข้างใหญ่คนหนึ่งซึ่งนายจ้างมีเพียงตึกแถวสองชั้นให้เขาได้พักอาศัยเพื่อความว่องไวรวดเร็วในการส่งสินค้า รวมทั้งมีโอกาสต้อนรับพี่ชายนักแสดง บางเวลาที่อีกฝ่ายมีเรื่องราวมิว่าทุกข์สุข เศร้า หมอง รื่นร่ามาเล่าสู่ รวมทั้งพักกายใจไว้ในที่ที่ไกลห่างจากรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หากแต่ตัวเขาใจเขากลับเป็นกายใจของชายหนุ่มผู้ไม่เคยต้อนรับรสชาติจากกิเลสตัณหาใด ถ้าเป็นรสที่ทำให้เขาต้องตกเป็นเชลยจนต้องกลายเป็นใครอื่นที่ตนเองไม่รู้จัก

ถ้าเช่นนั้น เขาพึงปรารถนารสชาติเช่นไร…รสที่เขาใคร่กอดไว้กับอก รสที่พาความสะทกสะเทือนปั่นป่วนมาให้ รสที่ทั้งอบอุ่นเยือกเย็นเร่าร้อนที่จะต้อนให้เขาจนมุมแล้วยอมรับ

ยกตัวอย่างเพียงออ น้องสาวต่างมารดาของพิจิกา

เด็กสาวผู้สุภาพเรียบร้อย ที่คุณงามพิศแม่เลี้ยงชอบใจนักหนาในความว่านอนสอนง่าย ใจซื่อ ไม่มีทีท่ากระด้างกระเดื่องท้าทายโลกีย์และชีวิตดังเช่นเลือดเนื้อเชื้อไขหนึ่งเดียวที่เธอมี

แต่หลังจากพบปะคบหาเจรจากันมากขึ้น จนเด็กสาวอ่อนโลกกลับกลายจากโชคดีเป็นเคราะห์ร้ายเนื่องด้วยเผลอหลงรักปักใจโดยมันตรีกลับถอยห่าง ก็ราวจะวายชีพไปด้วยบาดแผลวัยสาวผู้ตามน้ำเนื้อในหัวใจชายไม่ทัน

ด้วยว่า ใจเขานั้นกลับหันเหไปยังหญิงสาวบนเวทีไฟส่องหน้า ผู้รับสารภาพกับใครต่อใครว่า

‘ฉันรักคนหนึ่ง ไปเที่ยวกับอีกคน จะแต่งงานกับอีกคน’

เพียงแต่เขาทนไม่ได้เท่านั้น

วันใดวันหนึ่งจึงบอกกับนางเอก

‘ทุกคนเป็นเหยื่อของคุณ’

แต่พิจิกาตอบกลับ

‘ถึงยังไง ฉันก็ภูมิใจว่าฉันไม่ได้จอมปลอม ฉันเป็นตัวของฉันเอง ฉันไม่แคร์ความดีความชั่วที่ฉันทำ ฉันรับผิดชอบทุกเรื่อง’

คำตอบของหล่อนกล้าหาญ เช่นเดียวกับคำตอบทุกครั้งที่เคยให้สัมภาษณ์ยามตกเป็นข่าว

ว่าที่จริงมันตรีก็เห็นว่า พิจิกาจอมปลอมน้อยมาก  หากถ้าเทียบกับหญิงบนถนนแห่งเกียรติยศคนอื่นๆ

พลางก็คิดถึงความแตกฉานรานร้าวระหว่างเขากับหล่อนอันกลายเป็นเส้นขนานไปแล้วเมื่อถึงขณะนี้

ชายหนุ่มได้แต่ยอมรับด้วยความไม่มีทิฐิว่า…เสียดาย

หากก็บอกพิจิกา

“ผมหวังว่า คุณจะตัดสินใจได้ในเวลาไม่ช้านี้เกี่ยวกับชีวิตครอบครัว”

มันตรีนึกตะขิดตะขวงขึ้นมาทุกครั้ง เมื่อตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนและลักษนันท์ผู้พี่ชาย จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่มีวันจะก้าวเข้ามาแตะต้องเนื้อตัวหญิงผู้นี้อีกต่อไป

“ฉันก็เหมือนแม่ฉันนั่นแหละ” อีกฝ่ายได้แต่ย้อนตอบ “ไม่มีเวลาให้พ่อ แต่ก็ไม่เคยเฉลียวใจเลยว่า การเป็นช้างเท้าหน้า เป็นผู้หญิงเก่งแล้วให้พ่อเดินย่ำเท้าอยู่ข้างหลังหลายร้อยกิโล โดยไม่ให้โอกาสพ่อเป็นคนสำคัญขึ้นมาบ้างนั่น ให้ผลลัพธ์ยังไงกับครอบครัว”

“คุณเองก็เหมือนแม่” มันตรีก็เลยย้อนตอบ

หากพิจิกาก็ยอมรับโดยดี

“ใช่…ฉันเหมือนแม่มาก เพราะอย่างนี้ เราก็เลยพูดกันไม่ได้นาน”

มันตรีไม่อยากให้ชั่วโมงนี้ผ่านไปเลย

ฉันเองก็ไม่อยากให้ผ่าน

แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อจำเป็นจำใจต้องให้ทุกอย่างมีคำตอบ

คืนนั้น พิจิกาจึงขึ้นเวทีร้องเพลงอย่างไม่ผาสุกกว่าทุกวัน ดวงหน้าเขายังคงตามมารบกวน ทั้งๆ ที่หล่อนเป็นคนประเภทแลเห็นไฟส่องหน้า ความทุกข์มิว่าใหญ่หรือเล็กจะหายวับดับสิ้นไปโดยเร็ว หันไปมีสมาธิกับไฟดวงนั้น กับมวลชนเบื้องหลังดวงไฟ

แต่น่าแปลกที่คืนนี้ หล่อนอยากร้องไห้

ร้องออกมาอย่างดัง… เพื่อชะล้างจุดด่างพร้อยในหัวใจให้เลื่อนหลุด

เพื่อจะได้กลับมาเป็นหล่อนคนเก่าผู้แล่นถลาไปในโลกของความรักและความชังดุจกาลก่อน

หล่อนเพิ่งรู้ว่าตนเองรักเขา แต่คราวนี้หล่อนมิได้ถือเอาการเริงรักเป็นเกมแต่อย่างใด

ระหว่างหล่อนกับพี่ชายเขานั้นเป็นเพียงอารมณ์ที่เหนือเหตุผล พิจิกาคิดว่าเป็นความบังเอิญมากกว่า

แต่คราเมื่อ ‘ตุ๊กตาทอง’ ลอยมาเป็นของตนเอง ขณะที่มันตรีร่วงผล็อยลอยลับไป

พิจิกาจึงเพิ่งรู้ได้ว่า

ความพ่ายแพ้คือฉันใด

– จบ –

 

Don`t copy text!